"พลังที่ผมได้มานั้น...มันคือพรหรือคำสาปกันแน่นะ...? แล้วผมจะใช้พลังนี้แก้ไขประเทศที่ล่มสลายนี้จะกลับเหมือนเดิมได้อย่างไร...?"
แอคชั่น,ชาย-หญิง,สะท้อนปัญหาสังคม,ไทย,เลือดสาด,พล็อตสร้างกระแส,ดราม่า,สยองขวัญ,ผี,ผจญภัย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Undead War สงครามคนเป็น"พลังที่ผมได้มานั้น...มันคือพรหรือคำสาปกันแน่นะ...? แล้วผมจะใช้พลังนี้แก้ไขประเทศที่ล่มสลายนี้จะกลับเหมือนเดิมได้อย่างไร...?"
โรคระบาดยังคงอยู่รอบๆ ตัวเรา ไม่ได้หายไปไหน หมอทุกคนตายกันไปหมดแล้ว ความหวังดับวูบจนไม่เหลือแม้แต่แสงสุดท้าย ราวกับว่าตัวเองกำลังเดินอยู่ในอุโมงค์ไร้แสงสว่างและไร้สิ้นสุด พวกซอมบี้ต่างคอยจะได้กัดกินเนื้อมนุษย์อย่างกับเครื่องจักรที่ไม่มีวันเหนื่อย ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็มีแต่พวกมันอยู่เต็มไปหมด
แต่ความหวังก็ยังไม่หมดไป เมื่อผมสามารถเอาชนะเชื้อไวรัสตัวนี้ได้ ทำให้ร่างกายของผมเกิดกลายพันธุ์และสามารถแปลงกายเป็นซอมบี้ได้ตลอดเวลา นั่นทำให้ผมวิวัฒนาการไปอีกขั้นเพื่อที่จะช่วยเหลือมวลมนุษยชาติได้
“รีบหนีเร็วเข้า!!” เสียงหนึ่งตะโกน ฟังดูเป็นเสียงผู้ชาย เดาได้ว่าคงจะเป็นเสียงของนิว แต่เสียงมันอื้อไปหมดราวกับว่ามีใครเอาแผ่นใส ๆ มาปิดหูผมไว้
“เราจอดรถไว้ตรงไหน!?” นั่นน่าจะเป็นเสียงนัท
“ลงไปอีกชั้นก็ถึงแล้ว!” เสียงตอบดังขึ้นตามมาด้วยเสียงปืน ตอนนี้พลังซอมบี้ของผมน่าจะยังเหลือนิดเดียว เพราะผมยังได้ยินเสียงลมหายใจของพวกซอมบี้อยู่ไม่ไกลจากเรา ต่อจากนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของไทแรนดังมาแต่ไกล มันน่าแปลกใจที่ว่าพวกเราควรจะตายไปตั้งนานแล้ว แทนที่จะใช้ความเร็วที่มันสามารถเคลื่อนย้ายในพริบตามาฆ่าพวกเราทุกคนได้เพียงหมัดเดียว กลับเป็นการเดินช้า ๆ อย่างมั่นคงมาหาเรา…
มันยังไงกันแน่…
ทุกอย่างในตัวมันแม่งมีแต่ปริศนา…
รู้สึกตัวอีกทีผมก็อยู่บนหลังของคาโอรินซะแล้ว ตอนแรกผมคิดว่าตัวเองอยู่บนหลังนิวด้วยซ้ำ เพราะเส้นผมสีดำเงางามของเธอ แม้ว่าจะไม่ได้สระผมมาตั้งนานแล้วมันก็ยังเป็นประกายดั่งดวงดาว เสียงหอบของเธอจากการวิ่งหนีแบบสุดชีวิตนั้นฟังดูไพเราะ แต่ในทางกลับกันมันก็ทำให้ผมมีอารมณ์ไปชั่วขณะ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาที่จะทำแบบนั้น
ทุกคนเลี้ยวซ้ายไป ลางสังหรณ์ของผมบอกว่ามีซอมบี้สองตัวหลบอยู่
คนที่อยู่ใกล้มันที่สุดก็คือกิ๊บ!
ซึ่งเธอไม่สามารถเห็นมันทันแน่ เพียงศูนย์จุดหนึ่งเสี้ยววินาที เธอถูกกัดแน่!!
อะดรีนาลีนผมวิ่งพล่านในร่างกายอีกครั้ง ราวกับว่ามันเป็นหลอดสุดท้ายที่จะไว้ช่วยเหลือคนที่เรารัก ผมดีดตัวออกจากคาโอริน ซึ่งเกือบทำให้เธอล้มหน้าคว่ำลงไปกับพื้น จากนั้นผมชักมีดสั้นออกมา ก่อนที่จะเข้าไปประชิดกับซอมบี้ที่หลบมุมอยู่
จริง ๆ ด้วย…มีอยู่สองตัว
ท่ามกลางความตกใจของเพื่อน ทำให้แต่ละคนหยุดวิ่งทันที ก่อนที่จะเอามีดแทงขมับของซอมบี้สองตัวนั้นอย่างรวดเร็ว
“มันยังวิ่งได้นี่หว่า” นัทถอนหายใจ “แต่ก็…”
“อย่าเพิ่ง…รีบหนีก่อน” ผมตัดบทก่อนที่จะวิ่งนำทุกคนไปยังที่จอดรถ
เชื่อเถอะ ซอมบี้มันมากองรวมกันอยู่ด้านประตูหมดเลย จำนวนมันนับไม่ถ้วน แม้ว่ากระสุนปืนของเราก็มีเหลือไม่น้อย แต่เราก็ไม่อยากที่จะเสียมันไปอย่างเปล่าประโยชน์แบบนี้ ให้ตายสิ…ถ้ามีดาบทุกอย่างคงจะง่ายมากกว่านี้ เสียงตึงตังของไทแรนก็เริ่มดังเข้ามาใกล้แล้ว ผมหันไปมองด้านหลังก็เห็นเงาตะคุ่มของมันกำลังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
เอายังไงกันดีวะ…
คิดสิ…คิด…ยังพอมีทางอื่นมั้ย?
“ช่างแม่ง!! ทะลุไปทั้งแบบนี้แหละ” จู่ ๆ นิวก็พุ่งเข้าไปถีบประตูของห้างจนส่งผลให้พวกซอมบี้กระเด็นออกไปคนละทิศคนละทาง
“กูก็ต้องเอาจริงแล้วสินะ!” เขาพูดพร้อมกับดวงตาที่ส่องประกายไปด้วยเปลวเพลิง
เขาหยิบท่อนเหล็กที่พื้นที่เจอโดยบังเอิญมาฟาดหัวซอมบี้ตัวหนึ่งที่เข้ามาประชิด ก่อนที่จะหมุนตัวไปเตะก้านคออีกตัว ผมเห็นดังนั้นจึงวิ่งเข้าไปร่วมวง โชคดีที่ผมพกมีด ไม่งั้นก็คงเสียท่าให้กับมันไปแล้ว ซอมบี้ที่อยู่รอบตัวมีกันประมาณยี่สิบตัว แต่เมื่อกี้กิ๊บกับฟางยิงช่วยสนับสนุนแล้วแล้ว จำนวนของมันก็เริ่มลดลง ผมจับหัวของซอมบี้ที่ใกล้ตัวที่สุดเข้ามาก่อนที่จะแทงเข้าที่หัวจนมิดด้าม จำนวนของมันเริ่มลดลง แต่การต่อสู้ครั้งนี้ทำให้ผมเกือบลืมไทแรนไปเสียสนิท!!
ลางสังหรณ์ของผมทำงานอีกครั้ง!!
ครั้งนี้รุนแรงกว่าเมื่อกี้ ผมหันหลังไป เห็นว่าไทแรนมันเริ่มเข้าใกล้พวกเรามากขึ้นกว่าเดิม!!
“เอ็น!! ไม่ต้องไปสนใจมันแล้ว ตอนนี้เราต้องรีบขึ้นรถ!!” นิวดึงสติของผมกลับมา
ซอมบี้ที่อยู่รอบตัวเริ่มมีจำนวนน้อยลงทุกที ความอึดอัดใจมันเพิ่มขึ้นทุกทีเมื่อเสียงฝีเท้าของไทแรนมันดังเข้ามาเรื่อย ๆ ภาพของตัวมันผุดเข้ามาในหัว รวมถึงภาพตอนที่มันกำลังจะฆ่าผมด้วย ความกลัวของผมนั้นเพิ่มขึ้นทุกขณะ ร่างกายไม่ฟังคำสั่งเลย มันหยุดนิ่งอยู่กับที่ราวกับก้อนหิน ทุกคนวิ่งไปยังรถเมื่อเห็นว่าจำนวนของซอมบี้ลดลงอย่างเห็นได้ชัดและเพียงพอที่จะวิ่งฝ่าไปได้โดยที่ไม่ถูกพวกมันจับกัด
ใช่…พวกเราฝ่าพวกมันไปได้อย่างปลอดภัย
เมื่อถึงรถที่จอดไว้ทั้งสองคัน ซึ่งคันหนึ่งเป็นรถเก๋งของนิว ส่วนอีกคันเป็นรถสปอร์ตของนัท คาโอรินวิ่งเข้าไปเปิดท้ายรถเพื่อยัดของที่เอามาใส่เข้าไปโดยที่ฟางยิงสกัดพวกซอมบี้สายวิ่งที่กำลังพุ่งตรงมาทางพวกเรา ในระหว่างนั้นกิ๊บและนัทที่แยกไปยังรถอีกคันดูเหมือนจะมีปัญหา
“แย่แล้วกิ๊บ เค้าทำกุญแจรถหาย ช่วยหากันหน่อย!!” นัทเอามือกุมขมับอย่างกังวล
“แล้วตัวเองเอาไปไว้ที่ไหน?” กิ๊บถามอย่างหงุดหงิด “ทำตกไว้หรือเปล่า!?”
“มันก็น่าจะเป็นแบบนั้นว่ะ…” เหมือนกิ๊บจะรู้ตัวจึงเข้าไปคว้าแขนของแฟนหนุ่ม
“ตัวเองคิดจะทำอะไร?”
“ก็จะวิ่งไปหากุญแจรถไง…”
“นี่เห็นรถสำคัญกว่าชีวิตตัวเองอีกเหรอ?” น้ำตาของกิ๊บคลอเบ้า
“…” นัทไม่ได้พูดอะไร
“เรากำลังจะแต่งงานกันแล้วนะ รถเราสามารถเจอได้ทั่วไปตามถนนที่เราผ่าน อย่างคันนี้ตัวเองก็เจอมันระหว่างทางไม่ใช่เหรอ?” แฟนสาวพยายามโน้มน้าวพร้อมกับชูแหวนเพชรซึ่งสวมอยู่ที่นิ้วนางข้างซ้าย “ในความคิดของเค้า นัทเป็นคู่ชีวิตของเค้าแล้ว แต่เค้าสำหรับนัทมันคืออะไร? จะทำอะไร จะตัดสินใจอะไรก็คิดถึงเค้าหน่อยนะ”
“เค้าคิดถึงกิ๊บอยู่เสมอ ถึงได้เลือกรถคันนี้ไง” เขาเถียง “ถ้าไม่มีรถคันนี้ งานแต่งเราจะไปดูดีได้ยังไงกัน?”
“เค้าไม่สนใจว่างานแต่งเราจะต้องเพอร์เฟกต์ไปหมดทุกอย่าง ความจริงแค่มีอาหารกับเครื่องดื่มนิด ๆ หน่อย ๆ ก็ดีใจแล้ว นัทต้องยอมรับให้ได้นะว่าสถานการณ์แบบนี้เราไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องหน้าตาของตัวเองแล้ว เอาชีวิตตัวเองให้รอดก่อนจะดีที่สุด”
“…” ไม่มีคำพูดใด ๆ ออกจากปากนัท
“เค้ารู้นะว่าจริง ๆ แล้วนัททำเพื่อตัวเอง” กิ๊บดึงตัวแฟนหนุ่มเข้ามากอด “ทุกคนล้วนทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองอยู่แล้ว เหมือนที่เค้าไปช่วยตัวเองออกมาจากแก๊งนักเลงสยามนั่นไง นั่นก็ทำเพื่อตัวเค้าเอง แต่ในทางกลับกัน เค้าก็ทำเพื่อให้คู่ชีวิตของเค้ามีชีวิตอยู่ต่อ”
กิ๊บจับหน้าของนัทเข้ามาจุมพิตก่อนที่จะดึงออกมาแล้วมองตากัน
“เราสองคนใช้ลมหายใจเดียวกันแล้ว เค้าจะไม่มีวันปล่อยมือแน่” กิ๊บยิ้มพร้อมกับจุมพิตนัทที่หน้าผาก “เราขึ้นรถนิวและปล่อยรถคันนี้ไปเถอะ”
นัทไม่ได้พูดอะไร
ราวกับว่าเขาไม่ได้ฟังในสิ่งที่เธอพูดเลยแม้แต่คำเดียว
ฝั่งรถนิว
“ปิดประตูท้ายรถแล้ว รีบไปกันได้เลย!!” ผมตะโกน
“ที่รัก!! รีบขึ้นรถเร็ว!” นิวเรียกแฟนสาวของตัวเอง ซึ่งปอกกระสุนปืนพกของเธอกระเด็นเกลื่อนพื้นไปหมด เพราะซอมบี้เริ่มกรูเข้ามาเรื่อย ๆ รวมทั้งไทแรนที่ค่อย ๆ เดินเข้ามาอย่างสุขุมใจเย็น ราวกับว่ามันมีเวลาที่จะเล่นกับพวกเราทั้งวันทั้งคืน
จู่ ๆ นัทก็สลัดตัวเองจากกิ๊บและวิ่งเข้าไปหาพวกซอมบี้
ท่ามกลางความตกใจของทุกคน มีผมคนเดียวที่ยังพอมีสติอยู่ ผมพุ่งเข้าไปคว้าตัวนัทอย่างรวดเร็ว
“มึงปล่อยกู!!” นัทตะคอก “กูจะเข้าไปหากุญแจรถ!!”
“ไม่มีประโยชน์หรอกเว่ย!! รถนั่นแทบไม่ได้สำคัญอะไรกับมึงเลย มึงก็น่าจะเห็นที่สิ่งที่ไอ้ไทแรนบ้านั่นทำกับกูแล้วใช่มั้ยล่ะ!?” ผมพยายามดึงสติเขากลับมา “อย่าเอาชีวิตตัวเองไม่ทิ้งกับรถเลย มันไม่คุ้ม”
ผมไม่รอให้เขาตัดสินใจ จึงแบกเขาขึ้นบ่าทันที
“ไอ้เหี้ย!! มึงจะทำอะไร! ปล่อยกูลงเดี๋ยวนี้นะ!!” นัทเริ่มโมโห
“กูขอโทษละกัน ที่กูทำไปเพราะเห็นว่าเป็นเพื่อน” ผมจับนัทโยนขึ้นรถนิวไป ซึ่งนิวได้สตาร์ตเครื่องรอพร้อมออกไว้อยู่แล้ว “และอีกอย่าง ถ้ามึงขัดขืน มึงสู้แรงกูไม่ได้หรอก”
“นิว!! ไปได้เลย!” กิ๊บพูดพร้อมกับรวบตัวแฟนหนุ่มไว้
“จัดไปเลยเพื่อน!!” เขาเหยียบคันเร่งทันที
พาหนะหนึ่งเดียวของพวกเราทะยานออกไปตามลานจอดรถ ชนซอมบี้สองสามตัวจนกันชนบุบไปเล็กน้อย แต่นั่นก็ไม่ทำให้นิวปล่อยคันเร่งเลยแม้แต่มิลเดียว หลังจากนั้น รถก็พุ่งทะยานออกจากลานลอดรถของห้าง ออกสู่ถนนใหญ่ทันที แม้ว่าซอมบี้จะมีเกลื่อนถนน แต่โชคดีที่นัทเชื่อมกันชนกับรถให้หนาขึ้น จึงไม่ทำให้เครื่องยนต์เป็นอะไรเลย ตอนนี้เราอยู่เส้นบางนา เรากำลังจะออกจากตัวเมือง สู่ชนบท ระหว่างนั้นนัทที่กำลังเสียใจที่ต้องทิ้งรถคู่ใจไว้ตรงนั้น เพราะก่อนที่จะออกมา เขาเห็นไทแรนได้พังรถของเขาจนระเบิดไปต่อหน้าต่อตา หลังจากนั้นเขาก็ทำได้แต่ซุกหน้าลงบนอกกิ๊บแล้วร้องไห้ราวกับจะขาดใจตาย ส่วนแฟนสาวก็ทำได้แค่ปลอบใจอยู่รวมทั้งลูบศีรษะแฟนหนุ่มเพื่อให้รู้สึกดีขึ้น
“ไม่ต้องเสียใจไปนะ สิ่งที่ล้ำค่ามากกว่ารถน่ะ อยู่ตรงหน้าเธอแล้วไง” เธอปลอบคนรัก
สุดท้ายแล้วสิ่งของที่ล้ำค่ามากกว่า ก็ไม่ใช่สิ่งใด นอกจากคนที่เราเคียงข้างกันเสมอ
ผมนั่งอยู่ข้าง ๆ คู่นี้ โดยที่ไม่รู้ว่าคาโอรินกำลังนั่งอยู่บนตักผม
ดูเหมือนเธอจะยังไม่รู้ตัว แต่จะไล่ให้ไปนั่งบนเบาะดี ๆ ก็ไม่ได้เพราะตอนนี้ที่มันเต็มไปหมดแล้ว อีกอย่าง ๆ คาโอรินถ้ามองดี ๆ เธอก็เป็นผู้หญิงที่น่ารักคนหนึ่งเลยทีเดียว แต่ทำไมจู่ ๆ หัวใจของผมมันเต้นแรงขนาดนี้นะ…ไม่ได้รู้สึกแบบนี้ตั้งแต่คบกับฮีซุยแล้ว…จู่ ๆ คาโอรินก็ทิ้งตัว เอนหลังมาหาผมจนสะโพกของเธอเสียดสีกับน้องเอ็นของผม…
ใจเย็น ๆ เราจะให้ความหงี่ครอบงำไม่ได้…
“ทำไมเธอหัวใจเต้นแรงขนาดนั้นเนี่ย?” หญิงสาวถาม
“แค่วิ่งมาเหนื่อยแค่นั้นแหละ แต่ขอโทษนะ ช่วยไม่เอนมาได้มั้ย กระดูกซี่โครงยังไม่เข้าที่เลย” ผมยิ้มแหย ๆ
“อุ้ย! ขอโทษนะ” เธอยกตัวขึ้น หลังจากนั้นทำให้ผมรู้ว่า การพูดไปแบบนั้นมันเป็นการตัดสินใจที่ผิดเอามาก ๆ สะโพกของเธอเสียดสีกับท่อนน้องเอ็นอีกครั้ง สุดท้ายแล้วน้องขึ้นตื่นมาจนได้…แต่เธอก็ดูไม่ได้รู้สึกถึงน้องเลยแม้แต่นิดเดียว ซึ่งมันก็น่าจะเป็นสัญญาณที่ดีที่ยังคงความสัมพันธ์แบบ ‘เพื่อน’ แบบนี้ต่อไปสินะ…
เวลาผ่านไปไม่ได้นาน เราก็มีถึงหมู่บ้านพฤกษาซึ่งเป็นหมู่บ้านที่กิ๊บอาศัยอยู่ แม้ว่าหมู่บ้านของเธอจะมีซอมบี้เดินกันยั้วเยี้ยไปหมด แต่สุดท้ายแล้วผมก็ต้องเดินลงไปให้ซอมบี้กัดสักตัวหนึ่งก่อนที่จะกลายร่าง จากนั้นก็ค่อยล้างบางพวกมันให้หมดไปจากพื้นที่ ยังดีที่ผมยังมีดาบสำรองเก็บไว้ในรถ การล้างบางซอมบี้ทีละตัว ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่เห็น ตอนนี้ซอมบี้มันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เพราะว่ากลุ่มของพวกเราแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ กาลเวลามันผ่านไปมากเท่าไหร่ ถ้ายิ่งเรามีประสบการณ์มากขึ้น ความแข็งแกร่งก็จะยิ่งตามไปด้วยเช่นกัน จากที่ผมไม่เคยต่อสู้เลย แต่เมื่อพอสถานการณ์มันบีบบังคับให้ผมสู้ ผมไม่ใช่พระเอกนิยายที่ความคิดทั้งหมดมีแต่ความปรานี สู้ใครไม่ได้ ต้องคอยพึ่งพระรองที่แข็งแกร่งกว่าเสมอ
ไม่ใช่…ผมไม่ใช่คนแบบนั้นตั้งแต่ผมได้เจอกับซอมบี้ตัวแรกที่กัดอาจารย์โต๋งไป เหตุการณ์นั้นทำให้ผมต้องเปลี่ยนตัวเองใหม่และแข็งแกร่งกว่าเดิมเพื่อที่จะเอาชีวิตรอด เพื่อฟาง… ความจริงเมื่อผมรู้ว่าฟางไม่อาจจะสานความสัมพันธ์ไปมากกว่าเพื่อนได้แล้วนั้น ผมจึงไม่รู้ว่าตัวเองจะมีชีวิตต่อไปเพื่ออะไร แต่พอนึกถึงพ่อแม่ ก็ทำให้ตัวเองมีเป้าหมายมากยิ่งขึ้น พอฮีซุยเข้ามาในชีวิต มันทำให้เห็นว่าผมต้องพยายามมากขึ้นกว่าเดิมเพื่อจะปกป้องคนที่กุมหัวใจของผม แต่สุดท้ายแล้ว หัวใจที่อยู่ในมือของเธอก็ถูกขยี้เละจนไม่มีชิ้นดี…
เมื่อผมจัดการตัวสุดท้ายเสร็จแล้ว ผมเดินกลับมาที่บ้านของกิ๊บที่ตั้งอยู่ตรงหัวมุมซอยห้า ดูจะทรงแล้วทั้งหมู่บ้านจะร้างไปเรียบร้อยแล้ว ผมสำรวจดูบ้านแต่ละหลังไปเรื่อย ๆ ผมได้อาหารกระป๋องมามากมาย โชคดีที่พลังซอมบี้ยังไม่หมด จึงสามารถขนของได้มากกว่ามนุษย์ธรรมดาทั่วไป บ้านอีกหลังดูสภาพดีที่สุดในซอย เมื่อเดินเข้าไปก็พบว่ามีศพมนุษย์และซอมบี้เกลื่อนไปหมด ทั้งบ้านมีกลิ่นสาบเลือด น้ำหนอง และน้ำไขกระดูก จนไม่น่าเชื่อว่าบ้านที่ภายนอกดูสะอาดสะอ้านแต่ภายในตัวบ้านนั้นโสโครกไม่มีชิ้นดี
แม้ว่ากลิ่นพวกนั้นมันไม่พึงประสงค์เท่าไหร่ อย่างน้อยถ้ามันถูกทำความสะอาด มันก็จะเป็นบ้านที่น่าอยู่หลังนึงเลยทีเดียว แม้ว่าโครงสร้างและการออกแบบของบ้านมันแทบคล้ายกับบ้านทุกหลังในหมู่บ้าน บางบ้านก็ต่อเติมนู้นนี่บ้างเล็กน้อยเพื่อสร้างความแตกต่างและเพื่อให้มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง
ซึ่งไม่ต่างจากมนุษย์เราที่ต้องการจะแตกต่างจากคนอื่น
ผมมองเข้าไปในบ้านอยู่ได้ชั่วครู่ก่อนจะเดินกลับไปยังบ้านกิ๊บ ตอนนี้ทุกคนตัดสินใจที่จะเลือกบ้านของตัวเอง นัทอยู่กับกิ๊บที่บ้านของเธอ ส่วนนิวเลือกบ้านข้าง ๆ ซึ่งตัดสินใจที่จะอยู่กับฟาง ส่วนคาโอรินเลือกบ้านตรงข้ามกิ๊บ
ถ้างั้น…
บ้านข้าง ๆ คาโอรินก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดี
“เฮ้!” คาโอรินทัก “เลือกบ้านของตัวเองได้หรือยังล่ะ?”
“ก็บ้านข้าง ๆ คา…เออ…บ้านตรงข้ามนิวแหละ” ผมพยายามเลี่ยงใช้คำว่าข้าง ๆ เพราะผมพยายามปิดกั้นอะไรบางอย่างอยู่ “แล้วคาโอรินเลือกบ้านไหนล่ะ?”
“ก็บ้านข้าง ๆ เธอแหละ” โอเค…ผมเขินนิด ๆ “จริงไม่ต้องเรียกชื่อเต็มฉันก็ได้นะเอ็น เรียกฉันสั้น ๆ ว่า ริน ก็ได้”
โอ…ไม่นะ…ผมแพ้รอยยิ้มแบบนี้…
“เราเป็นเพื่อนบ้านกันแล้วนะ” รินพูดด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยออร่า พร้อมกับยื่นมือเข้ามาจับมือ ให้ตายสิ มือนุ่มจัง…แต่มาคิดดูอีกที รินก็เป็นคนไทยเชื้อสายญี่ปุ่น ดูจากชื่อและใบหน้าของเธอที่ออกไปทางนั้นอย่างมาก ราวกับว่าเธอออกมาจากการ์ตูนอนิเมะยังไงยังงั้น
“งั้นเดี๋ยวขอตัวไปจัดบ้านก่อนนะ ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็แค่ไปเคาะประตูบ้านเรียกละกัน” เธอพูดและเดินเข้าไปในบ้านของตัวเอง ข้าวของเครื่องใช้ของเธอแทบไม่มีอะไรมาก อีกอย่างตอนนี้ก็จะเย็นแล้ว เราต้องหาวิธีจัดการกับความมืดโดยด่วน
พอผมคิดเรื่องนี้ได้ ผมจึงรีบเข้าบ้านที่ตัวเองเลือก ในบ้านที่เลือกก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่ แต่ผมต้องจัดการกับศพสองศพให้เรียบร้อย ยังดีที่พลังซอมบี้ยังอยู่ แต่เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ได้ผมแทบเอาหัวโขกผนังให้พัง เพราะผมน่าจะปลดพลังก่อนที่จะพูดคุยกับเธอ ไม่อย่างนั้นมันก็ไม่ต่างจากที่เธอกำลังคุยกับคนตาย แต่โชคดีที่ผมเจอเทียนอยู่ในตู้กับข้าวในห้องครัว ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเจ้าของบ้านเก่าได้เอาเทียนไปไว้ในตู้กับข้าวซึ่งตอนนี้กับข้าวที่อยู่ในนั้นมันเน่าส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว
“งานหนักอีกแล้วสิกู…” ผมถอนหายใจ
ผมจัดการศพทั้งสองศพโดยการฝังไว้ที่สวนหลังบ้าน ระหว่างฝังจู่ ๆ ศพหนึ่งก็พุ่งเข้ามากัดผม ซึ่งก็ไม่ได้ตกใจอะไรกับมันเท่าไหร่ เพราะผมมีภูมิคุ้มกันพิษซอมบี้อยู่แล้ว ต่อให้โดนกัดจนพรุนก็คงจะไม่เป็นอะไรนอกจากความตายล่ะมั้ง ผมขยี้หัวของมันจนแหลกคามือด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย ผมไม่ได้รู้สึกสนุกกับการฆ่าพวกมันสักเท่าไหร่ เพียงแค่ผมอยากมีเวลาพักผ่อนเท่านั้น แม้ว่าเวลาจะผ่านไปแค่สองวันหลังจากที่พวกเราย้ายออกมาจากในเมือง ความรู้สึกมันนานไปกว่าสองปี สิ่งที่ยังหวังอยู่ในใจก็ยังคงคิดว่าผมยังจะกลับมาเจอฮีซุยอีกครั้ง
เธอเป็นคนแรกของผม…
เธอเป็นแฟนคนแรกที่ผมให้จนหมดหัวใจ
แบบนี้ก็ไม่ต่างจากเธอล้มหายตายไปจากชีวิตผม
แต่ในความเป็นจริง ผมควรจะขอบคุณเธอมากกว่าที่ทำให้ผมได้ค้นพบขุมพลังที่สามารถทำให้พวกเราเอาชีวิตรอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ แต่ในทางกลับกัน เธอเป็นคนที่ใช้มีดแทงด้านหลังทะลุถึงหัวใจ ผมได้ตายลงไป แต่นรกกลับส่งผมกลับมามีชีวิตพร้อมกับพลังใหม่ที่จะใช้ต่อกรกับวันสิ้นโลกแบบนี้ เธอทำให้ผมกลายเป็นคนใหม่ที่แข็งแกร่งกว่าเดิม
ระหว่างที่คิดอยู่นั้นผมนั่งร้องไห้อยู่ในหลุมศพที่ผมกำลังจะฝังศพนิรนามสองศพนี้
“อยากเจอ…อีกสักครั้ง…” ผมสะอื้น
“ฮีซุย…”
____________________________________________
To Be Continue Ep.30