"พลังที่ผมได้มานั้น...มันคือพรหรือคำสาปกันแน่นะ...? แล้วผมจะใช้พลังนี้แก้ไขประเทศที่ล่มสลายนี้จะกลับเหมือนเดิมได้อย่างไร...?"
แอคชั่น,ชาย-หญิง,สะท้อนปัญหาสังคม,ไทย,เลือดสาด,พล็อตสร้างกระแส,ดราม่า,สยองขวัญ,ผี,ผจญภัย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Undead War สงครามคนเป็น"พลังที่ผมได้มานั้น...มันคือพรหรือคำสาปกันแน่นะ...? แล้วผมจะใช้พลังนี้แก้ไขประเทศที่ล่มสลายนี้จะกลับเหมือนเดิมได้อย่างไร...?"
โรคระบาดยังคงอยู่รอบๆ ตัวเรา ไม่ได้หายไปไหน หมอทุกคนตายกันไปหมดแล้ว ความหวังดับวูบจนไม่เหลือแม้แต่แสงสุดท้าย ราวกับว่าตัวเองกำลังเดินอยู่ในอุโมงค์ไร้แสงสว่างและไร้สิ้นสุด พวกซอมบี้ต่างคอยจะได้กัดกินเนื้อมนุษย์อย่างกับเครื่องจักรที่ไม่มีวันเหนื่อย ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็มีแต่พวกมันอยู่เต็มไปหมด
แต่ความหวังก็ยังไม่หมดไป เมื่อผมสามารถเอาชนะเชื้อไวรัสตัวนี้ได้ ทำให้ร่างกายของผมเกิดกลายพันธุ์และสามารถแปลงกายเป็นซอมบี้ได้ตลอดเวลา นั่นทำให้ผมวิวัฒนาการไปอีกขั้นเพื่อที่จะช่วยเหลือมวลมนุษยชาติได้
ฉันมีคำถามอยู่หลายข้อเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายไว้เยอะพอ ๆ กับคนอื่นที่คิดในเรื่องเดียวกัน ตลอดที่ใช้ชีวิตและเกิดมาอยู่บนโลกนี้ ฉันพยายามค้นหามาตลอดเลยว่าชีวิตหลังความตายมันเป็นยังไง คำตอบที่ฉันเจอส่วนใหญ่มักจะเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาทั้งนั้น…ก็แน่ล่ะ ใครจะบ้าไปรู้ว่าโลกหลังความตายจะเป็นยังไงนอกจากต้องตายแล้วฟื้นขึ้นมาเล่า บางคนได้เขียนเอาไว้ในเว็บบอร์ดว่า ‘หลังจากที่เราตายประมาณหนึ่งหรือสองวันก็มักจะไม่รู้ว่าตัวเองได้เสียชีวิต พอเจ็ดวันให้หลังก็จะรู้เอง วิญญาณจะถูกกักบริเวณไว้สี่สิบเก้าวันเพื่อรอพิจารณาคดี ในระหว่างนั้นดวงวิญญาณก็ต้องรอคอยบุญกุศลจากลูกหลานทางโลกที่กำลังง่วนอยู่กับงานศพ’ เหมือนหนังเกาหลีที่เคยดูเลยแฮะ
‘ขณะที่วิญญาณของผู้ตายออกจากร่าง ชีวิตหลังความตายก็จะเริ่มต้นขึ้นในโลกที่ผู้ตายต้องเข้าไปเพียงลำพัง ไม่มีสิ่งใดเลยที่สามารถเอาติดตัวจากโลกมนุษย์ได้ เว้นเสียแต่บาปกับบุญ’
ฉันทำบาปมามากมาย…คงจะไม่มีวันได้ผุดได้เกิดแล้วล่ะมั้ง…
หลังจากนั้นฉันก็อ่านไปเรื่อย ๆ ซึ่งมันทำให้รู้สึกเหมือนกับว่ากำลังอ่านนิยายแนวแฟนตาซีอยู่เลย ทุกอย่างมันดูน่าเหลือเชื่อไปหมด แต่ก็ไม่ได้เชื่อไปหมดและก็ยังค้นหาคำตอบภายในหน้าจอนั่นแหละ ถ้าจะให้ไปค้นหาในห้องสมุดก็คงจะใช้เวลานานเกินไป เผลอ ๆ ฉันต้องอ่านให้หมดเล่มถึงจะรู้และเข้าใจทุกอย่าง ซึ่งฉันเชื่อว่ามันจะไม่ได้เข้าใจร้อยเปอร์เซ็นต์หากยังไม่ได้ไปสัมผัสจริง ๆ
คนเรามักจะกลัวความตายเสมอ นั่นหมายความว่ารวมถึงฉันด้วย ฉันไม่ใช่ผู้วิเศษ ไม่ใช่สายพันธุ์ไหนนอกจากมนุษย์โลกธรรมดาที่เวียนว่ายตายเกิดเป็นวัฏจักร ฉันเกิดมา โตขึ้น แก่ลง จากนั้นก็ตาย เกิด แก่ เจ็บ ตายนั้นเป็นเรื่องที่ธรรมดาอย่างที่มนุษย์ทุกคนจะต้องเผชิญ เป็นความกลัวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์เลยก็ว่าได้ สำหรับบางคนที่ไม่กลัวเพราะเขายอมรับความจริงในข้อนี้แล้ว เหมือนประเทศนี้เข้าสู่กลียุคแบบนี้ เส้นด้ายแห่งชีวิตก็จะยิ่งบางลงเรื่อย ๆ ความเสี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับความตายนั้นมีมากมายยิ่งกว่าเมื่อก่อนเลยทีเดียว ไม่มีที่ไหนปลอดภัยสำหรับมนุษย์อีกต่อไป จะทำยังไงให้มีชีวิตรอดล่ะ?
ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน…มันไม่ได้มีบอกไว้ในตำรานี่…แล้วใครจะฟื้นคืนชีพมาเขียนให้ฟังล่ะว่า ตายแล้วจะเป็นแบบนี้ แบบนี้ แบบนี้…ไม่รู้สิ…แต่ฉันเชื่อว่าความตายมันคือความว่างเปล่า ล่องลอยอยู่ที่ไหนสักแห่งที่มืดมิด ไม่มีแม้แต่แบคทีเรีย ไม่มีอะไรเลย รวมถึงตัวเราเองด้วย…เอาล่ะ…ฉันพร้อมที่จะตายแล้ว
สติของฉันถูกปลุกขึ้นมาจากแรงสั่นสะเทือนของอะไรบางอย่าง ฉันไม่สามารถเห็นได้เพราะว่ามีผ้าคลุมสีดำผิดบังใบหน้าอยู่ มือทั้งสองข้างถูกมัดไขว้ไว้ด้านหลัง ฉันตัดสินใจขยับตัว แต่ก็ถูกมือของใครบางคนมาอุดปากไว้ นั่นยิ่งทำให้ฉันเริ่มดิ้นอีกครั้ง
“อย่าดิ้น” เสียงของเอ็นกระซิบ “ถ้าดิ้นเธอจะผิดหวังไปตลอดชีวิต”
นี่มันเรื่องอะไรกัน…? นี่ฉันถูกจับไม่ใช่เหรอ…? แล้วอีคาโอรินอะไรนั่นทำไมไม่ฆ่าฉันไปให้รู้แล้วรู้รอดเลยล่ะ? จะปล่อยให้ฉันทรมานตัวเองทำไม?
ฉันค่อย ๆ ผ่อนคลายตัวเอง เมื่ออีกฝ่ายรู้ว่าฉันนิ่งก็เอามือออก กลิ่นคาวเลือดลอยมาเตะจมูก เสียงครางของพวกซอมบี้ลอยมาเตะหู ฉันตัวสั่นเทิ้มไปหมดเพราะจากที่ฟังดูแล้วพวกมันไม่ได้มีตัวเดียว แต่เป็นร้อย ๆ!
“เธอน่าจะให้คาโอรินฆ่าฉันซะ” ฉันพูดกระซิบใส่อีกฝ่ายอย่างประชดประชัน
“ไม่ได้หรอก” เอ็นกระซิบ “ในฐานะแฟนเก่าก็อยากจะทำอะไรให้เธอเป็นอย่างสุดท้ายก่อนที่เธอจะตาย”
“ก็อีแค่ความตายมันจะน่ากลัวสักแค่ไหนเชียว” ฉันพูดอย่างดูถูก
“เธออย่าดูถูกความตายเลย” เขาแย้ง “มันไม่ใช่สถานที่ที่น่าพิสมัยเท่าไหร่ มันว่างเปล่าไปหมด ไม่มีสวรรค์ ไม่มีนรก มีแต่ตัวเรา ตัวเราเท่านั้น”
เขาพูดอะไรของเขาน่ะ…
“เธอคงจะลืมไปแล้วสิว่าผมคนเรานั้นตายไปแล้ว จากนั้นก็เกิดใหม่โดยการรับพลังซอมบี้มาใช้เพื่อเอาชีวิตรอด” เขาพูด
“ฉันไม่รู้…มันไม่ได้มีอยู่ในตำราที่ฉันอ่าน” ฉันพูดเสียงเบา ความรู้สึกมันดาวน์ลงไปอีกแล้ว…ให้ตายสิ…เกลียดความรู้สึกนี้จริง ๆ
“ใครมันจะไปเขียนตำรากันล่ะ คนที่ตายแล้วก็คือตาย ไม่มีทางกลับมาเดินไปไหนมาไหนเหมือนฉันได้หรอก” เขาพูดอย่างอวดดี
“ขนาดไม่ได้เป็นแฟนกันแล้วก็ยังจะพูดแหย่กันได้แบบนี้อยู่อีกเหรอ?”
“แล้วอยากจะกลับมาเป็นแฟนกันไหมล่ะ?”
“ไม่ดีกว่าค่ะ…ไหน ๆ ฉันก็กำลังจะตายอยู่แล้ว ขอตายทั้ง ๆ ที่ยังโสดนั่นแหละ” ฉันถอนหายใจ
“ก็ยังประชดประชันเก่งเหมือนเดิม เพราะผมจะไม่ให้เธอตายทั้ง ๆ ที่ยังโสดหรอกครับ” ชายหนุ่มยื่นปากมาใกล้หู ไออุ่นของเขาทำให้หัวใจของฉันเต้นแรง…หยุดสิวะ…จะตายอยู่แล้วยังจะมีเต้นแบบไม่มีจังหวะแบบนี้อีกเหรอ!?
“ตั้งคำถามเยอะจัง” เขาพูดขึ้น
“แล้วมันผิดด้วยเหรอ?”
“ไม่ครับ ไม่ผิดเลย แต่ผมแค่รำคาญเวลาใครบางคนที่ตั้งคำถามขึ้นมาเพื่อทำร้ายคนอื่นหรือบีบคั้นให้พูดบางอย่างที่ตัวเองต้องการออกมาเพื่อหักหน้าคนนั้นให้เป็นสองท่อนทั้ง ๆ ที่รู้คำตอบอยู่แก่ใจแล้ว” เอ็นบอก “สุดท้ายแล้วก็แค่ต้องการให้คนนั้นพูดออกมาจากปากของเขาเอง อย่างฉันบอกรักเธอก็ไม่อิมแพ็กเท่าวินบอกรักเธอ ถูกไหมล่ะ?”
ร่างกายของฉันชะงักเมื่อเขาพูดประโยคนั้นขึ้นมา แม้ว่ามันเป็นสิ่งที่ฉันไม่ได้คิดร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่การที่เอ็นได้มาพูดอย่างนี้ใส่ที่หูของฉัน มันก็กลายเป็นการซ้ำมากกว่าเดิมว่าแท้จริงแล้ว ‘ฉันรักเอ็น’ ให้ตายสิ…คำพูดมันติดอยู่ที่ริมฝีปากซึ่งไม่ยอมออกไปเสียที…ฉันควรจะทำอย่างไรดีล่ะ…?
ช่างมันเถอะ…ไหน ๆ ก็จะตายทั้งทีก็ให้ตายแบบนี้นั่นแหละ….
พรึ่บ!!
แสงสว่างจ้าได้สาดส่องเข้ามาในดวงตาของฉันจนต้องหลับตาปี๋ เมื่อค่อย ๆ ลืมตาที่เริ่มปรับสภาพได้ก็เห็นว่าฉันนั่งอยู่บนเก้าอี้ล้อเลื่อนของคนไข้ มือที่ถูกมัดด้วยเชือกได้ถูกตัดออกโดยเอ็น เมื่อมาสังเกตตัวเองก็เห็นว่ากำลังสวมชุดแต่งงานสีขาวบริสุทธ์ จากนั้นเอ็นก็ยื่นกระจกมาให้ ดวงตาของฉันเบิกโพลงเหมือนเห็นว่าใบหน้าของฉันถูกแต่งด้วยเครื่องสำอางจนสวยผิดหูผิดตา รวมถึงทรงผมที่ปล่อยยาวสลวยลงก่อนและถูกดัดให้เป็นลอน บนศีรษะมีมงกุฎดอกไม้สีขาวสวมไว้อยู่
“นี่มันเรื่องอะไรกัน…” ฉันเทียบจะตกใจไปเป็นรอบที่สองเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มในชุดทักซิโด้นั้นคือเอ็น ผิวของเขาที่ซีดค่อย ๆ กลับมาเป็นสีเนื้อมนุษย์ปกติ ผมเผ้าถูกตัดเป็นระเบียบรวมถึงหนวดเคราที่โกนจนเกลี้ยง เหลือเพียงใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาแทน…ก่อนที่เข้าจะได้รับพลังนี้ เขาไม่ได้มีรูปร่างที่หล่อขนาดนี้มาก่อน แต่ในปัจจุบัน…เขาทำให้ฉันลืมความตายไปชั่วขณะ กาลเวลามันหยุดลงก่อนจะเข้าสู่จังหวะของการตกหลุมรักอีกครั้ง
ในความเป็นจริงฉันไม่เคยตกหลุมรักใครเกินหนึ่งครั้ง
แต่มีเพียงเขาคนเดียวที่สามารถปลดล็อกมันได้
“ลุกขึ้นมาสิครับ เจ้าหญิง”
เขาเรียกฉันว่าเจ้าหญิง!?
นี่มันหมายความว่ายังไงกันแน่วะ!?
เมื่อฉันลุกขึ้นยืน สิ่งที่ฉันเห็นเมื่อมองไปรอบ ๆ ก็เห็นพวกซอมบี้ยืนล้อมรอบพวกเราอยู่โดยมีไม้กระดานกั้นเพื่อไม่ให้มันเข้ามาใกล้ หัวใจของฉันตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม ความกลัวค่อย ๆ ครอบงำจิตใจของฉัน ร่างกายสั่นเทิ้มไปด้วยความกลัว ขาของฉันไม่มีแรงแล้วแถมตอนนี้ก็ยังไร้อาวุธ ถ้าพวกมันหลุดเข้ามาก็คงไม่เหลือแต่กระดูก!
“ไม่ต้องกลัวนะ”
สิ้นเสียงของเอ็น ฉันก็เข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขาเป็นที่เรียบร้อย ความอบอุ่นจากกายของเขาได้แผ่มาถึงฉันจนทำให้รู้สึกอบอุ่นไปด้วย อีกทั้งยังทำให้ผ่อนคลายจากสิ่งที่เจอมสเมื่อกี้ “ผมอยู่ตรงนี้แล้ว” น้ำเสียงอันนุ่มนวลของเขาช่างไพเราะกว่าวันไหน ๆ เหลือเกิน
เขาผละออกจากร่างของฉันก่อนจะคุกเข่าลงกับพื้นโดยชันเข่าขึ้นมาหนึ่งข้าง ดวงตาอันเฉียบคมจับจ้องมาที่ฉันอย่างไม่ละสายตา ทำให้ฉันตกอยู่ในห้วงภวังค์แห่งความรัก หัวใจของฉันเต้นไม่เป็นจังหวะ ไม่เคยมีใครมาทำแบบนี้กับฉันเลย หัวใจของฉันยิ่งฟูมากขึ้นเป็นขนมสายไหมเมื่อเห็นแหวนเพชรอยู่ตรงหน้า วันนี้ตาของฉันเบิกเยอะไปหน่อยหรือเปล่าเนี่ย…แต่ฉันรู้ว่าเขากำลังหมายถึงอะไร
“ฮีซุยครับ”
“คะ…?”
“แต่งงานกับผมนะครับ”
หัวใจของฉันแทบจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ ขาของฉันอ่อนแรงจนร่างกายทรุดไปกับพื้น แต่เอ็นเร็วกว่า เขาพุ่งเข้ามาประคองฉันเอาไว้ เขากอดฉันและจูบที่หน้าผาก น้ำตาของเขาไหลออกมา ฉันมองตาเขาและปาดน้ำตาให้อย่างนุ่มนวล เขาเลิกกับคาโอรินแล้วตัดสินใจแต่งงานกับฉันสินะ…ให้ตายสิ…คนอย่างเขายิ่งตัดออกไปจากหัวใจมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเหนียวแน่นกว่าเดิมเท่านั้น เขาคือคู่แท้ของฉันจริง ๆ อย่างที่ฉันเคยคิดมาตลอดสินะ ฉันผ่านผู้ชายมาหลายมือก็จริง แต่เขาก็ได้แต่เพียงร่างกาย เอ็นต่างหากที่คู่ควรจะได้ทั้งร่างกายและหัวใจของฉันอย่างไร้เงื่อนไข หลังจากนี้เราจะเอาชีวิตรอดด้วยกัน เผลอ ๆ ฉันอาจจะให้เขาสอนการสู้เพื่อที่จะกลายเป็นกำลังสำคัญให้กับเขาได้ โลกทั้งใบนี้จะมีแค่เราสองคน…เราสองคนเพียงแค่นั้น! หลังจากนั้นฉันก็จะตั้งท้องและให้กำเนิดลูกของเขา…ว่าแต่พลังซอมบี้ของเอ็นจะถ่ายทอดไปถึงลูกหรือเปล่านะ…ก็ไม่รู้เหมือนกัน หลังจากนี้ทุกอย่างจะเป็นยังไงก็ปล่อยให้มันเกิดขึ้นก็แล้วกัน
เพราะโลกทั้งใบมีแค่เอ็นคนเดียวก็พอแล้ว
จู่ ๆ ชายหนุ่มสวมชุดบาทหลวงเดินเข้ามาหาพวกเราพร้อมกับหนังสือเล่มหนาในมือ เมื่อเห็นปกก็รู้ได้ทันทีว่ามันคือคัมภีร์ไบเบิล
“อะ…เออ… ที่รักคะ…” เราสองคนค่อย ๆ ลุกขึ้นโดยมีว่าที่สามีคอยดึงขึ้นมา “เรานับถือศาสนาพุทธไม่ใช่เหรอคะ?”
“ในโลกที่เป็นแบบนี้ จะจัดงานแต่งงานสำหรับเราสองคนสักงานก็น่าจะใช้ศาสนาไหนก็ได้ และผมคิดว่าการแต่งงานแบบคริสต์เตียนนี่แหละโรแมนติกที่สุดแล้ว” คำพูดอันหวานซึ้งของเขาทำให้ความปลื้มปิติยินดีพุ่งขึ้นมา ฉันเอาศีรษะไปซบลงบนไหล่ของชายหนุ่มที่กว้างกว่าตอนที่เจอกันครั้งแรก
ให้ตายสิ…กล้ามของเขามีเป็นมัด ๆ เลย
“เริ่มเลยก็ได้นะมังกร อีกแป๊บเดียวก็จะมืดแล้ว” เอ็นบอก
“งั้นก็จะข้ามส่วนที่ต้องอ่านพระคัมภีร์ก็แล้วกันนะ” อีกฝ่ายพูดก่อนจะเริ่มเปิดคัมภีร์ออกมา เขากระแอมสองครั้งก่อนจะบอกให้เอ็นและฉันจับมือแล้วหันตัวเข้าหากัน
ในวินาทีนั้นทุก ๆ อย่างรอบตัวล้วนเป็นสีชมพู เสียงซอมบี้ที่ล้อมรอบนั้นได้กลายเป็นเสียงเพลง Perfect ของ Ed Sheeran บรรเลงคลอ ทำให้บรรยากาศนั้นไม่ต่างจากอยู่ในความฝัน
ถ้านี่เป็นความฝันจริง ๆ ขอหลับแบบนี้ไปตลอดชีวิดได้ไหม…
โลกแห่งความเป็นจริงนั้นช่างโหดร้ายเสียเหลือเกิน
“คุณเอ็นครับ คุณจะรับคุณฮีซุยเป็นภรรยา และสัญญาว่าจะถือซื่อสัตย์ต่อคุณฮีซุยทั้งในยามสุขและยามทุกข์ ทั้งในเวลาป่วยและเวลาสบาย เพื่อรักและยกย่องให้เกียรติคุณ จนกว่าชีวิตจะหาไม่ไหมครับ”
เจ้าบ่าวมองเข้ามาในดวงตาของฉันที่ได้ประสานกันเป็นหนึ่งเดียวพร้อมรอยยิ้ม “รับครับ”
บาทหลวงทำสีหน้าพอใจก่อนจะหันมาถามฉันด้วยคำถามเดียวกัน
“คุณฮีซุยครับ คุณจะรับคุณเอ็นเป็นสามีและสัญญาว่าจะถือซื่อสัตย์ต่อคุณฮีซุย ทั้งในยามสุขและยามทุกข์ ทั้งในเวลาป่วยและเวลาสบาย เพื่อรักและยกย่องให้เกียรติคุณ จนกว่าชีวิตจะหาไม่ไหมครับ”
ฉันมองหน้าเอ็น แล้วยิ้มออกมาอย่างมีความสุขอย่างที่ไม่เคยยิ้มได้สุดปากแบบนี้มาก่อนในชีวิต “รับค่ะ”
บาทหลวงยิ้มออกมาเมื่อได้ยินคำตอบ
เอ็นสวมแหวนใส่ที่นิ้วนางข้างซ้ายของฉันอย่างนุ่มนวลและกล่าว “คุณฮีซุย…ขอให้รับแหวนนี้เป็นเครื่องหมายแสดงความรักและความซื่อสัตย์ของผม เดชะพระนาม พระบิดา และพระบุตร และพระจิต”
“ซ้อมนานไหมเนี่ย” ฉันยังคงยิ้มออกมาด้วยความสุขที่ล้นเปี่ยม จากนั้นบาทหลวงก็ส่งแหวนเงินมาให้ ฉันรู้งานทันทีก่อนจะสวมใส่ที่นิ้วนางข้างซ้ายของเขาและกล่าวตามบาทหลวงว่า “คุณเอ็น ขอให้รับแหวนวงนี้เป็นเครื่องหมายแสดงความรักและความซื่อสัตย์ต่อกัน เดชะพระนาม พระบิดา และพระบุตร และพระจิต”
“ในตอนนี้คุณทั้งสองคนได้กลายเป็นสามีภรรยาอย่างถูกต้องครับผม” ทันทีที่บาทหลวงได้ปิดหนังสือคัมภีร์ เขาได้กล่าวอีกว่า “เชิญจูบ”
ริมฝีปากของเราสองคนได้ประกบกัน นี่สินะ รสชาติของจุมพิตที่เปี่ยมไปด้วยความรักและความเสน่ห์หาที่ไม่สามารถตีราคาไว้ได้
อา…ในที่สุด พันธนาการของฉันก็ได้คลายออกอย่างสมบูรณ์เสียที
ฉันเป็นของเขา เขาเป็นของฉัน ลูกของเราที่อยู่ในท้องได้มีพ่อที่แท้จริงแล้ว
ไม่มีอะไรมาขวางเราได้อีกต่อไปแล้ว
“ตอนนี้เป้าหมายของที่รักก็ลุล่วงแล้วนะ” เอ็นพูดก่อนจะผละออกจากร่างของฉันก่อนที่จะรู้สึกถึงของมีคมฟันเข้าที่เอ็นร้อยหวายของฉันจนทำให้ร่างของฉันทรุดล้มลงไปกับพื้น ความเจ็บปวดพุ่งทะยานอย่างรวดเร็วทำให้ฉันกรีดร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง เลือดเป็นจำนวนมากพุ่งออกมาว่าจากปากแผลจนท่วมพื้นดินส่วนหนึ่ง ส่งกลิ่นเหม็นคาวไปทั่วบริเวณ น้ำตาของฉันไหลออกมาเป็นสายน้ำ ทำให้เครื่องสำอางที่ถูกตกแต่งมาอย่างดีต้องเปรอะเปื้อนไปหมด
“เธอทำอะไรน่ะที่รัก!!” เธอเสียงดังด้วยความหวาดกลัว แต่เมื่อเห็นมีดที่เปื้อนเลือดในมือของบาทหลวง…ไม่สิ…นั่นไม่ใช่บาทหลวง แต่เป็นพรรคพวกของเอ็นที่ปลอมตัวเป็นบาทหลวงต่างหาก
ก็ว่าอยู่…ไปหาบาทหลวงมาจากไหน…
“ขอโทษนะฮีซุย” เสียงของเอ็นเปลี่ยนไปเป็นทุ้มต่ำ จากนั้นเขาก็ดีดนิ้ว ไม้กระดานที่กั้นซอมบี้นับร้อยนั้นได้พังทลายลง พวกซอมบี้นั้นค่อย ๆ เดินเข้ามา ทำให้ฉันผวาอย่างถึงที่สุด “ฉันปล่อยให้คนอย่างเธอมีชีวิตต่อไปไม่ได้จริง ๆ”
“ไม่นะเอ็น! ฉันรักเธอนะ!” ฉันแผดเสียงจนสุด
“ผมก็รักคุณนะ ฮีซุย” เอ็นพูด “แต่ผมมีคาโอรินอยู่แล้ว จะให้มาคบซ้อนกับนางอสรพิษอย่างคุณ ผมขอตายดีกว่า”
จากนั้นเขาก็เดินออกไป ออร่าสีดำค่อย ๆ แผ่ขยายคลุมร่างของเขาและพรรคพวกของเขา
มุมมองของเอ็น
ผมเดินจากไปพร้อมกับน้ำตาที่นองใบหน้า พวกซอมบี้วิ่งผ่านผมโดยที่ไม่ได้สนใจผมเลยแม้แต่น้อย เพราะการกลายร่างเป็นซอมบี้โดยที่ไม่กินเลือดนั้นผมได้รับความสามารถในการล่องหนจากพวกซอมบี้ได้ จึงทำให้ผมเป็นอากาศสำหรับมัน การแต่งงานเมื่อกี้นั้นเป็นเพียงสานฝันของผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกย่ำยีมาตลอดให้ได้รับความสุขก่อนที่จะได้ มันเปรียบได้เหมือนการประหารที่ทรมานที่สุดเท่าที่ประวัติศาสตร์มนุษย์ได้เคยบันทึกไว้
ซอมบี้กว่าร้อยตัวได้สัมผัสถึงเลือดเนื้อของฮีซุยจึงวิ่งเข้าไปหาเธอ ไม่กี่อึดใจต่อมาเสียงกรีดร้องอันสยดสยองก็ดังออกมาทำให้จิตใจของผมหดหู่อย่างถึงที่สุด แต่ก็ต้องบังคับขาของผมให้เดินออกไปจากที่นี่ให้ได้ การเดินออกไปจากตรงนี้คือการเซย์กู๊ดบายต่อความรักที่มีแต่การหลอกลวงไปตลอดชีวิตเพื่อที่จะเริ่มต้นอะไรใหม่ ๆ โดยที่ไม่มีพันธนาการอะไรมาขวางกั้น เสียงกรีดร้อง เสียงซอมบี้ เสียงขย้ำเนื้อและกระดูก เสียงคำรามดังไปทั่วบริเวณ จากนั้นเสียงกรีดร้องของฮีซุยก็ได้เงียบหายไป ในจังหวะนั้นผมได้ถอดแหวนแต่งงานออกแล้วโยนออกไป จากนั้นก็ถอดเนกไทและทักซิโด้แล้วโยนทิ้งไป เหลือแต่เพียงเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงสีดำเท่านั้น
ผมไม่เหลือเยื่อใยอะไรให้คุณอีกแล้วนะฮีซุย เหลือเพียงน้ำตาของผมที่ไหลออกมาให้กับคุณเป็นครั้งสุดท้ายนี้เท่านั้น นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะคิดถึงคุณ และคุณจะอยู่ในความทรงจำของผมตลอดไป เราเพียงเจอกันช้าไป ถ้าเราเจอกันเร็วกว่านี้ก็คงจะดีไม่ใช่น้อยเลยนะ
ผมจะรักคุณ จนกว่าชีวิตจะหาไม่ แต่ในตอนนี้ผมคงรักคุณไม่ได้อีกแล้วล่ะฮีซุย…
เพราะคุณรวมถึงลูกในท้องได้ตายไปจากผมแล้ว…
______________________________________________
To Be Continue Ep.48