"พลังที่ผมได้มานั้น...มันคือพรหรือคำสาปกันแน่นะ...? แล้วผมจะใช้พลังนี้แก้ไขประเทศที่ล่มสลายนี้จะกลับเหมือนเดิมได้อย่างไร...?"
แอคชั่น,ชาย-หญิง,สะท้อนปัญหาสังคม,ไทย,เลือดสาด,พล็อตสร้างกระแส,ดราม่า,สยองขวัญ,ผี,ผจญภัย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Undead War สงครามคนเป็น"พลังที่ผมได้มานั้น...มันคือพรหรือคำสาปกันแน่นะ...? แล้วผมจะใช้พลังนี้แก้ไขประเทศที่ล่มสลายนี้จะกลับเหมือนเดิมได้อย่างไร...?"
โรคระบาดยังคงอยู่รอบๆ ตัวเรา ไม่ได้หายไปไหน หมอทุกคนตายกันไปหมดแล้ว ความหวังดับวูบจนไม่เหลือแม้แต่แสงสุดท้าย ราวกับว่าตัวเองกำลังเดินอยู่ในอุโมงค์ไร้แสงสว่างและไร้สิ้นสุด พวกซอมบี้ต่างคอยจะได้กัดกินเนื้อมนุษย์อย่างกับเครื่องจักรที่ไม่มีวันเหนื่อย ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็มีแต่พวกมันอยู่เต็มไปหมด
แต่ความหวังก็ยังไม่หมดไป เมื่อผมสามารถเอาชนะเชื้อไวรัสตัวนี้ได้ ทำให้ร่างกายของผมเกิดกลายพันธุ์และสามารถแปลงกายเป็นซอมบี้ได้ตลอดเวลา นั่นทำให้ผมวิวัฒนาการไปอีกขั้นเพื่อที่จะช่วยเหลือมวลมนุษยชาติได้
แสงสว่างจากเทียนส่องประกายไปทั่วห้อง ตอนนี้เป็นเวลาค่ำซึ่งเป็น
เวลาที่เราจะต้องปิดไฟทุกดวงและใช้เพียงแสงเทียนเพื่อความปลอดภัยต่อมนุษย์ด้วยกัน พวกเราเชื่อสุดใจเลยว่ามนุษย์ ณ ตอนนี้ได้กลายเป็นศัตรูตัวฉกาจของพวกเราเป็นที่เรียบร้อย นับจากที่มีเรื่องกันกลางสยามแควร์เมื่อไม่กี่วันก่อน บนโต๊ะอาหารมีสมาชิกรวมกันอยู่หกคน ประกอบไปด้วย นัทที่นิวอุ้มมานั่งที่เก้าอี้และให้กิ๊บที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ป้อนข้าวต้มเข้าปากก่อนที่จะกลืนลงคอไปด้วยความเจ็บปวด อาการของเขาถือว่าพ้นขีดอันตรายไปแล้ว แต่ฟางก็ไม่อยากให้นัทลุกออกมาจากเตียงเร็วขนาดนี้ แต่กิ๊บไม่ยอมที่จะมาร่วมโต๊ะอาหารโดยที่ไม่มีนัท สุดท้ายฟางจึงยอมให้นัทลุกออกมาเพียงหนเดียวเท่านั้น ถ้าอาการมันแย่ลงหรือมีเลือดซึมออกมาจากบาดแผลต้องอุ้มกลับไปที่เตียงด่วนเลย ฟางกับนิวนั่งอยู่หัวโต๊ะตรงข้ามกัน ส่วนผมนั่งอยู่ข้างฮีซุยที่ยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติง เธอดูอึดอัดที่ต้องมานั่งร่วมโต๊ะอาหารกับคนแปลกหน้าทั้งห้าคน บรรยากาศดูตึงเครียดเพราะไม่มีใครอยากจะพูดอะไรออกมาเลยสักคำ ต่างคนต่างรับประทานอาหารที่อยู่บนโต๊ะอย่างเงียบ ๆ แม้ว่าดูจากภายนอกจะไม่ค่อยตึงเครียดเท่าไหร่ แต่สายตาของกิ๊บดูไม่ค่อยไว้ใจฮีซุยเท่าไหร่ บางครั้งเธอจ้องหญิงสาวที่ผมช่วยไว้อย่างจะกินเลือดกินเนื้อจนบางครั้งทำข้าวต้มหกใส่นัทจนเขาร้องออกมาเสียงหนัก แต่โชคดีที่นิวไหวตัวทัน เขาพุ่งเข้ามาปิดปากผู้ป่วยชายเพื่อไม่ให้ส่งเสียงดังเพื่อเรียกพวกซอมบี้หรือมนุษย์เข้ามาในอาณาเขตของเรา
เราใช้คำว่า ‘อาณาเขต’ เมื่อวานเพราะว่าเรามีกันถึงหกคน ในอนาคตอาจจะมีประชากรมาเพิ่มก็ได้ แต่ก็ยังไม่ได้ตัดสินใจแน่ชัดว่าจะรับสมาชิกใหม่มาเร็ว ๆ นี้ ซึ่งฮีซุยนั้นก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของพวกเราเช่นกันโดยการโหวตและกิ๊บก็ออกเสียงโหวตเห็นด้วยแม้ว่าจะไม่เต็มใจก็ตาม เพราะฮีซุยนั้นเป็นหนึ่งในเหยื่อของแก๊งนักเลงสยามอยู่แล้ว แถมยังไม่มีที่ไปอีก จึงดีที่สุดแล้วที่เราจะรับเธอเข้ามาในกลุ่มของพวกเรา
“เราว่ามาแนะนำตัวกันดีกว่า” ผมพูดขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย “รู้สึกว่าเราจะมีสมาชิกใหม่เข้ามาในกลุ่มด้วยนี่”
“พูดเหมือนกับว่าเรามีสมาชิกกลุ่มเป็นร้อย ๆ คน” กิ๊บแซะ “มีกันอยู่แค่นี้ไม่รู้ก็ไม่รู้จะว่ายังไงกันแล้ว”
“เอาน่า” ผมยิ้มแหยะ “ในเมื่อเรารวมกันเป็นกลุ่มตัวละครหลักแบบนี้แล้ว ก็ต้องเริ่มมีอะไรเป็นทางการบ้างแล้ว”
“เริ่มจากฉันก่อนก็ได้” นิวพูดขึ้น “ชื่อ ‘นิว’ ก่อนเกิดกลียุคเป็นนักศึกษาคณะนิเทศของมหาวิทยาลัยสยาม หลังเกิดเรื่อง เป็นมือปืนและหัวหน้ากลุ่มนี้”
“ชื่อ ‘กิ๊บ’ ” กิ๊บแนะนำตัวเองก่อนที่จะป้อนข้าวต้มนัทและทำเศษข้าวต้มเลอะเป้าแฟนหนุ่ม “ก่อนหน้านี้เป็นนักศึกษาเรียนคณะเดียวกับนิว หลังเกิดเรื่องเป็นมือปืน ส่วนนี่ผัวฉัน ชื่อ ‘นัท’ เรียนคณะเดียวกัน หลังเกิดเรื่องก็เป็นแค่ตัวถ่วง”
คำพูดของกิ๊บทำให้แฟนหนุ่มถึงกับมองมาที่แฟนสาวด้วยสายตาอันน่าสงสาร
“ไม่ต้องมาเถียงเลยนะพี่นัท!” กิ๊บตวาด “ตอนที่พี่ถูกจับตัวไปรู้มั้ยว่ากิ๊บกลัวขนาดไหน! พี่ไม่แข็งแกร่งเลย!”
“พี่ขอโทษ…” นัทพูดเสียงอ่อน
“ฉันชื่อ ‘ฟาง’” ฟางปากไวตัดบททั้งสองทิ้ง “ก่อนหน้านี้เรียนคณะเดียวกับนิว ตอนนี้เป็นมือซุ่มยิง อาวุธหลักจะเป็นปืนไรเฟิลซุ่มยิง”
“ชื่อ ‘เอ็น’” ผมพูด “เมื่อก่อนเรียนคณะเดียวกับคนอื่น ตอนนี้เป็นนักดาบและหน่วยลุยระยะประชิดของกลุ่ม”
ใช่แล้ว…ก่อนหน้านี้เราได้แบ่งหน้าที่ซึ่งกันและกันเป็นที่เรียบร้อย ว่าใครทำอะไรโดยเฉพาะเรื่องการต่อสู้ พวกเราทุกคนล้วนไม่อยากจะมีสงครามกับใครทั้งนั้น แต่ในเมื่อโลกมันได้บีบบังคับเราให้เข้าสู่สงครามแห่งคนเป็นนั้นไม่สามารถคาดเดาได้ว่ามันจะสิ้นสุดเมื่อไหร่ ดีไม่ดีมันอาจจะสิ้นสุดเมื่อมนุษย์คนสุดท้ายได้ตายไปจากโลก
ความเงียบครอบคลุมพวกเราอีกครั้ง ไม่ชอบเลยบรรยากาศแบบนี้ ตึงเครียดได้ใจจริง ๆ
“ถึงตาเธอแล้วล่ะ น้องใหม่” ผมพูด ซึ่งเธอแอบสะดุ้งเล็กน้อย สมาชิกที่เหลือหยุดทานมื้อเย็นเพื่อฟังคำแนะนำตัวของสมาชิกใหม่ที่ทุกคนรู้จักแค่ชื่อ
“ชื่อ ‘ฮีซุย’…” เธอเริ่มพูดด้วยสีหน้าอันแดงก่ำ “เรียนมหาวิทยาลัยมายา คณะการแสดง ตอนนี้ก็…”
เธอเงียบไป
ผมมองสมาชิกแต่ละคนอย่างมีคำถามในหัวว่า ‘ผมควรจะทำอย่างไรต่อไปดี’ ก่อนที่จะหันไปหาเธอ
“ไม่ต้องกลัวไปหรอก เธอเป็นสมาชิกของเราแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเกร็งแล้วนะ” ผมปลอบ
“อย่าเพิ่งดีกว่าเอ็น” ฟางพูดเป็นเชิงห้าม “ฮีซุยเพิ่งเจออะไรที่กระทบจิตใจเธอเกินไป ฉันว่าปล่อยให้เธอค่อย ๆ ปรับตัวก่อนดีกว่า แต่ตอนนี้เธอก็ไม่มีอะไรที่ต้องกลัวแล้วนะฮีซุย เพราะเราเป็นเพื่อนกันแล้ว”
ใบหน้าของฮีซุยดีขึ้นเมื่อได้ยินคำว่า ‘เพื่อน’
เมื่อฮีซุยเริ่มพูดกับคนอื่นในกลุ่ม ซึ่งก็ทำให้บรรยากาศของมื้อเย็นนี้มีสีสันมากขึ้น แทนที่จะเป็นเพียงสีดำขาว ทุกคนต่างมีความสุขยิ่งขึ้นเมื่อใบหน้าอันน่ารักของหญิงสาวที่เป็นสมาชิกใหม่ของเรานั้นยิ้มออกมาด้วยความจริงใจ ความหนาวเย็นยะเยือกเมื่อสักครู่ถูกความอบอุ่นของฮีซุยละลายไปหมดแล้ว เหลือแต่เพียงรอยยิ้มที่เริ่มค่อย ๆ เกิดบนใบหน้าของทุกคน
ยกเว้นกิ๊บที่ยังคงไม่ได้แสดงปฏิกิริยาอะไรเลย
เมื่อมื้อเย็นได้ถูกรับประทานจนหมดแล้ว ฟางและกิ๊บช่วยกันล้างจาน ฮีซุยช่วยเก็บโต๊ะ ส่วนพวกผู้ชายอย่างผมและนิวเดินออกไปที่ระเบียง ปกติแล้วจะมีแสงสว่างจากตึกรามบ้านช่องส่องสว่างไปทั่วบริเวณไกลสุดลูกหูลูกตา แต่คืนนี้กลับมืดจนไม่สามารถเห็นอะไรได้เลย ซึ่งมันเป็นการดีที่จะทำให้เราสามารถสังเกตเห็นผู้บุกรุกเข้ามาบุกพวกเราได้ ผมมั่นใจได้เต็มร้อยเลยว่ามนุษย์อย่างพวกเราไม่สามารถมองเห็นในความมืดที่มืดไม่ต่างจากหลับตาได้อย่างแน่นอน ทางเดียวก็คือต้องจุดไฟเพื่อให้แสงสว่าง แต่ความผิดพลาดจะอยู่ตรงนั้นเมื่อพวกมันสร้างแสงสว่างไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม มันจะเป็นเป้าอย่างดีให้กับนักซุ่มยิงสามารถสอยมันได้อย่างง่ายดาย เพราะตอนนี้ทักษะความแม่นปืนของฟางนั้นก็พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจเป็นเพราะความที่เจ้าตัวนั้นหัวไวด้วย จึงสามารถเรียนรู้อะไรต่ออะไรได้ในเวลาอันรวดเร็ว
นิวควักบุหรี่ขึ้นมาสูบก่อนที่จะยื่นให้ผม แต่ก็ปฏิเสธไป
“รู้มั้ยว่าฉันคิดอะไรก่อนที่จะตักอาหารเข้าปากในทุก ๆ มื้อหลังจากเกิดกลียุค” เขาพ่นควันออกมากจากปากก่อนที่จะเริ่มตั้งคำถามกับผม
ผมไม่ตอบ
นิวสูดมะเร็งเข้าปอดอีกครั้งและพ่นควันออกมา มันลอยเป็นกลุ่มควันหนาก่อนที่มันจะค่อย ๆ สลายหายไปตามกาลเวลาที่มีให้มันได้ชมโลกกว้างเพียงไม่กี่วินาที
“ฉันคิดว่าเราจะต้องมีชีวิตรอดไปเพื่ออะไร” เขาพูด “ทำไมต้องมีชีวิตอยู่? ชีวิตของเรามีค่าพอที่จะได้กินข้าวจานนี้หรือเปล่า? พอกินไปแล้วชีวิตต่อจะทำอะไรอีก? จะทำอะไรที่มันคุ้มค่าพอที่จะสมควรได้กินข้าวในแต่ละมื้อ? ถ้าเป็นนาย นายจะตอบคำถามพวกนี้ยังไง?”
ตัวผมเองก็ไม่สามารถตอบบางคำถามนั้นได้ แต่เป้าหมายของผมก็คือ…
“นายอยากจะกลับไปหาพ่อแม่ตัวเองที่ยังคิดว่าจะยังอยู่ที่คอนโดของตัวเองงั้นเหรอ?” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยและไร้อารมณ์
เขาเงียบไปพักหนึ่ง
“ทำไมถึงหลอกตัวเองอย่างนั้นล่ะ?” เขาพูดประโยคนั้นออกมา
ผมมองหน้านิวที่กำลังยกมือขึ้นมาสูดมะเร็งเข้าปอดเป็นครั้งที่สาม
เขาบอกว่าผมหลอกตัวเองงั้นเหรอ?
“นายอาจจะมีคำถามในหัวว่าทำไมฉันถึงได้พูดแบบนั้นใช่มั้ย?” เขาพูดแล้วดับบุหรี่ด้วยการขยี้ก้นบุหรี่ที่รั้วระเบียงซึ่งถูกทาด้วยสีขาว หลังจากนั้นมันก็เปื้อนไส้บุหรี่จนมันกลายเป็นรอยด่างสีดำ ไม่จากหญิงสาวที่มีแต่รอยแปดเปื้อนและความบริสุทธิ์ที่ได้ถูกพลัดพราก “นายเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองมีเป้าหมายที่จะมีชีวิตจะอยู่ไปเพื่ออะไร เลยหลอกตัวเองขึ้นมาว่าจะอยู่เพื่อกลับไปหาพ่อแม่ตัวเอง ซึ่งในความเป็นจริงแล้วพ่อแม่นายอาจจะตายไปแล้วก็ได้ และไม่นายก็ฉันอาจจะฆ่าไปแล้วก็ได้”
ผมฉุน
แผลที่โดนข่วนแสบร้อนอย่างเห็นได้ชัด รอยแผลเกิดสีแดงก่ำอย่างไม่มีสาเหตุ
“หน้านายไปโดนอะไรมา?” นิวถาม “โดนข่วนหรือเปล่า? ทำไมเพิ่งมาเห็นล่ะเนี่ย?” นิวตั้งคำถามขึ้นมาหลายข้อจนทำให้ผมต้องควบคุมความโกรธและสติของตัวเองให้อยู่ เพราะว่าผมจะให้นิวรู้เรื่องที่ผมโดนข่วน แม้ว่าจะเฉียด ๆ ก็ตามไม่ได้เด็ดขาด
“เปล่า ๆ แค่น่าจะล้มไปโดนเหล็กข่วนหน้าล่ะมั้ง” ผมแก้ตัวอย่างกะทันหัน ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าคำแก้ตัวแบบนี้มันใช้ไม่ได้ทุกสถานการณ์ แต่ก็เอาเถอะ ใช้คำพูดเป็นใหญ่ไว้ก่อนแล้วถ้านิวไม่เชื่อค่อยหาหลักฐานมาโต้ทีหลัง เพราะแม้ว่าซอมบี้ตัวนั้นข่วนผมมาได้สามวันแล้ว แต่ก็ไม่มีท่าทีที่จะไม่สบายหรือกลายร่างเลยแม้แต่นิดเดียว ในทางกลับกัน มันเปรียบเสมือนยาดีที่ทำให้ผมรู้สึกแข็งแรงกว่าที่เคยเป็น ดวงตาและประสาทการได้ยินนั้นพัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จนบางทีผมสามารถได้ยินเสียงครางเบา ๆ ของพวกซอมบี้ได้ในระยะห้าร้อยเมตร ซึ่งมนุษย์ธรรมดานั้นไม่สามารถทำได้แน่นอน
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเรากันแน่…
“งั้นเหรอ?” นิวพยักหน้าอย่างเชื่อใจ “มันก็จริง เพราะรอยมันแค่ขีดเล็ก ๆ ขีดเดียว พวกมันคงทำไม่ได้หรอก ทีหลังก็อย่าซุ่มซ่ามแบบนี้อีกละกัน”
“อ่า…เข้าใจแล้ว” ผมพูด
ผมเดินกลับเข้าไปในห้อง แต่ด้วยความที่ต้องแหวกม่านก่อนจึงทำให้ไม่ทันมองคนที่ยืนอยู่หลังผ้าม่าน ทำให้ชนกับใครบางคนจนอีกฝ่ายล้มลงไปกับพื้น
“อะ! ขอโทษนะ!”
คนที่ถูกผมชนล้มนั่นก็คือฮีซุยนั่นเอง
“ฮีซุย…ขอโทษ…เป็นอะไรมั้ย? เจ็บตรงไหนหรือเปล่า?” ผมโผเข้าไปพยุงร่างของหญิงสาวขึ้นมา
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ” เธอยิ้ม “ฉันมองไม่ดูทางเอง”
“เกิดอะไรขึ้นวะ?” นิวที่ได้ยินเสียงโครมครามพุ่งเข้ามาจากระเบียงเพื่อมาดูเหตุการณ์
“ไม่มีอะไรหรอก แค่ชนฮีซุยล้มเฉย ๆ” ผมพยุงร่างของหญิงสาวให้ลุกขึ้นมา
“งั้นก็ไม่มีเป็นไร ไหน ๆ แผลของฮีซุยก็เริ่มดีขึ้นเยอะแล้ว งั้นอาทิตย์หน้าให้นายกับฮีซุยออกไปหาอาหารเพิ่มละกัน เพราะเดี๋ยวกูต้องไปหาของใช้” นิวพูด
“เอางั้นเหรอ?”
“ก็แยกกันไปดีกว่า”
“ปกติถ้าแยกกัน มันมีโอกาสเสี่ยงสูงที่จะโดนพวกซอมบี้หรือพวกนักเลงสยามฆ่าได้ง่าย ๆ เลยนะ เหมือนหนังสยองขวัญเกรดบีไง ที่ปกติแล้วคนแยกกันจะตายง่าย ๆ เสมอ”
“เอาน่า เอารถไปกันคนละคันก็ไม่มีปัญหาหรอก พวกเราต่างมีฝีมือกันหมดแล้วนี่”
“งั้นก็ได้ พรุ่งนี้ให้กิ๊บช่วยฝึกฮีซุยยิงปืนหน่อยสิ”
____________________________________________
To Be Continue Ep.16