"พลังที่ผมได้มานั้น...มันคือพรหรือคำสาปกันแน่นะ...? แล้วผมจะใช้พลังนี้แก้ไขประเทศที่ล่มสลายนี้จะกลับเหมือนเดิมได้อย่างไร...?"
แอคชั่น,ชาย-หญิง,สะท้อนปัญหาสังคม,ไทย,เลือดสาด,พล็อตสร้างกระแส,ดราม่า,สยองขวัญ,ผี,ผจญภัย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Undead War สงครามคนเป็น"พลังที่ผมได้มานั้น...มันคือพรหรือคำสาปกันแน่นะ...? แล้วผมจะใช้พลังนี้แก้ไขประเทศที่ล่มสลายนี้จะกลับเหมือนเดิมได้อย่างไร...?"
โรคระบาดยังคงอยู่รอบๆ ตัวเรา ไม่ได้หายไปไหน หมอทุกคนตายกันไปหมดแล้ว ความหวังดับวูบจนไม่เหลือแม้แต่แสงสุดท้าย ราวกับว่าตัวเองกำลังเดินอยู่ในอุโมงค์ไร้แสงสว่างและไร้สิ้นสุด พวกซอมบี้ต่างคอยจะได้กัดกินเนื้อมนุษย์อย่างกับเครื่องจักรที่ไม่มีวันเหนื่อย ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็มีแต่พวกมันอยู่เต็มไปหมด
แต่ความหวังก็ยังไม่หมดไป เมื่อผมสามารถเอาชนะเชื้อไวรัสตัวนี้ได้ ทำให้ร่างกายของผมเกิดกลายพันธุ์และสามารถแปลงกายเป็นซอมบี้ได้ตลอดเวลา นั่นทำให้ผมวิวัฒนาการไปอีกขั้นเพื่อที่จะช่วยเหลือมวลมนุษยชาติได้
“พะ…พูดเรื่องอะไร?” สีหน้าของเขาเปลี่ยนรวมถึงน้ำเสียงที่ลุกลี้ลุกลนกว่าปกติเหมือนกับที่ฟางทำเมื่อกี้
มันต้องมีอะไรบางอย่างแน่นอน
“ไม่ต้องมาทำไขสือไอ้วิน!” ผมเริ่มเสียงดัง “มึงพูดมาให้หมด!”
“แล้วมึงจะใส่ใจเรื่องนั้นทำเหี้ยอะไร!?” วินเริ่มเสียงดังกลับบ้าง จากนั้นก็มองผมจากปลายเท้าขึ้นมายันศีรษะเป็นเชิงดูถูก “มึงไม่ต้องมาเสือกเรื่องของคนอื่น ดูตัวเองก่อนเถอะ ถึงว่า ฮีซุยไม่อยากจะฝากชีวิตไว้กับแกด้วย”
กำปั้นของผมอัดเข้าใบหน้าของวินอย่างจังโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันรู้ตัว ซึ่งผมก็เพิ่งมารู้ตัวเมื่อตัวเองได้ปล่อยหมัดออกไปแล้ว ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก เพียงไม่กี่วินาทีใบหน้าของวินหันไปตามแรงกระแทก หลังจากนั้นเขาเริ่มสวนกลับโดยการปล่อยหมัดขวาตรง จากที่ผมเริ่มมีประสบการณ์เรื่องต่อสู้ที่เรียนมาจากนิวและประสบในชีวิตจริงแล้ว ทำให้หลบหมัดของเขาได้ แน่นอนว่าผมไม่ปล่อยให้โอกาสผมหลุดแน่นอน จึงจัดการใช้เข่ากระแทกท้องน้อยจนมันล้มลงไปนอนกับพื้น ด้วยความที่โทสะมันกำลังครอบงำ ผมจับศีรษะมันกดลงกับพื้นแล้วออกแรงบีบอย่างไม่รู้ตัวจนวินต้องร้องขอชีวิต อีกอย่างที่ผมไม่รู้ว่าสีผิวหนังของผมเริ่มซีดลง
ใช่…เรื่องนี้ผมไม่รู้ตัวเลย
“โอเค! โอเค! กูยอมแล้ว” วินตบพื้นดินสามทีจนฝุ่นลอยเข้าจมูกตัวเอง “กูขอโทษที่พูดแบบนั้นไป”
“ต่อให้มึงขอโทษยังไงกูก็ไม่ให้อภัยมึงแน่นอน” ผมกัดฟันพูดอย่างโมโห การที่มันพูดถึงหญิงสาวที่ผมเคยรัก (ทุกวันนี้ก็ยังคงรักอยู่ไม่ได้เปลี่ยนแปลง) นั่นไม่ได้ให้เกียรติเธอเลย ตอนที่จากกันเธอก็หายไปกับวิน แต่พอมาเจอวินอยู่คนเดียวกับพวกของมังกรมันอยู่แปลก ๆ ยังไงก็ไม่รู้ “อีกอย่างที่กูอยากจะถามมึงมาตั้งแต่เจอหน้ากัน ฮีซุยอยู่ที่ไหน?”
ท่าทางของวินสงบลงเมื่อได้ยินคำถาม
“ตายไปแล้ว”
เมื่อสิ้นสุดประโยคเหมือนที่อะไรบางอย่างที่ทำให้อารมณ์โทสะนั้นเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ผมออกแรงบีบขึ้นอีกจนผมรู้สึกได้ว่าส่วนหนึ่งของนิ้วมือข้างขวากำลังจะเจาะเข้าไปที่สมองของมันอยู่แล้ว ถ้าปล่อยเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ หรือเพิ่งแรงอีกนิด หัวของมันคงระเบิดเป็นเสี่ยง ๆ ปกติผมเป็นคนไม่ชอบทรมานคนเท่าไหร่ แต่ในเมื่อพวกมันปล่อยให้ผมนั่งทรมานมาก็ต้องทำให้มันรู้สึกถึงความทรมานที่อยู่ในหัวตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา
“กูให้มึงพูดใหม่” ผมพูดด้วยเสียงต่ำ
“ถ้าฮีซุยมันไม่ตาย คิดเหรอว่ากูจะทิ้งมัน?” วินถามกลับ นั่นทำให้ผมฉุดคิดไปชั่วครู่
“ลูกน้องของกูก็ถูกมึงฆ่าตายจนหมด แฟนกูก็ตาย!”
“ฮีซุยก็เคยเป็นแฟนกู!!” ผมท้วง
“มันไม่เคยเป็นแฟนมึง!!” วินงัดตัวเองขึ้นมาด้วยพละกำลังที่เพิ่มขึ้นจากเมื่อกี้จนสามารถหันเข้ามาประจันหน้ากับผมได้ แววตาของมันไม่ได้เห็นว่ามันจะโกหกเลย
หรือว่าสิ่งที่มันพูดมาจะเป็นเรื่องจริง…
ผมค่อย ๆ คลายมือของตัวเอง อีกฝ่ายถอยหลังออกมาพร้อมเอามาลูบศีรษะตัวเองราวกับว่ามันจะหายไปไหน มันมองผมด้วยสายตาที่เห็นอกเห็นใจที่ไม่คิดว่าสายตาแบบนั้นจะออกมาจากคนแบบนี้ หรือไม่ก็อาจจะเป็นการแสดงที่ทำให้ผมตายใจก็เป็นได้ ผมมองมันด้วยสายตาที่ไม่ได้ไว้ใจอย่างที่สุด ที่จริงออกจากอคติด้วยซ้ำ แม้ว่าผมพยายามจะบอกทุกคน แต่พวกเขาก็นึกว่าสิ่งที่ผมพูดออกมานั้นไม่ได้เป็นความจริง เหมือนกับว่ามันเป็นคำพูดของเด็กที่พูดออกมาเรื่อยเปื่อยและไร้สาระ
“มึงเชื่อกูเถอะ” วินพูด
“จะให้กูเชื่ออะไรมึงได้?” ผมถามกลับ
“ถ้ามึงไม่เชื่อเรื่องที่ฮีซุยตายก็ไม่เป็นไร เพราะเธอก็เป็นคนที่มึงกับกูรักเหมือนกัน แต่กูยืนยันได้ว่าเธอตายแล้ว” วินทำหน้าตาสงสาร “เธอถูกซอมบี้กัด…จากนั้นก็กลายร่าง แล้วพยายามจะเข้ามากัดกู ซึ่งกูก็ไม่มีทางเลือก ก็เลยต้องฆ่าเธอทิ้งซะ”
ผมยืนนิ่งพร้อมมองเข้าไปในแววตาของวินอีกรอบ ซึ่งรอบนี้ผมมองให้ลึกกว่าเดิม ต่อให้ผมไม่อคติต่อผู้ชายคนนี้ ผมก็รู้ว่ามันกำลังโกหกผมอยู่ แต่นั่นเป็นเพียงแค่ลางสังหรณ์เท่านั้น แต่ถ้าพูดกันด้วยหลักเหตุและผล ผมอาจจะจับได้ว่ามันโกหก แต่ก็ไม่มีหลักฐานยืนยันได้ร้องเปอร์เซ็นต์ได้ว่ามันโกหก อีกอย่างมันอาจจะโกหกผมเพราะมันก็ไม่มีหลักฐานยืนยันได้เช่นกันว่าฮีซุยได้ตายไปแล้ว ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมาผมจะทำหน้ายังไงกันแน่…
แม้เธอจะตายในชีวิตจริง แต่เธอก็จะไม่มีวันตายไปจากใจผมแน่นอน
“จะให้กูเชื่อยังไง?” ผมถาม
“ก็แล้วแต่มึงสิ” วินยักไหล่อย่างไม่แคร์ “ตอนนี้กูเบื่อที่จะมานั่งทะเลาะกับมึงเรื่องที่ผ่านมาแล้ว กูจะแนะนำในฐานะรุ่นพี่นะ”
วินวางมือบนไหล่ผม แต่ผมเคลื่อนตัวหลบเพื่อไม่ให้มันสัมผัสโดนตัว
“มึงสมควรจะมูฟออนได้แล้ว” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง “ฮีซุยเป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่เข้ามาในชีวิตของมึงเท่านั้น กูรู้ว่ามึงคบกับคาโอรินเพื่อหวังให้ตัวเองลืมฮีซุยให้ได้ แต่มันก็ไม่ได้เป็นไปตามแผนที่มึงต้องการ ก็แน่ล่ะ…โลกความเป็นจริงนั้นมักจะโหดร้ายกับเราเสมอ”
ผมไม่มีอะไรจะพูด ทุกอย่างในหัวมันว่างเปล่าไปหมด มีแต่สีขาว…
ใช่…มันขาวโพลนไปหมด มองไปทางไหนก็เห็นอย่างเดิม สิ่งที่วินพูดมามันก็เป็นความจริง มาถึงจุดนี้เขาจะหลอกลวงผมไปเพื่ออะไร ในเมื่อผมทำลายทุกอย่างที่เขาได้สร้างขึ้นราบเป็นนาคกลอง
“กูรู้ว่าทำไมมึงถึงยังลืมฮีซุยไม่ได้” วินพูดขึ้นและนั่นทำให้เขาถือไพ่เหนือกว่าผมในการสนทนาครั้งนี้ “มึงจะเค้นกูเรื่องความลับของนิว แต่โทสะมันอยู่เหนือการควบคุมของมึง ก็เลยทำให้คำถามที่ตัวเองให้ความสำคัญมากกว่าบังซะจนมิดเลย”
ผมพูดไม่ออกอีกเช่นกัน เขามองผมทะลุปรุโปร่ง…
“กูจะสอนให้มึงโตขึ้นกว่านี้ ไอ้เอ็น เหมือนที่กูเคยสอนไอ้นิว” เขาพูด “จริง ๆ กูก็ไม่ได้อยากจะทำร้ายมึงนะ แต่เพียงแค่กูคุมลูกน้องกูไม่อยู่เท่านั้นแหละ เรื่องมันก็เลยเลยเถิดไปจนไกล”
ผมพยักหน้าอย่างสำนึกผิด
“ต่อไปนี้ก็สงบศึกได้หรือยัง?” เขาถามพลางยื่นมือมาหาผม
ผมมองมือของเขาอย่างไม่ไว้ใจ มันก็ไม่แปลกที่ผมจะทำแบบนี้เพราะความอคติล้วน ๆ แต่การเปิดใจที่จะสงบศึกกับคนที่เราเคยอคติและเชื่อใจเขาอีกสักครั้งมันก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่แย่เท่าไหร่ แต่ถ้าหากเขาทรยศ ผมคงจะต้องล้างมือและฆ่าเขาอย่างทรมานให้เลือดอุ่น ๆ ล้างมือ จากนั้นก็ล้างมืออีกครั้งด้วยน้ำเปล่าสะอาดและสบู่หอม ๆ เพื่อให้กลิ่นคาวเลือดเน่า ๆ นี้หายไป
สุดท้ายผมก็จับมือกับเขา
“ถือว่าเราสงบศึกกันแล้วนะ” ผมพยักหน้าเบา ๆ อย่างไม่ไว้ใจ เชื่อเถอะ ถ้าเขายังไม่ทำอะไรให้ผมคิดว่ามันเป็นการทรยศหักหลังผมก็จะไม่ทำอะไรเขาและจะพยายามเปิดใจรับเขามากขึ้น “มาเถอะเรายืนกันอยู่แบบนี้มาเป็นครึ่งชั่วโมงแล้ว ไปหาอะไรทำให้มันสบายดีกว่า คาโอรินคิดถึงมึงแย่แล้วมั้ง”
เชื่อเถอะว่าตัวเองไม่ชินกับคำพูด ๆ ของวินเท่าไหร่ แต่ถ้าเขากำลังจะกลับตัวกลับใจก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีเลยทีเดียว บางทีมนุษย์เราก็ไม่ได้เกิดมาดีเลิศขนาดนั้น แม้ว่าทำผิดลงไป ถ้าให้โอกาสคน ๆ นั้นกลับตัวมาเป็นคนดี ก็ถือว่ามันเป็นการลงทุนที่คุ้มทีเดียว
“ตอนนี้อยากจะให้ทุกคนฝึกทักษะการต่อสู้กัน นายพอจะช่วยได้มั้ย?” นิวถามในขณะที่พวกเรากำลังนั่งล้อมวงกินข้าวที่พวกผู้หญิงได้ปรุงขึ้นมา และถือว่าเป็นงานเลี้ยงย่อม ๆ เพื่อเฉลิมฉลองงานแต่งงานของนัทและกิ๊บอีกด้วย
“ช่วยเรื่องอะไร?” ผมถามก่อนที่จะตักข้าวและกับเข้าปากแล้วเคี้ยวจนแก้มตุ่ย
“ก็อย่างที่บอก ฉันไม่อยากจะคอยระวังหลังให้ทุกคนและสู้ในเวลาที่ซอมบี้มันบุกเข้ามาในค่าย ไม่งั้นเราจะตายกันหมด” นิวตอบ “เราทุกคนต้องต่อสู้และเผชิญกับความกลัวให้เป็นกันทุกคน ความกลัวนี่กูหมายถึงมนุษย์ที่จ้องประสงค์ร้ายกับเรานะ”
ผมเข้าใจความรู้สึกของนิวในเรื่องของการปกป้องค่ายจากพวกซอมบี้และพวกมนุษย์ จริง ๆ ผมก็เห็นด้วยที่นิวอยากจะป้องกันพวกเราจากข้าศึกที่ไม่รู้ว่าจะบุกเข้ามาเมื่อไหร่ ตอนนี้คนที่มีความสามารถในการต่อสู้สูงก็มีเพียงผม นิว กิ๊บและฟางเท่านั้น ซึ่งมีสมาชิกเข้ามาเพิ่มอีกห้าคน ทำให้กลุ่มเริ่มใหญ่ขึ้น เชื่อเถอะ ปัญหาที่จะเข้ามานั้นมีเยอะกว่าเรื่องข้าศึกแน่นอน กลับมาที่เรื่องของกำลังคน แม้ว่านัทจะมีความสามารถในเรื่องของเครื่องยนต์และสามารถอื่นที่เขายังไม่ได้เปิดเผย แต่ทักษะการต่อสู้ของเขาต่ำเกินไปที่จะสามารถดูแลเขาได้ตลอด
“เดินไปคุยไปกันหน่อยมั้ย?” ผมชวน เพราะผมไม่อยากคุยเรื่องนี้ให้ใครได้ยิน ซึ่งนิวก็พยักหน้าอย่างรู้งาน
พวกเราออกมาเดินนอกหมู่บ้านเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศพร้อมกับอาวุธคู่ใจ การที่ออกมาเดินอยู่นอกรั้วนั้นถือว่ามีความเสี่ยงอยู่ทุกย่างก้าว ฉะนั้นตลอดการก้าวเท้าแต่ละก้าว พวกเราจะวางเท้ากันอย่างระมัดระวังอย่างที่สุด เพราะเราไม่รู้ว่าจะมีมนุษย์คอยติดกับดักหรือเปล่า ถ้าเกิดเป็นแบบนั้นจริง ๆ พวกเราก็น่าจะถูกโจมตีและถูกจับไม่ก็ถูกฆ่าก็เป็นได้ เราเดินไปได้สักพักก็เจอกับฝูงซอมบี้ประมาณสิบตัว ผมกับนิวเดินเข้าไปจัดการกับพวกมันทีละตัวอย่างง่ายดายด้วยดาบโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนเลยแม้แต่น้อย เนื่องจากเราฆ่าพวกมันมารวมเกือบร้อยตัวและมากพอที่จะจับการเคลื่อนไหวของมันได้ แต่สิ่งที่ยากที่สุดของการฆ่าซอมบี้ก็คือการเคลื่อนไหวของพวกมันแต่ละตัวจะไม่เหมือนกัน บางตัวเร็วบางตัวช้า บางตัวฉลาดบางตัวโง่ ซึ่งเรายังไม่รู้แน่ชัดว่าจะดูออกได้ยังไง แต่ด้วยความที่นิวมีประสาทสัมผัสที่ไวและผมที่มีเชื้อซอมบี้ในตัวจึงทำให้มีประสาทสัมผัสเร็วพอ ๆ กัน
“เราจะเริ่มคุยจากตรงไหนก่อนดี” ผมถามเมื่อจัดการเชือดซอมบี้ตัวสุดท้ายลง เราไม่ได้พูดอะไรระหว่างที่เดินออกมาจากหมู่บ้าน เพราะอะไรก็ไม่สามารถตอบได้ แต่สีหน้าของนิวก็คงจะพอเป็นคำตอบได้ว่าเขาเครียดเรื่องที่มันเคยเกิดขึ้นกับเขาเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา
“วินบอกว่ากองทัพของมันถูกโจมตี” เขาพูด ซึ่งนั่นทำให้ผมนึกขึ้นได้ถึงเรื่องสาส์นท้าจากวินเมื่ออาทิตย์ก่อน นั่นเป็นอีกสาเหตุที่เราต้องย้ายถิ่นฐาน
“แก๊งสยามมันมีเป็นพันคนเชียวนะ” ผมแย้ง
“ถ้ามันจริงอย่างที่วินมันโม้ก็ควรจะกลัวไว้ก่อน แต่ตอนนี้กูไม่กลัวแก๊งของวินแล้ว ตอนนี้แค่อยากรู้ว่าใครเป็นคนจัดการกับแก๊งของวินได้ ทำให้มันต้องหนีหัวซุกหัวซุนแบบนี้” ชายหนุ่มเช็ดเลือดกับเสื้อผ้าของซอมบี้ตัวหนึ่งที่นอนไม่ได้สติ “เท่าที่รู้จักกับมันมา มันเป็นคนที่รักลูกน้องของตัวเองมาก และเป็นลูกผู้ชายพอที่จะไม่ยอมทิ้งลูกน้อง แต่คราวนี้มันหนี แสดงว่าเราจะต้องเจอกับศัตรูที่เราคาดไม่ถึง ดีไม่ดีมันอาจจะแข็งแกร่งกว่าเราสองคนรวมกันก็ได้”
“จะเป็นไปได้ไง กูคนเดียวก็สามารถจัดการคนหนึ่งร้อยคนได้อย่างสบาย ๆ” ผมพ่นลมหายใจออกทางจมูกอย่างมั่นใจ ภาพเหตุการณ์ที่ผมปะทะกับลูกน้องของวินก็ปรากฏขึ้นมาในหัว
“เหนือฟ้ายังมีฟ้านะเอ็น มึงอย่าเพิ่งมั่นใจไป” นิวท้วง “กูกลัวว่าแก๊งสยามจะถูกไทแรนจัดการ”
คำพูดของนิวคำนี้ทำเอาผมหัวเราะไม่ออก ผมรู้ซึ้งถึงพลังของมันอย่างดี เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่สมควรเข้าใกล้เด็ดขาด ถ้าเป็นมัน ผมจะไม่ยอมสู้กับมันอีกเป็นครั้งที่สองอย่างแน่นอน
“นั่นมันแค่สมมติฐาน ซึ่งหมายความว่ามันจะเกิดขึ้นห้าสิบห้าสิบ”
“เออ…กูรู้น่า” ผมถอนหายใจ
“เราต้องจำให้ขึ้นใจว่ายังมีผู้เอาชีวิตรอดอื่นนอกจากเราอีก แม้ว่าเราจะมีมึงที่มีพลังกลายร่างเป็นซอมบี้และพร้อมที่จะขยี้คนได้เป็นกองทัพก็ตาม แต่มันก็มีจุดอ่อนที่ว่ายิ่งบาดเจ็บพลังก็ยิ่งลดเพราะต้องใช้พลังเยียวยา”
“ใช่…ยิ่งใช้พลังเยียวยามากเท่าไหร่ ระยะการใช้งานของพลังก็จะลดลงไปด้วย” ผมยอมรับ “จริง ๆ ต้องยอมรับว่าพลังนี้เป็นพลังที่ควบคุมยากระดับนึงเลยทีเดียว ทุกครั้งที่กลายร่างจะรู้สึกแปลก ๆ ตลอด”
“แปลก ๆ ยังไง?”
“มันก็…อธิบายยากแหะ”
“งั้นไว้บอกพรุ่งนี้เลยไหมล่ะ?”
“ก็แย่ละ…” ผมกรอกตามองบน “ก็แค่ยังไม่ชินกับพลังได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เฉย ๆ เท่านั้นเอง”
“เอาเถอะ…เข้าเรื่องกันดีกว่า” นิวตัดบท “ก็อย่างที่บอก กูกลัวศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าเรา และถ้าเราสองคนเสียท่า เราก็ไม่อยากให้พรรคพวกที่เหลือเป็นอะไรถูกไหม?”
ผมพยักหน้าแทนคำตอบและสายตากวาดไปมาเพื่อระวังซอมบี้ที่จะเดินเข้ามากัดคอเราจากด้านหลังอย่างเงียบ ๆ ซึ่งผมไม่ยอมให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น
“ตอนนี้กูอยากให้มึงมาช่วยฝึกทักษะการต่อสู้และยิงปืน ส่วนใหญ่จะเอาไว้รับมือกับมนุษย์”
“ตอนนี้ก็ต้องเน้นยิงปืนไว้ก่อนแหละ เพราะตอนนี้มนุษย์คงจะจับตัวกันเป็นกลุ่มและสร้างเขตแดนเหมือนที่เรากำลังทำอยู่ อีกอย่างก็คือ พวกมันอาจจะมีคนเยอะกว่าและอาวุธครบมือมากกว่า” ผมพูด
“เห็นด้วยที่จะเน้นฝึกยิงปืน” นิวพนักหน้าเบา ๆ “งั้นพรุ่งนี้จะเริ่มฝึกกันเลย”
“แต่ก่อนจะเริ่ม” ผมแย้ง “เรายังไม่รู้ความสามารถของแต่ละคนเลย ว่าใครเก่งทักษะการต่อสู้แบบไหน มึงก็ไม่ได้จะสอนจระเข้ว่ายน้ำถูกไหม?”
นิวพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“นั่นหมายความว่าเราต้องทดสอบความสามารถของแต่ละคน”
____________________________________________
To Be Continue Ep.34