"พลังที่ผมได้มานั้น...มันคือพรหรือคำสาปกันแน่นะ...? แล้วผมจะใช้พลังนี้แก้ไขประเทศที่ล่มสลายนี้จะกลับเหมือนเดิมได้อย่างไร...?"
แอคชั่น,ชาย-หญิง,สะท้อนปัญหาสังคม,ไทย,เลือดสาด,พล็อตสร้างกระแส,ดราม่า,สยองขวัญ,ผี,ผจญภัย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Undead War สงครามคนเป็น"พลังที่ผมได้มานั้น...มันคือพรหรือคำสาปกันแน่นะ...? แล้วผมจะใช้พลังนี้แก้ไขประเทศที่ล่มสลายนี้จะกลับเหมือนเดิมได้อย่างไร...?"
โรคระบาดยังคงอยู่รอบๆ ตัวเรา ไม่ได้หายไปไหน หมอทุกคนตายกันไปหมดแล้ว ความหวังดับวูบจนไม่เหลือแม้แต่แสงสุดท้าย ราวกับว่าตัวเองกำลังเดินอยู่ในอุโมงค์ไร้แสงสว่างและไร้สิ้นสุด พวกซอมบี้ต่างคอยจะได้กัดกินเนื้อมนุษย์อย่างกับเครื่องจักรที่ไม่มีวันเหนื่อย ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็มีแต่พวกมันอยู่เต็มไปหมด
แต่ความหวังก็ยังไม่หมดไป เมื่อผมสามารถเอาชนะเชื้อไวรัสตัวนี้ได้ ทำให้ร่างกายของผมเกิดกลายพันธุ์และสามารถแปลงกายเป็นซอมบี้ได้ตลอดเวลา นั่นทำให้ผมวิวัฒนาการไปอีกขั้นเพื่อที่จะช่วยเหลือมวลมนุษยชาติได้
“ใช่…แล้วไง?” นิวถามกลับพร้อมกับยักไหล่
“ที่ประเทศไทยนี่มันอากาศร้อนนะ พวกมันจะมีชีวิตรอดได้ยังไง
มันแข็งแกร่งได้ขนาดนี้ทั้งในสภาพอากาศแบบนี้อะนะ?” ผมทวนความรู้
“เออว่ะ” นัททำหน้าเหวอจนเหนี่ยงโผล่ “ทำไมคิดไม่ถึงวะ”
“ตามทฤษฎีมันอาจจะเป็นเป็นไปตามนั้นก็ได้” กิ๊บแย้ง “เราก็เห็นมากับตาแล้วนี่ ขนาดสภาพอากาศบ้านเมืองเรามันร้อนขนาดนี้ แต่มันก็ยังมีชีวิตอยู่ได้ แถมแข็งแกร่งมากด้วย”
ทุกคนเงียบกันหมด เสียงแอร์ดังมาก แต่ละคนหมดสนุกกับอาหารมื้อแรกในโลกซอมบี้ทันที สีหน้าของแต่ละคนซีดบ่งบอกได้ถึงความฉิบหายทางความคิดที่เกิดขึ้นในหัว ผมไม่รู้ว่าแต่ละคนเขาคิดอะไรในหัว แต่ที่รู้ ๆ ก็คือมันไม่น่าใช่เรื่องที่ดีสักเท่าไหร่ แต่ละคนมองหน้ากันอย่างระมัดระวัง ความเงียบปกคลุมแต่ก็ถูกทดแทนด้วยเสียงแอร์ ไม่มีใครพูดอะไรออกมา ไม่มีใครกินอาหารต่อ มีแต่ใบหน้าที่ซีดเผือดของแต่ละคนที่มีคำถามอยู่ในหัวมากมาย
“หมายความว่ายังไงดีเรื่องนี้…” นิวกอดอกอย่างครุ่นคิด “นายกำลังจะบอกว่าสภาพอากาศมันมีผลกับซอมบี้งั้นเหรอ…ไม่เคยได้ยินมาก่อน”
“ซีรีส์เกาหลีซอมบี้ของเน็ตฟลิกซ์ไง” ผมพูด “เวลาอากาศร้อนมันจะตายทัน หรือไม่ก็วิ่งหาที่หลบและหลับจนกว่าอากาศจะเย็นลงหรือไม่ก็ตกกลางคืน”
“เป็นไปได้มั้ยเอ็น ทฤษฎีที่นายตั้งมาเมื่อกี้มันอาจจะยังพิสูจน์ไม่ได้” นิวหรี่ตา “แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพียงแค่เรายังไม่ได้ทดลองเท่านั้น”
“หมายความว่าไง?” ผมถาม
“อยากจะทดลองสักหน่อยมั้ยล่ะ?” นิวถามกลับ “ข้อมูลเบื้องต้น…”
จู่ ๆ ก็มีมือของใครบางคนทุบลงบนโต๊ะ เป็นฟางนั่นเอง ใบหน้าของเธอดูโกรธเกรี้ยว บรรยากาศเริ่มเปลี่ยนอย่างสัมผัสได้
“ถ้าอยากจะทดลอง พิสูจน์หรือพูดคุยเกี่ยวกับพวกซอมบี้บ้าบอล่ะก็ เชิญออกไปคุยด้านนอกเลย ตรงนี้เขาจะกินข้าวกัน ใช่มั้ยพี่กิ๊บ” กิ๊บรีบพยักหน้าโดยเร็ว
หลังจากที่ทำฟางโกรธที่แต่ละคนก็ไม่เคยเห็นมาก่อน พวกเราจัดการกินมื้อเย็นทันทีโดยที่คำถามก็ยังคงค้างคาอยู่ในหัวตลอดเวลา ระหว่างมื้อเย็นนั้นแต่ละคนเลือกที่จะเงียบมากกว่าจะพูดอะไรออกมา เป็นเพราะว่าสิ่งที่ค้างคานั้นได้ไปกลบความคิดทุกอย่างที่เกิดขึ้นจนไม่มีพื้นที่ให้คิดอย่างอื่นนอกจากปริศนาลี้ลับของซอมบี้ สุดท้ายนิวแค่พูดขึ้นมาว่า
“เดี๋ยวกินข้าวเสร็จจะพาไปดูอะไรบางอย่าง”
เมื่อกินข้าวเสร็จ ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงเย็น ผมยืนอยู่บนระเบียงที่สามารถออกไปยืนรับลมได้ สิ่งที่อยู่ด้านล่างนั้นมันอยู่ในสายตาของผม ไม่ว่าจะเป็นพวกซอมบี้ที่ตอนนี้จำนวนเริ่มลดลงแล้ว เหลือพวกนี้เพียงไม่กี่สิบตัวที่เดินไปเดินมาอยู่ทั่วบริเวณอย่างไร้จุดหมาย บางทีผมก็รู้สึกหวั่น ๆ เล็กน้อยกับพวกมัน เพราะไม่รู้ว่าตัวไหนมันเป็นยังไง แม้ว่าซอมบี้แต่ละตัวความสามารถมันเหมือนกัน ก็คือกัดทีเดียวก็ทำให้ตายและกลายเป็นพวกมันได้ ผมช่วยพวกผู้หญิงล้างจานแล้วถืออาวุธประจำกายตัวเองออกไปจากห้องพร้อมกับทุกคน พวกเราตั้งขบวนอย่างเดิมเหมือนกับตอนที่พวกเราวิ่งฝ่าดงซอมบี้เข้ามาที่นี่ พวกเราลงลิฟต์มายังชั้นที่หนึ่ง นิวพาเราเดินเลี้ยวซ้ายซึ่งจะไปเจอกับประตูที่จะพาเราไปไหนสักแห่ง ส่วนฟางยังคงอยู่เฝ้าห้อง
“หลังประตูนี้จะพาเราไปยังที่จอดรถชั้นใต้ดิน รถทุกคันที่อยู่ที่นี่สามารถใช้ได้หมดเพราะเจ้าของกลายเป็นซอมบี้หมดแล้ว” นิวบอก
“เดี๋ยวก็โดนกฎหมายข้อหาลักขโมยหรอกนิว” นัทแย้ง
“ตอนนี้กฎหมายมันใช้ได้ที่ไหนกัน ต่อให้คนใหญ่คนโตขนาดไหนมาขออาศัยกูก็ไม่รับแล้ว ปล่อยให้มันตายอยู่ท่ามกลางพวกเดียวกันนี่แหละ” นิวตอบกลับด้วยอารมณ์หงุดหงิด
“เอาน่า กูแค่พูดเล่นเฉย ๆ” นัทยักไหล่
นิวไม่สนใจ จากนั้นเข้าค่อย ๆ เปิดประตูเหล็กออก มันเป็นประตูเหล็กที่ดูหนังอึ้งพอควร และเป็นประตูที่เหมาะกับการป้องกันพวกซอมบี้ได้เป็นอย่างดี เราเดินเข้าไปข้างในโดยที่ผมเป็นคนเดินนำ ข้างในนั้นเป็นเพียงทางหนีไฟธรรมดาที่มีกลิ่นเหม็นชื้นเท่านั้น ผมพยายามเดินให้มีเสียงน้อยที่สุดเผื่อมีพวกมันรออยู่ด้านล่าง โชคดีที่มันเป็นบันได ยังพอยื้อเวลาได้อยู่แป๊บนึง ลมหายใจของผมถูกสูดเข้าออกอย่างระมัดระวังทั้ง ๆ ที่ออกซิเจนพวกนั้นเราคุ้นเคยกับพวกมันเป็นอย่างดี แต่พอมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ทุกอย่างมันวางอยู่บนเส้นด้าย
เมื่อลงบันไดมาได้ครึ่งชั้น ยังเหลืออีกครึ่ง ปลายบันไดของชั้นใต้ดินเจอประตูแบบเดียวกันปิดอยู่ ผมค่อย ๆ ย่องไปโดยที่มีพรรคพวกตามมา กิ๊บกำปืนพกไว้ในมือแน่นเหมือนกับไม่อยากให้มันหลุดจากมือไป ส่วนนัทถือมีดทำครัว ผมไม่รู้ว่าเราจะเจออะไรต่อไป จู่ ๆ เสียงฝีเท้าของใครบางคนดังขึ้น นิวเดินผ่านขบวนไปอย่างชิลล์ ๆ แถมยังส่งเสียงเท้าดังอีกด้วย เสียงนั่นสะท้อนกับกำแพงและเพดานที่แคบของทางหนีไฟจนก้อง
“นิว ทำอะไรน่ะ!” ผมทำเสียงให้เบาที่สุดแต่ทำให้นิวได้ยิน
“ก็เดินสำรวจไง” นิวตอบกับด้วยสีหน้าที่กวนตีน
“อย่าทำเสียงดังสิ”
“ทำไม?”
“เดี๋ยวพวกมันก็มาหรอก”
“ไม่ใช่ปัญหาอยู่แล้ว ยังไงเราก็ฆ่าพวกมันได้สบาย ๆ เพราะเราทำมากันแล้วไม่ใช่เหรอ?”
นัทส่ายหน้า ใช่…ที่ผ่านมาเขาไม่ได้ฆ่าซอมบี้เลยแม้แต่ตัวเดียว
“ปลอดภัยไว้ก่อนดีไหมล่ะ?”
“ก็ได้…”
ผมเคยได้ยินและประสบกับคำว่า คำพูดไม่ตรงกับการกระทำ หลังจากที่เขาพูดจบ เข้าวิ่งเข้าไปที่ประตู เขาเปิดประตูแล้วพุ่งออกไปโดยที่ไม่บอกไม่กล่าว สิ่งที่เขาทำนั้นทำให้พวกเราอีกสามคนนั้นตกใจเป็นอย่างมาก ผมตัดสินใจวิ่งออกไปโดยไม่สนใจเสียงอีกแล้ว
“โธ่เว้ย…” ผมพ่นลมหายใจออกจากจมูกก่อนที่จะสูดเข้าไปใหม่และถีบประตูออกไป พวกเราตั้งท่าตั้งรับพวกมันไว้อย่างแข็งแรงอย่างที่ไม่ได้ซ้อมกันมาก่อน แต่กลับเป็นว่าไม่มีพวกซอมบี้เลยแม้แต่ตัวเดียว นิวยืนอยู่กลางที่จอดรถที่มีรถจอดอยู่หลายคัน ส่วนใหญ่จะเป็นรถสปอร์ตที่ต่อให้ทำงานมาทั้งชีวิตก็ไม่มีวันได้ขับรถพวกนี้ได้เลย ผมรู้สึกแปลกใจว่าทำไมไม่มีซอมบี้อยู่บริเวณนี้เลย
“นี่เป็นที่จอดรถที่พวกซอมบี้ไม่มีวันเข้ามาถึงเด็ดขาด เพราะถ้าไม่มีใครพามันเข้ามา ก็ไม่สามารถเข้ามาได้” นิวพูด
“อยากพูดเซอร์เรียลให้มาก มันน่ารำคาญ” นัทบ่น “ความจริงกูก็อยากขับรถแบบนี้มานานแล้ว”
“ขับไปลุยซอมบี้กันไหมจ๊ะ ที่รัก” กิ๊บเอาหัวไปพิงไหล่แฟนหนุ่มเป็นเชิงอ้อน
“ก่อนไปก็ต้องดูกว่ามีกุญแจรถหรือเปล่า” นัทพูดอย่างจริงจัง “คนพวกนี้ส่วนใหญ่จะเอากุญแจรถติดตัวไปตลอดเวลา”
“เออ นั่นสิ…” ผมเห็นด้วย “ถ้ารถไม่มีกุญแจก็ไม่สามารถขับได้ แม้แต่สตาร์ตเครื่องยนต์ยังไม่ได้เลย”
“รถบางคันจะมีกุญแจเสียบอยู่ที่รถ บางคนก็ฝากกุญแจไว้ที่ยาม”
“ถ้ากูเป็นยาม กูจะขับไปเล่นให้พังก่อนเลย” นัทแสยะยิ้ม
“ลองคิดละกันว่าเดี๋ยวนี้สังคมเราเริ่มมีคนขี้เกียจขึ้นเป็นกอง” นิวเริ่มเข้าประเด็นที่ไม่คิดว่าจะถูกหยิบยกเอามาพูดในเวลานี้ “ขนาดสั่งอาหารยังต้องสั่งออนไลน์กันแล้วเลย ทุกอย่างมันสะดวกสบายไปหมดจนเราแทบไม่ต้องทำอะไรกันแล้ว อีกหน่อยถ้ามนุษย์ยังขี้เกียจอยู่แบบนี้ก็อาจจะกลายเป็นอย่างมนุษย์อ้วนที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เดินไปเยี่ยวยังลำบากเหมือนในเรื่องวอลล์อีก็ได้”
“สภาพแบบนั้นกูไม่เอาหรอก” กิ๊บเห็นด้วย “อ้วนแล้วเดี๋ยวไม่สวย”
“ก็ตามนั้นแหละ กูก็ไม่อยากอ้วนไปกว่านี้แล้ว” ผมเห็นด้วย
มันก็จริงที่มนุษย์เราเดี๋ยวนี้เริ่มขี้เกียจขึ้น บางคนยังขี้เกียจอ่านหนังสือให้ครบแปดบรรทัดเลย แต่มันไม่รวมผมที่เป็นคนชอบอ่านหนังสือเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว โชคดีที่อ่านเรื่องซอมบี้มาไม่น้อยจึงพอจะมีข้อมูลของพวกมัน ผมคิดว่าเรื่องราวปรากฏการณ์ซอมบี้บุกโลกแบบนี้อาจจะเป็นครั้งแรกเลยก็เป็นได้ สภาพของเมืองทั้งเมืองคงไม่ต่างจากซากปรักหักพังของเมืองเก่าแน่นอน ยุคของมนุษย์กำลังจะหมดแล้ว แต่เผ่าพันธุ์ไหนล่ะจะมาแทนที่…? มนุษย์ต่างดาวเหรอ? ไม่รู้เหมือนกันแฮะ แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ต้องมีชีวิตรอดต่อไปให้ได้
“เอาจริง ๆ เลยนะนิว” นัทพูดขึ้น “แทนที่จะพามาที่นี่ มึงพาพวกกูไปหาของกินก่อนไม่ดีกว่าเหรอ?”
“พาหนะมันก็สำหรับพวกเราเหมือนกัน หากอาหารเราหมดก็ต้องออกไปหาเพิ่มอีก จะวิ่งไปก็คงไม่มีใครอยากจะทำแบบนั้นใช่มั้ยล่ะ? แต่เราก็ต้องเริ่มตั้งอาณานิคมของเราและต้องจัดการอะไรหลาย ๆ อย่างที่สามารถป้องกันซอมบี้ให้ได้” นิวพูด “ไม่ได้อยากจะพูดให้ดูเป็นหัวหน้านะ แต่เชื่อเถอะว่าไม่มีใครสติดีที่จะรับมือกับสถานการณ์แบบนี้เท่ากูแล้ว”
ทุกคนเงียบ ไม่มีใครเถียง
หลังจากนี้พวกเรามุ่งหน้าไปเซเว่นที่อยู่ในตัวคอนโด ด้วยความที่คอนโดนี้เป็นคอนโดระดับหกดาว เซเว่นที่มาเปิดที่นี่จึงเป็นเซเว่นที่สาขาใหญ่สาขาหนึ่งเลยทีเดียว รู้สึกว่าเจ้าของคอนโดจะรู้จักกับเจ้าสัวจึงสามารถเอาเซเว่นขนาดใหญ่เข้ามาเปิดได้ โดยปกติแล้ว ในเมื่อมันเกิดเหตุการณ์ไวรัสซอมบี้แพร่กระจายไปทั่วประเทศหรือทั่วโลกแบบนี้ส่วนใหญ่เราจะมีเวลาในการเตรียมเสบียงอาหาร ผมคิดว่าอาหารในเซเว่นอาจจะโดนเอาไปหมดแล้วก็ได้
“ฟังให้ดีนะทุกคน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่าแตกตื่น ให้ตั้งสติไว้ให้อยู่” นิวพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง “ตอนนี้ต่อให้เป็นมนุษย์ด้วยกันก็ไม่สามารถไว้ใจกันได้นอกจากพวกเรากันเอง มนุษย์ต่างมีความโลภอยู่ภายใต้จิตสำนึกของตัวเองทั้งนั้น แนะนำให้ระวังตัวจะดีที่สุด”
ผมรู้งาน
“กิ๊บ ถ้านี่บอกให้ยิงใครจัดการเลยนะ” ผมพูด
“ทำไมต้องยิงคนด้วยล่ะ?” กิ๊บถาม “คนมันก็มีชีวิตเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?”
“ตอนนี้เราต้องทำทุกอย่างเพื่อความอยู่รอดของเราเอง ถ้ามันจำเป็น กูยอมกินเนื้อมนุษย์แทนอาหารทั่วไปที่กำลังนับถอยหลังรอวันหมดนี่แหละ ตอนนี้ไม่มีใครสามารถผลิตอาหารให้เราอีกแล้ว นอกจากว่าเราจะปลูกผักและเลี้ยงปศุสัตว์ขึ้นเอง”
“ปลูกผักกูพอได้ แต่เลี้ยงปศุสัตว์นี่ไม่ไหวจริง ๆ” กิ๊บทำหน้าขยะแขยง
เมื่อพวกเราถึงเซเว่น มันมีสภาพย่ำแย่สุด ๆ มีศพนับร้อยนอนตายกระจัดกระจายอยู่ทั่วบริเวณ ถ้าให้เดาน่าจะเกิดขึ้นเมื่อคนกำลังแย่งอาหารแน่นอน ข้างในมืดสนิท นิวบอกให้พวกเราใช้ไฟฉายจากมือถือสมาร์ตโฟนของแต่ละคน ซึ่งมันทำให้ผมลืมไปเลยว่าเรายังมีสมาร์ตโฟนอยู่ในมือที่สามารถติดต่อกับโลกภายนอกได้ แต่ปรากฏว่าสัญญาณโทรศัพท์นั้นไม่มีแล้ว ความจริงถ้ายังมีสัญญาณหลงเหลือแม้ว่าจะเหลืออยู่เพียงขีดเดียวก็ตาม คนแรกที่ผมอยากจะโทรไปหาก็คือพ่อกับแม่ พวกท่านตอนนี้ไม่รู้เป็นยังไงบ้าง จะยังมีชีวิตรอดอยู่หรือตายแล้ว…
จู่ ๆ ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างตกลงพื้นในเซเว่น ทำให้พวกเราหันอาวุธไปตามเสียงนั้น ข้างในนั้นมืดก็จริงแต่มันก็ไม่ได้กว้างพอที่จะมีพื้นที่ให้ใครก็ตามที่เข้ามาในนี้ก่อนเราหนีรอดออกไปได้ นิวให้สัญญาณมือเป็นเชิงให้เข้าไปพร้อมกัน เมื่อถึงจุดที่มีเสียงเกิดขึ้นนั้นกลับไม่มีใครอยู่ มีเพียงปลากระป๋องหนึ่งกระป๋องนอนอยู่ที่พื้นเท่านั้น แต่นั่นก็ยังทำให้นิวไว้ใจกับสถานการณ์ไม่ได้
“ให้กิ๊บไปยืนเฝ้าที่ประตูดีกว่า เพราะนางมีอาวุธระยะไกล” นิวพูด ซึ่งกิ๊บก็ทำตามที่บอกอย่างว่าง่าย สิ่งที่เราทำทุกอย่างนั้นล้วนแล้วเราทำด้วยความระมัดระวัง ยังไม่รวมถึงการวางเท้าในแต่ละก้าว ผมหยิบตะกร้าสีส้มที่วางล้มอยู่ข้าง ๆ ขึ้นมาแล้วเริ่มจัดการกวาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหลากยี่ห้อที่ยังคงเหลืออยู่บนชั้นวางใส่ลงในตะกร้าจนแทบไม่เหลือ ตอนนี้ผมอยากจะให้เอาเสบียงไปให้หมด ผมใช้ปากคาบมือถือไว้และส่องไฟเพื่อให้แสงสว่างเพียงเล็กน้อย คนอื่นก็ทำเช่นนั้นเหมือนกัน ส่วนกิ๊บที่ยืนเฝ้ายามอยู่ด้านนอกพยายามไม่ทำตัวให้ตัวเองเด่นจนเกินไป
พอใส่อาหารจนเต็มผมจึงเอาตะกร้ามาเพิ่ม ทีนี้ต้องเป็นพวกของสด โชคดีที่แอร์ของตู้เย็นเพิ่งปิดได้ไม่นาน จึงไม่ทำให้ของกินเน่า ผมคว้าอาหารสดหลายอย่างลงตะกร้าอย่างว่องไว ส่วนคนอื่นน่าจะไปเก็บอย่างอื่น บอกตามตรงเลยว่าไม่เคยเดินเข้าเซเว่นพร้อมอาวุธมาก่อน แม้ว่าจะมีป้ายบอกอยู่ที่น่าประตูว่าห้ามนำอาวุธเข้ามาก็ตาม เพราะเซเว่นที่เราเข้าอยู่ทุกวัน เราเข้ามาแบบไร้อาวุธ เพียงแค่มาซื้อของกินเสร็จก็จ่ายเงินแล้วเดินกลับบ้านเท่านั้น แต่วันนี้เราทำผิดกฎของร้านสะดวกซื้ออย่างมหันต์ แต่ไม่ว่าจะยังไงตอนนี้เราต้องเผชิญกับความจริงที่เราต้องทำเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง อ่า…เต็มอีกตะกร้าหนึ่งแล้ว ส่วนของผมนั้นพอแค่นี้ก่อนดีกว่า
“กูว่าพอแค่นี้ก่อนดีกว่า” ผมพูดขึ้น “แค่นี้ก็ถือว่าเราได้เสบียงเยอะมากแล้ว”
“ไม่ เราต้องเอาไปให้หมด นี่ยังไม่รวมสต๊อกที่อยู่หลังร้านอีกนะ”
นิวแย้งออกมาจากอีกฝั่ง
“กูเห็นด้วยกับนิวนะ ที่คอนโดไม่รู้ว่าใครสามารถลงมาที่นี่บ้าง กูว่าผู้รอดชีวิตที่อาศัยอยู่ในนี้คงมีเป็นร้อย” นัทเสริม “ก็ได้” ผมยอมแพ้ มันก็จริงที่ว่าจะมีคนอื่นที่สามารถลงมาเอาเสบียงที่นี่ได้ตลอดเวลา ทางที่ดีคือเราควรเอาไปให้หมดก่อนที่จะไม่เหลือให้เราในครั้งต่อไป
“เดี๋ยวกูเข้าไปดูหลังร้านหน่อยนะ เพื่อนกูคนนึงบอกว่าสต๊อกหลังร้านนั่นเยอะกว่าอีก” ว่าแล้วนัทก็เดินเข้าไปหลังร้าน ส่วนผมกับนิวที่ได้เสบียงมาเต็มตะกร้านั้นได้หิ้วมาไว้ที่หน้าร้าน ซึ่งกิ๊บที่ยืนรออยู่ถึงกับน้ำลายสอเมื่อได้เห็นของกินมาวางอยู่ตรงหน้า
“เราต้องจ่ายเงินด้วยมั้ยเนี่ย?” ผมถามขึ้น
“มีเงินติดตัวกันด้วยเหรอ?” ชายหนุ่มถามกลับด้วยสีหน้าที่เริ่มเหลืออด เมื่อเห็นดังนั้นจึงส่ายหน้า
“ไม่มี ไม่มี”
“ก็นั่นแหละ เราไม่เงินติดตัวเลยสักบาท แต่เราสามารถขนอาหารได้ตั้งขนาดนี้ เดี๋ยวนัทก็คงออกมาพร้อมกับอาหารอีกเป็นกระบุงแน่นอน” นิวยิ้มอย่างภาคภูมิใจ สักพักต่อมาเข้าก็นึกอะไรขึ้นได้ “ความจริงมันต้องออกมาขอความช่วยเหลือแล้วนา”
“นั่นสิ เห็นไปนานแล้ว ความจริงมันไม่น่าจะนานขนาดนี้” ผมเห็นด้วย
“เข้าไปดูกันเถอะ กิ๊บ ขอยืมปืนกระบอกนึงหน่อย” กิ๊บยื่นปืนพกให้นิวกระบอกนึง เขาเช็กที่ปืนดูว่าปลดเซฟตี้หรือยัง เมื่อเขามั่นใจในปืนของตัวเองว่าพร้อมใช้งานแล้ว ผมกับนิวจึงค่อย ๆ เดินเข้าไปในร้านสะดวกซื้ออีกครั้ง เราเดินแยกกันตรงช่องขนมกรุบกรอบเพื่อกระจายกำลัง เราย่องกันไปอยู่พักใหญ่ จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงโครมครามกันที่หลังร้าน พวกเราไม่รอช้า นิวพุ่งเข้าไปถีบประตูจนบานพับหัก นิวเหยียบบานประตูไว้เพื่อไม่ให้มันกระเด็นไปไกลกว่านี้แล้วจ่อปลายกระบอกปืนไปในความมืด ผมพุ่งเข้าตามนิวไป หันใบมีดไปหาใครก็ตามที่อยู่ในนั้น
ปรากฏว่าไม่มีใครอยู่ตรงนั้นเลยสักคน
จากนั้นผมได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด
“แย่แล้วมันออกจากหลังร้าน” ว่าแล้วชายหนุ่มพุ่งตัวออกไปเปิดประตูหลังร้านที่อยู่ด้านมุมห้อง พอผลักประตูออกไป มันจะทะลุไปถึงด้านหน้าคอนโด มันเป็นการออกแบบของสถาปนิกที่แปลกดี แทนที่จะเอาหน้าร้านมาตั้งหันหน้าออกแต่กลับเอาหลังร้านออก ยอมใจคนออกแบบจริง ๆ
“ระวังด้วย มันมีปืน” นิวเตือน
ผมตามหลังชายหนุ่มไปติด ๆ ข้างนอกมีซอมบี้นอนตายอยู่เป็นจำนวนมาก มันไม่ใช่ศพที่พวกเราฆ่า เพราะเลือดสีดำที่กระฉอกออกมาจากแผลของมันยังดูใหม่อยู่ นิวจัดการพวกมันที่อยู่บริเวณรอบ ๆ เพื่อไม่ให้พวกมันเข้ามาโจมตีพวกเราเวลาเผลอ ผมมองเห็นกลุ่มคนประมาณห้าคนกำลังวิ่งออกไปจากคอนโดและหายวับไปกับตา
“นัทล่ะ?” นิววิ่งเข้ามาถามพลางเช็ดเลือดด้วยเศษผ้า
“น่าจะโดนลักพาตัวไปแล้ว” ผมตอบด้วยน้ำเสียงที่กลัว ๆ
“นายเหยียบอะไรอยู่น่ะ?” ชายหนุ่มก้มลงไปมองที่ใต้เท้าและเห็นว่ามีกระดาษขนาดเอสี่เขียนอะไรบางอย่างด้วยปากกาเพอมาเน้นสีดำอยู่ ผมก็ไม่รู้ว่ามันเขียนอะไรจนกระทั่งผมเท้าออก
“ถ้าอยากได้เพื่อนคืน เอาน้ำกับอาหารและอาวุธทั้งหมดมาให้เรา ไม่งั้นเพื่อนของแกได้เป็นอาหารพวกซอมบี้แน่ ๆ พวกกูให้เวลามึงถึงสี่ทุ่มคืนนี้ เจอกันที่หน้าสยามสแควร์”
“พวกมันบ้าไปแล้ว สยามสแควร์เราเพิ่งหนีออกมาจากที่นั่นเลย
จะให้กลับไปเนี่ยนะ?” ผมบ่น
“ยังไงเราก็ต้องไป” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาด “กูกับกิ๊บไปแน่นอน แล้วนายจะไปด้วยมั้ย?”
“ก็ต้องไปสิวะ ลงเรือลำเดียวกันแล้วนี่”
“ให้มันได้อย่างนี้สิ” นิวยิ้ม “เดี๋ยวเราไปเตรียมอาวุธกัน คืนนี้ได้มีนองเลือดแน่”
__________________________________________________
To Be Continue Ep.11