"พลังที่ผมได้มานั้น...มันคือพรหรือคำสาปกันแน่นะ...? แล้วผมจะใช้พลังนี้แก้ไขประเทศที่ล่มสลายนี้จะกลับเหมือนเดิมได้อย่างไร...?"
แอคชั่น,ชาย-หญิง,สะท้อนปัญหาสังคม,ไทย,เลือดสาด,พล็อตสร้างกระแส,ดราม่า,สยองขวัญ,ผี,ผจญภัย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Undead War สงครามคนเป็น"พลังที่ผมได้มานั้น...มันคือพรหรือคำสาปกันแน่นะ...? แล้วผมจะใช้พลังนี้แก้ไขประเทศที่ล่มสลายนี้จะกลับเหมือนเดิมได้อย่างไร...?"
โรคระบาดยังคงอยู่รอบๆ ตัวเรา ไม่ได้หายไปไหน หมอทุกคนตายกันไปหมดแล้ว ความหวังดับวูบจนไม่เหลือแม้แต่แสงสุดท้าย ราวกับว่าตัวเองกำลังเดินอยู่ในอุโมงค์ไร้แสงสว่างและไร้สิ้นสุด พวกซอมบี้ต่างคอยจะได้กัดกินเนื้อมนุษย์อย่างกับเครื่องจักรที่ไม่มีวันเหนื่อย ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็มีแต่พวกมันอยู่เต็มไปหมด
แต่ความหวังก็ยังไม่หมดไป เมื่อผมสามารถเอาชนะเชื้อไวรัสตัวนี้ได้ ทำให้ร่างกายของผมเกิดกลายพันธุ์และสามารถแปลงกายเป็นซอมบี้ได้ตลอดเวลา นั่นทำให้ผมวิวัฒนาการไปอีกขั้นเพื่อที่จะช่วยเหลือมวลมนุษยชาติได้
สิ่งที่ชายหนุ่มได้พูดออกมานั้นทำให้ทุกคนอึ้งกันไปกับไอเดียของเขา มันเป็นสมมติฐานหนึ่งที่ชวนให้ผมคิดเหมือนกัน ถ้าเราสองคนสามารถพัฒนาตัวเองได้จนถึงขั้นกลายเป็นไทแรนขึ้นมาได้ การบุกยึดหมู่บ้านคืนจากเดวิดก็จะง่ายขึ้น ในตอนนั้นทำให้ผมรู้ว่าไม่สามารถเอาชนะสงครามด้วยการพึ่งพลังซอมบี้ธรรมดา ๆ ได้ เรามีตัวเลือกอยู่สองอย่าง นั่นก็คือ หาวิธีกลายร่างเป็นไทแรนหรือหาพรรคพวกที่แข็งแกร่งเพิ่ม ในทางกลับกันพรรคพวกที่มีอยู่ตรงนี้อย่างกระรอก ทอม เรมัส ไอยา มาย นัทและริน ยังไม่เก่งถึงขนาดดูแลตัวเองได้ ทุกครั้งที่ต้องเผชิญหน้ากับพวกซอมบี้ก็มักจะให้ผมหรือนิวเป็นทัพหน้าอยู่เสมอ
“แล้วถ้ากลายร่างเป็นไทแรนแล้วไม่สามารถควบคุมความรู้สึกนึกคิดเราได้ล่ะ?” เรมัสตั้งข้อสังเกตซึ่งทุกคนก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับข้อสังเกตของชายหนุ่ม “เราเผชิญหน้ากับไทแรนไปครั้งหนึ่งแม้ว่าจะไม่รู้ที่มาที่ไปของมันก็ตาม แต่ถ้ามันเป็นหนึ่งในผู้ครอบครองพลังซอมบี้ด้วยล่ะ? แล้วกลายร่างเป็นไทแรนเพื่อจัดการพวกซอมบี้ แต่ดันควบคุมจิตใจไม่ได้เอง”
“เราว่า…ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าหาวิธีเลยจะดีกว่า” รินพูด “จะให้เสียเอ็นเพราะกลายร่างแบบนี้ฉันยอมรับไม่ได้หรอกนะ”
“ริน…” ผมไหล่ห่อเพราะคำพูดของแฟนสาวก่อนจะฉีกยิ้มให้เธอ “งั้นฉันจะสู้ด้วยพลังทั้งหมดที่มีโดยที่ไม่พยายามกลายเป็นไทแรนก็แล้วกันนะ”
“คิดให้ดีนะเอ็น” คาเรนแย้ง
“คิดดีแล้วล่ะ” ผมหันหน้ามาตอบชายหนุ่มที่กลับคืนร่างเดิมของตัวเองแล้ว “เดี๋ยวจะไปเพิ่มปริมาณเลือดไว้สำหรับกลายร่างก่อนก็แล้วกัน”
บอกตามตรงว่าเรื่องการกลายเป็นไทแรนมันยังอยู่ในหัวผมตลอดเวลา ความลังเลนั้นวุ่นวายกันไม่ต่างจากยุงบินว่อนที่ใบหูสร้างความรำคาญภายในจิตใจเป็นอย่างมาก ถ้าจะยึดหมู่บ้านคืนให้ง่ายขึ้นก็ต้องอาศัยพลังไทแรนของผมและคาเรน หากเราสามารถกลายร่างสำเร็จ แต่ก็ไม่ได้การันตีว่าจิตใจจะยังคงอยู่กับเนื้อกับตัวหรือไม่ ถ้าไม่เป็นไทแรนก็ต้องฝึกพวกที่ยังสู้ด้วยตัวเองไม่ได้ให้แกร่งขึ้นและหาพรรคพวกที่ไว้ใจได้เพิ่ม ดูจากลูกน้องและอาวุธครบมือเหล่านั้นไม่น่าจะมีฝีมือที่ไม่ธรรมดากันเลย
สิ่งที่เราต้องทำก็คือ หาทรัพยากรและเคลียร์ฝูงซอมบี้รอบ ๆ ให้หมด
ตุ้บ!
ระหว่างที่เดินอยู่ในตัวบ้านพลางคิดอะไรไปเรื่อย จู่ ๆ ก็เห็นก้อนขนมปังวางไว้กับพื้น ด้วยความหิวโหยทำให้ดวงตาของผมเป็นประกายโดยที่ไม่ได้นึกถึงหลังเหตุเลยผลเลย
“ของกิน…” ใช่ครับ…ผมไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เอาชนะไทแรน
แต่แล้ว ก็รู้สึกถึงใครบางคนย่องมาจากทางด้านหลัง
“ผู้ใช้พลังซอมบี้ไร้เทียมทานกลับโดนลูกไม้ตื้น ๆ นี่หลอกอย่างง่ายดายเนี่ยนะ?” เสียงของวินกระซิบที่ข้างหูก่อนจะถูกของแข็งกระแทกเข้าที่ท้ายทอยอย่างแรงจนทำให้โลกทั้งใบของผมดับวูบ
“จับมาได้แล้วงั้นสิ?” เสียงผู้หญิงที่ฟังคุ้นหูดังขึ้น
“ก็เออสิ กว่าจะปีนกำแพงออกมาได้โคตรเสี่ยงเลย แต่ตอนนี้พวกมันน่าจะเริ่มรู้ตัวกันแล้ว” เสียงของวินดังขึ้น
“ก็ช่างมันเถอะ มาอยู่ที่นี่ก็คงไม่น่าจะมีใครพบหรอก” เสียงผู้หญิงดูไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่…แต่เดี๋ยวนะ…ผมจำเสียงนี้ได้…ฮีซุย…? งั้นเหรอ? “โอ๊ะ! มันตื่นแล้ว”
“ครอบครองพลังซอมบี้นี่มันดีจริง ๆ เลยนะ ฟื้นเร็วกว่าที่คิดเสียอีก” วินกระชากผ้าปิดตาผมออก แสงสว่างวาบสาดเข้ามาในดวงตาจนทำให้ผมต้องหยีตาเพื่อปรับสภาพของรูม่านตา ซึ่งใช้เวลาไม่นานก็สามารถเห็นทุกอย่างรอบ ๆ
ผมถูกจับมัดเอาไว้ที่กลางป่าซึ่งบริเวณนี้เป็นที่โล่ง แม้ว่าตอนนี้จะเป็นเวลากลางคืนแล้วก็ตาม แสงสว่างที่สาดส่องเข้ามานั้นล้วนมาจากรถไฟหน้ารถที่หันมาหาพวกเราเท่านั้น วินและฮีซุยยืนกอดอกหันหลังให้แสงไฟ อีกทั้งยังมีชายฉกรรจ์ถืออาวุธปืนประมาณห้าถึงหกคนและอีกสองคนที่กำลังจ่อปลายกระบอกปืนมาที่ขมับของผม ให้ตายสิ…ไม่มีเลือดซอมบี้แบบนี้จะกลายร่างหนีได้ยังไง…?
“ยังไม่ตายจริง ๆ ด้วย…” ผมพูดอย่างไม่สบอารมณ์เมื่อเห็นหน้าอดีตแฟนสาว
“ก็ไม่ตายน่ะสิ” เธอพูดด้วยท่าทางที่หยิ่งยโส “ตอนแรกกะจะเอาพลังซอมบี้มาใช้เพื่อสู้กับพวกนิวและไปยึดหมู่บ้านนั้นจากตาเฒ่าที่ชื่อว่าเดวิดอะไรนั้นอย่างที่วินบอก และเมล็ดพันธุ์ที่เธอให้ไว้นั้นยังคงอยู่ในนี้เสมอ”
หญิงสาวเลื่อนมือไปลูบที่หน้าท้องของตัวเองที่กำลังป่องอย่างผิดปกติ นั่นทำให้ผมเบิกตาโต…ไม่จริงใช่มั้ย…?
“ก็เลยคิดว่าต่อให้จับเธอมาก็ไม่น่าจะมีประโยชน์อะไร เพราะหากเด็กที่เกิดมานั้นเป็นลูกของเอ็นจริง ๆ เชื้อพลังซอมบี้ของเด็กคนนี้ก็จะทำให้เราชัย” เธอแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย
“… ” ผมพูดอะไรไม่ออก…นี่เราทำฮีซุยท้องงั้นเหรอ…?
เป็นไปไม่ได้…
“นี่เอ็น…” ฮีซุยเดินเข้ามานั่งคร่อมบนตักผมและเปลี่ยนรอยยิ้มที่ชั่วร้ายเป็นรอยยิ้มอันแสนยั่วยวน แขนทั้งสองข้างโอบคอของผมไว้ ใบหน้าของเราเข้าใกล้หากันจนสามารถรับรู้ถึงลมหายใจของเธอ “เค้าคิดถึง ‘สามี’ คนนี้ที่สุดเลยนะและเด็กในท้องคนนี้ก็ต้องการพ่อด้วย…เค้าไม่อยากให้เด็กคนนี้กำพร้าพ่อ เพราะฉะนั้นมาร่วมมือกับพวกเราดีกว่านะ” เธอยิ่งยื่นหน้าเข้ามาใกล้มากขึ้นจนผมไม่สามารถเอี่ยวตัวให้ห่างไปมากกว่านี้แล้ว “เรากลับมาอยู่ด้วยกันสามคนพ่อแม่ลูกด้วยดีกว่านะ ในโลกที่สกปรกแบบนี้มีเราก็พอแล้ว คนอื่นจะเป็นยังไงก็ช่าง โลกจะล่มสลายก็ช่างมัน…เถอะนะคะ…ที่รัก”
เสียงอันยั่วยวนที่เธอทำนั้นเกือบจะทำให้ผมหลงในมนตร์เสน่ห์ของเธออีกครั้ง โชคดีที่ผมยังสามารถควบคุมสติของตัวเองไว้ได้ เลยเอาชนะมารยาของเธอไปได้…
“ไม่ล่ะ” ผมตอบ “เด็กที่เกิดมาโดยที่ไม่ได้ตั้งใจของฉัน ไม่ถือว่าเป็นลูกฉันหรอก”
“ชิ! สารเลวเอ้ย” ผละออกจากผมก่อนจะเหวี่ยงมือตบที่ใบหน้าผมอย่างแรงจนเลือดกระเด็นออกจากปาก…แรงเธอเยอะขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย…? “งั้นก็ต้องจัดการกับกลุ่มของเธอแล้วน่ะสิ ได้ข่าวว่ามีเมียใหม่มาแทนที่ฉันแล้วนี่…ชื่อว่าอะไรนะ คาโอรินสินะ ปกติก็ไม่ได้ยุ่งอะไรกับนางเท่าไหร่ แต่ก็อยากจะสนทนากับเธอเรื่องที่เด็กในท้องคนนี้จังเลย อยากรู้ว่านางจะทำหน้ายังไงเมื่อได้รู้กันนะ?”
“อย่าทำอะไรเธอเด็ดขาด”
ผมถลึงตาใส่หญิงสาวอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ
ใช่…ต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นแฟนเก่าก็ตาม ถ้ามายุ่งกับ ‘แฟนใหม่’ อย่างรินล่ะก็ เธอจะไม่ตายดีแน่ แม้ว่าจะมีลูก…ไม่สิ เด็กในท้องก็ตาม ความรู้สึกบีบคั้นอัดแน่นอยู่ในอกและร้อนราวกับถูกสุมไฟกองใหญ่ เหงื่อหลายเม็ดผุดขึ้นตามรูขุมขน สายตาของหญิงสาวจับจ้องมาที่ผมราวกับมีแผนอะไรบางอย่างในหัว ซึ่งตัวเองไม่สามารถเดาออกว่าในหัวของเธอนั้นมีอะไรอยู่กันแน่ ต่อไปเธอจะทำอะไร ในความเป็นจริงถ้าคิดให้ดี ๆ แล้วผมไม่สมควรจะคิดมาก เพราะต่อให้ฮีซุยยกพวกที่มีผู้ชายติดอาวุธครบมือจำนวนแค่นี้ คาเรนและนิวสองคนก็สามารถจัดการได้อยู่หมัดอยู่แล้ว
ผมจึงพ่นลมออกจากจมูกอย่างโล่งใจ
“เธอนี่มันแพศยา…ไม่เอา ไม่พูดคำจากละครน้ำเน่าดีกว่า…มึงนี่แม่งโคตรกะหรี่เลยว่ะ เอากับวินไม่พอก็มาเอากับกู พอกูไม่อยู่ก็คันจิ๋มตัวเองจนต้องไปเอากับผู้ชายพวกนี้เลยเหรอ เผลอ ๆ เด็กในท้องนั้นอาจจะไม่ใช่ลูกของกูก็ได้ มึงอาจจะไปท้องกับใครสักคนในพวกนี้แล้วมาอ้างว่ากูเป็นพ่อของเด็กก็ได้”
ปั้ง!! กระสุนบินเฉียดแก้มผมไปและเฉียดร่างของชายที่จ่อปลายกระบอกปืนใส่ผม
“ทำอะไรน่ะเจ๊!?” เสียงของชายที่ยืนอยู่ด้านหลังดังขึ้น น้ำเสียงดูตกใจไม่น้อย “เดี๋ยวพวกซอมบี้แถวนี้ก็แห่กันมาหรอก!”
“ถ้าจะมาก็เป็นเพราะเสียงมึงนั่นแหละ” ฮีซุยสวนกลับอย่างหงุดหงิด “ได้เย่อกูไปแล้วก็อย่าพูดมาก!”
สันดานของเธอไม่ใช่เป็นคนที่ฉุนเฉียวขนาดนี้นี่…นี่คงจะเป็นสันดานแท้ ๆ ของเธอสินะ
“ดูท่าเจ๊ของเราจะหงุดหงิดว่ะ” ชายที่ใส่ชุดตำรวจพูดขึ้น “แต่ก็ยังน่ารักอยู่ดีนั่นแหละ เมียที่มีผัวหลายคนก็ลำบากแบบนี้นั่นแหละ”
“ใครบอกว่าพวกแกเป็นผัวฮีซุยกันวะ?” วินถามอย่างอารมณ์เสีย
“ก็แล้วแต่ว่าเด็กในท้องนั้นมีดีเอ็นเอของใครอยู่ยังไงล่ะ” ชายอีกคนในชุดทหารตั้งคำถาม
“แล้วจะตรวจดีเอ็นเอยังไงล่ะ?” วินตั้งคำถามกลับเหมือนกัน “มีหมาตัวไหนในนี้ทำได้มั่งไหม? ก็ไม่มี”
วินชี้หน้าไปยังชายชุดทหาร
“ไอ้โจ! มึงเป็นชายชาติทหารซะเปล่า แต่ทำไมยืนนิ่งแบบนั้นล่ะ? ทำห่าอะไรไม่เป็นนอกจากถือปืนแล้วทำตามคำสั่งเจ้านายหรือยังไง?”
“ไม่…เออ…ใช่ครับ!” โจตอบพร้อมกระชับปืนไรเฟิลเอ็มสิบหกไว้ในมืออย่างแข็งขัน
“งั้นมึงก็เป็นแค่เบี้ยล่างที่คอยเอาลิ้นเลียอยู่นั่นแหละ ต่อไปทำห่าอะไรก็ไม่เจริญหรอกนอกจากโกงกินบ้านเมืองไปวัน ๆ เหมือนกับเจ้านายของพวกมึงที่ทำให้ประเทศของเราล่มจมมาจนถึงทุกวันนี้”
“ไม่จริงครับ!” ชายที่สวมชุดตำรวจสวนขึ้นมา วินหันไปสบตาเขา
“ไม่งั้นเหรอ?” วินเอียงคอด้วยความหงุดหงิดที่ต้องมานั่งเถียงกับไอ้พวกราชการที่ไร้การศึกษาและบ้ายศแบบนี้ “แล้วที่มึงทำอยู่เมื่อก่อนหน้านั้นล่ะ? วันที่มีม็อบวันนั้นพวกมึงยังกระทืบคนเป็นผักเป็นปลาอยู่เลยนี่ แถม…ไอ้ปืนห่านี่แม่งของจริงหรือเปล่าวะ?” ชายหนุ่มที่กำลังหัวร้อนได้คว้าปืนไปจากนายทหารร่างเล็กคนนั้นแล้วจ่อปลายกระบอกปืนไปที่ดวงตาของตัวเองพร้อมกับหลับตาหนึ่งข้าง “กระสุนที่ใส่อยู่นี่เป็นของจริงหรือเปล่าวะ?”
“พอเถอะ” ฮีซุยถอนหายใจ “ฉันขี้เกียจฟังเรื่องเก่า ๆ นั่นแล้ว”
วินส่งปืนให้กับนายทหารนั่นอย่างไม่เต็มใจพร้อมส่งสายตาเป็นเชิงขู่ให้กลัว ส่วนหญิงสาวเดินเข้ามาหาผมพร้อมกับส่งสายตาอันยั่วยวนมาให้ก่อนจะค่อย ๆ นั่งยอง ๆ แยกขาผมออกแล้วเคลื่อนตัวเข้ามาอยู่ระหว่างมัน
“ตอนนี้อายุครรภ์น่าจะได้ประมาณไม่กี่เดือนแล้ว และฉันก็หนีออกมาจากกลุ่มของพวกแกก็…เวลาตรงกันเป๊ะ” เธอพูด
“แล้วไหนล่ะ? สมุนของเธออีกตั้งพันคนน่ะ” ผมขมวดคิ้วอย่างไม่เป็นมิตร “ไอ้ดอม…คนที่เธอส่งข้อความมาน่ะ…มันอยู่ไหนแล้วล่ะ?”
“ศพมันอยู่เมืองที่แล้วน่ะ แต่ไม่ใช่ความผิดของฉันเลยนะเอาจริง ๆ เป็นเพราะดอมต่างหากที่เอาตัวเข้าไปรับเขี้ยวของพวกซอมบี้แทนฉันต่างหากล่ะ” หญิงสาวทำน้ำเสียงอย่างกับนางเอกละครตอแหล
“กูเสียใจที่เคยไว้ใจคำพูดของเธอ…รู้สึกขยะแขยงที่เอาดุ้นของกูยัดเข้าไปในช่องคลอดของเธอและรู้สึกสงสารเด็กที่อยู่ในท้องของกู…มั้ง…ที่ต้องมาเติบโตในครรภ์มารดาที่น่ารังเกียจแบบนี้” ผมพูดเย้ยหยันอีกฝ่าย แต่แล้วก็ถูกเอาสันปืนฟาดเข้าที่ใบหน้าอย่างจังด้วยฝีมือของนายทหารหนุ่มร่างเล็กที่ชื่อโจนั่น ผมถุยเลือดทิ้งไปเปื้อนรองเท้าของตำรวจหนุ่ม เขาชกหน้าผมทันที “แหม ๆ ประชาชนขอความช่วยเหลือนี่ลีลา แต่พอตัวเองโดนเข้าหน่อยแล้วปฏิบัติอย่างไวเลยนะ ฮ่ะ! ฮ่ะ!”
“เรื่องของกู กูมีกฎหมายในมือ กูจะทำอะไรก็ได้” ตำรวจหนุ่มอวดอ้างสรรพคุณอำนาจอันหอมหวานราวกับน้ำผึ้งที่อยู่ในมือ
“แต่ตอนนี้ตำรวจอย่างมึงเป็นได้แค่เครื่องแบบว่ะ” ผมสวนกลับ นั่นทำให้เขาชกผมอีกครั้ง ราวนี้เล่นเอาเลือดกำเดาไหลเลยทีเดียว ถามว่าเจ็บมั้ย? ไม่ค่อยเท่าไหร่…”แล้วไหนล่ะ ลูกน้องพันคนของเธอล่ะ? เท่าที่เห็นมีแค่…ไม่กี่คนเอง นี่นับได้เจ็ดคนใช่มั้ย? ลองตัดเชือกที่มัดไว้สิ แล้วให้พวกมึงรุมกูให้หมดเลย ต่อให้กูไม่ต้องกลายร่างก็ไม่สามารถทำอะไรกูได้หรอก”
“…”
“ไม่กล้าล่ะสิ” วินเริ่มเบื่อกับการเล่นตลกของผมในครั้งนี้ เขาจึงหยิบตะปูขึ้นมาหนึ่งตัว จากนั้นก็สั่งให้พวกมันแก้เชือกให้ผมแล้วประกบมือทั้งข้างให้ประนม
“กูให้เวลามึงอวดเก่งมานานแล้วว่ะไอ้เอ็น” เขาทิ่มปลายแหลมของตะปูทะลุฝ่ามือทั้งสองข้างของผมอย่างรวดเร็ว ความเจ็บปวดอันทวีคูณได้สำแดงฤทธิ์ออกมา ผมกรีดร้องอย่างอย่างเจ็บปวด ฮีซุยเห็นดังนั้นก็หัวเราะกับอาการของผม
“เบ่งต่อสิ” เธอท้าทาย “ทำไมล่ะ…? ตอนนี้ทำได้แค่เบ่งขี้อย่างเดียวหรือไง?”
ผมกัดฟันอย่างทรมานความเจ็บปวดที่มือทั้งสองข้างยังไม่บรรเทา เลือดสีแดงเข้มจำนวนมากไหลออกมาจากบาดแผล อะดรีนาลีนสูบฉีดอย่างบ้าคลั่งทำให้อาการเจ็บปวดไม่ทวีความรุนแรงไปมากกว่านี้…รอก่อนเหอะ…รอให้ออกไปได้ก่อนเถอะ คราวนี้จะเด็ดหัวออกมาจริง ๆ อย่างแน่นอน
“เอาล่ะ…คราวนี้มาเข้าเรื่องของเรากันดีกว่า” เธอหันตัวออกมาจากผมพูดก่อนจะหันกลับมา
“มาแต่งงานกับกูซะดี ๆ”
____________________________________________
To Be Continue Ep.41