"พลังที่ผมได้มานั้น...มันคือพรหรือคำสาปกันแน่นะ...? แล้วผมจะใช้พลังนี้แก้ไขประเทศที่ล่มสลายนี้จะกลับเหมือนเดิมได้อย่างไร...?"
แอคชั่น,ชาย-หญิง,สะท้อนปัญหาสังคม,ไทย,เลือดสาด,พล็อตสร้างกระแส,ดราม่า,สยองขวัญ,ผี,ผจญภัย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Undead War สงครามคนเป็น"พลังที่ผมได้มานั้น...มันคือพรหรือคำสาปกันแน่นะ...? แล้วผมจะใช้พลังนี้แก้ไขประเทศที่ล่มสลายนี้จะกลับเหมือนเดิมได้อย่างไร...?"
โรคระบาดยังคงอยู่รอบๆ ตัวเรา ไม่ได้หายไปไหน หมอทุกคนตายกันไปหมดแล้ว ความหวังดับวูบจนไม่เหลือแม้แต่แสงสุดท้าย ราวกับว่าตัวเองกำลังเดินอยู่ในอุโมงค์ไร้แสงสว่างและไร้สิ้นสุด พวกซอมบี้ต่างคอยจะได้กัดกินเนื้อมนุษย์อย่างกับเครื่องจักรที่ไม่มีวันเหนื่อย ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็มีแต่พวกมันอยู่เต็มไปหมด
แต่ความหวังก็ยังไม่หมดไป เมื่อผมสามารถเอาชนะเชื้อไวรัสตัวนี้ได้ ทำให้ร่างกายของผมเกิดกลายพันธุ์และสามารถแปลงกายเป็นซอมบี้ได้ตลอดเวลา นั่นทำให้ผมวิวัฒนาการไปอีกขั้นเพื่อที่จะช่วยเหลือมวลมนุษยชาติได้
“ไม่น่าเชื่อว่ามึงจะคบกันไวขนาดนี้นะเนี่ย เห็นเป็นเพื่อนกันอยู่หมาด ๆ” นิวพูดอย่างใจหายในขณะที่พวกเรากำลังนั่งล้อมรอบกองไฟพลางปิ้งบาร์บีคิวอย่างสนุกสนาน ผมตัดสินใจประกาศให้ทุกคนทราบว่าผมกับรินคบกันเป็นแฟนแล้ว ข่าวนี้ทำให้ทุกคนตกใจไม่แพ้กัน เพราะที่ผ่านมาผมแทบไม่ได้จีบรินเลย เห็นได้ชัดว่าระยะห่างของผมกับรินนั้นเป็นได้แค่เพื่อน ไม่คิดเลยว่าเราสองคนจะได้มาลงเอยกันแบบนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าตกใจและน่ายินดีในเวลาเดียวกัน
ฟางหยิบมาร์ชเมลโลออกจากถุงมาสามก้อนก่อนที่จะเสียบไม้ลูกชิ้นไปย่างเหนือกองไฟ เป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งที่เราพูดถึงกันก่อนที่จะเข้าไปที่ห้างสรรพสินค้า แม้ว่าเสบียงอาหารที่จำเป็นนั้นสำคัญ แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คืออาหารสำหรับความสนุกซึ่งมาร์ชเมลโลนั้นเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยทีเดียว
ผมไม่ได้พูดอะไรมากกว่านั้น เพียงแค่นั่งเงียบ ๆ พร้อมกับโอบไหล่แฟนสาวไว้ คาโอรินดูเขินเล็กน้อย ซึ่งเวลาที่เธอยิ้มอย่างเขิน ๆ นั้นทำให้ผมลืมเรื่องที่เธอเคยโจมตีพวกผมเมื่อไม่กี่วันก่อนราวกับว่าเป็นคนละคนกันเลย เธอเล่าให้ผมฟังเมื่อคืนว่าเธอเคยเป็นเลสเบี้ยนและทิ้งให้แฟนสาวของตัวเองตายต่อหน้าต่อตา ซึ่งภาพอันน่าสยดสยองเหล่านั้นยังคงฝังลึกอยู่ในใจของคาโอรินตลอดเวลา
“นั่นเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว” ผมพูดอย่างแผ่วเบาในความมืด มีเพียงแสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามา ผมกับคาโอรินในสภาพที่เปลือยกายนอนอยู่ข้างกันโดยที่เธอใช้แขนหนุนแทนหมอน คืนนั้นเธอดูมีความสุขปนความกลัวนิด ๆ กลัวว่าสิ่งที่เธอได้กระทำลงไปในอดีตนั้นจะยังคงหลอกหลอนเธอทุกคืนเมื่อเธอหลับตานอน ซึ่งมันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ ผมก็ทำได้เพียงโอบกออดเธอไว้ในอ้อมแขนพร้อมกับปลอบโยนเหมือนพ่อปลอบลูกสาวให้หลุดออกมาจากฝันร้าย
“ว่าแต่งานแต่งของพวกมึงสองคนไปถึงไหนกันแล้วล่ะ?” ผมเปลี่ยนเรื่อง นัทและกิ๊บที่กำลังสลับกันแทะเนื้อบาร์บีคิวก็ชะงักเล็กน้อย
“ความจริงเริ่มกันตอนนี้เลยก็ได้นะ” กิ๊บพูด
“ไม่คิดจะดูฤกษ์งามยามดีไว้ก่อนเลยเหรอ?” ผมถาม
“ไม่อะ” เธอถอนหายใจ “มึงนี่พูดเหมือนผู้ใหญ่เลยนะเนี่ย จะทำอะไรที่เป็นมงคลก็ต้องดูฤกษ์นู่นนี่ไปหมดทุกอย่าง กูไม่อินกับเรื่องพวกนี้เลยว่ะ”
“อย่างน้อ…” นิวแตะบ่าผมเบา ๆ พลางส่ายหน้าเพื่อให้ผมหยุดพูดแค่นี้ก่อน
“งั้นขอถามหน่อยว่า…” นิวมองไปที่นัทและกิ๊บสลับไปมา “เจ้าบ่าวเจ้าสาวพร้อมเข้าสู่ประตูวิวาห์กันหรือยัง?”
“เฮ่ย ๆ มึงเล่นถามกันอย่างนี้เลยเหรอ?” นัทถามอย่างหน้าแดงพร้อมลุกลี้ลุกลน ส่วนกิ๊บก็หน้าแดงไปตาม ๆ กันพร้อมกับลูบแหวนที่แฟนหนุ่มสวมให้อย่างเขิน ๆ
“ไม่ต้องถามกลับ แค่ตอบคำถามกูมาก็พอ” นิวพูดอย่างหงุดหงิด “กูเป็นเพื่อนพวกมึงมาตั้งแต่ปีหนึ่ง และพวกมึงก็รักกันมาตั้งแต่ตอนนั้น และนี่ก็ผ่านมาเกือบสองปี ไม่มีผู้ใหญ่มาคอยตัดสินใจให้ อีกอย่าง…พวกมึงก็ได้กันมาเป็นล้านรอบ สมควรที่จะแต่งงานกันได้แล้ว”
“มึงนี่พูดเหมือนคนแก่เลยว่ะ” นัทประชด
“แต่มึงก็อายุเยอะกว่ากูตั้งปีนึง” นิวกลอกตาไปมาอย่างกวน ๆ จากนั้นเข้าก็ลุกขึ้นยืน “กูไม่รอคำตอบจากพวกมึงสองคนแล้ว เพราะตลอดเวลาที่พวกมึงใช้ชีวิตร่วมกันถือว่าเป็นข้อพิสูจน์แล้วว่า พวกมึงสองคนสมควรอยู่ข้างกันจนวันตาย”
“เดี๋ยว ๆ!!” นัทเบรก “ไม่คิดจะถามความเห็นกูสักหน่อยเหรอ ?”
“ก็นิวมันถามอยู่ แต่มันใจร้อนไปอย่างนั้นแหละ” ฟางหัวเราะพลางยัดมาร์ชเมลโลร้อน ๆ เข้าปากทั้งสามก้อนราวกับว่าเธอจะไม่ได้กินมันอีก
ระหว่างที่รอคำตอบของคู่รักคู่นี้ คาโอรินเอาศีรษะมาพิงไหล่ผมอย่างออดอ้อน ผมมองเธออย่างครุ่นคิด ใช่…ตั้งแต่โลกได้เปลี่ยนไป ในหัวนั้นมีความคิดขยะเต็มหัวไปหมดจนไม่รู้ว่าจะเอามันออกไปจากหัวได้ยังไง แน่ล่ะ…มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนที่จะเป็นแบบนี้กันหมด ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าคนอื่น ๆ นั้นจะเป็นแบบเดียวกันกับผมหรือเปล่า แม้ว่าผมจะคบกับคาโอรินแล้วก็ตาม แต่ในเบื้องลึกของจิตใจนั้นกลับยังคงว่างเปล่า โลกทั้งใบของผมยังคงขาวดำ ยังคงมืดมน ราวกับว่าเธอยังไม่สามารถเข้าถึงจิตใจของผมได้เท่าฮีซุย ถ้าจะให้พูดง่าย ๆ ก็คือไม่มีสามารถทำให้ผมรู้สึกรักเท่าฮีซุยได้อีกแล้ว เธอคือนางฟ้าที่ขุดซอมบี้อย่างผมขึ้นมาจากหลุมศพเพื่อที่จะมีชีวิต
เพื่อเธอ แต่พอเธอจากไป ก็ไม่ต่างจากตายทั้งเป็น ลึก ๆ แล้วผมรู้สึกแบบนี้ตลอดเวลา แต่เพียงยังไม่มีเวลาที่จะทบทวนความรู้สึกตัวเองมากกว่านี้
“โอเค…” นัทพูดขึ้นอย่างอารมณ์เสีย “กูจะแต่งงานกับกิ๊บ…จริง ๆ กูไม่จำเป็นต้องพูดซ้ำสองก็ได้ปะวะ…”
“เอาน่า ๆ เป็นพิธีหน่อยไม่เป็นจะเป็นอะไรเลย” กิ๊บบอก “ก็ใช่ว่าจะได้แต่งงานกันหลายรอบซะที่ไหนล่ะ”
“แล้วถ้าเค้าแต่งหลายรอบล่ะ ?” แฟนหนุ่มหยอกแฟนสาว แต่กลับถูกแฟนสาวชักปืนพกขึ้นมาจ่อที่กลางกบาลอย่างรวดเร็วพร้อมรอยยิ้มอย่างโรคจิตที่ปรากฏขึ้นอยู่บนใบหน้าที่ขาวใสของเธอ
“มันจะมีวันนั้นด้วยเหรอคะ ?” เธอถามด้วยน้ำเสียงน่าขนลุกซึ่งทำให้ผมกับนิวแทบไม่กล้าเข้าไปยุ่ง
มันเป็นงานแต่งงานที่เล็กที่สุดเท่าที่เคยร่วม นิวทำหน้าที่เป็นบาทหลวงเพราะว่าเขานับถือสองศาสนา นัทที่แต่งตัวด้วยสูท ส่วนกิ๊บแต่งตัวด้วยชุดเจ้าสาวที่ฝ่ายสาว ๆ เป็นคนจัดการแต่งตัวให้ นั่นทำให้วันนี้กิ๊บดูดีดั่งดวงดาวใต้แสงจันทร์ โชคไม่ดีที่ยังเป็นช่วงกลางวันอยู่ แต่แสงอาทิตย์ก็ไม่ได้ทำให้เธอหม่นหมองได้แม้แต่น้อย ส่วนสถานที่นั้นก็จัดกันกลางถนน ไม่มีของตกแต่งอะไรเลย เพราะต้องหนีจากไทแรนตัวนั้น มีเพียงนิวที่พยายามแต่งตัวให้เหมือนบาทหลวงโดยการเอาผ้าคลุมโต๊ะสีดำมาคลุมตัวและถือหนังสือคัมภีร์ไบเบิลปกสีดำเล่มเล็ก ๆ ที่เขามักจะพกติดตัวอยู่ตลอดเวลา
ระหว่างพิธีผมเป็นเพื่อนฝ่ายเจ้าบ่าวส่วนคาโอรินและฟางเป็นเพื่อนฝ่ายเจ้าสาว พิธีดำเนินไปได้ด้วยดี เจ้าบ่าวเจ้าสาวสวมแหวนแต่งงานเป็นที่เรียบร้อย ในหัวผมได้จินตนาการถึงวันที่ผมจะต้องมีวันแบบนี้บ้างในอนาคต ลึก ๆ ผมอดไม่ได้ที่จะอยากเห็นฮีซุยแต่งชุดเจ้าสาวยืนเคียงข้างผมต่อหน้าบาทหลวงและสักขีพยานนับร้อย ต่างคนต่างแลกกันสวมแหวนแต่งงานให้กันเพื่อเป็นข้อพิสูจน์ว่าชีวิตและหัวใจจะเป็นของกันและกันตลอดไป จากนั้นก็ยิ้มให้กันอย่างเขินอาย นั่นคงเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขแม้ว่ามันจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้น ชีวิตนี้ผมไม่สามารถอุทิศหัวใจทั้งดวงให้กับใครเท่าเธออีกเลย ถ้าเธอกลับตัวออกจากกลุ่มของวินได้…ผมสัญญาว่าจะกลับไปรักเธออีกครั้ง
เพราะผมยังคงรักเธอเสมอ…
“นี่คิดอะไรอยู่? จะถึงช่วงที่เจ้าสาวจะโยนดอกไม้แล้วนะ” นิวยื่นหน้าเข้ามากระซิบ ซึ่งทำให้ผมดึงตัวเองออกมาจากภวังค์ความคิดนั่น
“เปล่า…ไม่มีอะไร…แต่นี่เป็นงานแต่งที่เล็กมากเลยนะ” ผมพูด
กลบเกลื่อน
“ก็คงจะเป็นแบบนั้น” ผมยักไหล่
เมื่อถึงเวลาโยนช่อดอกไม้ กิ๊บหันหลังโยนอย่างแรง ช่อดอกไม้ลอยไปบนอากาศ เพื่อนเจ้าสาวและตัวผมซึ่งยืนอย่างงง ๆ ทั้งสองสาวต่างพุ่งตัวกระโดดเข้าไปรับอย่างสนุกสนาน แต่โชคร้ายที่คาโอรินใช้ประโยชน์จากร่างกายของผมโดยการกระโดดขึ้นไปยืนบนไหล่ผมเหมือนเชียร์ลีดเดอร์ จากนั้นก็กระโดดพุ่งไปรับช่อดอกไม่อย่างสวยงาม ส่วนผมนอนปวดไหล่อยู่บนพื้น โชคดีที่ยังมีเชื้อซอมบี้อยู่ในร่างไม่งั้นกระดูกไหล่คงหักไปแล้ว แถมน้ำหนักตัวคาโอรินก็ใช่ว่าจะเบา หลังจากที่เธอรับช่อดอกไม้ได้สำเร็จก็กระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ ก่อนที่จะรู้ตัวว่าแฟนหนุ่มของตัวเองลงไปนอนหงายอยู่กับพื้นแล้ว
“เอ็นเป็นอะไรหรือเปล่า?” เธอเข้ามาถามพร้อมรอยยิ้ม “ขอโทษน้าา”
“ไม่เป็นไรหรอก” ผมตอบพร้อมกับค่อย ๆ ลุกขึ้นมายืน “นาน ๆ ทีจะมีเรื่องสนุกเข้ามานี่ เดี๋ยวนี้มีแต่เรื่องเครียด ๆ ทีหลังให้สัญญาณก่อนก็ได้”
“แหะ ๆ น่ารักที่สุด” เธอโผเข้ามาหอมแก้มก่อนที่จะเอาหน้ามาซุกที่ไหล่อย่างออดอ้อน
ปิ๊น ๆ
เสียงแตรรถของใครบางคนดังขึ้นมา นั่นทำให้พวกเราทุกคนหันไปมองที่ต้นเสียงพร้อมกัน บรรยากาศที่สนุกสนานรอบตัวเปลี่ยนไปเป็นความเงียบที่แสนอึดอัด ราวกับว่าพวกเราพอจะเดาได้ว่าต้องมีผู้มาเยือนที่สร้างความวุ่นวายแก่พวกเราแน่นอน ต่างคนต่างมองหน้ากัน ตอนนี้รอบตัวเงียบจนขนาดสามารถได้ยินเสียงลมหายใจของแต่ละคนได้ เสียงแตรก็ดังขึ้นสองสามรอบติดต่อกัน แม้ว่าจุดที่เราอยู่จะห่างจากประตูรั้วประมาณเจ็ดร้อยเมตร แถมเราไม่สามารถเห็นได้ว่ามีใครมาเพราะมันติดทางโค้งซึ่งเป็นจุดบอด
“เอ็น” นิวเรียกด้วยเสียงเบาราวกับว่ากำลังถูกดักฟังอยู่ “ตอนนี้ยังไม่ต้องแปลงร่าง แค่จัดการซอมบี้อย่างเดียว แต่เตรียมแปลงร่างตลอดเวลา เพราะเราไม่ค่อยไว้ใจใครที่ไหนได้ จะมิตรหรือศัตรูเราต้องเตรียมตัวรับมือ”
ผมกับนิวตัดสินใจขับรถไปดูสถานการณ์และฟางขับรถอีกคันที่เจอในรั้วบ้านของตัวเองพักอยู่และให้นัทจัดการซ่อมจนกลับมาวิ่งได้ขับไปที่บ้านหลังที่ติดกับประตูรั้วเพื่อตัวเองจะสามารถขึ้นไปบนชั้นสองและใช้ปืนไรเฟิลซุ่มยิงส่องผู้มาเยือน โชคดีที่บ้านหลังนั้นอยู่ห่างจากรั้วหนึ่งร้อยเมตร จึงไม่ทำให้ฟางถูกสังเกตเอาง่าย ส่วนที่เหลือให้รออยู่ที่งาน แต่ดูเหมือนว่านัทจะไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่ แม้ว่างานแต่งงานจะจบไปแล้ว แต่เขาคิดว่าพวกที่มาลั่นแตรแบบนี้มันดูไม่ให้เกียรติกันเลย แม้ว่าเขาจะยืนยันว่าจะต้องไปให้ได้ สุดท้ายผมก็ต้องห้ามเขาไว้จนได้
เมื่อพวกผมเขาไปถึง ผมเห็นรถจิ๊ปคันหนึ่งจอดอยู่หน้าประตูรั้ว แต่ที่น่าตกใจก็คือมีซอมบี้ประมาณยี่สิบตัวกำลังรุมล้อมรถอยู่ แต่ละตัวพยายามจะทุบกระจกรถจิ๊บเข้าไปแต่ก็ทำไม่ได้เสียที ส่วนเสียงแตรก็ดังขึ้นเรื่อย ๆ จนซอมบี้ที่อยู่ใกล้เคียงค่อย ๆ ทยอยเดินเข้ามาสมทบหวังที่จะได้กินอาหารอันโอชะหลังจากที่ไม่ได้ลิ้มรสมานาน
“แล้วจะช่วยพวกนั้นยังไง” ผมถาม
“แผนก็ไม่ได้มีอะไรมาก ซอมบี้ที่เห็นนั้นมีกันประมาณยี่สิบตัว นายคนเดียวก็น่าจะจัดการไหวอยู่แล้วจริงมั้ย?”
“นายก็ต้องไปช่วยด้วยสิ!”
เมื่อจอดรถ ผมชักดาบคาตะนะออกมาก่อนที่จะเดินออกจากรถ ส่วนนิววิ่งไปเปิดประตูรั้ว เสียงรถจิ๊บที่ดูเหมือนจะมีความหวังจึงหยุดส่งเสียงแตร ซอมบี้บางตัวที่ได้ยินเสียงเปิดประตูก็ค่อย ๆ กรูกันเข้ามาทีละตัว นี่เป็นอีกครั้งที่ผมได้ตวัดดาบฟันพวกมันโดยที่ไม่ได้แปลงร่างเป็นซอมบี้ แต่พละกำลังเทียบไม่ได้เลยที่จะจัดการพวกมันได้ทีละหลาย ๆ ตัว ครั้งแรกที่ได้จับดาบฟันพวกมันผมได้รู้สึกถึงแรงเสียดที่ต้านคมดาบ มันเป็นเพียงความรู้สึกเล็ก ๆ ที่ต้องใส่แรงกดให้หัวของพวกมันหลุดออกจากบ่า ซึ่งผมสามารถฟันได้หนึ่งครั้งและถอยหลังมาตั้งหลักก่อนที่จะเข้าพุ่งเข้าไปฟันอีกครั้งอย่างแม่นยำ จนตอนนี้จำนวนของพวกมันก็เริ่มลดลงเรื่อย ๆ และมีฟางที่คอยซัปพอร์ตอยู่ด้านหลัง ฝีมือด้านซุ่มยิงของเธอพัฒนาขึ้นกว่าเดิม จนสามารถเป็นกำลังสำคัญของทีมได้ เสียงของปืนไรเฟิลซุ่มยิงจะมีเสียงที่ดังมาก แต่เธอได้แก้ปัญหาโดยการไปหากระบอกเก็บเสียงจากร้านขายปืนในเมืองมาได้ นั่นทำให้พวกซอมบี้ไม่ได้ยินเสียงปืน และผมคิดว่าปืนของทุกคนควรจะมีกระบอกเก็บเสียงด้วยเช่นกัน เพราะถ้าจะให้ใช้อาวุธระยะประชิดตลอดเวลาก็ไม่ได้ แต่ในทางกลับกันเราก็ต้องประหยัดกระสุนอีก เราไม่รู้ว่ากระสุนที่เราเอามาจำนวนมหาศาลนั้นจะหมดเมื่อไหร่
ผมแทงเข้ากลางหัวซอมบี้ตัวสุดท้ายจนทำให้มันสิ้นฤทธิ์ จากนั้นผมก็ควักเอาขวดแก้วบรรจุเลือดซอมบี้ออกมากำ เผื่อว่าต้องแปลงร่างกะทันหัน นิวส่งสัญญาณให้แฟนสาวเล็งปืนไปที่รถปริศนาคันนั้น เขาเดินไปที่ประตูรั้วและตะโกนให้ทุกคนลงมาจากรถ ซึ่งพวกเขาก็ทำตามแต่โดยดี
“ถ้ามีอาวุธก็ให้พวกมึงวางมันไว้กับพื้น ถ้าพวกซอมบี้เข้ามาเราจะจัดการเอง แล้วยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาช้า ๆ และเดินมาหากู” นิวส่องปืนไรเฟิลไปที่คนแปลกหน้าที่ค่อย ๆ ลงมาจากรถ พวกเขาดูเป็นแค่เด็กมหาวิทยาลัยธรรมดา คนแรกที่นั่งอยู่ฝั่งคนขับเป็นผู้ชายร่างสูงย้อมผมสีทอง นัยน์ตาหยีเล็กเหมือนคนจีน คนที่สองนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามคนขับเป็นผู้หญิงร่างบางผมสีเทาใส่แว่นตากรอบดำ คนที่สามและสี่ก็เป็นผู้หญิงซึ่งนั่งอยู่เบาะหลัง แต่ที่สะดุดตาก็คือคนที่ห้าที่ก้าวลงมาจากรถ ใบหน้าและแววตาของมันไม่ได้ถูกลืมเลือนไปจากความทรงจำของผม ต่อให้ตายไม่รู้จะกี่รอบ ผมก็ยังจะจำมันได้
ชายที่เหยียบย่ำทุกอย่าง ชายที่หลอกลวงทุกคน
รอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความเจ้าเล่ห์แสนกล
วิน
_____________________________________
To Be Continue Ep.32