"พลังที่ผมได้มานั้น...มันคือพรหรือคำสาปกันแน่นะ...? แล้วผมจะใช้พลังนี้แก้ไขประเทศที่ล่มสลายนี้จะกลับเหมือนเดิมได้อย่างไร...?"
แอคชั่น,ชาย-หญิง,สะท้อนปัญหาสังคม,ไทย,เลือดสาด,พล็อตสร้างกระแส,ดราม่า,สยองขวัญ,ผี,ผจญภัย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Undead War สงครามคนเป็น"พลังที่ผมได้มานั้น...มันคือพรหรือคำสาปกันแน่นะ...? แล้วผมจะใช้พลังนี้แก้ไขประเทศที่ล่มสลายนี้จะกลับเหมือนเดิมได้อย่างไร...?"
โรคระบาดยังคงอยู่รอบๆ ตัวเรา ไม่ได้หายไปไหน หมอทุกคนตายกันไปหมดแล้ว ความหวังดับวูบจนไม่เหลือแม้แต่แสงสุดท้าย ราวกับว่าตัวเองกำลังเดินอยู่ในอุโมงค์ไร้แสงสว่างและไร้สิ้นสุด พวกซอมบี้ต่างคอยจะได้กัดกินเนื้อมนุษย์อย่างกับเครื่องจักรที่ไม่มีวันเหนื่อย ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็มีแต่พวกมันอยู่เต็มไปหมด
แต่ความหวังก็ยังไม่หมดไป เมื่อผมสามารถเอาชนะเชื้อไวรัสตัวนี้ได้ ทำให้ร่างกายของผมเกิดกลายพันธุ์และสามารถแปลงกายเป็นซอมบี้ได้ตลอดเวลา นั่นทำให้ผมวิวัฒนาการไปอีกขั้นเพื่อที่จะช่วยเหลือมวลมนุษยชาติได้
จู่ ๆ ก็มีมือเข้ามาคว้าข้อมือของซอมบี้ นั่นมือของนิวนั่นเอง เพียงพริบตาเดียว เขาสามารถวิ่งเข้ามาถึงผมที่ห่างกันถึงสามเมตร!? สายตาของเขาเยือกเย็นอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เขาจัดการหักข้อศอกด้วยมือข้างที่ว่างและใช้พละกำลังเหวี่ยงร่างของมันเข้าไปสกัดกับฝูงของมันที่กำลังจะเข้ามาใกล้ เชื่อเถอะว่าคุณไม่อยากรู้จำนวนของพวกมันที่พยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาหาถุงเสบียงแน่ ๆ
“ไปแย่งกุญแจรถกูมา! เอ็น! ส่วนพวกซอมบี้เดี๋ยวสกัดไว้ให้เอง!” นิวสั่ง “เร็วเข้า!! ไม่มีเวลาแล้ว!”
ผมทำตามคำสั่งแต่โดยดี แต่ละก้าวที่ผมขยับ แต่ละก้าวที่ผมซอยเท้าออก มักจะรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนที่อยู่ใต้เท้าจนความรู้สึกลึก ๆ แล้วผมไม่อยากจะก้าวเท้าออกไปแม้แต่ก้าวเดียว ผมไม่รู้ว่าจะกลัวอะไร ระหว่างพวกซอมบี้และพวกมนุษย์นักเลง แม้ขาของผมกำลังเริ่มชา สมองของผมเริ่มสั่งงานช้าลง ไม่สิ นี่อาจจะเป็นช่วงที่เวลากำลังหมุนช้าลงก็ได้ ใช่ มันกำลังให้ผมคิดว่าจะทำยังไงต่อไปดี ผมยังสามารถควบคุมร่างกายของตัวเองได้ตามปกติ สมองยังคิดได้ แต่เส้นประสาทนั้นกำลังรับรู้อะไรต่ออะไรได้ช้าลง เสียงของนิวที่ตะโกนมาหาผมมันกำลังดังอยู่ในหัว มันวนลูปแบบไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนกำลังเป็นสัญญาณให้ผมต้องตื่นจากภวังค์บ้า ๆ นี้ได้แล้ว คาโอรินที่กำลังตกใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเรื่อย ๆ ไม่มีวันจบก็ยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น สมองเธอในตอนนี้คงจะแฮงก์ไปแล้ว มันเป็นข้อมูลที่เราไม่ได้มีประสบการณ์และไม่ได้มีการฝึกฝนมาก่อน จึงไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากว่าเธอจะยืนอยู่และให้ซอมบี้พวกนั้นฉีกเนื้อเธอออกมาเป็นชิ้น ๆ เสียงของโหยหวนของพวกมันทำให้เลือดเนื้อของผฒชาไปหมด แม้เวลาตัวเองจะเคยอยู่หนังซอมบี้มามากมายขนาดไหน ก็ยังกลัวเสียงพวกมันที่เจาะเข้าไปทำให้เลือดผมที่มีอุณหภูมิต่ำลง
มือของผมไขว่คว้ากุญแจรถที่มีพวงกุญแจเป็นพูชีนแคทจากมือของกันต์ กำลังแขนของผมนั้นไม่ได้มีมากมาย จึงใช้โอกาสที่มันกำลังตกใจกลัวนี้ให้เป็นประโยชน์ ผมเหยียดแขนออกจนสุด ถ้าแขนยืดออกมาเป็นแขนลูฟี่ได้ก็คงจะดี แต่ขอโทษที่ว่านี่เป็นโลกแห่งความจริงจึงไม่สามารถทำแบบนั้นได้ เพียงเสี้ยววินาที ผมคว้ากุญแจรถมาจากมือของมันได้ พอนักเลงหนุ่มรู้ตัวจึงใช้มืออีกข้างชกเข้าที่ซี่โครงเข้าอย่างจัง แรงหมัดนั้นได้ผ่านการฝึกซ้อมและผ่านประสบการณ์มานักต่อนัก จึงส่งผลให้กระดูกซี่โครงของผมเริ่มร้าว กระบองที่เป็นอาวุธคู่กายนั้นหลุดจากมือ ผมรู้สึกถึงมันได้ เสียงร้าวเบา ๆ ครวญครางออกมาจากร่างกายของผม ความรู้สึกที่เจ็บแปลบมันขยายวงกว้างขนาดรู้สึกเจ็บถึงเส้นผม มันมองมาที่ผมพร้อมกับกระชากกุญแจรถไปจากมือและแสยะยิ้มอย่างสยดสยอง นี่มันไม่เหมือนรอยยิ้มของมนุษย์ทั่วไปเลย…
“อยู่ดี ๆ ร่ายกายของการปะทะว่ะ” กันต์พูดพร้อมเหวี่ยงเข้าพุ่งเข้ามากระแทกเข้าที่ท้องเต็ม ๆ จึงส่งผลให้ร่างกายชาขึ้นไปอีก แขนขาจากที่แรงน้อยอยู่แล้วกลับไม่มีแรงแม้จะลุกขึ้นยืน สมองของผมนั้นว่างเปล่า แต่ก็มี
แวบเดียวเท่านั้นที่ภาพนั้นได้ผุดขึ้นมาให้หัว มันเป็นรูปของพ่อแม่ที่กำลังซ่อนตัวอยู่ในบ้าน พ่อใช้แรงทั้งหมดขนเฟอร์นิเจอร์มาขวางประตูเพื่อไม่ให้พวกซอมบี้พังเข้ามาได้ ส่วนแม่ที่กำลังสติแตกกับเรื่องที่เกิดขึ้นกำลังวิ่งไปรอบบ้านและทำลายข้าวของอย่างไร้เหตุผล ส่วนพ่อที่ยังตั้งสติได้ก็เข้าไปล็อกตัวแม่เพื่อให้ตั้งสติให้ดี เพราะเขามั่นใจว่าเขามีเวลามากพอที่จะทำให้ภรรยากลับมามีสติอีกครั้งและสามารถหาวิธีที่จะมีชีวิตรอดต่อไปหรือจะหนีย้ายไปอยู่ที่อื่น
ภาพนั้นหายไปพร้อมกับที่ผมสำรอกออกมาเป็นเลือดสีแดงเข้ม
นิวที่กำลังสู้กับซอมบี้อย่างยากลำบากได้ตัดสินใจโยนสมุนของกันต์ทั้งหมดไปให้พวกซอมบี้กินเพื่อเป็นนกต่อ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเป็นแบบสโลว์โมชัน นิววิ่งเข้ามาโดยการที่เขาเหวี่ยงตัวเองเข้ามาเพื่อให้ถึงตัวผมให้ไวที่สุด ก่อนที่ฝ่าเท้าของกันต์จะประทับลงบนศีรษะของผมในไม่กี่วินาทีนี้ ผมค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมา ดวงตาของผมเริ่มจะเลอะเลือนแล้ว หูของผมแทบจะไม่ได้ยินเสียงอะไรนอกจากเสียงลมเบา ๆ แทนที่จะเป็นเสียงของนิวที่พยายามแหกปากตะโกนจนปากแทบจะฉีกจนถึงใบหู
“เอ็น! หลบไป! เอ็น!!” ครับ…ผมไม่ได้ยิน
เขาเข้ามาถึงตัวนักเลงหนุ่มทันเวลาและคว้าร่างของกันต์แล้วเหวี่ยงไปหาพวกซอมบี้ทันที ซอมบี้บางตัวที่กินเนื้อของเหยื่อที่เข้ามาก่อนหน้าก็พุ่งไปลิ้มลองเนื้อของเหยื่อรายใหม่ทันที จากสีหน้าอันไร้ชีวิตชีวาของพวกมันพอจะบอกได้ว่ามันรู้ได้อย่างไรเมื่อได้ลิ้มลองเหยื่อรายใหม่นี้
แต่ผมกลับลืมอะไรบางอย่าง…
…..
กุญแจรถ….
มันยังอยู่ในมือของกันต์…
กันต์กำลังโดนพวกมันกัดกินเลือดเนื้ออยู่
ผมหันไปมองนิวที่กำลังแบกคาโอรินที่สภาพร่างกายและจิตใจไม่พร้อมที่จะวิ่ง เขาให้เธอขึ้นหลังและวิ่งผ่านร่างของผมไปโดยที่ไม่ได้ถามถึงกุญแจเลยแม้แต่น้อย อะไรกัน…กุญแจรถหายไปแล้ว ถ้าจะให้ไปสตาร์ตรถโดยการใช้วิธีเชื่อมสายไฟอย่างที่เห็นในหนังล่ะก็ผมทำไม่ได้หรอก ต่อให้เป็นนิวก็คงไม่ได้ อีกประมาณครึ่งนาทีเพื่อรอให้พวกซอมบี้สนุกกับมื้อกลางวันของมันจนหมดแล้วมันจะหันมาสนใจของหวานอย่างพวกเราโดยไม่ต้องสงสัย ตอนนี้ทำได้เพียงรอ เพราะต่อให้วิ่งต่อไปก็วิ่งต่อไปไม่ไหวอยู่ดี ต่อให้วิ่งไหวก็ไม่รู้ว่าเราจะไปเจออะไรต่อไปอีก ร่างกายของผมเพิ่งโดนปะทะมาอย่างสาหัส ลมหายใจผมขาดช่วง จังหวะการเต้นของหัวใจไม่โดยจะปกติเท่าไหร่
จบเห่แล้ว…
“จะนั่งอยู่ตรงนั้นอีกนานมั้ย?” เสียงนิวดังมาจากด้านหลัง
ผมได้พบความจริงเมื่อหันหลังไป เขาวางร่างของคาโอรินที่สุดท้ายก็หมดสติที่เบาะหลังก่อนที่จะปิดประตูรถ ดวงตาของเขาไม่ได้บ่งบอกถึงความกระวนกระวายในตัวเขาเลย
“กุญแจรถละก็ อยู่นี่” เขาชูกุญแจรถขึ้น
เป็นไปได้ยังไง…?
“ทีนี้รีบขึ้นรถได้หรือยัง ก่อนที่พวกมันจะกินออร์เดิร์ฟหมดก่อน”
ผมนั่งคุกเข่าอยู่ไม่นาน แต่นั่นก็ไม่ได้ปล่อยให้นิวยืนรออย่างใจเย็น เวลาตอนนี้แสนจะมีค่ายิ่งกว่าเงินตรา เขาตัดสินใจพุ่งตัวเข้ามาคว้าร่างกายของผมและเหวี่ยงขึ้นบ่าเหมือนกระสอบข้าวอย่างง่ายดาย ผมสังเกตว่าสีหน้าของเขาไม่เปลี่ยนเลยแม้แต่นิดเดียว เขาจับให้ผมนั่งข้างคนขับก่อนที่ตัวเองจะวิ่งขึ้นไปนั่งอีกฝั่งหนึ่ง จู่ ๆ ก็มีสองคนขึ้นมาบนรถโดยนั่งเบาะหลัง ปรากฏว่าเป็นนัทกับกิ๊บ ทั้งสองดูเหนื่อยและใจหายกับเรื่องที่เกิดขึ้น กิ๊บยกร่างของคาโอรินให้นั่งเพื่อให้มีพื้นที่พอสำหรับนั่งสามคน
“พวกมึงก็หนีมาทันงั้นเหรอ?” นิวถามโดยมองผ่านทางกระจกหลัง
“ตอนนี้อย่าเพิ่งพูดอะไรมาก รีบซิ่งหนีกันก่อนดีกว่า” นัทเอามือมาวางบนไหล่ของนิว “กูอยากให้มึงเหยียบให้มิด ขอให้หนีกลับไปได้ก็พอ”
“จัดไป” นิวแสยะยิ้ม
นิวจัดการเข้าเกียร์ เท้าขวาเหยียบคันเร่ง ยานพาหนะเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ผมแทบจะคว้าเข็มขัดนิรภัยมาคาดแทบไม่ทัน แรงกระชากของรถทำให้แผ่นหลังติดกับพนักพิงอย่างช่วยไม่ได้ ทั้งสองคนที่ยังมีสติมีสภาพไม่ต่างจากผมสักเท่าไหร่ เพิ่มเติมก็คือพวกเขาไม่ค่อยรู้สึกถึงวิธีการขับรถของนิวเลยแม้แต่น้อย
“ชั้นรู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่” นัทยิ้ม “พวกเราชินแล้ว”
นิวเหวี่ยงรถตัวเองให้ชนกับพวกซอมบี้ที่บังอาจมาขวางทางจนเลือดสีแดงเข้มกระฉอกมาโดนรถจนเปื้อนไปรอบคันและยังไม่รวมถึงพวกเครื่องในเอย ไขสมองของพวกมันเอย แต่นั่นมันไม่ใช่ปัญหาในตอนนี้ แม้ว่าสิ่งปฏิกูลจะเปื้อนรอบคัน แต่ก็มีอยู่สองอย่างที่ยังทำความสะอาดได้แม้แต่เวลานี้ นั่นก็คือที่ปัดน้ำฝนทั้งหน้าและหลัง แต่ดูเหมือนว่าจะต้องเพิ่งน้ำล้างกระจกหน้าเพื่อล้างเลือดออกให้หมด เมื่อถึงทางลงไปสู่ชั้นสองซึ่งเป็นการวน นิวก็ยังไม่ชะลอความเร็ว แต่กลับเพิ่มความเร็วขึ้นอีก ดวงตาของเขาบ่งบอกถึงความกระหายเลือดในตัวอย่างมาก ทั้งรอยยิ้มที่แม้แต่ตัวเองที่นั่งข้างนิวทุกชั่วโมงเรียนก็ยังไม่เคยเห็นและพนันได้เลยว่าแม้แต่นัทกับกิ๊บก็ไม่เคยได้เห็น
เพราะอะไรกันล่ะ…
นิวไม่ใช่คนที่จะไปหาเรื่องใครก่อนอยู่แล้ว เขาค่อนข้างจะเก็บตัว เมื่อเรียนจบ น้อยครั้งมาก ๆ ต่อเทอมที่จะยอมออกไปกินข้างกลางวันหรือไปสถานบันเทิงต่าง ๆ ตามประสาเด็กนักศึกษามหาวิทยาลัย แถมตัวสถาบันก็ตั้งอยู่ ณ ใจกลางเมืองกรุงเทพมหานครจึงเหมาะแก่การ ‘ไหล’ ไปไหนต่อไหนเรื่อยเปื่อยอยู่แล้ว จากที่สังเกตคือเขาตรงกลับบ้านอย่างเดียว ผมไม่รู้ว่าทำไม ถ้ามองในมุมมองของคนทั่วไปอาจจะคิดว่า ‘จะทำอะไรก็เรื่องของเขา ไม่ได้เกี่ยวข้องธุระกงการอะไรกับชีวิตของเราอยู่แล้ว สนุกกับการเป็นตัวของตัวเองนั่นแหละ ดีที่สุด’ ใช่ ผมควรคิดแบบนั้น แต่ผมก็ไม่รู้อย่างแน่ชัดเหรอกว่าจริง ๆ แล้วเขาเป็นคนยังไง ใช้ชีวิตแบบไหน เพราะการเรียนของเขานั้นไม่ตกเลย แม้ผมจะอยู่ปีหนึ่งแต่ก็ได้ยินเรื่องราวของเขามาจากรุ่นพี่ปีสี่หลายต่อหลายคน
“เปิดเพลงฟังกันสักหน่อยมะ?” ทันทีที่ผ่านทางลงมาได้ เขาก็เสนอจะเปิดเพลงโดยที่ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“จะบ้าเหรอ!” ผมพุ่ง “ขับไปเลย!!”
แน่ล่ะ…เขาไม่ฟัง ใบหน้าของคู่รักทั้งสองที่นั่งอยู่ข้างหลังเปลี่ยนสี ส่วนยัยคาโอรินที่ยังไม่ได้สติก็ยังไม่ได้สติอยู่แบบนั้น ไม่สามารถโต้ตอบอะไรได้อีกในจังหวะนี้ นิวปล่อยมือจากพวงมาลัย ล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงและเปิดบลูทูธอย่างกับว่าเขากำลังทำในขณะที่รถยังจอดอยู่ สิ่งที่ทำให้ผมแปลกใจก็คือ เขาเชื่อมต่อกับบลูทูธของรถนี้โดยใช้เวลาไม่ถึงสองวินาที เมื่อเชื่อมต่อเสร็จมือทั้งสองข้างของเขาก็กลับไปจับพวงมาลัยอย่างเดิม
ให้ตายสิ ทำได้ยังไงกัน…
“ขอเพลงอะไรก็ได้หน่อย” นิวทัก
“พะ…เพลง…?” ผมหน้าตึง
“ช่าย เพลง อะไรก็ได้ นี่ฟังได้หมดอะ”
“แบบนี้ก็ได้เหรอ…?”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ โลกนี้มันเป็นไปได้ทุกอย่างแหละ เพียงแค่คนเรามันไม่กล้าที่จะทำ ถึงได้พูดได้ไงว่า ‘แบบนี้ก็ได้เหรอ’ ชั้นก็เลยตอบกลับไปว่า ได้” นิวยิ้ม “ไม่เห็นจะยาก หากเราทำ”
เขาปล่อยมือซ้ายจากพวงมาลัยไปจิ้มที่ขมับของตัวเอง
“คนเรามันคิดไม่เหมือนกันหรอกจริงมั้ย ปรัชญาของแต่ละคนก็ยิ่งไม่เหมือนกัน นายที่เทอมนี้เรียนวิชาปรัชญาเบื้องต้นก็น่าจะเข้าใจอยู่แล้วนี่”
ผมพยักหน้าแบบส่ง ๆ ไป เพราะวิชาที่เขาหมายถึง ผมไม่ได้คิดจะตั้งใจเรียนแม้แต่นิดเดียว เรียนก็เพื่อให้ผ่าน แต่ในความเป็นจริงลึก ๆ แล้วผมรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังพลาดอะไรไปบางอย่าง ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นจิกซอว์ที่มีชิ้นส่วนไม่ครบ ชิ้นส่วนที่มันขาดหายไป ยังไม่มีวี่แววว่าจะสามารถหาได้จากไหนได้อีก ผมไม่ได้รู้สึกแบบนี้ตั้งแต่เลิกกับคนรักเมื่อหกเดือนที่แล้ว เธอชื่อ ‘เอ็มมา’ เธอเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดที่ผมคบมา เราคบกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมต้นและรู้สึกว่าเราคือจิกซอว์ชิ้นสุดท้ายของกันและกัน แต่ปรากฏว่าจิกซอว์ชิ้นนั้น รูปร่างมันไม่เหมาะสมที่จะทำให้จิกซอว์สมบูรณ์ได้ เราจึงจูนทุกอย่างเข้าหากัน แต่สุดท้ายก็เข้ากันไม่ได้เลยสักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความคิด วิถีชีวิต การกินและทุกอย่าง เราไม่สามารถจูนกันติดแม้ว่าต่างฝ่ายจะรักกันสุดหัวใจขนาดไหน เมื่อสุดท้ายแล้วถ้าไปกันไม่ได้ก็ต้องแยกทางกันตรงนั้น แต่ผมดันโง่ที่ฝืนเดินต่อไป แม้ว่าฝ่าเท้าของผมจะเต็มไปได้แผล หัวใจของผมโดนเธอกรีดหลายแผล เธอก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะทำร้ายผมหรอก แต่ในเมื่อผมไม่ปล่อยเธอไป ฝ่ามือและหัวใจของผมก็ยังเจ็บและเป็นแผลอยู่แบบนั้นต่อไปเรื่อย ๆ ไม่มีวันหาย แต่มารู้อีกทีว่าเธอมีคนใหม่ หลังจากที่ต่างคนต่างเข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยได้แล้ว เธอเรียนที่เดียวกันกับผม แต่ไม่รู้ว่าในสถานการณ์ตอนนี้ชะตาชีวิตของเธอจะเป็นยังไงต่อไป ในความเป็นจริงผมควรห่วงตัวเองเป็นหลัก…
จู่ ๆ ก็รู้สึกเจ็บปวดที่หัวใจมากกว่าซี่โครง ดูเหมือนว่าแผลเป็นที่ผมใช้เวลาร่วมครึ่งปีเพื่อจะรักษาให้หายเริ่มปริออก
“เป็นอะไรหรือเปล่าวะ? หน้าเปลี่ยนตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว” นิวถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
ผมสะดุ้งเล็กน้อย พยายามเปลี่ยนสีหน้า
“มะ…ไม่เป็นอะไรหรอก” ผมพยายามหาคำแก้ตัว แต่ดูเหมือนวันนี้สมองจะไม่ค่อยแล่นเอาเสียเลย
“จะโกหกชั้นก็ไม่ว่านะ แต่อย่าโกหกใจตัวเองดีกว่า” นิวพูดเหมือนอ่านใจผมออก “แม้ชั้นจะเป็นคนที่ไม่ค่อยมีเพื่อน แต่ก็ไม่เคยที่ไม่เจ็บเรื่องของคนรัก”
“นายรู้ได้ไง?” ผมถาม “สถานการณ์แบบนี้ทำไมถึงได้อ่านการออกอีก ไม่คิดเหรอว่าอาจจะกำลังสิ้นหวังกับช่วงเวลาที่เรากำลังยืนอยู่บนเส้นด้ายแบบนี้”
“ใบหน้าของนายดูเหมือนคนที่เคยช้ำรักมาแล้วครั้งนึง แต่ไม่ได้รู้สึกจะยอมรับมันเท่าไหร่” เขาตอบแบบเรียบ ๆ
“ทำไมถึงรู้?”
“ชั้นเคยมีใบหน้าความรู้สึกแบบนายก่อนที่จะเป็นแบบนี้ยังไงล่ะ” เขาตอบ “แผลในใจมันเจ็บก็จริง นายยังขาดการเรียนรู้เข้าใจมัน พร้อมที่จะอยู่และรับมือกับความเจ็บปวดเหล่านั้นให้ได้ แม้ตอนนี้นายจะยังไม่ยอมรับ กาลเวลามันจะเยียวยาจิตใจนายได้”
“มันก็ผ่านมาตั้งหกเดือนแล้วนะ…ความเจ็บลึก ๆ นั้นก็ยังไม่หายเลย” ผมก้มหน้ามองพื้น ตอนนี้ไม่ได้สนความเร็วของรถที่นิวขับแล้ว เพราะความรู้สึกบ้า ๆ พวกนั้นมันทำลายทุกอย่าง ผมอยากจะเปิดประตูและกระโดดลงไปให้พวกซอมบี้รุมโทรมจังเลย…จะได้ตาย ๆ หายไปจากโลกนี้ หลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานพวกนี้เสียที แม้ว่าวันสิ้นโลกมาถึงได้ไม่นาน ผมก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจเท่าเฝ้าวันวานที่มีความสุขเหล่านั้นที่มีให้กับ ‘เธอ’ คนนั้น ผมเฝ้าบอกตัวเองเรื่อยมาว่าให้เดินหน้าต่อไปและยังหลอกตัวเองมาตลอดว่าเราเดินออกมาจากตรงนั้นได้เยอะมาก ๆ แล้วนะ แต่ในความเป็นจริงผมก็ยังย่ำอยู่ที่เดิมอยู่ดี
“อะไรที่มึงคิดอยู่ตอนนี้ให้เลิกคิดไปก่อนดีกว่า” นัทยื่นมือมาแตะ
ที่บ่า “กูไม่รู้นะว่าในรายละเอียดยิบย่อยพวกนั้นมึงคิดอะไรอยู่ แต่กูรู้ว่าสิ่งที่คิดรู้สึกลึก ๆ แล้วมันไม่ได้ต่างจากนิวเท่าไหร่”
ผมมองที่นิว
“มันเองก็ผ่านสมรภูมิหัวใจมาเยอะ” เขาบอก “ลืมแนะนำตัวเลย กูชื่อนัทนะ”
“ส่วนเราชื่อกิ๊บนะ ยินดีที่ได้รู้จัก” กิ๊บพูดออกมา
ผมพยักหน้า
“เราชื่อเอ็น ยินดีที่ได้รู้จักทั้งสองคนนะ” ผมยิ้มออก
“เรานั่งใกล้ ๆ กันวิชาอาจารย์โต๋งแต่ก็แทบไม่มีโอกาสได้พูดคุยอะไรกันเลยแฮะ” นัทบอก
“มันก็จริง เรามันพวกเก็บตัวนิดหน่อยน่ะ”
“ก็เหมือน ๆ กับนิวอะแหละ วัน ๆ อยู่แต่ในห้อง จะออกจากห้องก็แค่ ไปเรียน ไปเดินห้าง ไปกินข้าวด้วยกัน ไม่ก็ไปดูหนังด้วยกันไรงี้ มันเป็นพวกที่เพื่อนน้อย แถมยัง…อย่างที่บอก” ผมทำหน้างง
“สมรภูมิหัวใจ” กิ๊บเสริม
“อยากเพิ่งพูดเรื่องนั้นเลยดีกว่า ตอนนี้ต้องหาทางกลับบ้านเราให้ได้ก่อน” นิวขัดขึ้น
“บ้านพวกนายอยู่ที่ไหนกันเนี่ย” ผมถาม
“เป็นบ้านแถวบางกะปินี่แหละ” นิวตอบ
“ตอนนี้เราต้องเข้าไปหลบอยู่ที่ไหนสักที่ก่อน หาอาวุธ เสบียง น้ำ ยา ของแต่ละคนเพื่อให้อยู่รอด” นัทพูดขึ้น “เหมือนเรากำลังอยู่ในเกมเอาชีวิตรอดในโลกของซอมบี้เลยแฮะ”
สถานการณ์ข้างนอกตอนนี้ เราได้ออกมาจากรั้วมหาวิทยาลัยเป็นที่เรียบร้อย สิ่งที่เราเห็นนั่นก็คือซอมบี้ที่มีอยู่ทุกที่ พวกมันมีเป็นกองทัพ ศพที่นอนนิ่งจมกองเลือดมีอยู่ทั่วบริเวณ ไฟที่ลุกไหม้จากร้านอาหาร จากสภาพแล้วดูเหมือนว่าจะเกิดการระเบิดเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา ซอมบี้แต่ละตัวเดินกันเกะกะถนน บางตัวไม่มีท่อนร่างแต่ก็ยังพยายามเคลื่อนที่โดยใช้มือคลานไปตามพื้นถนนและรอยเลือดที่ค่อย ๆ ไหลออกจากเครื่องในของพวกมันทำให้ย้อมถนนบางส่วนกลายเป็นสีแดงเข้ม ทุกคนในกรุงเทพได้กลายเป็นซอมบี้กันหมดแล้ว พวกมันบางตัวก็วิ่งเข้ามากระแทกกับรถเราจะโงนเงน บางตัวกระโดดเข้ามาบนกระโปรงรถและพยายามจะทุบกระจกรถให้แตก
“หนีสิ! หนี!” นัทตะโกน
“ขอโทษนะลูกนะ” นิวเข้าเกียร์จากออโต้เป็นเกียร์สปอร์ต เขาเร่งเครื่องออกไปและชนพวกมันจนล้ม บางตัวกระเด็นไปบนอากาศก่อนที่จะตกลงบนหลังคารถ ด้วยแรงขับเคลื่อนของรถที่ไปด้านหน้าเต็มกำลัง ส่งผลให้มันกลิ้งหล่นลงไปนอนที่พื้น แต่ด้วยความที่สมองมันยังอยู่ดี มันจึงลุกขึ้นมาอย่างไร้ความเจ็บปวด ประสาทที่รับรู้ถึงความเจ็บปวดนั้นตายไปหมดแล้ว สิ่งที่มันยังคงหลงเหลืออยู่ในตอนนี้ก็คือ สมองที่สั่งการร่างกายให้ขยับไปตามนั้นเพื่อเป้าหมายเดียว ‘เนื้อมนุษย์’
“ไม่ได้การ ถ้าชนมากกว่านี้ รถคงไปได้ไม่ไกลไปจากนี้มากแล้ว” นิวพึมพำอยู่ในลำคอ เขารู้รถของตัวเองดี แม้ว่ารถของเขาจะหุ้มเกราะบาง ๆ มาเพื่อกันรถชนก็ตาม แต่มันก็ไม่ได้จะปกป้องได้ขนาดนั้น แต่การที่เขาชนซอมบี้ที่มันไม่ต่างอะไรกับชนมนุษย์ด้วยกันเองไปสิบกว่าศพก็ไม่ต่างจากที่ต้องไปชนถุงข้าวสารที่หนักเกินหกสิบกิโลกรัมหรอก
มันเป็นไปไม่ได้ที่จะออกไปจากเมืองแน่นอน!
“กิ๊บ! นัท! เอาอาวุธที่อยู่ท้ายรถมา!” นิวตะโกนสั่งแล้วแสยะยิ้ม “ที่เสียเงินไปเป็นหมื่นเพื่อรอวันพิพากษาโลกนี้ช่างคุ้มเสียจริง ๆ”
“เมื่อกี้นายว่าอะไรนะ!?” ผมถามอย่างไม่เชื่อคำพูดที่เขาเพิ่งพูดออกมา ผมได้ยืนชัดเจนสองรูหู แต่อยากให้แน่ใจว่าเขากำลังจะสื่อความหมายเดียวกับสิ่งที่ผมคิดหรือเปล่า ผมพนันแบบทุ่มหมดตัวเลยว่าเขาหมายความว่าแบบนั้น
“กิ๊บ! ช่วยรับที!” สิ่งที่เขาหยิบส่งให้กิ๊บก็คือ ‘ดาบคาตะนะสองเล่ม’ ‘มีดสั้นจำนวนมาก’ ‘ปืนพกหลายกระบอกพร้อมกระสุน’ และ ‘กระเป๋าบรรจุปืน’ ในชีวิตจริงมันแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะซ่อนอาวุธมากมายขนาดนั้นไว้บนรถได้ แถมเขาอยู่ตั้งปีสาม ซึ่งมันยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ที่จะซ่อนอาวุธได้ตั้งสามปีตลอดที่เขาเข้าเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย ให้ตายสิ รู้สึกไม่ดีเลยเมื่อเห็นอาวุธมากมายอยู่ตรงหน้า แม้ว่ามันจะไม่ใช่อาวุธสงคราม แต่ละอย่างมันก็ขึ้นชื่อว่า ‘มัจจุราช’ ที่สามารถพรากชีวิตคนได้อย่างง่าย ๆ
“นายเอาดาบไป เอ็น” นิวบอก “นายเคยบอกในห้องเรียนว่านายเคยเรียนเคนโดมาด้วย ฉันเชื่อใจในฝีมือดาบของนาย”
“ชั้นยังไม่เคยจับดายจริงมากก่อนเลยนะ” ผมท้วง
เขาเร่งเครื่องพร้อมกับชนเขากับซอมบี้อีกหลายสิบตัว เหมือนจะพยายามให้รถตัวเองพังเต็มแก่ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความกระหายเลือดที่มีอย่างไม่มีหมด นั่นทำให้ผมรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ความรู้สึกเจ็บแปลบที่อยู่ตรงซี่โครงก็กำเริบขึ้นอีกครั้ง ผมไม่ได้อยากจะเหวี่ยงดาบหนัก ๆ ทั้ง ๆ ที่อยู่ในสภาพแบบนี้หรอกนะ…
“รถกำลังจะไปไม่รอดในอีกหนึ่งนาที เอ็น นายต้องเลือกแล้วล่ะ” นิวเริ่มกดดัน “บางทีลูกนกไม่จำเป็นต้องสอนก็บินเองได้ โดยการถูกผลักออกจากรัง”
ผมมองนิวตาไม่กระพริบ
คำถามที่ควรจะมีหลายคำถามในหัว แต่กลับมาเพียงคำถามเดียว
แค่คำตอบที่ผมจะตัดสินใจตอบไป จะเปลี่ยนชีวิตของผมไปตลอดกาล
จะหยิบดาบขึ้นสู้…
หรือยอมตายเป็นหมาซอมบี้ข้างถนนอยู่นี่แบบไร้ค่า…
จะตัดสินใจยังไงดี…
__________________________________________________________
To Be Continue Ep.8