"พลังที่ผมได้มานั้น...มันคือพรหรือคำสาปกันแน่นะ...? แล้วผมจะใช้พลังนี้แก้ไขประเทศที่ล่มสลายนี้จะกลับเหมือนเดิมได้อย่างไร...?"
แอคชั่น,ชาย-หญิง,สะท้อนปัญหาสังคม,ไทย,เลือดสาด,พล็อตสร้างกระแส,ดราม่า,สยองขวัญ,ผี,ผจญภัย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Undead War สงครามคนเป็น"พลังที่ผมได้มานั้น...มันคือพรหรือคำสาปกันแน่นะ...? แล้วผมจะใช้พลังนี้แก้ไขประเทศที่ล่มสลายนี้จะกลับเหมือนเดิมได้อย่างไร...?"
โรคระบาดยังคงอยู่รอบๆ ตัวเรา ไม่ได้หายไปไหน หมอทุกคนตายกันไปหมดแล้ว ความหวังดับวูบจนไม่เหลือแม้แต่แสงสุดท้าย ราวกับว่าตัวเองกำลังเดินอยู่ในอุโมงค์ไร้แสงสว่างและไร้สิ้นสุด พวกซอมบี้ต่างคอยจะได้กัดกินเนื้อมนุษย์อย่างกับเครื่องจักรที่ไม่มีวันเหนื่อย ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็มีแต่พวกมันอยู่เต็มไปหมด
แต่ความหวังก็ยังไม่หมดไป เมื่อผมสามารถเอาชนะเชื้อไวรัสตัวนี้ได้ ทำให้ร่างกายของผมเกิดกลายพันธุ์และสามารถแปลงกายเป็นซอมบี้ได้ตลอดเวลา นั่นทำให้ผมวิวัฒนาการไปอีกขั้นเพื่อที่จะช่วยเหลือมวลมนุษยชาติได้
“ก็เห็น ๆ กันอยู่นี่คะที่รัก” ฮีซุยยื่นหน้าเข้ามา “ฉันแกล้งทำเป็นรักแกเพื่อจะให้แกแยกออกมาจากกลุ่มเนี่ยแหละ พอแกคนเดียวก็ตามอะไรแทบไม่ได้นอกจากขย่มกูบนเตียงเท่านั้น ให้ตายสิ มีอยู่แค่นั้นยังมีหน้ามาภูมิใจลีลาบนเตียงอีก อยากจะอ้วก”
เจ็บสัตว์…
“ว่ากันว่า อาวุธที่ร้ายกาจของผู้หญิงมีสองอย่าง เป็นสองอย่างที่มีพลังทำร้ายสูงยิ่งกว่าปืนหรือศาสตราวุธไหน ๆ เลยทีเดียว นั่นก็คือ ที่อยู่ตรงหว่างขาของพวกนางและมารยาหญิงที่ไม่จำเป็นต้องเปลืองแรง เพียงแค่พูดไม่กี่คำให้ผู้ชายหลงเชื่อแต่ถูกเชิดเป็นหุ่นกระบอกก็สำเร็จแล้ว” วินพูดอีกด้วยน้ำเสียงที่ดูถูก
ฮีซุยยิ้มเจ้าเล่ห์
“ทำไงกับไอ้นี่ดีล่ะหัวหน้า?” พลถามด้วยรอยยิ้มที่เหมือนกับตัวตลกโรคจิต ใบหน้าของมันที่ซูบผอมจนเห็นกะโหลกศีรษะที่คั่นระหว่างหูของมันได้ชัดเจน ขอบตาที่คล้ำนั้นบ่งบอกได้ถึงสุขภาพที่ย่ำแย่ของตัวของมันเอง ในแววตาของมันว่างเปล่าจนไม่สามารถเดาใจได้ออกว่ามันคิดกำลังจะทำอะไรต่อจากนี้
“ก็ตามใจมึง ไอ้พล” วินตอบอย่างมั่นใจพลางโอบไหล่แฟนสาวแพศยาของมันกระชับขึ้นก่อนที่จะก้มไปจุมพิตที่แก้มอันนุ่มนวลของเธอ…
ต่อหน้าผม “ความจริงกูอยากให้ไอ้นี่ตาย ต่อหน้าไอ้นิว”
“ไอ้นิวเอามึงตายแน่” ผมพูดข่มและถ่มน้ำตาลรดรองเท้าหนังของมันที่ไม่รู้ว่าขโมยมาจากใคร
มันผละจากฮีซุยและใช้เท้าข้างที่มีน้ำลายเปลืองเตะเข้าที่ใบหน้าของผมจัง ๆ พละพลังของมันดูมากกว่าคนปกติ นั่นทำให้ร่างกายกระเด็นไปอีกทาง ผมรู้สึกเจ็บจี๊ดที่กรามจนมารู้อีกทีว่าเลือดไหลกบปาก ให้ตายสิ
ทั้งชีวิตที่อยู่มากว่ายี่สิบปีไม่เคยเลือดไหลเยอะขนาดนี้มาก่อน สมองทำงานช้าลง สายตาเริ่มเลอะเลือน ก่อนที่ภาพจะตัดกลายเป็นสีดำ ผมเห็นฮีซุยยื่นหน้าเข้ามาหาพร้อมกับกระซิบอะไรบางอย่างที่ตอนนี้ประสาทการได้ยินของผมหยุดการได้ยินไปแล้ว
จากนั้น…ภาพทุกอย่างก็ตัดไปเป็นสีดำ…
กลิ่นสาบสางของอะไรบางลอยเข้าแตะที่จมูก เสียงหยดน้ำที่ดังก้องอยู่ในความเงียบสงบ ความมืดสนิทที่ขนาดลืมตาตื่นขึ้นจากภวังค์ยังคิดว่าตัวเองกำลังหลับตาอยู่ ราวกับว่าจะไม่มีวันเห็นแสงเดือนแสงตะวันอีกต่อไป แต่ก็ยังมีแสงสว่างราง ๆ ที่ส่องมาจากด้านบนหัวของตัวเองที่พอให้เห็นว่าร่างกายของตัวเองครบสามสิบสอง แผลที่ถูกยิงแสบราวกับถูกสาดน้ำกรดอยู่ตลอดเวลา ยามที่ขยับตัว ผมยังรู้สึกถึงลูกตะกั่วอุ่น ๆ ยังคงฝังอยู่ในแผลนั้น ตราบใดที่กระสุนยังค้างอยู่แบบนี้ ผมอาจจะตายในอีกไม่กี่นาทีก็เป็นได้ สิ่งที่ทำได้ตอนนี้ก็คืออยู่นิ่ง ๆ รอคอยความตายที่กำลังจะมาถึง
ยามที่ผมลืมตาขึ้นมา สิ่งที่ผมคิดอยู่ข้างต้นนั้นมันหลั่งไหลเข้ามาอยู่ในหัว ราวกับท่อประปาแตกเนื่องจากมีเด็กมือบอนพยายามจะเล่นซนกับมัน ลมหายใจอ่อนระทวยจนไม่สามารถหายใจทางจมูกได้ จนต้องหายใจทางปาก ผมไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ถ้าให้เดาผมน่าจะอยู่ในท่อระบายน้ำ เพราะผมรู้สึกถึงน้ำเหม็น ๆ ที่อยู่ใต้ร่าง เสื้อผ้าเปียกปอนและส่งกลิ่นเหม็นเน่า
ให้ตายสิ…เมื่อไหร่ยมทูตจะมารับตัวสักทีนะ
“ไง” เสียงหนึ่งเรียกซึ่งผมคุ้นกับเสียงนี้เป็นอย่างมาก มันเป็นทั้งดั่งเสียงจากสวรรค์และเสียงที่หลอกหลอนสั่งตรงมาจากนรก ผมมองขึ้นไปทางเสียง เห็นฮีซุยยืนมองอยู่ ผมเห็นเธอเป็นเพียงแค่เงาสีดำ เพราะว่ามองย้อนแสงขึ้นไป แต่ผมสามารถเดาได้ทันทีว่าเธอกำลังยิ้มเยาะให้กับความโง่เขลาต้องตัวเองที่หลับหูหลับไปรักคนที่ถือมือซ่อนอยู่ด้านหลัง ซึ่งเธอสามารถจะแทงผมให้ทะลุกลางหัวใจเมื่อไหร่ก็ได้
“อืม…” ผมตอบไปเพียงแค่นั้น
“อยู่ในนี้สบายมั้ย?” เธอถาม
“สบายกว่าอยู่ในหัวใจเธอละกัน” ผมตอบอย่างไม่สนใจ
“นี่…ขอถามหน่อยสิ”
“…”
“เธอรักฉันหรือเปล่า?”
“ตอบไม่ได้…”
“ทำไมล่ะ?”
“สิ่งที่เธอทำมาทั้งหมดนั้นมันหลอกลวง!” ผมขึ้นเสียงอย่างใจสลาย “หัวใจที่เน่าเฟะของมึงที่หยิบยื่นเอามาให้กู และบอกให้กูดูแลมันไม่ต่างจากชีวิตของตัวเอง แต่หัวใจอันสวยงามของมึงดันอยู่กับไอ้เด็กแว้นสารเลวนั่นอะนะ!!”
ทั้งสองเงียบ ไม่มีใครพูดต่อ
ผมเริ่มสะอื้น
“ผมรักคุณนะฮีซุย รักจนสุดหัวใจ แต่จะไม่มีอะไรจะมาเปลี่ยนแปลงความรู้สึกนี้ได้อีกแล้ว ต่อให้คุณจากไป คุณจะไม่มีวันออกไปจากความทรงจำของผมแน่นอน” ผมลุกขึ้นยื่น ความเจ็บปวดอันแสนสาหัดต้องทำให้ผมกัดฟันและรวบรวมพละกำลังที่มีให้เผชิญหน้ากับความเศร้าที่อยู่ตรงหน้า น้ำตาอาบแก้มผสมกับเลือดที่ยังค้างอยู่ตามใบหน้าไหลหยดลงพื้น
นี่สินะที่เขาเรียกว่า ร้องไห้น้ำตาไหลดั่งสายเลือด
“จะมาพูดอะไรตอนนี้” เธอพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่มีความสงสารเลยแม้แต่น้อย “รู้ตัวหรือเปล่าว่าตัวเองกำลังจะตาย”
“รู้สิ” ผมตอบ “ไม่งั้นคงจะไม่บอกความรู้สึกที่อยู่ภายในใจได้หรอก ยังมีอีกหลายคำเลยนะที่ยังไม่ได้หรอก แต่มันคงไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้วล่ะมั้ง”
“แผลที่โดนยิงน่ะ…ฉันเอาออกให้แล้ว ถ้ายังรู้สึกว่ายังมีกระสุนอยู่ในแผลล่ะก็ บอกได้เลยว่าเธอคิดไปเองทั้งนั้น”
ผมอึ้ง…แต่ไม่ได้ตอบอะไรนอกจากทำว่า “ขอบคุณนะ…”
“ไม่เป็นไร” เธอพูด “เธอจะสามารถสู้ได้สะดวกขึ้นไง”
“เธอว่าไงนะ?”
จู่ ๆ เสียงสว่างก็สาดส่องเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัวเพราะมีใครบางคนเปิดช่องของลูกกรงออก ซึ่งนั่นมันทำให้รู้ว่าท่อน้ำนี่ถูกแก๊งนักเลงสยามดัดแปลงจนมันกลายเป็นกรงขนาดใหญ่ไปแล้ว พรรคพวกของมันกว่าร้อยคนยืนเรียงรายอยู่รอบด้าน แต่มีเพียงด้านข้างเท่านั้นที่มีกำแพงกั้นอยู่ ผมเห็นวินนั่งมองผมอย่างสบายใจเฉิบ ไม่ต่างจากคนที่เข้ามาสวนสัตว์เพื่อมาดูสัตว์ป่าที่ถูกขัง ซึ่งนั่นก็เป็นผมเอง ใบหน้าของมันยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ไม่ต่างจากที่เจอกับมันเป็นครั้งแรก ฮีซุยปีนลงจากกรงและเดินเข้าไปหาแฟนหนุ่มสารเลวของเธอ ตอนนี้แสงสว่างมันมากพอที่ทำให้ผมลองเห็นรายละเอียดมากขึ้น เธอสวมเสื้อสายเดี่ยวสีดำและกางเกงขาสั้นซึ่งเผยให้เห็นต้นขาอันเรียวงาม ซึ่งนั้นเธอคนนี้แตกต่างจากฮีซุยที่ผมรู้จัก เธอแต่งหน้าไม่ต่างจากสก๊อยที่เพิ่งได้จับเครื่องสำอางเป็นครั้งแรก ใบหน้าที่ขาวโพลงเหมือนเลือกรองพื้นมาผิดเบอร์ รวมทั้งลิปสติกสีม่วงที่ประทับอยู่บนริมฝีปากที่อวบอิ่มและอายลายเนอร์บนขอบตาของเธอทำให้ดูเป็นคนละคน
“นี่มันหมายความว่ายังไงวะเนี่ย!? ไอ้วิน!!” ผมตำคอกอย่างเหลืออด
“กูแค่อยากจะทดสอบอะไรมึงหน่อยก่อนที่พวกไอ้นิวจะมา” มันพูดอย่างสบายใจเฉิบ อย่างกับว่ามันสามารถควบคุมทุกอย่างได้ “ระหว่างรอ ลูกน้องของกูคงจะเบื่อที่จะมายืนรอ กูจึงจัดโชว์พิเศษให้กับพวกลูกน้องเสียหน่อย”
มันดีดนิ้วด้วยมือขวา
กำแพงด้านขวามือของผมได้เปิดออก ผมเห็นชายคนหนึ่งเดินเข้ามาหาผม คนนี้ผมจำหน้าได้ มันคือ ‘ไรท์’ คนที่จะให้ผมไปยื่นหมูยื่นแมวเมื่อหลายวันที่ผ่านมา มันอยู่ในสภาพที่สะบัดสะบอม มันมองมาที่ผมด้วยสายตาที่ขอความน่าสงสาร อย่างที่มันไม่เคยทำมาก่อนเมื่อครั้งที่ผมเคยทำให้มัน
“อะ…เอ็น…เอ็นใช่มั้ย?” มันพูด “ขอบคุณพระเจ้า มึงต้องช่วยกูออกไปจากที่นี่นะเว่ย!”
“แล้วกูจะช่วยมึงยังไง ถ้าจะถามให้ดีกว่านั้น ทำไมกูจะต้องช่วยมึง?”
เมื่อไรท์กำลังจะขยับปาก วินก็พูดแทรกขึ้นมา
“เอาละ ลูกน้องที่น่ารักทุกคน วันนี้จะมีโชว์พิเศษระหว่างที่กูส่งหน่วยไปลากคอมันมาที่นี่แล้ว เผื่อพวกแกจะเบื่อตายกัน กูก็เลยจะให้สองคนนี้ปะทะกับซอมบี้หนึ่งร้อยตัวเลยเป็นไง!!”
พวกลูกน้องของวินส่งเสียงเฮฮากันอย่างยกใหญ่ ราวกับเป็นผู้ชมในโคลอสเซียมยังไงยังงั้น ผมรู้สึกคุ้นหน้ากับลูกน้องของมันบางคน เพราะเห็นจากในข่าวทางทีวีที่บางคนในนั้นไปก่อเรื่องจนโดนตำรวจจับเข้าคุก บางคดีเป็นข่าวครึกโครมไปทั่วจนทุกสื่อนั้นฉายข่าวนี้ลงทุกช่องทาง จนถึงทุกวันนี้พวกมันสามารถรอดจากห้องกรงได้เพราะเหตุการณ์กลียุคนี่จนไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันจะมาเข้าร่วมแก๊งนักเลงสยามได้
“ฉิบหายแล้ว…” คำพูดของไรท์เต็มไปด้วยความกลัวที่แผ่ออร่าออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“อะไรของมึงวะ?” แผลถูกยิงที่หน้าท้องเจ็บแปลบอีกครั้ง รวมถึงแผลเป็นเล็ก ๆ ที่อยู่ใต้ตาของผมอยู่ ๆ ก็เจ็บแปลบราวกับว่ามีเหล็กร้อน ๆ มาสัมผัสที่มัน ความเจ็บปวดเหล่านี้ไม่ต่างอะไรกับตกนรกทั้งเป็น ผมทรุดลงไปกับพื้นท่ามกลางเสียงเชียร์ เสียงด่า คำหยาบมากมายถาโถมเข้ามาราวกับพายุก็ไม่ปาน เสียงคำสาปแช่งให้ถึงแก่ความตายก็พุ่งเข้ามาอย่างไม่ขาดสายเช่นกัน
“ไอ้เอ็น!! มึงลุกขึ้นเร็ว!” ไรท์กระซากเสื้อของผมขึ้นจนได้ยินเสียงเสื้อขาดเล็กน้อย “มึงอยากตายหรือไงวะ!? ตอนนี้มึงกับกูก็ไม่ต่างอะไรกับผู้ร่วมชะตาเดียวกันแล้ว ซอมบี้หนึ่งร้อยตัว เราต้องฆ่ามันให้ได้คนละห้าสิบตัวถึงจะผ่านไปได้ สิ่งที่มึงต้องทำในตอนนี้ก็คือตั้งสติและสู้พวกมัน!”
ความเจ็บปวดหายไป แต่อะดรีนาลีนกลับสูบฉีดขึ้นมาแทน
ผมกัดฟันพร้อมกับลุกขึ้นยืน ความเจ็บปวดยังคงมีอยู่ แต่อะดรีนาลีนนั้นทำให้บรรเทาความเจ็บปวดให้เบาลงเพียงไม่กี่นาที นั่นก็เป็นเวลาที่ประตูเปิดออก ซอมบี้นับร้อยพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว จู่ ๆ ก็มีปืนไรเฟิลตกลงมาจากด้านบนสองกระบอก ผมกับไรท์รับไว้คนละกระบอก จากนั้นก็กราดกระสุนยิงใส่พวกมันอย่างไม่ยั้งมือ เสียงปืนดังสนั่นไปทั่วบริเวณ ทุกครั้งที่ปลายนิ้วแตะที่ไกปืน ผมมักจะเล็งเข้าที่หัวก่อนเสมอ พยายามใช้กระสุนให้น้อยที่สุด อย่างมากสองนัดต่อหนึ่งตัว ไม่งั้นกระสุนจะหมดและพวกเราจะตกที่นั่งลำบาก แม้ว่าผมกับไรท์จะเป็นศัตรูกัน แต่เมื่อได้สู้กันแบบเคียงบ่าเคียงไหล่ก็รู้สึกว่าเราน่าสามารถเข้าขากันได้ดีในอนาคต ในพริบตาเดียว ซอมบี้ก็นอนลงไปกองอยู่กับพื้นถึงยี่สิบศพ ดูจากสภาพแล้ว ไรท์ก็เป็นคนหนึ่งที่ยิงปืนแม่น ไม่ว่าพวกซอมบี้จะวิ่งเข้ามากี่ตัวเข้าก็สามารถสอยมันล่วงได้หมด แม้ว่าภายในจิตใจลึก ๆ นั้น เขาหวาดกลัวต่อสิ่งเหล่านี้เป็นอย่างมาก
จู่ ๆ กระสุนปืนไรเฟิลของผมนั้นหมดไปแล้ว จากนั้นก็มีมีดทำครัวตกลงมาจากด้านบน เมื่อมองตามขึ้นไป เห็นพลยืนอยู่พร้อมกับโบกมือทักทายไม่ต่างจากเด็กปัญญาอ่อนที่พยายามจะเยาะเย้ยผู้ใหญ่เล่น เสียงโห่ร้องของพวกลูกน้องและเสียงของวินดังโหยหวนแข่งกับเสียงปืนที่ดังสนั่นของไรท์ ซึ่งตอนนี้เราสามารถเก็บไปได้เกือบห้าสิบตัวแล้ว พวกมันเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที
“เดี๋ยวกูจะเข้าไปในระยะประชิดแล้วให้มึงยิงสกัดพวกมันให้ด้วย!” ผมสั่ง
“กระสุนกูจะหมดแล้ว!!” ไรท์ตะโกนบอก
“หนึ่งนัดต่อพวกมันหนึ่งตัว กูเชื่อว่ามึงทำได้!!” เมื่อพูดจบผมหยิบมีดที่พื้นก่อนที่จะพุ่งเข้าไปหาพวกมันอย่างไม่คิดชีวิต นี่เป็นครั้งแรกที่ผมต้องพุ่งเข้าไปหาพวกมันแบบลุยเดี่ยว เพราะส่วนใหญ่ผมจะไม่บ้าพลังขนาดนี้ แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม เพื่อความอยู่รอดของธรรมชาติมนุษย์ มนุษย์นั้นสามารถทำอะไรก็ได้เพื่อความอยู่รอดของตัวเอง ต่อให้จะต้องฆ่าคนตายก็ตาม
แต่นี่เป็นการฆ่าคนที่ตายไปแล้ว มันไม่ได้เป็นบาปอะไรนักหนาหรอก
ผมแทงเข้าที่คางทะลุไปจนถึงสมองของซอมบี้ตัวแรกก่อนที่จะกระชากมีดออกมาสุดแรง จากนั้นก็ถีบร่างของมันไปชนกับซอมบี้ตัวอื่น โชคดีที่เป็นพื้นที่แคบ พวกมันที่ไม่มีสติปัญญาแล้วก็ไม่สามารถพลิกแพลงสถานการณ์แบบนี้ได้ เสียงกระสุนเฉี่ยวผ่านศีรษะผมไปเล็กน้อย แต่ผมก้มกลบอย่างว่องไวก่อนที่จะเข้าไปรับมือกับซอมบี้อีกตัว ตอนนี้การต่อสู้ระหว่างเราสองคนกับพวกมันเริ่มแย่ลง เพราะว่าการที่แรงเข้าทะลุกะโหลกศีรษะทะลุไปจนถึงสมองและต้องกระชากออกมาในเวลาเพียงชั่วพริบตานั้นจำเป็นต้องใช้แรงเป็นอย่างมาก
เมื่อผมกระซากมีดออกมาจากศีรษะของซอมบี้ตัวหนึ่ง จู่ ๆ ซอมบี้อีกตัวนั้นกระโดดเข้ามากัดเข้าที่แขนของผมทันที!!
ผม…ตายแล้ว…งั้นหรือ?
ฟันอันแสนสกปรกของมันฝังเข้าไปในเนื้อหนังของผม เลือดพุ่งกระฉูดออกจากบาดแผลราวกับท่อประปาแตก ความเจ็บปวดแผ่ขยายอย่างทวีคูณจนไม่มีอะไรเจ็บไปกว่านี้อีกแล้ว ผมกรีดร้องโหยหวนก่อนที่พวกซอมบี้จะเข้ามารุมกินโต๊ะผม สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นทำให้พวกลูกน้องโห่ร้องอย่างสะใจ อย่างกับว่าพวกมันกำลังกระหายที่จะกลิ่นเลือดอันหอมหวานเหล่านี้
“ไอ้เอ็น!!” ไรท์ตะโกนทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจแล้วว่า ผมไม่สามารถได้ยินอยู่ดี
ไรท์เล็งปืนไปที่ซอมบี้ตัวใดตัวหนึ่ง เมื่อลั่นไกปืน สิ่งที่ออกมาจากปลายกระบอกปืนคือความว่างเปล่า กระสุนของเขาหมดแล้ว ดูจากสภาพนั้นเหลือเพียงซอมบี้ประมาณสี่สิบตัว ซึ่งพวกเราฆ่าพวกมันไปได้เกินครึ่ง มีดทำครัวตกลงมาต่อหน้าของชายหนุ่มด้วยน้ำมือของพลที่ตอนนี้หัวเราะราวกับเป็นคนบ้า ไรท์หยิบมีดขึ้นมาและพุ่งเข้าไปแทงที่หัวของพวกมัน เขาทั้งแทงและกระชากมีดออกมาจนเลือดสีดำของพวกมันพุ่งกระฉูดออกมา จู่ ๆ เขาก็โดนมือของซอมบี้ตัวหนึ่งคว้าเอาไว้ ด้วยที่พละกำลังของซอมบี้นั้นมหาศาล จึงไม่สามารถทำให้ตัวไรท์นั้นหลุดจากพันธนาการนี้ไปได้ เมื่อวินเห็นดังนั้นก็แสยะยิ้มอย่างมีชัย ฮีซุยก็เช่นกัน
“ปืนไรเฟิลสองกระบอกกับมีดทำครัวสองเล่มและคนสองคนจะไปทำอะไรซอมบี้สายลุยหนึ่งร้อยตัวได้กันเล่า พวกมึงนี่แม่งโคตรโง่เลยว่ะ!!” วินระเบิดหัวเราะออกมาอย่างสะใจ “โดยเฉพาะมึงไอ้เอ็น กูเห็นมึงที่มหาลัยฯ แล้ว มึงเป็นแค่สวะชั้นต่ำที่รอวันตายเท่านั้นล่ะวะ!!”
ไรท์ถูกซอมบี้ตัวนั้นพุ่งเข้ามากัด เขาร้องออกมาอย่างทรมาน นี่เป็นวาระสุดท้ายของเขาบนโลกใบนี้แล้ว เลือดไหลออกมาจากแผล แต่ไรท์ยังคงไม่ปล่อยมีด ยังไม่ยอมแพ้ต่อความตายก่อนที่ลมหายใจเฮือกสุดท้ายจะปล่อยออกมา เขาแทงไปที่หัวของซอมบี้และกระชากออกมาด้วยพละพลังของเขาที่มี อีกทั้งยังเหวี่ยงแขนที่ถูกกัดนั้นออกมาโดยที่ไม่สนใจว่าเนื้อหนังของเขาจะฉีกขาดออกไปมากมายเพียงใด มือของเขาที่ถูกกัดถูกเหวี่ยงไปชกเข้าที่ใบหน้าของซอมบี้ตัวหนึ่งล้มหงายหลังลงไป แต่ซอมบี้อีกนับสิบพุ่งเข้ามาอย่างไม่เกรงกลัว พวกมันไม่สนใจในสิ่งที่ชายหนุ่มได้กระทำ ไรท์ถูกพวกมันผลักจนล้ม แต่เขาไม่ยอมที่จะตายง่าย ๆ เขาทั้งถีบ แทงพวกมันโดยไม่รู้สึกเปลืองแรง เขาดิ้นรนเหมือนกับไส้เดือนที่กำลังถูกนกรุมจิก ซึ่งสภาพมันก็ไม่ได้ต่างกันมาก เขาทั้งถูกกัดที่ขาและแขนจนความเจ็บปวดนั้นเหนือกว่าความฮึดสู้ของชายหนุ่ม จากนั้นเขาจึงยอมศิโรราบให้กับความตายแต่โดยดี
เมื่อวินเห็นดังนั้นเขาก็ถอนหายใจอย่างยินดี จากนั้นเขาก็ปรบมือเหมือนเขาเพิ่งดูภาพยนตร์เรื่องเด็ดจบ รวมถึงคนอื่น ๆ ก็ปรบมือตามไปด้วย
“เป็นการแสดงที่ดีจริง ๆ เลยว่ามั้ยที่รัก” วินจับมือของฮีซุยขึ้นมาจุมพิต
“เห็นด้วยค่ะที่รัก แต่เมื่อไหร่พวกของนิวจะมาถึงเหรอคะ?” หญิงสาวถาม
“อีกไม่กี่นาทีก็จะมาถึงแล้ว การแสดงมันสั้นกว่าที่คาดเอาไว้ คงจะต้องรอกันอีกหน่อย แต่ก็นะ” วินอันหื่นกามของมันดันดื้อเข้าไปจับที่ก้นของเธอจนหญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อย แต่เธอก็ยินดีที่จะให้แฟนหนุ่มทำแบบนั้น เรียกอย่างง่าย ๆ ว่าเธอสามารถถวายตัวให้กับแฟนหนุ่มของตัวเองเลยก็ยังได้ “บางทีเราอาจจะไปพักกันที่ห้องก่อนดีมั้ย?”
ก่อนที่วินจะลุกขึ้น เขาได้ยินเสียงบางอย่างออกมาจากกรงนั่น ไม่ใช่เสียงของซอมบี้ที่กำลังเคี้ยวเนื้อกับกระดูกอย่างเอร็ดอร่อย แต่เป็นเสียงหักกระดูกที่พวกซอมบี้ไม่นานจะมีปัญญาทำแบบนั้นได้ เขาชะงักและสั่งให้พวกลูกน้องเงียบ ทุกคนมองไปที่หัวหน้าใหญ่เป็นตาเดียวพร้อมกับลุ้นว่าเขากำลังจะทำอะไรต่อ
“อะไรเหรอคะที่รัก?” หญิงสาวถาม
“ฉันได้ยินอะไรบางอย่างออกมาจากในกรง” เขาตอบอย่างระมัดระวังพร้อมทั้้งเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ
ต่อมากองซอมบี้ที่กำลังกัดกินร่างของเอ็นนั้นขยับขึ้นลงอย่างแปลกประหลาด เหมือนมีอะไรบางอย่างที่ทรงพลังกำลังต้านพวกซอมบี้อยู่ ภายในพริบตา พวกซอมบี้กระเด็นขึ้นไปบนเพดานของกรงจนทำให้กรงเหล็กนั้นงอทันที ท่ามกลางความตื่นตกใจของทุกคน มีบางอย่างกำลังลุกขึ้นมาจากกองศพของพวกซอมบี้ ร่างกายของมันเป็นสีขาวซีดแต่มีแผลเหวอะหวะอยู่ตามร่างกาย แต่ไม่กี่วินาทีมันก็ค่อยสมานแผลจนหายดี เผยให้เห็นร่างกายที่กำยำและเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ
นั่นคือ เอ็น…ใช่…นั่นแหละผม
ใบหน้าขาวซีดไม่ต่างกับพวกซอมบี้ เส้นเลือดเผยให้เห็นชัดเห็นตามใบหน้าและตามร่างกาย ขอบตาสีดำรวมถึงนัยน์ตาสีเลือด ให้ตายสิ…ผมกลายเป็นซอมบี้ไปแล้ว
__________________________________________________
To Be Continue Ep.20