"พลังที่ผมได้มานั้น...มันคือพรหรือคำสาปกันแน่นะ...? แล้วผมจะใช้พลังนี้แก้ไขประเทศที่ล่มสลายนี้จะกลับเหมือนเดิมได้อย่างไร...?"
แอคชั่น,ชาย-หญิง,สะท้อนปัญหาสังคม,ไทย,เลือดสาด,พล็อตสร้างกระแส,ดราม่า,สยองขวัญ,ผี,ผจญภัย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Undead War สงครามคนเป็น"พลังที่ผมได้มานั้น...มันคือพรหรือคำสาปกันแน่นะ...? แล้วผมจะใช้พลังนี้แก้ไขประเทศที่ล่มสลายนี้จะกลับเหมือนเดิมได้อย่างไร...?"
โรคระบาดยังคงอยู่รอบๆ ตัวเรา ไม่ได้หายไปไหน หมอทุกคนตายกันไปหมดแล้ว ความหวังดับวูบจนไม่เหลือแม้แต่แสงสุดท้าย ราวกับว่าตัวเองกำลังเดินอยู่ในอุโมงค์ไร้แสงสว่างและไร้สิ้นสุด พวกซอมบี้ต่างคอยจะได้กัดกินเนื้อมนุษย์อย่างกับเครื่องจักรที่ไม่มีวันเหนื่อย ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็มีแต่พวกมันอยู่เต็มไปหมด
แต่ความหวังก็ยังไม่หมดไป เมื่อผมสามารถเอาชนะเชื้อไวรัสตัวนี้ได้ ทำให้ร่างกายของผมเกิดกลายพันธุ์และสามารถแปลงกายเป็นซอมบี้ได้ตลอดเวลา นั่นทำให้ผมวิวัฒนาการไปอีกขั้นเพื่อที่จะช่วยเหลือมวลมนุษยชาติได้
แต่เสียใจ ร่างกายของผมนั้นขับอะดรีนาลีนออกมามากพอสมควร
จึงสามารถหลบฟันที่แสนจะอันตรายของมันได้อย่างง่ายดาย แต่น่าเสียใจยิ่งกว่าถ้ามันจะไม่ยกมือขึ้นแล้วลงมือข่วนลงมาที่ใบหน้าของผม ผมพยายามหลบกรงเล็บที่เต็มไปด้วยคราบเลือดของมัน แต่มันเร็วกว่า จึงทำให้กรงเล็บหนึ่งอันข่วนผ่าเฉียดดวงตาของผมไป สุดท้ายมันกลายเป็นเพียงแผลบาง ๆ ที่เลือดไหลออกมาเพียงเล็กน้อย
“ไอ้เอ็น!!” นิวแผดเสียง
ขบวนเริ่มเสียแล้ว เหลืออีกหนึ่งซอยก็ถึงแล้วแท้ ๆ
“กูไม่เป็นไร!!” ผมถีบตัวที่ข่วนผมจนมันกระเด็นออกไป ให้ตายสิ แผลเริ่มเลือดไหลมากแล้ว แต่อะดรีนาลีนที่หลั่งออกมามันทำให้ความเจ็บปวดนั้นน้อยลง ไม่อยากจะจินตนาการว่าถ้าผ่านช่วงเวลานี้ไปแล้ว
แผลมันจะเจ็บขึ้นอีกสักเท่าไหร่เชียว พวกมันค่อย ๆ ล้อมวงเข้ามาหาเรามากขึ้นทุกที ขบวนก็เริ่มเสียหลักแล้ว นัทที่ล้มลงไปเมื่อกี้กำลังดันตัวเองให้ลุกขึ้นยืน ส่วนกิ๊บก็ยังยิงหัวของพวกซอมบี้อย่างไม่หยุด และยังเปลี่ยนแม็กใหม่ที่อยู่ในกระเป๋ากระโปรงของเธอ ตอนนี้เห็นได้ชัดเลยว่าพละกำลังของนิวนั้นเริ่มอ่อนแรงลงทุกที สังเกตได้จากท่าทางที่เขาฟันพวกมัน แม้ว่าใบมีดจะไม่มีรอยบิ่นเลยแม้แต่มิลลิเมตรเดียว แต่ผู้ที่ถือดาบนั้นเริ่มจะไม่ไหวแล้ว อย่าว่าแต่เขาเลย ผมก็เริ่มไม่ไหวแล้วเหมือนกัน แต่ถ้าเรายอมแพ้ตรงนี้ เราก็ไม่สามารถไปถึง ‘เซฟเฮาส์’ ได้เลย ทุกอย่างที่เราทำได้ก็เพื่อการเอาชีวิตรอดของตัวเองทั้งนั้น แต่ละคนมีเป้าหมายในการเอาชีวิตรอด ผมต้องเอาชีวิตรอดเพื่อที่จะไปหาพ่อแม่ผู้ที่เป็นสองคนสุดท้ายของครอบครัว ถ้าผมขาดสองคนนี้ไป ผมก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร เพื่อนที่นอกเหนือจากนัท กิ๊บ และนิวก็น่าจะตายกันหมดแล้ว แฟนก็ไม่มี แถมยังต้องมาทนทุกข์ทรมานกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันแบบนี้ สู้ตายจากโลกนี้ยังเป็นทางออกที่ดีที่สุดและง่ายที่สุดจะดีกว่า
“เร็วเข้า!! พวกมันแห่กันมาเยอะแล้วนะ!!” นิวฉุดผมกับนัทให้ลุกขึ้น ตัวผมก็ไม่รู้ตัวว่าตัวเองล้มไปตั้งแต่เมื่อไหร่
สมองของผมอื้อไปหมด ใบหน้าของซอมบี้แต่ละตัวช่างน่าตลกเสียจริง ๆ
เฮ้…ทำไมไม่ยิ้มกันล่ะ ทำไมถึงได้ซีเรียสกันนัก ทำไมถึงได้กระหายเลือดแบบนั้นล่ะ เลือดมันหอมหวานขนาดนั้นเลยเหรอ เนื้อมนุษย์นี่มันรสชาติเป็นอย่างไร ถ้าจะชิมสักคำ พวกนายสามารถแนะนำหน่อยได้ไหมว่าผมสามารถไปชิมใครก่อน พวกเราทุกคนย่อมมีครั้งแรกกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะกินของที่ชอบครั้งแรกทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ตัวเลยว่าของที่เราไม่เคยกินจะกลายมาเป็นของโปรดในเวลาต่อมา
“ไอ้เอ็น!! ตั้งสติหน่อย!!” นิวตบหน้าผม
สักพักต่อมาผมก็ได้สติ
“ให้ตายสิ ไม่มีเวลามาจิตหลุดแล้ว รีบตามมาเร็ว ไม่งั้นจะทิ้งไว้ที่นี่แหละ!” จากนั้นนิวก็วิ่งออกไป จัดขบวนให้เป็นอย่างเดิม จากนั้นพวกเราก็วิ่งไปเรื่อย ๆ จนถึงบ้านของนิว จะเรียกว่าบ้านก็คงจะเรียกได้ไม่เต็มปาก เพราะ ‘บ้าน’ ของนิวนั้นก็คือคอนโดใหม่ที่เพิ่งสร้างขึ้นไม่นานมานี้ ด้วยราคาที่แพงหูฉี่ และอยู่ ณ ใจกลางเมืองที่รถติดเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก จึงไม่ค่อยมีใครเข้ามาอยู่ ข้อมูลที่ให้มาข้างต้นมันเป็นข่าวดีที่ว่าซอมบี้ในคอนโดนี้อาจจะน้อยถ้าเปรียบกับที่อยู่ด้านนอก ประชากรทั้งประเทศมีเกือบแปดสิบล้านคน ในเมืองหลวงนั้นก็น่าจะปาไปกว่าสามสิบล้านคนเข้าไปแล้ว แค่ดูจากคอนโด อะพาร์ตเมนต์หรือห้องเช่าถูก ๆ ต่าง ๆ นานาที่ถูกสร้างขึ้นนับสิบในทุก ๆ ปีที่ผ่านมา
“ร่มรื่นฤดี คอนโด” นี่เป็นชื่อคอนโดของนิว
พวกเราเข้าประตูมาเป็นที่เรียบร้อย แต่พวกซอมบี้ก็ยังวิ่งตามมาอย่างไม่ลดละ พวกมันวิ่งประจันหน้าเข้ามาเหมือนกองทัพที่จะเข้ามาตีประตูเมือง
“ปิดประตู!!” นิวตะโกนสั่ง
นัทกับผมวิ่งไปยังประตูใหญ่เท่าประตูป้อมปราการเหล็ก ทั้งสองคนดันบานประตูเข้าหากันเพื่อจะปิดตายพวกเราให้อยู่ในนี้ ซอมบี้บางตัวที่อยู่ในตึก กิ๊บกับนิวมีหน้าที่จัดการพวกมัน ส่วนใหญ่กิ๊บจะมีหน้าที่เก็บตัวที่อยู่ด้านนอกที่พยายามจะวิ่งเข้ามาด้านใน พวกเราทั้งหมดล้วนมีศักยภาพที่เข้ากันได้และผ่านการใช้อาวุธมาแล้วสามคน แต่อีกคนน่าจะเป็นข้อยกเว้น ประตูของคอนโดนี้สูงประมาณสามเมตรซึ่งมันมีน้ำหนักตามที่เห็น ผมต้องออกแรงมากกว่านี้เพื่อให้มันขยับเข้าไปปิดทางเข้าของพวกมัน ผมกัดฟันพร้อมกับดันบานประตูสุดชีวิตเพื่อให้มันปิดตายได้ทันเวลา ส่วนบานประตูของนัทนั้นเริ่มจะเข้ามาปิดกันแล้ว อีกนิดเดียว
อีกนิดเดียว…
อีกนิดเดียว…
ในที่สุดประตูหน้าก็ปิดตาย เมื่อประตูได้ปิดลงพวกซอมบี้ก็มาถึงประตูพอดี ผมกับนัทใช้พละกำลังทั้งหมดดันพวกมันเอาไว้ แม้ว่ามันจะไม่มีสติปัญญาเหมือนมนุษย์ แต่มันก็รู้ว่ามันควรจะทำยังไงเพื่อให้ได้ลิ้มลองเนื้อเลือดของมนุษย์ กิ๊บจัดการล็อกประตูทั้งหมด ทั้งกลอนกลางและกลอนล่าง แม้ว่ากลอนทั้งสองจะเป็นเหล็กกล้า แต่ใครจะไปรู้ว่ามันจะพังเมื่อไหร่ นิวที่จัดการกับซอมบี้ที่อยู่ชั้นล่างแล้วนั้นก็หยิบโซ่ที่อยู่หลังโต๊ะยามมาพันไว้กับที่จับของประตูเพื่อการันตีว่าพวกมันจะไม่มีวันพังเข้ามาได้ บวกกับว่าพวกเราก็ออกไปไม่ได้เช่นกัน
พวกเราทุกคนล้มนั่งลงบนพื้นโดยไม่ได้สนใจเลยว่าบนพื้นจะสกปรกขนาดไหน ผมทิ้งดาบลงพื้น นิวก็เช่นกัน แต่ละคนเหนื่อยหอบอย่างน่าสงสาร แต่จู่ ๆ ผมก็นึกอะไรออก ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ผมเบิกตาโพลง ความเหนื่อยหายไปทันที อะดรีนาลีนที่เพิ่งหยุดสูบฉีดไปเมื่อกี้ก็กลับมาใหม่
“พวกเราลืมใครไว้ข้างหลังหรือเปล่าวะ…?” ผมถามทุกคน สิ่งที่ได้กลับมาก็คือ ไม่มีใคร
“คาโอรินไง…เธอหมดสติอยู่ และเธอก็ไม่ได้หนีมาพร้อมกับเรา” ผมพูดพร้อมยืนขึ้น
คำพูดของผมนั้นทำให้ทั้งสามคนตาโตพร้อมกัน ใบหน้าของแต่ละคนมีแต่คำว่า ‘ฉิบหาย’
“เวรแล้ว ถ้าเรากลับไปช่วยอาจจะเสียที่นี่ไปเลยก็ได้นะเว้ย” นิวแย้งเหมือนจะรู้ว่าผมคิดจะทำอะไร “ถ้านายคิดจะออกไปช่วยผู้หญิงคนนั้นล่ะก็ฝันไปเถอะ นายไม่ได้มีพลังอะไรที่จะต่อกรกับพวกมันทั้งกองทัพด้วยตัวคนเดียวหรอก แถมนายก็เพิ่งโดนข่วนด้วย”
“ว่าไงนะ!?” นัทลุกขึ้น “คงต้องฆ่าก่อนที่จะกลายเป็นพวกมัน”
กิ๊บจ่อปืนมาที่ผม
“อย่าแม้แต่จะคิด นัท” นิวทำเสียงเข้มแล้วหันมาหานิว “ผู้หญิงคนเดียวที่สลบอยู่แถมยังไม่รู้ว่าจะได้สติเมื่อไหร่ บวกกับว่าเธอไม่มีอาวุธที่จะสู้อะไรกับพวกมันที่มีกันเป็นกองทัพได้เลย คิดดูว่ากว่าพวกเราจะฝ่ามาถึงที่นี่ได้มันลำบากขนาดไหน อย่าหวังว่าผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนเดียวจะทำอะไรพวกมันได้ ตอนนี้กลายเป็นอาหารของมันเรียบร้อยไปแล้ว”
ผมยอมแพ้ เพราะสิ่งที่นิวพูดมานั้นมันคือความจริง
“ยังไม่ได้แม้จะได้คุยกันเลย” ผมตอบอย่างเศร้า ๆ
“ผู้หญิงในโลกนี้จะหาได้ใหม่ก็ไม่ยากหรอก แต่จะยากกว่าตอนที่โลกเป็นปกติแค่นั้น” นิวเข้ามายืนตรงหน้าผม “มึงลองคิดดูให้ดี ๆ นะ มึงมีความสามารถในการปกป้องคนอื่นได้ มันเป็นทักษะหนึ่งที่สำคัญมากในโลกแบบนี้ ถ้านายเจอผู้หญิงที่นายชอบ ก็สร้างสถานการณ์แล้วโดดเข้าไปช่วยอย่างเท่ ๆ ยังได้เลยเพื่อน”
นิวยิ้ม
“ชั้นกะว่าจะทำแบบนั้นแหละ”
“มันจะดีเหรอ?” ผมถาม
“โลกนี้มันเทานะเพื่อน ไม่ว่าจะโลกยุคไหนมันก็เทาหมดนั่นแหละ ไม่มีขาวไม่มีดำ ไม่มีคนที่ชั่วที่สุด ไม่มีคนที่ดีที่สุด มีแต่ตรงกลางซึ่งเป็นสมดุลของมนุษย์ นี่แหละคือสิ่งที่ทำให้มนุษย์อยู่รอดจนถึงทุกวันนี้ไง” นิวตอบ
“ชั้นสามารถเชื่อใจนายได้ไหม” ผมถามอีก
“นายเชื่อใจชั้นได้” เขาตอบแทบจะทันที “แล้วชั้นล่ะ…จะเชื่อใจนายได้ไหม?”
ผมลังเลอยู่ชั่วครู่
“ได้”
“โอเค ตอนนี้ทุกคนเชื่อใจกันแล้ว แต่ตอนนี้แค่อยากรู้ว่าเอ็นจะกลายเป็นซอมบี้เมื่อไหร่” กิ๊บจ่อปืนมาที่ผมทั้ง ๆ ที่ปืนในมือนั้นสั่นเทิ้มไปด้วยความกลัว
“โดนข่วนนิดหน่อยไม่น่าจะเป็นอะไรหรอก” นิวพูดพร้อมเอาตัวมาบังวิถีกระสุน
“เดี๋ยวไปให้แฟนชั้นทำแผลให้ดีกว่า” นิวบอก
แต่ละคนเงียบ
นิวถอนหายใจ
“โอเค ๆ ก็ได้ ๆ ยังไม่ได้เป็นแฟนกันจริง ๆ ยังเป็นคนคุยอยู่และชั้นยังไม่ได้บอกพวกนายสองคนด้วย ตอนนี้ชั้นให้เธอมาอยู่กับชั้นชั่วคราวเฉย ๆ ตามประสาคนรักกันแต่ยังไม่ได้ขึ้นสถานะว่าเป็นแฟนกันเท่านั้นเอง”
“แล้วตอนนี้จะขึ้นไปยังไง ลิฟต์ก็ไม่น่าจะใช้ได้แล้วนี่” นัทบอก
“ไม่หรอก คอนโดนี้มีระบบสำรองไฟที่สามารถมีไฟใช้ได้สามวัน ถ้าใช้ไม่ได้ประหยัดเท่าไหร่อะนะ” ผมพูด
“แสดงว่าลิฟต์ก็ยังใช้ได้อยู่น่ะสิ” นัทพูด
นิวพยักหน้า
“งั้นขึ้นไปก่อนดีกว่า อยู่ตรงนี้มันเริ่มร้อนแปลก ๆ” กิ๊บบอก
“ร้อนเหรอ?” ผมถาม
“อืม” เธอตอบแล้วเดินไปที่ลิฟต์
ที่ถามนี่ไม่ได้จะแย้งว่ากิ๊บเป็นผู้หญิงที่ไม่มีความอดทนหรอกนะ แต่สิ่งที่เธอพูดออกมาเมื่อกี้นั้นมันทำให้ผมนึกถึงซีรีส์ซอมบี้เกาหลีที่อยู่ในเน็ตฟลิกซ์ หลายอย่างที่พวกเราเจอในวันนี้มันไม่ค่อยเหมือนกับซอมบี้ในหนังเท่าไหร่ แต่ข้อมูลพื้นฐานนั้นถูกต้องอย่างไม่ต้องสงสัย แต่สิ่งอื่นใดที่ผมงงไปหมดนั้นก็คือ อากาศของประเทศไทย ระหว่างที่ขึ้นลิฟต์ไปยังห้องพักของนิวที่อยู่ชั้นสิบเอ็ด พอเข้าไปในห้องก็เจอกับหญิงสาวคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนโซฟา ในมือถือไม้กางเกงที่ทำจากไม้โอ๊กสีน้ำตาลเข้ม ใบหน้าของเธอแม้ว่าจะดูขาวใส แต่ก็ไม่ได้ดูสดใสไปสะทีเดียว เธอมีน้ำตาที่ไหลลงมาตามใบหน้า เธอดับไฟในห้องจนหมดและปิดผ้าม่านแง้มให้แสงสว่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ส่องเข้ามาในห้อง แสงสว่างนั้นได้ส่องผ่านหยดน้ำตาทำให้เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เธอกำลังร้องไห้อยู่
“นี่ฟาง แฟน…เอ้ย…เพื่อนเราเอง เอ็น” เขาพูดพร้อมกับแง้มผ้าม่านให้เปิดกว้างกว่าเดิม นั่นทำให้แสงเข้ามาในห้องจนเผยให้เห็นใบหน้าของหญิงสาว นั่นทำให้ผมรู้ว่าเธอคือคนที่มาแอดไลน์และอ่านใจผมเมื่อเช้านี้นี่เอง แต่จู่ ๆ ก็รู้สึกใจสลายและแปลกใจในเวลาเดียวกันเดียวกัน ผมเพิ่งรู้เมื่อกี้ว่าเธอมีแฟนเช่นกัน ไม่สิ คนคุยมากกว่า สาเหตุที่เธอให้ไลน์ผมมาหมายความว่านิวไม่ได้เป็นเจ้าของชีวิตผู้หญิงคนนี้นั่นเอง แม้ว่านิวจะบอกว่าฟางเป็นเพื่อน แต่ในความเป็นจริงแล้วเธอไม่ได้เป็นเพื่อนกันจริง ๆ หรอก การเป็นคนคุยก็ไม่ต่างจากเพื่อนเท่าไหร่ แต่ความสัมพันธ์จะลึกซึ้งมากกว่าเพื่อนแต่รองจากแฟน ถ้าจะสรุปก็คือ ‘กิ๊ก’ นั่นเอง ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ผมจะต้องตัดใจกับผู้หญิงคนนี้ ต่อให้นิวบอกว่าตัวผมเองสามารถหาผู้หญิงมาครองคู่ได้โดยที่เราไปปกป้องตัวเขาหรือจะสร้างสถานการณ์ขึ้นมาเองก็ได้ แต่ผมมองว่ามันไม่ได้สำคัญเท่าว่าคน ๆ นั้นซาบซึ้งกับการกระทำของเราหรือเปล่า และให้เวลามันเป็นตัวตัดสินความสัมพันธ์จะเป็นการดีที่สุด ตอนนี้ผมเพียงทำได้แค่ตัดใจจากเธอเท่านั้น
“ยินดีที่ได้รู้จักครับฟาง” ผมยิ้ม พยายามทำตัวให้ดูเป็นธรรมชาติที่สุด
เธอพยักหน้าพร้อมกับปาดน้ำตาและยิ้มบาง ๆ ให้ผม ลิปสติกสีชมพูอ่อนนั้นประทับอยู่บนริมฝีปากเล็ก ๆ ของเธอ เวลาที่เธอยิ้มให้ ทำให้ดูน่ารักกว่าเดิมหลายเท่า
“ตัวเองเป็นอารายค้าบ ร้องไห้ทำไมเหรอ?” นิววางดาบที่เปื้อนเลือดไว้บนพื้นแล้วเข้าไปโอบฟางที่ยังเป็นแค่ ‘คนคุย’ เพื่อให้เธอรู้สึกดีขึ้น ซึ่งลึก ๆ ในหัวใจของผู้หญิงคนนั้นยังรู้สึกดีกับผู้ชายที่กำลังโอบกอดเธออยู่อีกงั้นเหรอ? “โชคดีนะที่ตอนเช้าอาจารย์ตัวเองแคนเซิลคลาสและตัวเองก็กลับมาที่นี่ก่อน ไม่งั้นแย่แน่เลย”
น้ำเสียงของนิวฟังดูแอ๊บแบ๊วแตกต่างจากเมื่อกี้อย่างเห็นได้ชัด เขาดูอ่อนแอเมื่อได้อยู่กับคนที่เขารัก ผมมองไปยังนัทและกิ๊บที่ยืนกอดกันอย่างหวานชื่น สักพักผมก็ย้อนกลับมามองที่ตัวเองก็รู้ได้ทันทีเลยว่าการที่เราไม่มีคนที่รักอยู่ข้าง ๆ นั่นไม่ได้หมายความว่าในยุคซอมบี้ครองเมืองแบบนี้มันจะรู้สึกดี ลึก ๆ แล้วผมรู้สึกแย่มากที่ไม่ได้มีคู่ครองที่ตัวเองรักอยู่ข้าง ๆ และอิจฉาคนรอบข้างที่มีคนรู้ใจคอยซัปพอร์ต เป็นเหมือนกิ๊บที่คอยปกป้องนัท และนิวปกป้องฟาง ผมจะมีโอกาสได้ทำแบบนั้นบ้างหรือเปล่า…
คงยาก…
ห้องคอนโดของนิวนั้นเปรียบเสมือนเพนต์เฮาส์ขนาดเล็กที่มีสามห้องนอนแยกและสามห้องน้ำ ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ที่เรียบง่าย มีโคมไฟ
สีทองนวลที่ห้อยลงมาจาดเพดานเป็นไฟหลักของห้องที่คอยให้ความสว่างไสวของห้อง และยังมีไฟดวงสีขาวเป็นดวงที่ช่วยให้แต่ละพื้นที่สว่างขึ้น โดยรวมของห้องนั้นแบ่งเป็นสามพื้นที่หลัก ๆ โดยไม่รวมห้องนอน ได้แก่ โซนห้องครัวที่เป็นพื้นที่เล็ก ๆ สำหรับคนทำอาหารยืนคนเดียว แต่อุปกรณ์เครื่องครัวมีครบทุกอย่าง ห้องนั่งเล่นที่อยู่ถัดจากครัว มีโซฟาตัวใหญ่วางอยู่กลางห้อง มีโต๊ะหินอ่อนขาเตี้ยสีขาววางอยู่หน้าชั้นวางทีวี มีอินเตอร์เน็ตเราต์เตอร์ที่มีไฟสีเขียวส่องสว่างอยู่ภายในตัวเครื่อง นั่นหมายความว่าไฟฟ้าและอินเตอร์เน็ตยังใช้ได้ดีอยู่ โซนสุดท้ายก็คือโซนทำงาน ความจริงก่อนหน้านั้นจะเป็นโซนห้องกินข้าว แต่เขาได้เติมโต๊ะทำงานที่มีคอมพิวเตอร์แม็กวางอยู่ และชั้นหนังสือใหญ่สองชั้นวางอยู่ข้าง ๆ ที่เต็มไปด้วยดีวีดีหนังนับพันกล่องที่ไม่รู้ว่าทั้งชีวิตจะสามารถดูหมดหรือเปล่า
ในระหว่างที่ทุกคนอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฟางและกิ๊บช่วยกันเตรียมมื้อเย็น นิวเป็นพวกพ่อบ้านที่ชอบไปซูเปอร์มาร์เก็ตเพื่อซื้อกับข้าวมาทำอาหารกินเองที่คอนโด เขาบอกว่าถ้ากินอาหารตามร้านอาหารด้านนอกนั้นจะมีโซเดียมเยอะและไขมันทรานส์ที่เยอะเกินไปจะทำให้อ้วนได้ง่าย ถ้าไม่ขี้เกียจจริงเขาก็จะออกไปหาอะไรกินข้างนอก เขาไม่ยอมเรียกฟางมาทำอาหารให้กินเพราะถ้าเรียกมาแค่นี้ สู้ไปนอนค้างที่หอพักของเธอเลยดีกว่า
นิวให้ยืมเสื้อผ้าของเขาและได้รู้ว่าเสื้อผ้าของเขาส่วนใหญ่มีแต่สีดำ โดยปกติแล้วผมจะไม่ค่อยใส่สีดำเท่าไหร่ แต่ด้วยความที่ตัวเองไม่มีทางเลือกมากก็ต้องยอมเอาเสื้อยืดยูนิโคลสีดำไปใส่ เพราะเนื้อผ้าดูเบาสบายที่สุดแล้ว เขาเลือกที่จะใส่กางเกงยีนสีดำและเสื้อยืดสีดำ เขาให้เหตุผลว่าเขาต้องเตรียมพร้อมสู้เสมอ ส่วนแผลที่ถูกเล็บซอมบี้ข่วนก็ถูกฟางปฐมพยาบาลเป็นที่เรียบร้อย ระหว่างที่เธอกำลังปฐมพยาบาลอยู่นั้นเราสองคนไม่ได้คุยอะไรกันเลย เธอใส่ยาฆ่าเชื้อและยาอะไรไม่รู้ที่เป็นน้ำแดง ๆ จากนั้นเธอก็พันผ้าพันแผลปิดตาผมไว้
เมื่ออาหารเย็นเสร็จแล้ว ทุกคนอาบน้ำกันเสร็จหมด แต่ละคนเข้ามานั่งล้อมวงที่โต๊ะกินข้าวที่อยู่ในโซนทำงานของนิว อาหารเย็นวันนี้มีหมูสามชั้นผัดพริกเกลือ ผัดผักคะน้าหมูกรอบ ต้มจืดฟัก และข้าวผัด รู้ได้เลยว่ามื้อนี้อาจจะเป็นมื้อแรกและเป็นมื้อที่ดีที่สุดในโลกซอมบี้ ผมไม่รู้ว่ามื้อต่อไปจะได้กินดี ๆ แบบนี้อีกหรือเปล่า
“รออะไรล่ะ กินกันเลย” ผมพูดพร้อมตักข้าวผัดข้าวปาก ผมรู้สึกถึงเมล็ดข้าวที่หุงสุกพอดี ลิ้นของผมสามารถสัมผัสได้ถึงมันทุกเมล็ด รสชาติหวานที่ออกมาจากแคร์รอตที่ถูกหันเป็นลูกเต๋าทำให้ซีอิ๊วที่ถูกผสมลงในข้าวมีรสที่กลมกล่อมขึ้นมาทันที และยังมีเนื้อหมูย่างที่ถูกหันเป็นชิ้นเล็กที่ทำให้ยกระดับความกลมกล่อมขึ้นไปอีก
มันมีสิ่งที่ผิดปกติอย่างนึงก็คือแต่ละคนกำลังนั่งมองผมกิน
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” ผมถาม
“มึงรู้ไหมว่าทำไมเราถึงไม่ยอมกินกันสักที?” นิวถามกลับ
ผมยักไหล่เพื่อเป็นสัญญาณว่าไม่รู้
“คือประเพณีของเราน่ะ ก่อนกินข้าวพร้อมหน้ากันจะต้องมีใครสักคนนึงต้องกล่าวคำขอบคุณอาหาร ซึ่งถ้าไม่มีใครยอมกล่าวก็ต้องรอจนกว่าจะมีใครอาสาหรือตักข้าวกินเป็นคนแรก” นิวอธิบาย “นัทและกิ๊บก็เจอมาหมดแล้ว”
“ก็ได้ เราก็เคยไปโบสถ์และได้กล่าวอยู่” ผมวางช้อนส้อมและประสานมือ ทุกคนทำตาม
“ข้าแด่พระเจ้า ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้ มื้อที่ไม่รู้ว่าเราจะได้ทานอีกเมื่อไหร่ ขอบคุณกลียุคที่พระองค์ได้นำมาหาเราเพื่อพาพวกเราทั้ง…” ผมนับจำนวนว่ามีกี่คน “พวกเราทั้งห้าคนได้มาเจอกัน แต่มอบพระพรกับคาโอรินที่เราได้ทิ้งไว้ในดงของพวกผีดิบ และขอบพระคุณสำหรับอาหารมื้อนี้”
“อาเมน…”
ทุกคนหยิบช้อนส้อมขึ้นมาตักข้าวเข้าปากเมื่อพูดคำว่า ‘อาเมน’ จบ
“อากาศข้างนอกยังร้อนเหมือนเดิมเลยแฮะ” นัทพูด “ต้องอาบน้ำตั้งสองรอบแน่ะ”
“ร้อน…” ผมทวนคำ
“ใช่ร้อน” นัทถอนหายใจ “ถ้าประเทศไทยเย็นกว่านี้ก็คงจะดี”
จู่ ๆ ผมก็นึกอะไรขึ้นได้
“ปกติแล้วซอมบี้จะต้องอยู่ในสภาพอากาศที่หนาวเย็นไม่ใช่เหรอ?” ผมถาม
________________________________________________________
To Be Continue Ep.10