"พลังที่ผมได้มานั้น...มันคือพรหรือคำสาปกันแน่นะ...? แล้วผมจะใช้พลังนี้แก้ไขประเทศที่ล่มสลายนี้จะกลับเหมือนเดิมได้อย่างไร...?"
แอคชั่น,ชาย-หญิง,สะท้อนปัญหาสังคม,ไทย,เลือดสาด,พล็อตสร้างกระแส,ดราม่า,สยองขวัญ,ผี,ผจญภัย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Undead War สงครามคนเป็น"พลังที่ผมได้มานั้น...มันคือพรหรือคำสาปกันแน่นะ...? แล้วผมจะใช้พลังนี้แก้ไขประเทศที่ล่มสลายนี้จะกลับเหมือนเดิมได้อย่างไร...?"
โรคระบาดยังคงอยู่รอบๆ ตัวเรา ไม่ได้หายไปไหน หมอทุกคนตายกันไปหมดแล้ว ความหวังดับวูบจนไม่เหลือแม้แต่แสงสุดท้าย ราวกับว่าตัวเองกำลังเดินอยู่ในอุโมงค์ไร้แสงสว่างและไร้สิ้นสุด พวกซอมบี้ต่างคอยจะได้กัดกินเนื้อมนุษย์อย่างกับเครื่องจักรที่ไม่มีวันเหนื่อย ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็มีแต่พวกมันอยู่เต็มไปหมด
แต่ความหวังก็ยังไม่หมดไป เมื่อผมสามารถเอาชนะเชื้อไวรัสตัวนี้ได้ ทำให้ร่างกายของผมเกิดกลายพันธุ์และสามารถแปลงกายเป็นซอมบี้ได้ตลอดเวลา นั่นทำให้ผมวิวัฒนาการไปอีกขั้นเพื่อที่จะช่วยเหลือมวลมนุษยชาติได้
ก่อนที่เหตุการณ์กลียุคนี้เกิดขึ้น ชีวิตของผมนั้นเดินทางเป็นเส้นตรงเสมอ มันเป็นชีวิตที่แสนน่าเบื่อ ตอนเช้าตื่นมาอาบน้ำอาบท่าแล้วขึ้นบีทีเอสไปเรียนที่มหาวิทยาลัย พอเรียนเสร็จก็ตรงดิ่งกลับบ้านทันที เพราะผมไม่ได้อินเรื่องของการไปไหนมาไหนหลังเลิกเรียนเลย แม้ว่ามหาวิทยาลัยจะตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับแหล่งชอปปิงทั้งหลายที่ตั้งอยู่ ณ ใจกลางกรุงเทพมหานครก็ตาม พอกลับบ้านก็จะทำอาหารกินเอง ส่วนมากจะเป็นข้าวไข่เจียวง่าย ๆ แม่สอนผมทำอาหารอยู่แค่เมนูเดียวตั้งแต่สมัยที่เรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น ทั้งชีวิตที่อยู่มาจนถึงทุกวันนี้ก็มีแต่ข้าวไข่เจียวสูตรของตัวเองนี่แหละที่ผมสามารถทำกินเองได้ทุกครั้งที่กลับมาถึงบ้านและพ่อยังรถติดอยู่กลางสยาม มันเป็นชีวิตที่แสนเหงา ไม่มีใครอยู่บ้านให้คุยด้วย กว่าพ่อและแม่จะกลับก็ดึกพอควร
ไข่ใบสุดท้ายที่ผมเอามาจากเซเว่นด้านล่างของคอนโดได้ถูกแปรรูปเป็นไข่เจียวโปะข้าวสวยร้อน ๆ กลิ่นไข่เจียวที่ใส่เครื่องเทศหลายชนิดที่ไม่คิดว่าจะสามารถใส่ลงไปได้ส่งกลิ่นหอมชวนรับประทานอยู่บนโต๊ะอาหารในห้องมืด ๆ ในความเป็นจริงผมไม่ค่อยชอบเปิดไฟเมื่ออยู่คนเดียว เพราะมันทำให้เสียค่าไฟเยอะ แต่ตอนนี้จะไม่มีบิลเรียกเก็บค่าไฟส่งมาถึงตู้ไปรษณีย์ที่อยู่ด้านล่างแน่นอน แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ผมเป็นคนที่ชอบอยู่ในความมืดซะมากกว่า มันเป็นความรู้สึกอ้างว้างเมื่อทุกอย่างสว่าง แต่เรากลับรู้สึกเดียวดาย ในบางครั้งผมได้เห็นภาพหลอนของหญิงสาวเส้นผมสีชมพู เดินไปไหนต่อไหนในสายตาของผมที่ไม่มีใครสามารถเห็นอย่างที่ผมเห็นได้เลย
‘เธอคืออดีตไปแล้ว’ ผมคิด
ก๊อก! ก๊อก!
ผมตื่นจากภวังค์ความคิดที่แสนเหม่อลอยกลับมาอยู่ในโลกแห่งความจริงเพราะเสียงเคาะประตู ผมใช้เวลาเพียงอึดใจเดียวในการตั้งสติ
แล้วจึงเดินออกไปเปิดประตูโดยที่ไม่ได้หยิบอาวุธติดมือไปด้วย เป็นเพราะว่าผมกับนิวออกสำรวจทั่วชั้นแล้วว่าไม่มีใครอาศัยอยู่ที่นี่นอกจากพวกเรา คนที่ยังอยู่นั้นส่วนใหญ่ก็กลายร่างเป็นซอมบี้กันหมดแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องระมัดระวังตัวตลอดเมื่ออยู่ที่บ้าน
ฮีซุยมายืนยิ้มอยู่หน้าประตูห้อง ใบหน้าของเธอวันนี้ดูสดใสขึ้นมากกว่าวันก่อน ๆ รอยแผลของเธอหายเป็นปลิดทิ้งแล้ว ผมยาวสีน้ำตาลอ่อนดูเปล่าประกายแข่งกับใบหน้าที่ไร้รอยแผลและผ้ากอซที่ถูกถอดออกเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ดูรวม ๆ แล้วเธอเป็นคนสวยคนหนึ่งเลยทีเดียว
“มีอะไรหรือเปล่าครับ?” ผมถาม
“ตั้งแต่วันนี้ไป จะขอมาอยู่ที่ห้องนายนะ” เธอตอบแทบจะทันทีและรวดเร็ว
“เดี๋ยวนะ ๆ” ผมแย้ง “ยังมีห้องอื่นอีกไม่ใช่เหรอ?”
“มันก็ใช่ แต่อยู่คนเดียวมันเหงานี่ แถมถ้าไปอยู่ห้องนู้นมันก็มีแต่คนมีคู่อะ ไม่อยากรู้สึกเป็นส่วนเกิน” เธอตอบโดยที่ใบหน้าของเธอเริ่มแดงก่ำ
เธอคิดอะไรอยู่กันแน่
เธอใช้คำว่าเหงามาเป็นข้ออ้างที่จะได้อยู่ห้องเดียวกับผม ซึ่งมันก็สมเหตุสมผลอยู่ตรงที่เธอเป็นเพียงผู้หญิงคนเดียวที่เพิ่งเจออะไรหนัก ๆ มาจนอยากจะมีใครสักคนมาคอยอยู่ข้าง ๆ ซึ่งนั่นมันเป็นสิ่งที่ผมเคยเจอเมื่อครั้งที่ยังอยู่กับแฟนเก่าที่ทิ้งผมไปอย่างไม่ไยดี ไม่ต่างจากขนมถุงที่ถูกกินจนหมดแล้ว เปลือกนอกก็ไม่มีความจำเป็นที่จะถูกเก็บไว้ จึงถูกโยนทิ้งจนกลายเป็นขยะไปในที่สุด
ทำไมจู่ ๆ ผมเข้าใจเธอ…
“ได้มั้ย…?” เธอถามด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนลูกแมวที่น่าสงสาร
“ถ้าไม่ได้ไม่เป็นไร เดี๋ยวไปอยู่อีกห้องก็ได้”
ว่าแล้วเธอก็เดินไปอีกห้องที่อยู่ถัดจากห้องของผม ให้ตายสิ ทำไมผมไม่ได้ตอบอะไรเธอเลย เกิดอะไรขึ้นกับเรากันแน่…แต่ความรู้สึกที่ดีแบบนี้เหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน มันเป็นความรู้สึกที่ไม่ได้ประสบพบเจอมานานมากแล้ว
ผมชอบเธองั้นเหรอ…
กรี๊ดดดดดดด!!!!
เสียงกรีดร้องนั้นดังออกมาจากห้องของฮีซุยที่เจ้าตัวเพิ่งเข้าไปเมื่อกี้ สักพักต่อมาก็ได้ยินเสียงสิ่งของหล่นลงมากระแทกพื้น ผมจึงไม่ช้า วิ่งเข้าไปที่ห้องนั่นทันที เมื่อเห็นว่าประตูมันปิดอยู่ ผมจับลูกบิดแล้วพยายามจะผลักเข้าไป แต่มันล็อก แน่ล่ะ ระบบประตูของคอนโดสมัยนี้มักจะล็อกอัตโนมัติจากข้างใน ในเมื่อเวลามันมีจำกัด เพราะไม่รู้ว่าเธอจะเจออะไรในห้องนั้นบ้าง แต่ในทางกลับกัน ห้องที่อยู่ใกล้กับห้องของพวกเรานั้นผมกับนิวเป็นคนตรวจสอบเป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว
หรือว่าเราสะเพร่าเอง!?
ในเมื่อใช้ไม้อ่อนเปิดประตูไม่ได้ ผมจึงก้าวไปด้านหลังประมาณสองก้าวก่อนที่จะรวบรวมกำลังทั้งหมดไว้ที่ต้นแขนและไหล่ จากนั้นก็ใช้แรงขาถีบส่งพุ่งเข้าไปกระแทกกับบานประตู เพียงแรงกระแทกหนึ่งทีทำให้ประตูบานหนักนั้นถึงกับหลุดออกจากบานพับกระเด็นออกไปไกลถึงสามเมตร
ผมพุ่งตัวเข้าไปหาหญิงสาวพลางมองซ้ายมองขวาเพื่อหาศัตรู
แต่สิ่งที่เจอมีเพียงฮีซุยที่ยืนอยู่กลางห้องด้วยสีหน้าที่หวาดกลัว แปลกอย่างเดียวที่รอบข้างไม่มีศัตรูเลยแม้แต่คนเดียว
“เป็นอะไรหรือเปล่า?” ผมถามอย่างกลัว ๆ “เจ็บตรงไหนมั้ย?”
“ไม่เป็นไรหรอก แต่ดูนี่สิ เค้าเจออะไรด้วยแหละ” หญิงสาวอุ้มอะไรบางอย่างอยู่ในอ้อมแขน เมื่อมาดูดี ๆ แล้ว มันคือลูกแมวนั่นเอง ขนสีขาวนวลของมันดูอ่อนนุ่มราวกับพรม ไม่รู้ว่ามันเป็นพันธุ์อะไร แต่มันดูน่ารักมากเมื่อมันนอนขดอยู่ในอ้อมแขนของฮีซุย “มันกำลังกินนมจากเต้าของแม่ แล้วจู่ ๆ ก็ชั้นหนังสือจะหล่นลงมาทับ เค้าช่วยได้แค่ตัวเดียว”
ในหน้าของเธอดูเศร้า ผมมองตามสายตาของเธอที่เป็นตัวบอกทางให้ผมมอง จากนั้นก็ได้เห็นชั้นหนังสือที่คว่ำอยู่และฟุ้งไปด้วยเม็ดฝุ่น สิ่งที่หน้าสลดใจที่สุดก็คือหางแมวสีขาวที่มีรอยเปื้อนจากขี้ฝุ่นสีดำโผล่ออกมาจากชั้นวางหนังสือ มันไม่ได้เคลื่อนไหว มันนิ่งเหมือนรูปปั้น…ที่ไร้ชีวิตชีวา
มันตายแล้ว…
โลกนี้มันโหดร้ายแม้กระทั่วสัตว์ตัวเล็ก ๆ
“มันคงเพิ่งจะคลอดลูกได้ไม่นาน โชคดีที่ตัวนี้เดินห่างแม่และพี่น้องและช่วยได้ทัน” น้ำตาเย็น ๆของหญิงสาวเริ่มไหล เธอกอดลูกแมวแน่น
ขึ้นไปอีก
ผมมองไปที่ลูกแมวสีขาวตัวเล็กนั้น ตาของมันหลับปี้ที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่น้องและแม่ของมัน ถ้าผมกับฮีซุยทิ้งมันไว้ที่นี่ สักวันมันก็จะต้องตายตามครอบครัวไป นั่นมันอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า แต่ถ้าหากเลี้ยงมันไว้ในโลกที่แสนโหดร้ายแบบนี้ ยังไงมันคงจะตายได้เข้าสักวัน มันคงทุกข์ทรมานเกินกว่าแมวตัวหนึ่งจะรับได้
“เราเลี้ยงเอาไว้แหละ” ผมพูดขึ้น
ฮีซุยหยุดร้องไห้พร้อมกับมองหน้าผมที่กำลังยิ้ม
“เอ็นจะเลี้ยงเอาไว้เหรอ?” หญิงสาวถาม
“ความจริง…เราเลี้ยงด้วยกันก็ได้นะ” ผมพูดอย่างเขิน ๆ “แบบว่า…มาอยู่ที่ห้องฉันก็ได้ เจ้าเหมียวอาจจะรู้สึกดีกว่าก็ได้ที่มีเธอดูแลมัน และฉันก็…”
“เธอก็จะดูแลฉันอีกทีงั้นเหรอ…?” หญิงสาวต่อจนจบประโยค
นั่นทำให้ผมอึ้งไปพักนึง
“ชะ…ใช่” ผมตอบ “ตามนั้นแหละ”
เราเงียบกันไปสักพัก ยังยืนอยู่จุดเดิม ไม่มีใครพูดออกมา ในห้อง
มืด ๆ มีแสงสว่างจากข้างนอกทั้งสองช่องทางแบบสลัว ๆ ทำให้ในห้องในมีเพียงความสว่างแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ และขนลูกแมวสีขาวที่ส่องสว่างอย่างเห็นได้ชัดแม้จะอยู่ภายใต้เงาเล็ก ๆ ของฮีซุย
“มาอยู่ด้วยกันนะ” ผมพูดออกไปจนได้ นั่นเป็นคำที่ผมคิดมานานหลังจากที่เคยพูดกับใครคนหนึ่งไป นั่นทำให้หัวใจผมกลับมาเป็นมนุษย์อีกครั้งหลังจากที่ตัวเองไม่ต่างจากซอมบี้ในเวลาที่ผ่านมา ก่อนจะทำให้ผมกลายร่างเป็นซอมบี้อีกหลังในเวลาต่อมา เชื่อได้เลยว่าผมจะไม่ลืมสีผมที่ยังเป็นเอกลักษณ์ของเธอได้เลย ในยามที่ผมเดินอยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลก ทุกคนที่ทำสีผมเหมือนเธอทำให้แผลที่ยังคงมีมีดแทงคาไว้อยู่นั้นเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างแสนสาหัส ผมทนอยู่แบบนั้นมานานนับปีจนมันเกิดกลียุค ซึ่งเป็นยุคที่ผมควรจะตายไปตั้งนานแล้ว แต่กลับไม่ตาย
“อื้ม!” รอยยิ้มที่แสนสดใสปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่น่ารักของเธอก่อนที่จะเข้าซุกที่อกผมโดยมีลูกแมวอยู่ในอ้อมกอด “เค้ากอดไม่ได้อะ…กอดเค้าหน่อยจิ”
“ได้สิ” ผมยิ้มก่อนที่จะยื่นมือเข้าไปกอดร่างของเธอ
“ชีวิตของเค้าก็คือชีวิตของเธอนะ” ฮีซุยซบผมมากขึ้น
“ไม่หรอก” ผมบอก
“ชีวิตของเราทั้งคู่เป็นของกันและกันต่างหาก”
______________________________________________
To Be Continue Ep.17