"พลังที่ผมได้มานั้น...มันคือพรหรือคำสาปกันแน่นะ...? แล้วผมจะใช้พลังนี้แก้ไขประเทศที่ล่มสลายนี้จะกลับเหมือนเดิมได้อย่างไร...?"
แอคชั่น,ชาย-หญิง,สะท้อนปัญหาสังคม,ไทย,เลือดสาด,พล็อตสร้างกระแส,ดราม่า,สยองขวัญ,ผี,ผจญภัย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Undead War สงครามคนเป็น"พลังที่ผมได้มานั้น...มันคือพรหรือคำสาปกันแน่นะ...? แล้วผมจะใช้พลังนี้แก้ไขประเทศที่ล่มสลายนี้จะกลับเหมือนเดิมได้อย่างไร...?"
โรคระบาดยังคงอยู่รอบๆ ตัวเรา ไม่ได้หายไปไหน หมอทุกคนตายกันไปหมดแล้ว ความหวังดับวูบจนไม่เหลือแม้แต่แสงสุดท้าย ราวกับว่าตัวเองกำลังเดินอยู่ในอุโมงค์ไร้แสงสว่างและไร้สิ้นสุด พวกซอมบี้ต่างคอยจะได้กัดกินเนื้อมนุษย์อย่างกับเครื่องจักรที่ไม่มีวันเหนื่อย ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็มีแต่พวกมันอยู่เต็มไปหมด
แต่ความหวังก็ยังไม่หมดไป เมื่อผมสามารถเอาชนะเชื้อไวรัสตัวนี้ได้ ทำให้ร่างกายของผมเกิดกลายพันธุ์และสามารถแปลงกายเป็นซอมบี้ได้ตลอดเวลา นั่นทำให้ผมวิวัฒนาการไปอีกขั้นเพื่อที่จะช่วยเหลือมวลมนุษยชาติได้
ก่อนกลียุคจะเกิดขึ้น ในวัดป่าแห่งหนึ่งที่อยู่นอกเมืองนั้นกำลัง
ประกอบพิธีอุปสมบทให้กับนาครูปหนึ่งอยู่ ซึ่งพิธีการก็กำลังดำเนินไปได้ด้วยดี ญาติโยมที่มานั่งดูต่างปลื้มปิติให้กับพิธีอุปสมบทที่ไม่ซับซ้อนและเรียบง่าย โดยมี ‘พระสิงห์’ เป็นพระอุปัชฌาย์ (พระที่อุปสมบทให้) การบวชนั้นจะมีขั้นตอนหนึ่งที่สำคัญมาก ๆ สำหรับผู้ที่ต้องการบวช นั่นก็คือการท่องมนต์อุปสมบทอุกาสะให้ได้ ในความเป็นจริงแล้วแต่ละวัดหรือแต่ละพระอุปัชฌาย์จะเคร่งไม่เหมือนกัน บางรูปสามารถสอนท่องกันได้เลย แบบนี้เขาเรียกกันว่าการสอนหน้าไฟ เหมือนที่ในงานศพจะมีเณรบวชหน้าไฟเพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับคนตาย บางรูปเคร่งถึงขนาดว่าจำเป็นต้องท่องมนต์ให้ได้
ทุกคำ
เพราะหากท่องไม่ได้ พิธีทั้งหมดที่ได้ทำกันมาก่อนหน้านี้จะล่มไปในทันที
วันนั้นอากาศไม่ได้ร้อนมาก แต่มีเด็กชายคนอื่นกำลังวิ่งเล่นอยู่หน้าโบสถ์ด้วยความซุกซนตามประสาเด็ก จนผู้เป็นแม่ที่เป็นมารดาของนาคที่กำลังประกอบพิธีอุปสมบทต้องเข้ามารั้งตัวไว้ด้วยความรำคาญและอายต่อแขกผู้มาเยือน
“น้องธีร์ครับ หม่าม้าจะไม่พูดอีกเป็นครั้งที่สองแล้วนะครับ ถ้าน้องธีร์ยังไม่เชื่อฟังหม่าม้าอีก หม่าม้าจะตีแล้วนะครับ” เธอพูดเสียงเขียวเพราะตัวเองก็เหนื่อยจากการจัดงานบวชให้ลูกชายคนโตหัวแก้วหัวแหวนคนนี้แล้วต้องมาเหนื่อยกับการจับลูกชายคนเล็กอายุเจ็ดขวบและยังไม่สามารถทำอะไรด้วยตัวเองได้ แถมวันนี้พี่เลี้ยงก็ลาหยุดอย่างไม่มีสาเหตุอีก นั่นทำให้เธอเหนื่อยกว่าเดิมจนน้ำเหงื่อหยดย้อยซึมชุดผ้าไหมของเธอ
แต่โชคดีที่เครื่องสำอางบนใบหน้านั้นเป็นแบบกันน้ำ หยดน้ำที่ผุดออกจากรูขุมขนจึงไม่สามารถทำอะไรได้ เธอบอกตัวเองมาตลอดว่าวันนี้เป็นวันสำคัญของลูกชายคนโต ซึ่งจะให้เกิดความผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด ด้วยความที่ตัวเองเป็นนักธุรกิจหญิงที่ประสบความสำเร็จและยังเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ซึ่งบอกได้เลยว่าเธอนั้นมีจิตใจที่แข็งแกร่งกว่าผู้หญิงคนไหนที่เธอรู้จักมา เรื่องงานบวชลูกชายคนโตและเรื่องลูกชายคนเล็กแบบนี้จึงไม่ค่อยคนณามือของเธอสักเท่าไหร่
ด้วยความที่น้องธีร์ยังเป็นเด็ก อีกทั้งถูกเลี้ยงดูแบบตามใจด้วยฝีมือของพี่เลี้ยงเด็กที่ไม่ค่อยจะมีวุฒิภาวะสักเท่าไหร่ เพราะตัวผู้เป็นแม่จะต้องทำงานอย่างหนักที่จะให้ลูก ๆ ของเธอนั้นเติบโตขึ้นมาไม่ต้องลำบาก แต่หารู้ไม่ว่าเธอคิดผิดอย่างหนักเพราะการรักลูกที่มากจนล้นแก้ว เพราะมันจะกลายเป็นดาบสองคมให้ลูกชายทั้งสองของตัวเองไม่มีเกราะป้องกันภัยในเรื่องของจิตใจนั่นเอง
ดวงตาของเธอนั้นได้ลืมมองข้อนี้ไป
“ก็ผมเบื่อนี่ครับ เมื่อไหร่เฮียธวีจะออกมาเล่นกับผมล่ะครับ?” น้องธีร์ถามผู้เป็นแม่ด้วยความที่ตัวเองก็ไม่เข้าใจว่าจะมาที่วัดและแต่งตัวให้ดูดีทำไม เสื้อชุดใหม่ของน้องธีร์สำหรับวันนี้ที่ผู้เป็นแม่ใช้ให้เลขาส่วนตัวไปซื้อให้นั้นบอกได้เลยว่าไม่ถูกใจเด็กชายเลยสักนิด เนื่องจากไม่ใช่สีโปรดที่เขาชอบ ผู้เป็นแม่ก็ไม่รู้ว่าสีโปรดของเขาเป็นสีอะไร แถมใส่แล้วยังอึดอัดอย่างบอกไม่ถูกอีกด้วย แต่เขาก็รู้ดีว่าถ้าเรียกร้องอะไรมากเกินไปก็จะถูกผู้เป็นแม่ทำโทษ แต่ครั้งนี้ต้องไว้หน้าลูกชายคนโตด้วยการยื่นไอแพดให้กับเด็กชาย
“ถ้าเบื่อเอาไอแพดนี่ไปเล่นตรงนู้นก่อนไป” เธอขมวดคิ้วเพราะต้องยอมให้ไอแพดกับเด็กชายเพื่อที่เขาจะได้ไม่ซุกซน
“เย้! หม่าม้าให้เล่นไอแพดด้วยล่ะ!” เด็กชายยิ้มออกมาด้วยความดีใจก่อนจะคว้าเครื่องมือที่ผู้เป็นแม่ใช้หากินทุกวันไปเข้าเฟซบุ๊กของตัวเอง
เมื่อน้องธีร์สามารถล็อกอินเข้าไปยังเฟซบุ๊กได้สำเร็จแล้วจึงค้นหาการ์ตูนดู ด้วยความที่เครื่องไอแพดของแม่ไม่มียูทิวบ์หรือเน็ตฟลิกซ์ เขาจึงต้องหาดูในเฟซบุ๊กแทนซึ่งหาได้ไม่ยากเย็นนัก ในขณะที่เขากำลังเพลิดเพลินกับการ์ตูนเรื่องโปรดอยู่นั้น วิดีโอก็ถูกตัดไปเป็นหนังซอมบี้แทน เขาสะดุ้งเล็กน้อยกับเสียงกรีดร้องที่ดังสนั่นออกมา แต่เขาก็ไม่ได้ถึงกับเสียขวัญ
“ในขณะนี้มีกองทัพผีดิบที่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมหาศาลและไม่ทราบสาเหตุค่ะ เจ้าหน้าที่ของทางการได้เข้ามายึดพื้นที่ในกลางเมืองเพื่อตั้งเป็นศูนย์บัญชาการทางทหารชั่วคราว และได้จัดตั้งหน่วยรบปราบปรามผีดิบเหล่านี้ค่ะ” เสียงของผู้ประกาศข่าวพูดออกมาพร้อมกับภาพประกอบที่แสดงให้เห็นถึงเมืองกรุงเทพฯ ที่ได้เกิดสงครามระหว่างทหารและซอมบี้
สายตาของเด็กน้อยเบิกโพลงเพราะความอลังการเพราะคิดว่ามันเป็นแค่หนัง
“หนังอะไรเนี่ย โคตรสนุกเลย” เขาตัดสินใจดูต่อ
“ตอนนี้ยังไม่มีข่างจากท่านพลเอกพะอม นายกรัฐมนตรีรวมถึงนักการเมืองกว่าร้อยชีวิตในรัฐสภา ทหารกว่าหนึ่งหมื่นนายได้เข้าไปอารักขาพระเจ้าแผ่นดินเพื่อที่จะได้ทำการหลบหนีให้สำเร็จ ทหารอีกพันนายประจำอยู่ที่รัฐสภาซึ่งในตอนนี้ดูแล้วไม่สามารถปะทะกับฝูงซอมบี้ได้ค่ะ จากที่รายงานเข้ามาว่าปืนแต่ละกระบอกนั้นไม่ได้มาจากประเทศสหรัฐอเมริกาแต่มาจากประเทศจีนที่คุณภาพด้อยกว่านั่นเองค่ะ”
“คงจะด้วยเหตุผลที่ว่าประเทศของเรานั้นมีสัมพันธ์อันไมตรีที่ดีต่อประเทศจีนมานานแสนนานล่ะมั้งครับ อาวุธยุทโธปกรณ์ของทหารแต่ละนายนั้นมีความเสียหายง่ายดายจึงไม่สามารถสู้ได้กับพวกซอมบี้ได้อย่างเต็มที่ครับ” นักข่าวอีกคนพูดออกสื่อด้วยน้ำเสียงที่จริงพร้อมทั้งใบหน้าที่เคร่งเครียด “ตอนนี้เราเพียงสวดภาวนาต่อพระผู้เป็นเจ้าหรือเทพองค์ใดก็ตามที่พวกท่านนับถืออยู่…” จู่ ๆ สัญญาณก็ขาดหาย คลิปภาพกลายเป็นสีดำทันที
นั่นสร้างความหงุดหงิดให้กับเด็กชายเป็นอย่างมาก
“หนังอะไรมีแค่นี้เอง! ดูไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย” น้องธีร์ฉุนก่อนจะเลื่อนอ่านคอมเมนต์
‘ฉิบหายแล้ว! ต้องรีบเก็บของกันแล้วสิเนี่ย!’
‘นี่มันเรื่องจริงใช่ไหมเนี่ย!? ไม่ใช่ว่าเป็นหนังสั้นทำหรอกประชาชนหรอกนะ’ reply ‘ประเทศเราสนับสนุนเรื่องทำหนังขนาดนี้เท่าต่างประเทศตั้งแต่เมื่อไหร่กันล่ะครับท่าน’
‘นี่มันอะไรกันครับเนี่ย!?’
‘พระเจ้าจงอวยพร’
‘นี่มันเหมือนหนังที่ฉันทำส่งธีสิสไปเมื่อปีที่แล้วเลย!!’
‘เป็นหนี้อยู่ใช่หรือไม่!? คุณจะไม่เป็นหนี้อีกต่อไป เราขอแนะนำ เฮียฉีปล่อยให้ผู้เป็นหนี้ได้กู้เงินนอกระบบ บลา บลา บลา…’
‘ไอ้บ้า! นี่ไม่ใช่หนังโว้ย! นี่มาจากเพจข่าวช่องดังเชียวนะเฟ้ย!’
“นี่มันข่าวเหรอ?” จู่ ๆ น้องธีร์ก็ได้ยินเสียงบางอย่างกำลังเข้ามาใกล้เขา เมื่อมองไปทางต้นเสียง สิ่งที่เขารู้สึกได้ในตอนนั้นก็คือ กลิ่นคาวเลือดมนุษย์ เสียงคำรามในลำคอ ภาพอันบิดเบี้ยวของพวกซอมบี้ที่พุ่งเข้ามาหาเด็กชายอย่างรวดเร็วและคว้าร่างของเขาไว้ เสียงกรีดร้องของเด็กชายรวมถึงคนอื่น ๆ ที่อยู่บริเวณนั้นดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ
พระบวชใหม่ที่เพิ่งจบพิธีกำลังเดินออกมาจากโบสถ์ก็ถูกซอมบี้ตัวหนึ่งกระชากผ้าเหลืองจนล้ม ศีรษะที่โล้นเตียนไร้เส้นผมป้องกันฟาดพื้นอย่างแรงจนเลือดไหลออกมาจากบาดแผลตามทาง พวกผีดิบที่ทยอยเข้ามาภายในตัววัดได้กลิ่นคาวเลือดและวิ่งเข้ามากระชากผ้าเหลืองจนฉีกขาดก่อนจะฝังเขี้ยวฟันลงในเนื้อของพระใหม่จนเหลือเพียงแค่ก้อนเนื้อ
“เกิดอะไรขึ้นข้างนอกกัน!?” พระสิงห์และพระสงฆ์หลาย ๆ ท่านนั้นงงเป็นไก่ตาแตกเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องออกมาจากรอบโบสถ์
“กระผมก็ไม่รู้ขอรับ” หลวงพี่ที่อยู่ทางด้านซ้ายตอบ
“พวกโยมคนแสดงความยินดีกับพระใหม่น่ะครับ” พระร่างอ้วนบอกพลางหยิบมือถือขึ้นมาเช็คเฟซบุ๊กสบายใจเฉิบ “หลังจากนี้เราก็กลับกันได้แล้วสินะครับ”
“ยังก่อนสิท่าน ยังเหลือฉันเพลอีก” หลวงพี่ร่างผอมข้าง ๆ เตือนกำหนดการ “เจ้าภาพต้องการจะเลี้ยงเพลพระทุกรูปด้วยนะท่าน ไม่หิวเหรอ?”
“ถือว่าสบายไปได้หนึ่งมื้อแล้วล่ะ” พระอ้วนยิ้มออกมาด้วยความพอใจเมื่อนึกถึงอาหารอร่อย ๆ ของคนรวยที่ได้ถูกท่านลิ้มลอง “คิดว่าวันนี้เจ้าภาพจะถวายอะไร?”
“ไม่รู้เหมือนกันนะท่าน แต่ดูท่าไม่น่าจะพ้นอาหารดี ๆ นั่นแหละ” พระร่างผอมฉีกยิ้มเช่นกันเนื่องจากในหัวของพระทั้งสองรูปนี้คิดถึงอาหารดี ๆ อร่อย ๆ ไม่เหมือนกันอาหารที่ปรุงแบบหยาบ ๆ ของญาติโยม “พวกเครื่องแกงหยาบ ๆ นี่น่าจะต้องตัดทิ้ง”
“กิเลส ความละโมบของพวกท่านน่ะก็ควรตัดทิ้งเสียเหมือนกัน” พระสิงห์ตัดบทสนทนาของพระสองรูปจอมละโมบพร้อมทั้งจ้องเขม็งไปที่พวกท่านเป็นเชิงตำหนิ พระทั้งสองรูปเมื่อได้ยินดังนั้นจึงกลับมาสงบเสงี่ยมเหมือนเดิมราวกับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ไม่มีเกิดขึ้นมาก่อน
“ขออภัยครับ” พระทั้งสองรูปพูดพร้อมกันแต่พระสิงห์ไม่ได้สนใจ ท่านลุกขึ้นยืนพร้อมกับพระสงฆ์รูปอื่น ๆ เพื่อจะเดินออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่พวกท่านได้ยินเสียงคำรามของอะไรบางอย่างดังเข้ามา
“นั่นเสียงอะไร?” พระอ้วนถาม
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ” พระร่างผอมบอก
เสียงกรีดร้องดังสนั่นอีกครั้งพร้อมกับการปรากฏตัวของผีดิบใบหน้าบิดเบี้ยว พวกมันพุ่งเข้ามาจู่โจมพระสงฆ์ทีละรูป ทีละรูป ตอนนี้ทั้งโบสถ์เต็มไปด้วยเลือดและซากศพ พระสิงห์ได้สติก่อนใครจึงวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนออกมาจากโบสถ์ สิ่งที่ท่านเห็นก็คือวัดทั้งวัดได้ถูกผีดิบเข้ายึดครองเป็นที่เรียบร้อย
จู่ ๆ ซอมบี้ตัวหนึ่งพุ่งเข้ามาหมายจะทำร้ายพระสิงห์และท่านกัดโดนจีวรท่านจึงสลัดมันหลุดก่อนจะหยิบท่อนไม้ขนาดเท่าแขนของตัวเองขึ้นมาตามสัญชาตญาณป้องกันตัวของมนุษย์
“ยะ…โยมอย่าเข้ามาทำร้ายกันเลย…สัพเพ สัตตา…สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์…” เสียงของท่านสั่นคลอไปด้วยความกลัว ร่างกายสั่นเทิ้ม แต่มือที่กำท่อมไม้นั้นกระชับราวกับเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย ดวงตาแดงก่ำจับจ้องไปที่ซอมบี้ตัวนั้น เมื่อมันพุ่งเข้ามาหา ท่านเหวี่ยงท่อนไม้หวดเข้าที่หัวของมันอย่างจังจนทำให้มันแน่นิ่งไป ทันใดนั้นท่านได้เรียนรู้อย่างหนึ่งจากเหตุการณ์ครั้งนี้ก็คือ บทสวดมนต์นั้นไม่สามารถใช้ได้กับสิ่งที่กำลังเจอในตอนนี้แล้ว
สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ก็คือหนีและป้องกันตัวเองให้ได้มากที่สุด
หลังจากนั้นพระสิงห์ได้บอกกับตัวเองว่าจะเลิกเป็นพระจนกว่าเรื่องราวจะกลับมาดีขึ้น จึงปล่อยให้เส้นผมและเครายาวจนรกรุงรังเป็นฤๅษีและเรียนรู้ที่จะฆ่าซอมบี้ รวมถึงเอาชีวิตรอดในโลกที่แสนโหดร้ายยิ่งกว่าให้ได้ เขาได้เดินทางมาเรื่อย ๆ จนพบกับกระท่อมหลังนี้ ด้วยความที่ไม้ยังแข็งแรงและยังมีเสบียงอาหารอยู่ จึงตัดสินใจปักหลักรวมถึงขุดบ่อน้ำล้อมรอบเพื่อไม่ให้พวกมนุษย์ที่หวังจะเอาเสบียงจากเขาเข้ามาได้ สร้างกับดักจำนวนมากเพื่อป้องกันศัตรูจากภายนอก สร้างสะพานเพื่อให้ตัวเองสามารถข้ามไปมาได้
ส่วนสำคัญที่สุดของการเอาชีวิตรอดก็คืออาวุธ เนื่องจากเขาไม่สามารถปะทะกับพวกซอมบี้ในระยะประชิดได้ จึงเลือกที่จะประดิษฐ์ธนูขึ้นมาพร้อมกับลูกศร โดยเวลาส่วนมากของเขาจะเสียไปกับการสร้างลูกศรนี่แหละ
เท่าที่เขาได้ไปสำรวจตามวัดต่าง ๆ ที่อยู่โดยรอบล้วนแล้วก็ถูกซอมบี้ยึดครอง ไร้วี่แววพระสงฆ์โดยสิ้นเชิง ส่วนจะเหลือแค่เพียงเศษผ้าเหลืองและซอมบี้ที่ห่มจีวร จนตอนนี้เขาบอกตัวเองมาเสมอว่าตัวเองคือพระสงฆ์องค์สุดท้าย
_________________________________________
To Be Continue Ep.52