"พลังที่ผมได้มานั้น...มันคือพรหรือคำสาปกันแน่นะ...? แล้วผมจะใช้พลังนี้แก้ไขประเทศที่ล่มสลายนี้จะกลับเหมือนเดิมได้อย่างไร...?"
แอคชั่น,ชาย-หญิง,สะท้อนปัญหาสังคม,ไทย,เลือดสาด,พล็อตสร้างกระแส,ดราม่า,สยองขวัญ,ผี,ผจญภัย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Undead War สงครามคนเป็น"พลังที่ผมได้มานั้น...มันคือพรหรือคำสาปกันแน่นะ...? แล้วผมจะใช้พลังนี้แก้ไขประเทศที่ล่มสลายนี้จะกลับเหมือนเดิมได้อย่างไร...?"
โรคระบาดยังคงอยู่รอบๆ ตัวเรา ไม่ได้หายไปไหน หมอทุกคนตายกันไปหมดแล้ว ความหวังดับวูบจนไม่เหลือแม้แต่แสงสุดท้าย ราวกับว่าตัวเองกำลังเดินอยู่ในอุโมงค์ไร้แสงสว่างและไร้สิ้นสุด พวกซอมบี้ต่างคอยจะได้กัดกินเนื้อมนุษย์อย่างกับเครื่องจักรที่ไม่มีวันเหนื่อย ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็มีแต่พวกมันอยู่เต็มไปหมด
แต่ความหวังก็ยังไม่หมดไป เมื่อผมสามารถเอาชนะเชื้อไวรัสตัวนี้ได้ ทำให้ร่างกายของผมเกิดกลายพันธุ์และสามารถแปลงกายเป็นซอมบี้ได้ตลอดเวลา นั่นทำให้ผมวิวัฒนาการไปอีกขั้นเพื่อที่จะช่วยเหลือมวลมนุษยชาติได้
“โครงการของรัฐบาลงั้นเหรอ?” ผมทวนคำพูดของจินอู
“ใช่ครับ” เขาพยักหน้าก่อนจะเดินมานั่งใกล้ลูกกรงไม่กี่เซนติเมตรเพื่อที่จะได้สื่อสารสะดวกมากขึ้น บรรยากาศรอบตัวเริ่มร้อนขึ้น หัวใจของผมและคาเรนเต้นแรง “ผมเป็นหนึ่งในทหารระดับกลางที่มีโอกาสติดตามเจ้านายไปประชุมโปรเจ็กต์ลับของเบื้องต้น เจ้านายของผมก็คือนายกรัฐมนตรีที่หายสาปสูญไปนั่นแหละครับ”
“ได้มาเจอกับคนใหญ่คนโตเชียวนะเนี่ย” คาเรนพ่นลมหายใจออกทางปาก “ไม่ธรรมดา ๆ”
“อย่าบอกนะว่าการโปรเจ็กต์นั่นก็คือโปรเจ็กต์โรคระบาดที่ทำให้คนกลายเป็นซอมบี้?” ผมถาม
ทหารหนุ่มพยักหน้า แววตาที่เต็มไปด้วยเปลวเพลิงแห่งความแค้นได้ฉายออกมา
เขาไม่ได้พูดเล่น…
“โปรเจ็กต์โครงการของเบื้องบนนั้นล้วนเกี่ยวกับการลดจำนวนประชากรของประเทศเพื่อลดคนที่ต้องการจะล้มล้างเบื้องต้นและเชื้อพระวงศ์ครับ” เขาเกริ่น
“ฉันจำได้” ผมมองเข้าไปในดวงตาของทหารหนุ่มที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นในใจต่อใครบางคนที่อยู่สูงเกินกว่าจะเอื้อมถึง “ตอนนั้นมีม็อบประท้วงกับเบื้องบนให้ลาออกติดกันเจ็ดวันเจ็ดคืนไม่หยุด พ่อของฉันถูกเลิกจ้างก็เพราะแบบนี้นี่แหละ”
“ในหัวของผม” จินอูใช้นิ้วชี้ของตัวเองเคาะที่ขมับสองสามที ดวงตายังคงจับจ้องมาที่ผมภายในลูกกรง “มีความลับทั้งหมดของโปรเจ็กต์ลับทั้งห้าและเหตุการณ์เรื่องราวต่าง ๆ ครับ โดยที่แต่ละโปรเจ็กต์เรียงตั้งแต่หนึ่งถึงห้าซึ่งประกอบไปด้วย
โปรเจ็กต์ 001: เกมวีอาร์มรณะ
โปรเจ็กต์ 002: การเกณฑ์ทหารแบบไม่จำกัด
โปรเจ็กต์ 003: เพิ่มภาษีและค่าครองชีพ
โปรเจ็กต์ 004: ยุติการช่วยเหลือและบริการต่าง ๆ ของประชาชน
โปรเจ็กต์ 005: เชื้อโรคระบาดและอาวุธชีวภาพ”
“ทั้งสองคนทำอะไรกันอยู่?” เรมัสเดินเข้ามาในบ้านที่เราขังจินอูอยู่โดยที่ไม่ดูสถานการณ์ “จะมาบอกว่าคาโอรินอาการดีขึ้นแล้ว เธออยู่กับกระรอกและฟางน่ะ”
“อืม…ขอบคุณนะ” ตอนนี้สติของผมยังคงจับจ้องไปยังสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังจะเล่า
“เรมัส…” คาเรนเรียกชื่อชายหนุ่มที่ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ “นายเคยบอกว่านายได้เข้าไปเล่นเกมวีอาร์เกมใหม่ล่าสุดมาใช่มั้ย? ที่ถูกดึงจิตเข้าไปในเกมแล้วถ้าตายในเกมก็คือต้องตายในชีวิตจริงด้วย”
ผมเบิกตาโพลงเมื่อคาเรนพูดแบบนั้นก่อนจะหันหน้าไปมาชายหนุ่มร่างสูง
เขาทำหน้างง
“Survival Alone Game ใช่ ๆ เกมนั้นแหละ ฉันแทบเอาตัวไม่รอดเลยล่ะ เป็นเกมแบตเทิลรอยัลที่มีผู้เล่นมากกว่าหนึ่งพันคนโดยที่ต้องฆ่ากันเอง…ฆ่ากัน…” เรมัสเสียงแผ่วลงเมื่อพูดคำว่า ‘ฆ่า’ ออกไปเพราะเขารู้ตัวดีว่าตัวเองฆ่าคนไปมากมายเพื่อดิ้นรนเอาชีวิตรอดซึ่งไม่ต่างอะไรกับตอนนี้เลยทีเดียว เชาชะงักเมื่อเริ่มรู้สึกถึงสถานการณ์และบรรยากาศที่เปลี่ยนแปลงและซีเรียสกว่าเดิม “ฉันเป็น…ผู้ชนะ…เพียงคนเดียวของเกม มีไลฟ์พอยต์เหลืออยู่หนึ่งจุด…”
“ใช่แล้ว” จินอูบอก “การฆ่าคนในเกมยังไม่มีกฎหมายออกมาถือว่าไม่ผิดกฎหมาย และโครงการพวกนี้ถือว่าผิดกฎหมายไหม การฆ่าคนมันทั้งผิดศีลธรรมและกฎหมายเป็นทุนเดิมอยู่แล้วครับ แต่ศีลธรรมมันไม่แข็งแรงเท่ากฎหมาย ทางเบื้องบนจึงแบ่งเงินจำนวนหนึ่งที่กู้มาหลายล้านล้านไปให้กับผู้พิพากษาทุกคน อัยการและทนายทุกคนในประเทศเพื่อที่จะให้ตัวเองชนะในทุกคดีหากเกิดมีการฟ้องร้องขึ้น”
“คนมีเงินชอบคิดว่าตัวเองจะทำอะไรก็ได้งั้นเหรอ…?” ผมหายใจแรงพร้อมอารมณ์ที่เริ่มโกรธก่อนจะนั่งบนกับพื้นให้อยู่ในระยะเดียวกับทหารหนุ่ม เรมัสและคาเรนนั่งลงตาม “เล่ามาให้หมด”
ย้อนกลับไปก่อนกลียุคสิบชั่วโมง
สถานที่แห่งหนึ่งในรัฐสภา ในยามค่ำคืนนั้นมีเพียงทหารเวรถือปืนที่มีกระสุนจริงอยู่เต็มแม็กเฝ้าทางเข้าของสิ่งปลูกสร้างที่รกร้างเหมือนกับยังสร้างไม่เสร็จ รถสีดำคันหรูเปิดไฟหน้ารถสว่างจ้าแล่นมาจอดหน้าป้อมที่มีไม้กั้นทาสีแดงสลับขาวกั้นเพื่อไม่ให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องรุกล้ำเข้าไป ทหารหนุ่มในเครื่องแบบเต็มยศวิ่งเข้ามาพร้อมกับไฟฉาย แต่ก็ไม่ลืมที่จะกระชับปืนไว้ในมือเสมอเผื่อเจอเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน เพราะในตอนนี้สถานการณ์นั้นสุ่มเสี่ยงเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นม็อบหรือการโจมตีเบื้องบนตามโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ที่ทุกวันนี้ต้องเกณฑ์ทหารจำนวนมากเพื่อมานั่งจับเมาส์ รัวแป้นคีย์บอร์ดเพื่อชื่นชมเบื้องบนและรีพอร์ตผู้ที่ไม่เห็นด้วยให้ถูกแบนไปจากแพลตฟอร์ม
นี่คือตำแหน่ง ‘ไอโอ’ ที่เจ้าหน้าที่ส่วนกว่าเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์เป็นทหารที่ต้องอยู่ภายในการบังคับบัญชาของเบื้องบน
“กรุณาเปิดกระจกและระบุตัวเองด้วยครับ” นายทหารคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าส่องไฟฉายเข้าไปที่กระจกรถ จากนั้นกระจกที่เคลือบด้วยฟิล์มกันแสงอย่างดีลงเผยให้เห็นใบหน้าที่ยังหนุ่มแน่นของชายหนุ่มในชุดสูท มือที่จับพวกมาลัยทั้งสองข้างสวมถุงมือสีขาวราวกับว่าผู้ที่นั่งหลับอยู่ด้านหลัง ไม่ต้องการให้เหงื่อจากนิ้วและฝ่ามือเปื้อนส่วนต่าง ๆ ของรถยนต์คันแพงนี้
“นายสุรทัย แซ่เถา ไปครับ” คนขับรถพูดด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแต่ดวงตาของเขาที่มองทหารหนุ่มยศระดับล่างนั่นช่างดูน่ากลัวเสียเหลือเกิน นั่นทำให้เขาต้องรีบยกแผ่นไม้กั้นขึ้นเพื่อให้รถสามารถขับผ่านไปได้
คุณสุรทัยเป็นชายร่างอ้วนในชุดสูทสีน้ำเงินลายทางตรง ในอ้อมกอดของเขามีกระเป๋าหนังจระเข้สีดำใบขนาดพอดีอยู่ ภายในนั้นมีเอกสารลับที่สำคัญเป็นอย่างมาก กระเป๋าหนังใบนี้จึงไม่เหมือนกระเป๋าที่สามารถหาซื้อได้ตามตลาดทั่วไป มันเป็นสิ่งที่ทางเบื้องบนได้มอบเอาไว้เพื่อเก็บข้อมูลความลับโครงการทั้งห้าที่ใช้เวลานานกว่าสิบปีในการพัฒนามันขึ้นมาจนสำเร็จ เนื่องจากมีกลไกพันธนาการกระเป๋าให้ปลอดภัยจากทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นการสแกนม่านตาเพื่อปลดล็อก วัสดุที่ทำนั้นกันไฟ แต่พอถึงเวลาที่ต้องทำลายหลักฐานมันก็จะมีฟังก์ชันทำลายตัวเองจนไม่เหลือแม้แต่ซาก
เงินทุกบาททุกสตางค์จากภาษีประชาชนไม่ได้นำไปใช้เพียงเท่านี้ ยังมีการฝังชิปในสมองเกี่ยวกับข้อมูลโครงการทั้งห้าเผื่อว่ากระเป๋าจะถูกขโมย แต่หากมีการทรยศกันเกิดขึ้น ชิปนั้นจะระเบิดเพื่อปลิดชีวิตทันที
นักการเมืองระดับสูงคนนี้รู้ดี เขาจึงห้อยกุญแจมือกับกระเป๋าใบนี้เฉกเช่นส่วนหนึ่งของร่างกายเลยทีเดียว
สถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้ก็ต้องฝืนกลืนเข้าไปอย่างเดียวล่ะนะ
“ถึงแล้วครับท่าน” คนขับรถผิวสีน้ำผึ้งพูดเพื่อปลุกผู้เป็นนาย ซึ่งเขาก็สะดุ้งขึ้นทันทีก่อนจะหยิบผ้าเย็นมาเช็ดใบหน้าของตัวเองเพื่อให้รู้สึกตื่นตัวมากขึ้น
“ฉันหลับไปนานเท่าไหร่เนี่ย?” สุรทัยถามก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ
“ตั้งแต่ออกจากบ้านครับ” คนขับรถพูด “วันนี้ก็มีงานสังสรรค์อีกแล้วเหรอครับ?”
“ระมัดระวังคำพูดดีจังเลยนะ” สุรทัยยิ้มอย่างพอใจที่มีคนขับรถที่เชื่อใจและระมัดระวังคำพูดตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน “ใช่แล้ว งานสังสรรค์”
“ขอให้สนุกนะครับท่าน”
คนขับรถเข้ามาจอดยังกระท่อมร้างแห่งหนึ่งที่มีทหารร่างกายกำยำสองคนยืนถือปืนเอ็มสิบหก ดวงตาจับจ้องมาที่รถคันสีดำนี้ จากนั้นทหารคนฝั่งซ้ายมือเดินเข้าไปเปิดประตูให้กับ ‘เจ้านาย’ ทันทีที่เห็นป้ายทะเบียนที่ได้มาจากการประมูลเลขเก้าสี่ตัวพร้อมกับชื่อเมืองหลวง
สุรทัยก้าวเท้าลงมาจากรถก่อนที่จะเดินเข้าไปในกระท่อมอันแสนมืดมิด โดยที่มีทหารฝั่งขวาคอยส่องไฟฉายให้
ทั้งสามคนไม่มีการพูดจาอะไรกัน ซึ่งเป็นกฎของทางเบื้องบนได้บัญญัติเอาไว้เพื่อป้องกันข้อมูลรั่วไหลไปถึงผู้ที่ไม่น่าไว้วางใจ ทหารหนุ่มคนฝั่งขวาเดินเข้าไปเปิดประตูห้องใต้ดินเผยให้เห็นบันไดที่สร้างจากปูนเคลือบกระเบื้องอย่างดีและมีไฟเอลอีดีเปิดสว่างจ้า ซึ่งแตกต่างจากภายนอกเสียเหลือเกิน เขาค่อย ๆ เดินลงบันไดด้วยท่าทางที่อุ้ยอ้าย ค่อย ๆ วางเท้าทีละขั้น ทีละขั้นจนไปถึงขั้นสุดท้าย สิ่งที่เขาเห็นอยู่เบื้องหน้าก็คือทางเดินที่ยาวออกไปเป็นทางตรงโดยปลายทางนั้นจะมีประตูไม้แกะสลักเป็นรูปของเชื้อพระวงศ์
องค์ปัจจุบัน ซึ่งประตูบานนี้ไม่มีการติดตั้งลูกบิดเอาไว้ เขาออกเดินอย่างมั่นใจแม้ว่าเบื้องลึกของจิตใจนั้นกรีดร้องอยากจะให้ ‘การประชุม’ ในครั้งนี้เสร็จอย่างรวดเร็วเพื่อที่ตัวเองจะได้กลับบ้านไปเจอลูกเจอเมีย ทุกครั้งที่เขาย่างกรายเข้ามาในนี้ แม้ว่าจะเป็นนักการเมืองระดับสูงที่มีสิทธิ์ในการเข้ามาในเขตหวงห้ามแบบนี้ก็ยังรู้สึกว่าไม่ปลอดภัยยังไงก็ไม่รู้
เมื่อถึงประตูเข้าจำเป็นต้องสแกนม่านตาเพื่อยืนยืนว่าตัวเองเป็นสมาชิกส่วนหนึ่งของทีมโปรเจ็กต์ทั้งห้านี้ เมื่อสแกนม่านตาเสร็จสิ้น ประตูก็เปิดออกอย่างอัตโนมัติ
ภายในห้องนั้นแตกต่างจากโถงทางเดินอย่างชัดเจน มีโต๊ะยาวสีขาวหนึ่งตัววางอยู่กลางห้องกว้างขนาดสิบตารางเมตร มีคนนั่งอยู่เป็นจำนวนสิบคน แต่ละคนคือนักการเมืองระดับสูงและมียศมีตำแหน่งสูงทั้งนั้น มีทหารระดับพลเอกนั่งอยู่ห้าคนและผู้บัญชาการตำรวจนั่งอยู่ด้วย บนโต๊ะมีกระเป๋าแบบเดียวกันกับของสุรทัย แต่ไม่มีใครคิดอยากจะแตะต้องมัน ข้าง ๆ กระเป๋ามีโทรศัพท์มือถือของแต่ละคนวางอยู่ บัญญัติอีกหนึ่งข้อของการประชุมลับสุดยอดแบบนี้คือไม่สามารถใช้อุปกรณ์สื่อสารได้ หากฝ่าฝืนก็จะถูกระเบิดสมองตายเอาง่าย ๆ ไม่มีใครเปิดปากพูดคุย ไม่มีใครหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นแม้ว่าอยากจะทำจนใจจะขาดก็ตาม
กฎมันก็ต้องเป็นกฎ
สุรทัยเข้ามานั่งเก้าอี้บุหนังตัวสุดท้ายก่อนที่ชายผมสีขาววัยชราร่างผอมสวมสูทสีดำสนิทขนาดพอดีตัวที่นั่งอยู่หัวโต๊ะลุกยืนขึ้น นั่นส่งผลให้เกิดเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่โดยที่ทั้งห้องประชุมต่างลุกยืนขึ้นในทันที รวมถึงสุรทัยที่เพิ่งจะหย่อนก้นลงนั่งไม่ถึงห้าวินาที
“คุณสุรทัย คุณมาสาย” ชายผมขาวพูดตำหนิเสียงเข้ม “นี่เป็นการประชุมสำคัญเพื่อที่จะทำให้ทุกคนที่อยู่ในห้องนี้จะสบายในอนาคตนะ เห็นถึงผลประโยชน์ของผู้อื่นบ้าง”
“ขออภัยด้วยครับ…ผมต้องส่งลูกสาวคนเล็กเข้านอน” จริง ๆ แล้วเป็นข้ออ้างคำโกหกคำโตเฉย ๆ เพราะก่อนจะมาที่นี่เขาเพิ่งไปใช้บริการของนักศึกษาคนหนึ่งมา สาเหตุที่หลับมาในรถก็เพราะแบบนี้ การที่คนขับรถบอกว่ามาจากบ้านนั้นเป็นคำพูดที่แสดงการเก็บความลับได้อย่างอยู่หมัดของเจ้าตัว
“ช่างมัน” ชายผมขาวพ่นลมหายใจออกทางจมูกก่อนจะนั่งลง ทำให้ทุกคนในที่ประชุมนั่งลงตามไปด้วย
“โครงการทั้งห้าของพวกเรานั้นมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน นั่นก็คือการลดจำนวนประชากรจากเจ็ดสิบล้านคนเหลือให้ได้สามสิบล้านคน” คำพูดของชายหัวขาวทำให้ที่ประชุมหลายคนกลืนน้ำลายดังเอื้อก “หวังว่าทุกคนจะเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้เป็นอย่างดีว่ามีประชาชนลุกฮือขึ้นมาเพื่อหวังจะทำลายพวกเรา สิ่งที่เรามีในตอนนี้ก็คืออำนาจกฎหมาย เบื้องบนและเชื้อพระวงศ์ที่เป็นผู้ผลักดันให้โครงการทั้งห้าเหล่านี้ยังคงดำเนินต่อไปได้ และต่อไปนี้ผมจะให้ผู้ที่รับผิดชอบของแต่ละโครงการรายงานความคืบหน้าหน่อยครับ”
ชายหนุ่มอายุสามสิบต้น ๆ ลุกขึ้นมาพร้อมกับมองลอดผ่านแว่นตากรอบเงินไปรอบ ๆ ก่อนจะเปิดกระเป๋าและหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา
“จากรายงานความคืบหน้าของโครงการ 001 เกมวีอาร์ที่ชื่อว่า Survival Alone Game ได้ผลตอบรับที่ดีจากกลุ่มเป้าหมายอยู่ที่ 98.9 เปอร์เซ็นต์ซึ่งถือว่าเยอะมาก ๆ ครับ ตอนนี้มีผู้เล่นมากกว่าห้าแสนคน เกมขายออกไปมากกว่าหนึ่งล้านดาวน์โหลด ยอดขายเครื่องวีอาร์แบบพิเศษของเราอยู่ที่เจ็ดแสนเครื่อง ตีเป็นรายได้เข้ากองกลางอยู่ที่หนึ่งหมื่นล้านบาทครับ” ชายหนุ่มสรุปรายงานความคืบหน้าของโครงการแรกอย่างคล่องแคล่ว แต่เขาเลือกที่จะมองข้ามจุดหนึ่งของรายงานซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด
“แล้วยอดผู้เสียชีวิตล่ะ?” ชายผมขาวถามอย่างจับผิด “คุณไม่ได้รายงานจำนวนผู้เสียชีวิตเลยนะ”
“ยอดผู้เสียชีวิตปัจจุบันอยู่ที่ห้าหมื่นคน คิดเป็นสิบเปอร์เซ็นต์จากผู้เล่นทั้งหมดครับ” ดวงตาของเขามีแต่ความหวาดกลัวต่อบาปในฐานะของผู้พัฒนาโครงการมรณะที่ฆ่าชีวิตคนบริสุทธิ์ไปกว่าห้าหมื่นคน ตอนนี้จำนวนศพก็น่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แถมเขาต้องเอาเงินจากรายได้นี้ไปโปะให้กับสำนักข่าว เพื่อไม่ให้เผยแพร่ข่าวการตายของเล่มวีอาร์นี้ หลังจากการประชุมครั้งนี้เขาจำเป็นต้องโอนเงินจำนวนมากไปให้เจ้าของสำนักข่าวทุกสำนักให้ปิดข่าวให้หมด
นี่แหละอำนาจของเงินที่สามารถปิดปากใครก็ได้!
“แล้วกลุ่มเป้าหมายที่เหลืออีก 1.1 เปอร์เซ็นต์ล่ะไปไหนคะ?” หญิงวัยกลางคนตัดผมสั้นเท่าติ่งหู แต่งหน้าหนา ๆ เพื่อลดรอยเหี่ยวย่นของใบหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา “เป้าหมายของทุกโครงการต้องสำเร็จแบบหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ใช่หรือ? คุณพัค?”
พัคกลืนน้ำลาย ดวงตาจับจ้องไปที่หญิงวัยกลางคนที่กำลังส่งสายตาอย่างเยาะเย้ย
นางบาร์ซ่าคือหนึ่งในวุฒิสมาชิกของเบื้องบน มีอำนาจทางรัฐบาลเหลือล้นรวมถึงแบ็กกราวน์ที่เป็นสมาชิกระดับสูงของเบื้องบนอยู่ไม่น้อย ซึ่งแต่ละอย่างที่ได้มานั้นส่วนมากไม่ได้มาจากความสามารถของตัวเอง แต่เป็นการพลีกายถวายตัวให้กับสมาชิกแต่ละคนของเบื้องบนเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนของตำแหน่งหน้าที่ทางการเมืองซึ่งจะได้เงินจำนวนมากและหลายช่องทาง หล่อนแสยะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์เพื่อเป็นการกลั่นแกล้งรุ่นน้องเล่น ๆ แต่คุณพัคไม่ได้ตกหลุมพลางแค่นี้ง่าย ๆ เขาแสยะยิ้มอย่างมีชัยนั่นทำให้นางบาร์ซ่าขมวดคิ้วด้วยความฉงน
“1.1 เปอร์เซ็นต์นั้นคือกลุ่มเป้าหมายที่ไม่มีเงินครับ ซึ่งจะตกไปอยู่ที่โครงการ 003 แทนครับ เพราะสุดท้ายคนพวกนี้ก็จะไม่ได้กินดีอยู่ดีแล้วก็ตายไปเอง 1.1 เปอร์เซ็นต์พวกนี้ถือว่าเป็นคนกลุ่มที่น้อยมาก ๆ ครับ เพียงไม่มีจะกินก็ตาย จากนั้นโครงการที่ผมรับผิดชอบก็จะสำเร็จ 100 เปอร์เซ็นต์ครับ”
ชายผมขาวยิ้มออกมาด้วยความพอใจ
“เยี่ยมมาก ๆ เลยค่ะ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นลูกชายของนักการเมืองระดับตำนานของประเทศที่เกษียณไปแล้ว เชื้อไม่ทิ้วแถวเลยจริง ๆ” นางบาร์ซ่าพูดยกยอนักการเมืองรุ่นน้องโดยที่หลบสายตา
หลังจากนั้น โครงการ 002 จนถึง 004 ได้รายงานความคืบหน้าของโครงการเป็นที่เรียบร้อย เท่าที่สรุปและคำนวณออกมาได้นั้นจำนวนผู้เสียชีวิตนั้นแตะหลักล้านเป็นที่เรียบร้อย นั้นทำให้ประชาชนเริ่มรวมตัวและก่อม็อบขึ้นเพื่อปะทะกับทหาร ซึ่งจุดได้เปรียบของสงครามกลางเมืองในครั้งนี้นั้นทำให้ฝ่ายของทางการได้เปรียบตรงที่ว่าพวกเขาได้เกณฑ์ทหารชายฉกรรจ์ไปเป็นจำนวนมากเพื่อแลกกับเงินจำนวนมากเป็นค่าตอบแทน หากในสมรภูมิใครฆ่าได้เยอะที่สุดก็จะได้เงินโบนัสมากขึ้นเท่านั้น
ตอนนี้ประเทศกำลังจะลุกเป็นไฟ!
“ตอนนี้ก็มาถึงโปรเจ็กต์สุดท้ายของเราเสียที ขอเชิญรายงานครับ”
______________________________________________
To Be Continue Ep.59