"พลังที่ผมได้มานั้น...มันคือพรหรือคำสาปกันแน่นะ...? แล้วผมจะใช้พลังนี้แก้ไขประเทศที่ล่มสลายนี้จะกลับเหมือนเดิมได้อย่างไร...?"
แอคชั่น,ชาย-หญิง,สะท้อนปัญหาสังคม,ไทย,เลือดสาด,พล็อตสร้างกระแส,ดราม่า,สยองขวัญ,ผี,ผจญภัย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Undead War สงครามคนเป็น"พลังที่ผมได้มานั้น...มันคือพรหรือคำสาปกันแน่นะ...? แล้วผมจะใช้พลังนี้แก้ไขประเทศที่ล่มสลายนี้จะกลับเหมือนเดิมได้อย่างไร...?"
โรคระบาดยังคงอยู่รอบๆ ตัวเรา ไม่ได้หายไปไหน หมอทุกคนตายกันไปหมดแล้ว ความหวังดับวูบจนไม่เหลือแม้แต่แสงสุดท้าย ราวกับว่าตัวเองกำลังเดินอยู่ในอุโมงค์ไร้แสงสว่างและไร้สิ้นสุด พวกซอมบี้ต่างคอยจะได้กัดกินเนื้อมนุษย์อย่างกับเครื่องจักรที่ไม่มีวันเหนื่อย ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็มีแต่พวกมันอยู่เต็มไปหมด
แต่ความหวังก็ยังไม่หมดไป เมื่อผมสามารถเอาชนะเชื้อไวรัสตัวนี้ได้ ทำให้ร่างกายของผมเกิดกลายพันธุ์และสามารถแปลงกายเป็นซอมบี้ได้ตลอดเวลา นั่นทำให้ผมวิวัฒนาการไปอีกขั้นเพื่อที่จะช่วยเหลือมวลมนุษยชาติได้
เธออยู่ในภวังค์นิทราเป็นเวลานานจนไม่รู้ว่าวันเดือนนั้นผ่านไป
เท่าไหร่แล้ว เธอหลับไปตลอดชีวิตหรือเปล่า ไม่ก็หลับไปเป็นร้อยปี จากนั้นก็ตื่นขึ้นมาพบกับโลกที่เดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วจนเจ้าตัวเองก็ไม่สามารถตามทันได้ ทุกอย่างมันมืดไปหมด ไม่มีภาพความฝันเข้ามาในตัวเหมือนตอนที่นอนหลับในเวลากลางคืนหรือกลางวัน ซึ่งส่วนใหญ่เธอจะฝันอะไรบางอย่างที่ทำให้เธอตื่นขึ้นมาพบกับยามเช้าที่แสนสดใส ก่อนที่หายนะจะพังทลายความฝันที่สวยงามนั้นจนกลายเป็นฝันร้ายจนเธอไม่สามารถนอนหลับได้ในคืนแรก สุดท้ายเธอก็ถูกพวกแก๊งนักเลงสยามจับมาย่ำยี่ทั้งร่างกายและจิตใจจนเธออยากจะลืมความฝันที่สวยงามนั่นไปเสีย ระหว่างที่พวกมันได้กระทำชำเรากับเธออย่างทรมาน ได้แต่เพียงหวังว่าสิ่งที่เห็นและรู้สึกอาจจะเป็นความฝันที่เธอเพียงจินตนาการขึ้นมาเท่านั้นเอง
“เธอเป็นยังไงบ้าง?” เสียงใครน่ะ…? เสียงผู้ชาย พวกมันงั้นเหรอ? เดี๋ยวนะ…ฟังดูดี ๆ แล้วไม่เหมือนพวกมันเลยแม้แต่น้อย
แล้วเป็นเสียงของใครกันล่ะ
เธอไม่กล้าที่จะเปิดตามองเพื่อหาต้นตอของเสียงปริศนาที่เพิ่งได้ยินเมื่อกี้
“ทำแผลให้เสร็จหมดแล้ว ให้เธอกินยาคุมไปเม็ดนึงเพราะพวกมันกระทำเธอหนักไปเหมือนกัน ไม่รู้ว่าจะท้องหรือเปล่า แต่โชคดีที่กิ๊บมียาคุมที่เอาไว้เสริมหน้าอกตัวเองด้วยจึงไม่ต้องเสี่ยงตายออกไปหาข้างนอก” อีกเสียงนึงพูด ซึ่งมันอยู่ใกล้มาก ๆ
แต่เดี๋ยวนะ…ยาคุมงั้นเหรอ?
เธอค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา
“อ่า…” เธอคราง
“อ๊ะ…เธอฟื้นแล้ว” เสียงของเอ็นพูดขึ้น “นี่เธอ เป็นอะไรมากมั้ยครับ?”
“ใจเย็น ๆ สิเอ็น เธอเพิ่งได้สติ อย่าเพิ่งถามอะไรเธอมากเลย” นิวเตือน
“อืม…” ผมหยักหน้าอย่างว่าง่าย “แล้วนัทเป็นยังไงแล้วบ้าง”
“ตอนนี้ยังโคม่าอยู่ พวกมันซ้อมมันหนักไปจริง ๆ ส่วนพวกมันก็ยังลอยนวล แต่ตอนนี้ก็ให้ฟางดูลาดเลาบนดาดฟ้าและฝึกยิงปืนกับกิ๊บไว้แล้ว”
“พวกมันเป็นแก๊งที่โหดร้ายเอาการเลย ฉันไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน” ผมทำหน้าเศร้า พลางมองใบหน้าของหญิงสาวที่ตอนนี้มีผ้าพันแผลพันรอบศีรษะ ผ้ากอซแปะอยู่บริเวณแผลที่ซ้ำและแผลสด ซึ่งมันดูเกินกว่าผู้หญิงวัยรุ่นคนหนึ่งจะรับได้ แม้เธอจะได้สติแล้ว แต่เธอก็ยังไม่สามารถลืมตาได้เต็มที่ เพราะอาการบวมที่ตาทั้งสองข้างยังไม่ยุบ นี่ก็ผ่านมาสองวันแล้วตั้งแต่เราช่วยนัทและหญิงสาวปริศนาออกมาจากแก๊งนักเลงสยามได้ ก็ไม่มีวี่แววของพวกมันเลย นิวมีหน้าที่ตรวจดูรอบ ๆ คอนโดว่ามีอะไรที่ผิดปกติหรือเปล่าและเขามักจะกลับมาพร้อมมีดทำครัวและอาหาร โดยอ้างว่าการใช้มีดเป็นอาวุธพื้นฐานในการป้องกันตัวอาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ซึ่งในความจริงแล้วเราสามารถใช้มีดที่เขาสะสมไว้ก็ได้ แต่ก็ไม่ได้ขัดใจอะไรเขา แต่อาจจะเป็นเพราะว่ามีดพวกนั้นราคาแพงเกินไป และมันจะไม่คุ้มอย่างแน่นอนหากจะสูญเสียมันให้กับพวกซอมบี้ตัวใดตัวหนึ่ง ซึ่งนั่นอาจจะทำให้นิวตรอมใจตายยิ่งกว่าที่ได้เห็นฟางแฟนสาวของเขาตายลงต่อหน้าต่อตา ตอนนี้ผมไม่ได้ชอบเธอแล้ว เป็นเพราะว่าผมไม่ได้อยากจะไปแย่งสิ่งที่มีค่าที่สุดของนิวนั่นเอง ส่วนนัทก็ยังโคมา ฟางให้กิ๊บสอนยิงปืนให้ นี่คือสถานการณ์ที่เรายังคงเป็นอยู่ตอนนี้ ซึ่งผมกำลังกลัวอยู่เสมอว่าพวกมันจะกลับมาจัดการเราเมื่อไหร่ แต่ตอนนี้ทุกคนนั้นต่างเป็นเพื่อนกันและได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจต่อกันและกัน จึงสามารถพกอาวุธมีดเดินไปมาในห้องคอนโดได้ เมื่อวานผมบุกรุกเข้าไปที่ห้องตรงข้ามเพื่อใช้เป็นห้องส่วนตัวของตัวเอง ในห้องนั้นมีอาหารกระป๋อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเป็นปลากระป๋อง แต่การที่ผมไม่สามารถกินปลาได้ มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรเมื่อมันมาตั้งเด่อยู่ในห้องของผม ยังโชคดีหน่อยที่ยังมีแฮมกระป๋องจำนวนมากตั้งอยู่ในตู้กับข้าว ดูเหมือนว่าจะเจ้าของห้องนี่น่าจะชอบอาหารกระป๋องมาก ๆ เลย แต่มันแปลกที่ว่าเขาไม่ได้เอาอะไรไปเลย ถ้าให้เดาก็คือ เขาอาจจะออกไปทำงานแล้วตอนนี้อาจจะเป็นซอมบี้เดินอยู่ที่ไหนสักแห่ง หรือไม่ก็โดนฆ่าไปแล้ว ไม่ว่าด้วยน้ำมือของผมเองหรือน้ำมือของใคร มันไม่สำคัญว่าใครฆ่า แต่มันสำคัญตรงที่ว่า
“ขออนุญาตนะครับ…” ทุกครั้งที่ผมกลับไปที่ห้องของตัวเองมักจะพูดขออนุญาตก่อนเสมอ แม้จะรู้ตัวดีอยู่แล้วว่า ต่อให้ไม่พูดอะไร จะทำลายข้าวของในห้องนั้นมากขนาดไหนก็ตาม ก็ไม่มีเจ้าของห้องหรือใครหน้าไหนมาต่อว่าทั้งนั้น แต่ผมรู้สึกว่าเราเพิ่งออกมาจากโลกมนุษย์ที่แสนสวยงามได้ไม่นาน ต้องอาจให้มีการปรับตัวเล็กน้อย ซึ่งแต่ละคนจะใช้เวลานานเท่าไหร่ อันนี้ไม่มีใครสามารถตอบได้แม้แต่คนเดียวนอกจากตัวเอง แต่ในบางครั้งตัวเราเองก็ยังไม่สามารถตอบคำถามอะไรนั่นได้เลย
ผมเข้าไปในห้องนั้นพร้อมกับเปิดเครื่องปั่นไฟที่เจออยู่ชั้นบนสุด มันอยู่บนชั้นเพนต์เฮาส์ที่ดูจะสภาพแล้วน่าจะเป็นชั้นที่เจ้าของคอนโดเคยอาศัยอยู่อย่างแน่นอน ผมขโมยของมาหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเสบียงอาหารที่สามารถอยู่กินได้ตลอดทั้งปี ปืนพกและลูกซอง ซึ่งผมเอาไปให้กิ๊บสอนยิงจนตอนนี้ผมแทบจะใช้มันคล่องแล้ว และที่เป็นไฮไลต์ที่สุดก็จะมาอยู่ที่เครื่องปั่นไฟสองเครื่องที่ผมสามารถแบ่งให้นิวได้ ซึ่งผมแบ่งเสบียงอาหารให้กับนิวส่วนหนึ่ง ซึ่งในตอนนี้เราแทบไม่มีปัญหาเรื่องอาหารเลย เพราะพวกเราทุกคนรู้อยู่แต่ใจแล้วว่าเราสามารถมีกินอยู่ได้ตลอด ถึงแม้ว่าของมันสามารถมีวันหมด แต่เรายังสามารถปลูกขึ้นได้ ดีไม่ดีเราสามารถเพาะพันธุ์ปศุสัตว์ขึ้นมาเองก็ได้ ส่วนเรื่องพ่อแม่ ผมพยายามติดต่อกับพวกท่านอยู่หลายครั้งจนแทบจะถอดใจ ผมไม่รู้ว่าพวกท่านตายหรือยัง
ผมทิ้งตัวลงบนโซฟา หยิบรีโมตขึ้นมาเปิดเครื่องปรับอากาศ มันทำงานเป็นปกติ แต่ร่างกายของผมนั้นกลับร้อนรุ่ม ผมถอนหายใจพลางนึกถึงหญิงปริศนาที่ยังนอนอยู่อีกห้องได้เป็นอย่างดี
ทำไมเราถึงได้ช่วยเธอออกมาล่ะ…?
เราแทบไม่รู้จักเธอด้วยซ้ำ…
เป็นเพราะว่าเธอเป็นหนึ่งในเหยื่อของพวกมันงั้นเหรอ…?
ไม่ใช่
เป็นเพราะเราสงสารงั้นเหรอ…?
อันนี้ก็ยิ่งไม่ใช่เข้าไปใหญ่
แล้วอันนี้ล่ะ?
เป็นเพราะเราชอบเธอเข้างั้นเหรอ……?
ผมสะบัดหน้าอย่างแรง
ไม่ ๆ มันห่างไกลกว่านั้นเยอะ
จู่ ๆ มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ทำให้ผมหลุดจากห้วงคำถามความคิดบ้า ๆ เหล่านั้น แล้วชักมีดที่เสียบไว้กับเข็มขัดออกมาถือ ก่อนที่จะค่อย ๆ เดินไปที่ประตู เมื่อมองออกไปจากห้องโดยใช้ตาแมว เห็นฟางยืนอยู่หน้าประตู และมีท่าทีที่จะเคาะประตูอีกครั้ง แต่ผมฉวยจังหวะเปิดประตูออกก่อน ทำให้เธอตกใจเล็กน้อย เธอยิ้มให้ผม รอยยิ้มที่แสนน่ารักนั้นทำให้ผมรู้สึกร้อนรุ่มเข้าไปใหญ่ จู่ ๆ ผมก็รู้สึกได้ว่าแผลที่โดนข่วนแบบเฉียด ๆ นั้นได้เริ่มทำพิษผมเข้าเสียแล้ว ทั้ง ๆ ที่ไม่เป็นแบบนี้มาก่อน พยายามทนความเจ็บปวดนี้และสู้หน้าฟางให้ได้
“เออ…คือวันนี้จะชวนมากินข้าวเย็นด้วยน่ะ เวลาเดิม ตอนนี้นัทก็ดูเหมือนจะพ้นขีดอันตรายแล้ว ส่วนผู้หญิงอีกคนที่เอ็นช่วยมาก็รู้สึกตัวแล้ว ตอนนี้ก็อยู่ในการดูแลของฉันเองแหละ” ฟางพูดด้วยรอยยิ้มที่มองกี่ทีก็ไม่มีวันเบื่อ
“อืม…เข้าใจแล้ว เดี๋ยวถึงเวลาละเดี๋ยวเข้าไป” ผมยิ้มตอบ
เธอยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ไม่มีท่าทีว่าจะเดินออกไปไหน เธอยืนอยู่ตรงนั้นนานพอที่จะทำให้ผมเหงื่อออกได้ จากนั้นก็เข้ามากอดผมอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ผมไม่รู้ว่าจะทำตัวยังไง ทำได้เพียงตกใจกับเหตุการณ์ที่ไม่ได้คาดฝันไว้เลย แต่เธอกอดผมไม่นาน จากนั้นก็วิ่งเข้าห้องไป ทิ้งให้ผมยืนอยู่ตรงนั้น อยู่กับความเงียบ
อาหารมื้อเย็นนั้นไม่ได้มีอะไรที่หรูหรามาก เพียงแฮมกระป๋องอุ่นไมโครเวฟ ข้าวสวยที่เพิ่งหุงเสร็จใหม่ ๆ และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปคนละชาม พวกเราต่างคนต่างก็เป็นเพื่อนกัน จึงไม่เรื่องมากในส่วนของอาหารการกิน เป็นเพราะว่าในยุคสมัยของซอมบี้ ไม่ว่าอะไรเราก็ควรที่จะกินเพื่อความอยู่รอด ฟางกำลังจัดเรียงจานบนโต๊ะอย่างเป็นระเบียบ เพราะตอนนี้คงยังไม่ถึงเวลานัด แน่ล่ะ…ผมมาก่อนเวลาตั้งครึ่งชั่วโมง จึงเดินเข้าไปดูอาการของหญิงปริศนาก่อน ส่วนนิวหลับอยู่ในห้องและกิ๊บยังคงนั่งอยู่ข้าง ๆ เตียงนัทในห้องของพวกเขา
ในขณะที่ผมกำลังจะเดินเข้าไปยังห้องของหญิงปริศนา ฟางก็เดินเข้าสวนกับผมอย่างงง ๆ พร้อมทั้งเอาไหล่มากระทุ้งกับแขนผมเบา ๆ แต่นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้รับรู้ถึงอะไรบางอย่างที่เธอพยายามจะสื่อออกมา แต่ผมยังไม่สามารถรับรู้ได้ว่า เธอกำลังจะสื่อสารกับผมเรื่องอะไร เมื่อเธอเดินสวนผมไป เธอยังหันมาชำเลืองมองผมด้วยหางตาแล้วหันกลับไปทำกิจกรรมของตัวเองต่อ นั่นก็คืออ่านหนังสือ
ผมเดินเข้าไปในห้องที่หญิงสาวปริศนากำลังหลับปุ๋ยอยู่ ดูเหมือนว่าฟางจะเอาผ้าพันแผลบางส่วนออกให้แล้ว แต่ก็ยังมีผ้ากอซแปะอยู่ตามจุดต่าง ๆ ของร่างกาย สภาพร่างกายของเธอดูดีขึ้นกว่าเก่าและดูเหมือนว่าเธอพอจะมีแรงลุกออกไปนั่งกินมื้อเย็นกับพวกเราแล้ว เธอไม่รู้สึกตัวเมื่อผมเข้ามาให้ห้อง แสงสลัวจากดวงอาทิตย์ด้านนอกส่องผ่านม่านเข้ามาโดยทำให้ห้องนั้นสว่างไม่มาก ผมมองไปที่ใบหน้าของเธอ เผยให้เห็นใบหน้าอันสวยของเธอแม้ว่าจะมีรอยช้ำอยู่ก็ตาม ดวงตาของผมมองเธอเหมือนกับว่าตัวเองกำลังถูกสะกดด้วยเวทย์มนตร์อะไรบางอย่าง จนทำให้ดวงตาข้างที่โดนข่วนนั้นกระตุกเล็กน้อยแต่ถี่ยิบจนสามารถรู้สึกถึงมันได้
เธอเป็นใครกันนะ
จู่ ๆ เธอก็ลืมตาขึ้นช้า ๆ และเห็นผมที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เธอ
“ใครน่ะ!” เธอตกใจและถีบตัวเองให้ถอยห่างโดยที่ไม่ระวังหลังของตัวเองเลย แรงถีบนั้นส่งผลให้ศีรษะของเธอกระแทกเข้ากับหัวเตียง “โอ๊ย!!”
“เดี๋ยวสิ! จู่ ๆ ก็ลุกพรวดพลาดแบบนี้ได้ยังไงกันเล่า” ผมพยายามจะเข้าไปช่วยให้เธอกลับไปนอน แต่เธอกลับมองผมด้วยสายตาที่ไม่น่าไว้วางใจเท่าไหร่ นั่นแหละ เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมเป็นใคร
“ฟางอยู่ไหน?” เธอถามอย่างกลัว ๆ “แล้วแกเป็นใคร?”
“เอ๊ะ…เออ ขอโทษทีที่ไม่ได้แนะนำตัว พอดีเธอสลบไปตั้งสองวัน” ผมยิ้มและค่อย ๆ ถอยออกมาห่างจากตัวเธอพอประมาณ “ฉันชื่อเอ็น เป็นนักศึกษาคณะนิเทศ ซึ่ง…ตอนนี้เป็นนักดาบไปแล้ว ก็คิดซะว่าฉันเป็นนักดาบก็แล้วกัน ฉันช่วยเธอออกมาจากแก๊งนักเลงสยามได้และเธอถูกพวกมันทำร้ายจนปางตาย โชคดีที่ฟางสามารถปฐมพยาบาลเธอได้ เพราะเธอเคยมีประสบการณ์ด้านพยาบาลมาก่อน”
เธอมองผมโดยตาไม่กะพริบ
“ตาเธอแล้ว” ผมผายมือให้หญิงสาว
“ฉันชื่อ ฮีซุย” เธอพูดเบา ๆ “เป็นภาษาญี่ปุ่นที่แปลว่าหยก”
ผมพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ
“เป็นนักศึกษาคณะนิเทศ ภาคการแสดง ตอนนี้คงจะเป็น…ผู้ประสบภัย” ฮีซุยตอบ
ผมพยายามกลั้นขำมาก สุดท้ายก็ต้องระเบิดหัวเราะออกมาจนทำให้หญิงสาวที่ยังคงนั่งเอาผ้าห่มมาปิดครึ่งหน้ามองอย่างหงุดหงิด
“เป็นผู้ประสบภัยแล้วไงยะ?” เธอตวาดอย่างหงุดหงิดเพราะไม่ชอบให้หัวเราะตอนที่กำลังซีเรียส
“ขอโทษที ๆ พอดีหลังจากที่เจอเรื่องพวกนั้นทำให้ไม่ค่อยได้หัวเราะเท่าไหร่น่ะ” ผมยิ้มและปาดหยดน้ำตาแห่งความสุข “นี่เป็นครั้งแรกในรอบสองสามวันที่ได้หัวเราะเลยเชียวล่ะ”
“อะไรจะขนาดนั้น” ฮีชุยทำแก้มป่อง
“แล้วตอนนี้อาการของเธอเป็นยังไงบ้าง?” ผมถาม
“ก็ไม่รู้สินะ” เธอทำตากลมโตอย่างใสชื่อ
ให้ตายสิ…น่ารักชะมัดเลย…
“ก็น่าจะดีขึ้นล่ะมั้ง พลังงานก็ดูเหมือนจะกลับมาเต็มแล้วด้วย อีกทั้ง…เดี๋ยวนะ” เธอมองมาที่ผมคล้ายว่าจะพยายามจะจับผิดผมอะไรสักอย่าง เธอเอาผ้าห่มที่ผิดครึ่งหน้าลงและยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผมเล็กน้อย “ฉันจำเสียงคุณได้ ใช่ที่มานั่งเผ้าฉันที่นี่หรือเปล่าคะ?”
“มันก็ใช่อยู่หรอก เพราะฉันเป็นคนพาเธอมาที่นี่เองแหละ” ผมยิ้ม
เธอหน้าแดงก่ำเล็กน้อยก่อนที่จะชักหน้ากลับไปพร้อมดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดใบหน้าของตัวเอง
“….” เธอพึมพำอะไรบางอย่างอยู่ใต้ผ้าห่ม
“เมื่อกี้เธอพูดอะไรนะ” ผมเอียงคอทำหน้างง
“เอ้า! เอ้า! ถึงเวลากินข้าวแล้วเพื่อน” นิวเปิดประตูเข้ามาเรียกผม “ตอนนี้ทุกคนออกมากันหมดแล้วนะ ดูเหมือนว่าต้องขอแรงนายช่วยแบกนัทออกมาหน่อยแล้ว เจ้าตัวยังเดินไม่ได้เลย”
“เธอคงจะหิวมากล่ะสิ ออกไปเจอเพื่อน ๆ ของฉันกัน และจะได้ทำความรู้จักกับครอบครัวของเรากัน”
________________________________________
To Be Continue Ep.15