"พลังที่ผมได้มานั้น...มันคือพรหรือคำสาปกันแน่นะ...? แล้วผมจะใช้พลังนี้แก้ไขประเทศที่ล่มสลายนี้จะกลับเหมือนเดิมได้อย่างไร...?"
แอคชั่น,ชาย-หญิง,สะท้อนปัญหาสังคม,ไทย,เลือดสาด,พล็อตสร้างกระแส,ดราม่า,สยองขวัญ,ผี,ผจญภัย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Undead War สงครามคนเป็น"พลังที่ผมได้มานั้น...มันคือพรหรือคำสาปกันแน่นะ...? แล้วผมจะใช้พลังนี้แก้ไขประเทศที่ล่มสลายนี้จะกลับเหมือนเดิมได้อย่างไร...?"
โรคระบาดยังคงอยู่รอบๆ ตัวเรา ไม่ได้หายไปไหน หมอทุกคนตายกันไปหมดแล้ว ความหวังดับวูบจนไม่เหลือแม้แต่แสงสุดท้าย ราวกับว่าตัวเองกำลังเดินอยู่ในอุโมงค์ไร้แสงสว่างและไร้สิ้นสุด พวกซอมบี้ต่างคอยจะได้กัดกินเนื้อมนุษย์อย่างกับเครื่องจักรที่ไม่มีวันเหนื่อย ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็มีแต่พวกมันอยู่เต็มไปหมด
แต่ความหวังก็ยังไม่หมดไป เมื่อผมสามารถเอาชนะเชื้อไวรัสตัวนี้ได้ ทำให้ร่างกายของผมเกิดกลายพันธุ์และสามารถแปลงกายเป็นซอมบี้ได้ตลอดเวลา นั่นทำให้ผมวิวัฒนาการไปอีกขั้นเพื่อที่จะช่วยเหลือมวลมนุษยชาติได้
ผ้าปูเตียงและฟูกสีขาวที่ยับยู่ยี่กำลังห่มร่างสามีภรรยาป้ายแดงอยู่เพื่อปกปิดเนื้อหนังที่ไร้การปกป้องจากเสื้อผ้า แม้ว่าจะไม่มีแอร์ก็ตามแต่ก็ไม่ร้อนจนเกินไป นี่ไม่ใช่คืนแรกที่เราจัดกันหนักขนาดนี้ แต่เป็นวันที่สิบที่พวกเรายังคงใช้ชีวิตอยู่บนเตียงที่ขาเตียงได้หักไปแล้ว (ไม่น่ากระแทกแรงเกินไปเลย…) ทุกคนเข้าใจถึงการเป็นคู่รักข้าวใหม่ปลามันดี เลยไม่ได้เรียกลงไปทำงานอะไร โชคดีที่บ้านเก่าของเราสองคนนั้นยังอยู่ดี หลังจากงานแต่งงานเราเอาแต่ทำความสะอาดบ้าน แต่ในเมื่อร่างกายของคาโอรินนั้นมันยั่วยวนเกินไป ผมมักจะเผลอลากเธอมาทำเรื่องอย่างว่าตลอดและเธอก็ดูชอบมันเสียด้วย
แสงอาทิตย์สาดส่องลอดผ่านช่องว่างของผ้าม่านแยงเปลือกตาผมทะลุเข้าไปนัยน์ตาทำให้ผมตื่นจากภวังค์ แม้ว่าเราสองคนจะตื่นขึ้นมาเจอหน้ากันในทุก ๆ เช้า นั่นไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกเบื่อเธอเลยแม้แต่นิดเดียว ยิ่งเจอเธอในสภาพที่เปลือยกายอวดหุ่นทรวดทรงอันยั่วยวนบุรุษเพศแบบผมแล้วยิ่งจะอยากจะสอดใส่ต้อนรับวันใหม่เสียจริง ๆ ผมค่อย ๆ คร่อมร่างของเธออย่างช้า ๆ นิ้วค่อย ๆ เขี่ยติ่งเสียวของเธอ ฝ่ายหญิงสาวที่กำลังอยู่ในภวังค์นั้นยังไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อผมเริ่มเขี่ยแรงขึ้นน้ำรักของเธอค่อย ๆ ทำให้ร่องแฉะ หลังจากนั้นผมก็เริ่มจัดการลักหลับภรรยาของตัวเองทันที จนในที่สุดภรรยาสุดสวยของผมก็รู้สึกตัว
“อ๊ะ! อื๊ออ~~!! ทำไมไม่…อ๊ะ!! ปลุกให้มันดี ๆ!?” มือของเธอจิกหมอนร่างกายบิดไปมาด้วยความเสียวสะท้านหลังจากที่เพิ่งจะตื่นนอนมาใหม่ ๆ แต่เธอก็รู้สึกดีที่ได้รักผมเป็นอย่างแรก “ซี้ดดด! เสียว~!!”
เอวของผมค่อย ๆ กระทุ้งไปเรื่อย ๆ ร่างกายของเธอสั่นสะท้านไปหมด ใบหน้าของเธอในยามที่กำลังบ่งบอกว่าต้องการมากกว่านี้จนต้องเพิ่มกำลังที่เอวแล้วกระแทกราวกับคลื่นซูนามิถล่มทลาย จนทำให้ภรรยาสาวร้องครางเสียงหลงเลยทีเดียว ความเสียวซ่านนี้แผ่ไปทั้งร่างกาย โดยเฉพาะช่วงล่างของผมที่ยังคงถึกราวกับถูกปีศาจปั้นขึ้นมากับมือราวกับเป็นงานชิ้นเอก เสียงกระทบกันของเนื้อหนังดังลั่นประสานกับเสียงครางของเราสองคน เหงื่อเม็ดโตผุดออกมาตามรูขุมขนทั้งร่างกาย เธอกอดผมไว้แน่นราวกับว่าผมจะมลายหายไปพร้อมกับจุมพิตที่ดูดดื่มร้อนแรงเกิดจะบรรยาย
“เค้าจะเสร็จแล้วนะ” ผมพูดก่อนจะค่อย ๆ เร่งความเร็วขึ้นอีก
“อ๊ายย~~!! มะ…มันเสียงเกินไปแล้ว! อ๊ะ! อ๊ะ! อ๊ะ!” ด้วยความเสียวสะท้านของหญิงสาว เธอโผเข้ามากอดผมพร้อมกับเล็บที่จิกลงบนแผ่นหลังอย่างแรงทำให้มีเลือดไหลออกมา แต่เพียงไม่กี่วินาทีแผลมันก็สมานด้วยพลังฮีลลิ่ง
ไม่กี่อึดใจต่อมันผมก็ไปถึงฝั่ง น้ำอสุจิที่เกิดจากความกำหนัดของผมกระฉูดเข้าไปในมดลูกของเธอจนท่วม ซึ่งเป็นสิ่งที่เราทำในทุก ๆ เช้า…รวมถึงทุก ๆ ครั้งที่เราสองคนได้ร่วมรักกันอย่างเร่าร้อน
เราสองคนหอบอย่างเหน็ดเหนื่อยอยู่บนเตียง คาโอรินเอาหัวเข้ามาซบที่บริเวณแผงอกที่ปกคลุมไปได้กล้ามเนื้อบาง ๆ ตั้งแต่ร่างกายสูงขึ้นดูเหมือนว่าเธอจะยิ่งหลงรักผมเข้าไปอีก แถมยังบอกว่าผมไม่ต่างจากดาราเกาหลีในซีรีส์เลย (จริงเหรอวะ!?) ถ้าเทียบกันผมคงจะสูงขึ้นจากหนึ่งร้อยหกสิบเซนติเมตรขึ้นมาเป็นหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรได้มั้ง
“นี่ที่รัก วันนี้เราต้องออกไปทำงานกันได้แล้วนะ” คาโอรินพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนก่อนจะลุกขึ้นมานั่ง “เราฮันนีมูนกันเยอะพอแล้วเนาะ”
“ยังไม่อยากไปทำงานเลยอ่า”
ผมแกล้งทำเป็นงอแงแล้วเอาศีรษะขึ้นไปหนุนอยู่ที่ต้นขาอันเรียวงามของเธอ “อยากอยู่กับเมียไปตลอดชั่วกัลปาวสานเลย”
“พูดอย่างกับพระเอกลิเก…แหวะ!” ภรรยาสาวแบะปากพลางลูบศีรษะอย่างเอ็นดูแล้วโน้มตัวลงมาจุมพิตที่ริมฝีปาก “วันนี้เรากลับไปทำงานกันนะคะ”
สุดท้ายผมก็ต้องยอมแต่งตัวเพื่อออกไปทำงาน ไม่ว่าจะเป็นดาบคาตะนะที่ต้องคาดไว้ที่หลังตลอดเวลา ปืนพกและแม็กสำรอง และมีดสั้น เพราะเราฮันนีมูนกันในบ้านหลังเล็ก ๆ ในหมู่บ้านซึ่งนาน ๆ จะออกมาที ไม่ใช่ว่าอยากจะเก็บตัว แต่เป็นการปล่อยให้เราสองคนทำอะไรด้วยตัวเองเพราะพวกเราทำมากมาพอแล้วเช่นกัน แต่ผมมองต่างไปที่ว่าทุกคนก็ทำงานหนักพอ ๆ กัน ไม่มีคนไหนทำมากกว่าน้อยกว่าถ้าเราซื่อสัตย์กับตัวเองและผู้อื่น
หลังจากที่เราจัดการกับเดวิดและยึดหมู่บ้านคืนมาได้แล้วนั้น นิวก็จัดการบริหารหมู่บ้านอย่างเต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการทำฟาร์มและปศุสัตว์ โชคดีที่เรามีผู้รอดชีวิตบางคนเป็นชาวนาจึงสามารถให้พวกเขาดูแลจัดการในส่วนนั้นไป ส่วนการฝึกยิงปืนนั้นจะออกไปฝึกให้ไกลหมู่บ้าน เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ซอมบี้เข้ามาใกล้หมู่บ้านได้โดยจินอูและมังกรจะเป็นคนดูแลการฝึกฝนการโจมตีระยะไกล และเรมัสจะดูแลการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ระยะประชิดโดยที่มีนิวเป็นคู่ซ้อมให้ กระรอกและกิ๊บเป็นผู้เฝ้าห้องเก็บอาวุธ มายและไอยาเป็นมือทำอาหารที่คอยจัดสรรเมนูในแต่ละวัน ซึ่งพวกเรากินวันละสองมื้อเท่านั้นเพื่อประหยัดทรัพยากร ฟางเป็นหน่วยพยาบาลซึ่งจะให้พลังเยียวยารักษาแผล โดยเฉพาะแผลที่เกิดจากการซ้อมต่าง ๆ นั่นแหละ ส่วนนัทได้ผันตัวมาเป็นช่างซ่อมอาวุธอย่างแท้จริงซึ่งด้วยความรู้ด้านการช่าง เขาจึงสามารถออกแบบอาวุธสำหรับการต่อสู้และเสริมเกราะให้กับรถทุกคัน คาโอรินจะอยู่หน่วยลาดตระเวนกับผมเหมือนเดิมโดยคราวนี้เพิ่มคาเรนและไอยาเข้าไปด้วยเพื่อจะได้ช่วยกันขนทรัพยากรมาเพิ่มอีก
เมื่อเราออกไปด้านนอกก็มีแต่คนส่งเสียงวีดวิ่วเพื่อเป็นการหยอกล้อกันเล่นสำหรับคู่ข้าวใหม่ปลามันที่ไม่ได้ออกมาเป็นเดือนเห็นตะวันตลอดสิบวันที่ผ่านมา ซึ่งพวกเราก็ทำได้เพียงยิ้มแก้เขินไปงั้น
โดยงานวันนี้ของหน่วยลาดตระเวนก็คือการดักจับซอมบี้ให้กับเทียนเพื่อนำมาใช้เป็นหนูทดลอง โดยเขาอธิบายว่าการที่จะสามารถทำให้วัคซีนเป็นผลสำเร็จก็ต้องเกิดจากการทดลองกับสัตว์ทดลองในกลุ่มเป้าหมาย นั่นก็คือซอมบี้ โดยเป้าหมายนั้นก็คือทำให้ซอมบี้กลับมาเป็นมนุษย์เหมือนเดิมให้ได้ก็ต้องใช้ตัวทดลองเป็นซอมบี้จริง ๆ เท่านั้น
“วันนี้ก็แค่ทำตามที่เทียนขอมานั่นแหละ” คาเรนเดินมาพร้อมกับกระรอก…และมือโอบเอวเธออยู่
“ว่าแต่ก่อนหน้านั้นก็รบกวนช่วยบอกกันหน่อยก็ดีนะว่ามือของนายไปอยู่ที่เอวของกระรอกได้ยังไง?” คำถามที่ผมทิ้งไปที่ชายหนุ่มก็ทำให้ฝ่ายของหญิงสาวยิ้มออกมาด้วยความเขินอาย คาเรนยกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งก่อนจะแสยะยิ้มออกมาแล้วก็ดึงร่างของกระรอกมาชิดตัวเองยิ่งขึ้นเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ
“เราเป็นแฟนกันแล้วน่ะ” เขาบอก
อืม…ก็ไม่มีอะไรน่าแปลกใจเท่าไหร่นี่…
“อ๋อ…” ผมไม่มีอะไรจะคอมเม้นท์แต่ดูเหมือนว่าพวกผู้หญิงจะดูดีใจออกหน้าออกมาเกินไปหน่อย
แต่ก็ช่างเถอะ หลังจากเหตุการณ์ที่แสนจะตึงเครียดผ่านไป ความสุขก็กลับคืนมาอะนะ…แต่เดี๋ยวก็ต้องไปบุกยึดฐานของเมเยอร์แล้ว
“งั้นไปก่อนนะคะที่รัก” สีหน้าของชายหนุ่มยิ้มออกมาอย่างมีความสุขก่อนจะเข้าไปหอมแก้มแฟนสาว ซึ่งฝ่ายหญิงสาวเองก็รู้สึกดีที่ได้เคียงคู่กับคนที่เธอมีใจให้
วิธีการจับซอมบี้โดยที่ไม่ให้ถูกมันกัดนั้นแสนจะเรียบง่าย ผมและคาเรนไม่จำเป็นต้องกลายร่างเป็นซอมบี้เลยด้วยซ้ำ เมื่อเราเจอซอมบี้เดินอยู่ต่ำกว่าสามตัวขึ้นไป ผมจะใช้ดาบตัดแขนและขาทั้งสองข้างรวมถึงการเชือดกระดูกขากรรไกรให้ขาดเพื่อที่มันจะไม่สามารถทำร้ายเราได้อีกต่อไป รวมถึงแขนที่สามารถใช้เล็บข่วนให้เป็นแผลเพื่อแพร่เชื้อโรคได้ ซึ่งผมจะให้คาโอรินถือดาบแล้วฟันแขนขาพวกมันในทันที ก่อนที่ผมจะและคาเรนจะช่วยกันเอาผ้ามาห่อร่างพวกมันขึ้นหลังรถ ระหว่างนั้นให้ไอยาตรวจดูโดยรอบด้วยปืนไรเฟิล
ซุ่มยิงเผื่อว่าจะมีซอมบี้หรือกลุ่มมนุษย์ซึ่งอันตรายที่สุดในตอนนี้
วันนี้เราลาดตระเวนไปทางทิศใต้ของหมู่บ้าน ซึ่งจะเกือบถึงหมู่บ้านเก่าโดยตอนนี้ปล่อยทิ้งร้างไปและพาชาวบ้านในนั้นย้ายเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านที่ใหญ่กว่าเดิมและมีบ้านมากพอสำหรับทุก ๆ คน แม้ว่าอาจจะมีปัญหากับคนแก่หรือไม่ก็อดีตนักการเมืองที่เรียกร้องอะไรต่ออะไรไร้สาระจนคาเรนอยากจะขย้ำพวกมันทิ้งจริง ๆ
คนพวกนี้มีชีวิตรอดไปก็ยังหนักประเทศอยู่ดี
“ไปเป็นแฟนกับกระรอกตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?” คาโอรินถามคาเรนในขณะที่กำลังเหวี่ยงดาบฟันแขนขาของซอมบี้ที่ผมจับขึงเอาไว้ ใบมีดอันคมกริบฟันผ่านชิ้นส่วนร่างกายของพวกมันราวกับตัดเนย
“ก็…อะไรหลาย ๆ อย่างมันเกิดขึ้นตามสัญชาตญาณของสัตวเพศผู้เพศเมีย…” ปกติแล้วเขามักจะอธิบายแบบอ้อมค้อมไม่ค่อยเก่ง แต่เมื่อเขารู้ว่าประโยคที่พูดไปเมื่อกี้มันมีความหมายล้ำลึกเกินไป เขาจึงถอนหายใจแล้วเปลี่ยนมาใช้คำพูดที่ตรงไปตรงมาแทน “คือเราแค่มีอารมณ์ตอนที่เราแอบกินเหล้ากันแล้วจากนั้นก็ทำเรื่องอย่างว่า”
“แล้วนายใช้ได้กลายร่างตอนทำเรื่องอย่างว่าหรือเปล่าล่ะ?”
ฉึก!!
ใบมีดของดาบคาตะนะถูกฟันเข้ากลางหลังจนเป็นแผลลึกด้วยฝีมือของภรรยาของผมเอง ความเจ็บปวดพุ่งทะยานออกมาอย่างไม่ทันตั้งตัว สักพักร่างกายของผมก็ถูกภรรยาสาวถีบให้นอนคว่ำลงไปกับพื้นก่อนจะเข้ามาใช้ดาบแทงจากหลังมือขวาของผมทะลุพื้นดินไป คาเรนและไอยาที่เห็นดังนั้นจึงไม่กล้าจะทำอะไร เพราะต่อให้คาโอรินจะโจมตีผมขนาดไหนผมก็ไม่มีวันตาย…ซึ่งคาโอรินรู้ข้อนั้นดีมาก ๆ
“ทำไมถึงมาพูดเรื่องแบบนี้ต่อหน้าคนอื่นล่ะคะคุณสามี?” เสียงของเธอทุ้มต่ำและดูน่ากลัว
“เหวอ!! เค้าขอโทษ!” ผมเริ่มโวยวายเนื่องจากอาการกลัวเมีย “เค้าจะไม่พูดแบบนั้นอีกแล้วครับ!”
“แน่ใจนะ?” เธอยื่นหน้าเข้ามาข้างหูด้วยสีหน้าที่เรียบเย็นไม่ต่างจากฆาตกร “ถ้าพูดเรื่องนี้ต่อหน้าคนอื่นแบบนี้อีกเค้าจะทรมานที่รักมากกว่านี้อีกนะคะ”
“ขะ…เข้าใจแล้วครับ…” ผมน้ำตาตกใน
พ่อครับ…ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมพ่อถึงยอมแม่…
ระหว่างทางที่ขับรถกลับบ้าน คาโอรินนอนซบไหล่ผมอยู่เบาะหลัง ไอยานั่งหลับอยู่ที่นั่งข้างคาเรนซึ่งเป็นคนขับรถ เสียงขยับตัวของซอมบี้ดังมาจากท้ายรถซึ่งเราไม่จำเป็นต้องกลัวพวกมันอีกต่อไป วันนี้เราจับมาได้ห้าตัวซึ่งงานนี้ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงสักเท่าไหร่ แต่ที่สำคัญกว่าก็คือเราต้องนำน้ำกับอาหารหรืออาวุธกลับไปด้วย โดยเฉพาะน้ำคือสิ่งที่สำคัญที่สุด
เราตัดสินใจประดิษฐ์เครื่องกรองน้ำแบบธรรมชาติขึ้นมาด้วยขวดน้ำแกลลอน ภายในนั้นจะมีวัตถุดิบในการกรองน้ำโดยจะไล่จากล่างขึ้นบน จะประกอบไปด้วยสำลี กรวดหยาบ กรวดละเอียด ถ่าน ทรายหยาบ ทรายละเอียด ซึ่งจะใส่เรียงเป็นชั้น ๆ ก่อนจะเทน้ำคลองลงไป พวกกรวดทรายจะทำการทำความสะอาดน้ำจนหยดผ่านสำลีออกมาเป็นน้ำใส แต่เราก็ต้องผ่านการกรองอีกรอบเพื่อให้มั่นใจว่าน้ำนั้นปลอดภัยก่อนจะเอาไปต้มเพื่อให้มั่นใจขึ้นไปอีก
ตอนนี้อากาศเริ่มมีอุณหภูมิต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากพวกเราต้องรีบหาเสื้อกันหนาวมาใส่เพราะมันใกล้จะถึงเวลาย่างเข้าฤดูหนาวแล้ว แม้ว่าฤดูฝนแทบไม่มีฝนตกเลยก็ตามแต่นั่นก็ทำให้เราพอกักเก็บน้ำไว้บ้าง สิ่งที่ผมกังวลในเรื่องของฤดูหนาวนั่นก็คือพวกซอมบี้จะแข็งแกร่งขึ้น แม้ว่าข้อมูลพวกนี้จะได้มาจากในหนังในซีรีส์ก็จริง ผมก็ไม่อยากจะดูถูกพลังจินตนาการของคนคิดเท่าไหร่ เพราะมันอาจจะอ้างอิงมาจากความเป็นจริงก็ได้
สิ่งที่ผมกลัวที่สุดในตอนนี้ไม่ใช่ฤดูหนาว แต่เป็นไทแรน ซอมบี้ร่างยักษ์สุดแกร่งที่หาทางฆ่าได้ยากมาก ๆ ถ้ามันบุกมาที่หมู่บ้านของเรามันอาจจะทำให้การบุกยึดพื้นที่ของเมเยอร์นั้นคงเป็นไปได้ยากกว่าเดิมอย่างแน่นอน
“นั่นผู้รอดชีวิตหรือเปล่า!?” ไอยาพูดโพล่งขึ้นมาพร้อมกับชี้ไปที่ชายสวมสูทสีดำยืนอยู่ขอบถนนพร้อมกับโบกมือ
“ไม่ต้องจอดนะ” ผมพูดกับคาเรนด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“ทำไมวะ?” ชายหนุ่มเริ่มชะลอ
“อย่าชะลอด้วย” ผมเริ่มเสียงดัง “ดูลักษณะการแต่งตัวของเขาสิ อะไรจะเนี้ยบได้ถึงขนาดนั้นกัน?”
“เออว่ะ…ที่เอ็นพูดมันก็ถูกนะ” คาโอรินเบิกตาโพลงด้วยดวงตาที่เห็นธรรม
“นั่นแหละ เหยียบไปก่อนเลย ไม่ต้องไปสนใจ” ผมบอกคาเรนซึ่งเขาก็ยอมเชื่อโดยการเร่งเครื่องให้ความเร็วเพิ่มขึ้นจนผ่านชายในชุดสูทไปแล้ว ผมหันไปมองเขาที่ค่อย ๆ เล็กลงเรื่อย ๆ เท่าที่สังเกตใบหน้าที่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่พอใจที่เราไม่หยุดรถให้
กฎเหล็กของการเอาชีวิตรอดในโลกซอมบี้ ‘ห้ามไว้ใจคนที่จู่ ๆ ก็เข้ามาเด็ดขาด’
“ก่อนกลับขอแวะที่นึงก่อนได้ไหม?” คาโอรินถาม
“ที่ไหนล่ะ?” คาเรนถาม
“ร้านขายยาน่ะ พอดีอยากได้พาราสักกระปุกสองกระปุก” เธอบอก
“เดี๋ยวเค้าลงไปช่วย”
“ไม่ต้อง!” เธอตอบปฏิเสธทันควัน สายตาของเธอเหมือนกำลังปิดบังอะไรบางอย่าง ซึ่งตอนนี้ผมไม่ถามเธอจะเป็นการดีที่สุด แม้ว่าจะเป็นคู่ชีวิตของกันและกันแล้ว ความลับที่ไม่ใช่เรื่องของมือที่สามก็ควรจะให้เกียรติเธอโดยการรอให้เธอที่จะพูดออกมา แล้วผมในฐานะสามีจะคอยนั่งฟังสิ่งที่เธอกำลังจะพูดออกมา
เมื่อเรากลับถึงหมู่บ้านหลังจากที่แวะร้านยาให้คาโอริน ซึ่งเธอหายไปประมาณสองสามนาทีก่อนจะวิ่งออกมาพร้อมบางสิ่งบางอย่างในกระเป๋าด้านหลังกางเกง ทหารยามจำนวนสองคนถือปืนไรเฟิลเป็นคนเปิดประตูให้ก่อนจะปิดลงอย่างรวดเร็ว พวกทหารที่เคยฟังคำสั่งภายใต้เดวิดนั้นได้กลายมาจงรักภักดีต่อผมและนิวในฐานะหัวหน้ากลุ่มสองคน ผมไม่ได้สนใจว่าตัวเองจะเป็นหัวหน้ากลุ่มหรือเปล่า เพียงแค่ผมสามารถดูแลให้ทุกคนในกลุ่มสามารถกินอิ่มนอนหลับไปได้จนกว่าซอมบี้จะหมดไปจากโลก
เราขับรถตรงไปยังเต็นท์ห้องแล็บเป็นอย่างแรก ตอนนี้เทียนได้ตั้งโซนสำหรับนำซอมบี้ทดลองมาลองยาสูตรต่าง ๆ เท่าที่ได้ยินมาจากคาเรนว่าตอนนี้เขาสามารถคิดสูตรได้ประมาณสามสูตร ผมไม่รู้หรอกว่าแต่ละสูตรนั้นแตกต่างกันยังไง แต่ที่รู้ ๆ ว่ามันไม่เหมือนกันแน่นอน ผมและคาเรนแบกซอมบี้ไว้บนบ่าสองตัวก่อนจะนำขึ้นไปวางไว้บนเตียงคนไข้และมัดมันไว้ด้วยเชือกเพ่อไม่ให้มันดิ้นหลุดไปได้ เสียงคำรามเบา ๆ จากลำคอนั้นชวนหลอนประสาทไม่ต่างจากตัวเองอยู่ในหนังซอมบี้ เมื่อผมมัดตัวสุดท้ายไว้ได้แล้วผมจึงมองเข้าไปใกล้ ๆ มาและดูเหมือนว่ามันจะเห็นผม ดวงตาที่ขาวโพลนจับจ้องมาที่ผมแล้วพยายามตะเกียกกายจะคว้าผมให้ได้ทั้ง ๆ ที่ทั้งแขนและขาก็ไม่มีแล้ว
“คิดว่ายาพวกนี้จะรักษาพวกเขาได้ไหมคะ?” ไอยาถามเทียนที่เพิ่งนำตัวยาในขวดสามขวดออกมาจากตู้แช่ก่อนจะบรรจุลงในเข็มฉีดยาทั้งสามหลอด จากนั้นเขาทยอยฉีดให้ซอมบี้สามตัว
“คำตอบของน้องไอยาจะได้เห็นหลังจากที่ผมฉีดยาพวกนี้ไปครับ” เขาพูดด้วยความนอบน้อมหลังจากที่ฉีดยาให้กับซอมบี้ตัวที่สามไป “ถ้าอยากจะดูก็ได้นะครับ แต่ให้เตรียมปืนพกของพวกคุณให้ดี”
นักวิทยาศาสตร์เทียนหยิบร่มสีขาวมีรอยเปื้อนเลือดที่เป็นคราบแห้งไปแล้วขึ้นมา
“ถ้าเกิดอะไรผิดพลาดอย่างมากก็แค่ร่างกายของมันจะระเบิด” เขากางร่มแล้วหันไปหาพวกมันราวกับเป็นโล่โดยที่ทุกคนเคลื่อนที่ไปหลบอยู่ด้านหลังชายหนุ่มจนหมด ยกเว้นผมและคาเรนที่พร้อมใจกลายร่าง ซอมบี้ตัวแรกเริ่มมีการขยับตัวที่รุนแรงขึ้น เส้นเลือดตามร่างกายค่อย ๆ บวมเป่งขึ้นมาราวกับสายยาง ก่อนที่เลือดสีดำข้นของพวกมันจะแตกทะลุออกมาหลายสิบหลายร้อยจุดรวมถึงเส้นเลือดที่สมองแตกจนไม่สามารถรักษาได้อีกแล้ว
“ตัวแรกใช้น้ำไขสันหลังของสุนัขที่มีภูมิคุ้มกันเชื้อไวรัสโคโรน่าไม่สำเร็จ” เทียนหยิบกระดาษฟอร์มจดบันทึกตามที่พูดออกมาแล้วถอนหายใจด้วยสีหน้าที่ไม่เอาบุญ “ล้มเหลวไปหนึ่ง”
“แต่ก็ยังเหลืออีกตั้งสองตัวนะคะ” คาโอรินปลอบใจ
ซอมบี้ตัวที่สองเริ่มมีกล้ามเนื้อขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ผมเห็นท่าไม่ดีขึ้น ชักปืนออกมาฝังลูกตะกั่วที่สมองของมันในทันที จากนั้นเสียงลมหายใจของเทียนก็ตามมา “สูตรที่สองใช้เลือดค้างคาวที่เป็นตัวพาหะนำเชื้อโรคไข้หวัดใหญ่ผสมกับน้ำไขสันหลังของสัตว์ทดลองที่ได้รับวัคซีนจนมีภูมิคุ้มกันในโรคเดียวกัน”
ส่วนตัวที่สามนั้นจู่ ๆ ก็สามารถงอกแขนและขาได้ แล้วดูเหมือนกล้ามเนื้อจะเพิ่มขึ้นจนเชือกที่มัดไว้ไม่สามารถเอาอยู่ มันกระชากจนเชือกขาดเป็นเสี่ยง ๆ ผมเดินเข้าไปก่อนจะคว้าท้ายทอยของมันแล้วอัดไปที่ศีรษะสามนัดเพื่อให้มั่นใจว่ามันตายแล้วจริง ๆ
“สูตรน้ำไขสันหลังของมนุษย์ที่มีภูมิคุ้มกันของเชื้อไวรัสทุกรูปแบบก็ไม่ได้งั้นเหรอ?” เขาปล่อยกระดาษและปากกาตกลงพื้นด้วยความปิดหวัง ใบหน้าของเขาดูผิดหวังกับผลงานที่ล้มเหลวอย่างมาก “แม้ว่าผมจะพยายามเลียนแบบเอลขนาดไหนผมก็ไม่สามารถทำสำเร็จได้เลย” เขาหุบร่มก่อนจะเริ่มมีน้ำตาเอ่อจนล้นไหลย้อยลงมาตามใบหน้า
“ไม่เป็นไรหรอก” ผมเดินเข้ามาวางมือลงบนบ่า “ล้มเหลวแค่ไม่กี่ครั้งก็ใช่ว่าจะล้มเหลวตลอดไปได้ยังไงล่ะจริงมั้ย? สักวันคุณจะต้องสร้างวัคซีนที่รักษาซอมบี้ได้อย่างแน่นอน ผมเชื่อแบบนั้น”
เขาเงียบไปสักพักหนึ่งก่อนที่แววตาของเขาเหมือนจะรู้อะไรบาง
“ว่าแต่ผมยังไม่เคยเอาเลือดของพวกคุณสองคนไปตรวจเลยนี่!?”
ปี๊นนนนน~~~!!!!
จู่ ๆ เสียงแตรรถดังขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยทำให้ดึงความสนใจของพวกเราไปจนหมด เพราะทุกคนรู้ดีกว่าคนที่สามารถออกไปนอกหมู่บ้านได้ในตอนนี้มีเพียงหน่วยลาดตระเวนอย่างทีมผมสี่คนเท่านั้นและการที่ส่งเสียงแตรแบบนี้ ทุกคนต่างรู้ดีว่ามันจะเป็นการทำให้ซอมบี้ในละแวกใกล้ ๆ พากันเข้ามา
เมื่อทุกคนมารวมกันพร้อมอาวุธครบมือ ซึ่งแต่ละคนมีสีหน้าที่พร้อมรบเป็นอย่างมากแทนที่จะตื่นกลัว
“พวกนั้นเป็นใคร?” นิวถามทหารยามที่มองลอดรูตาแมวของประตูรั้วเหล็ก
“ผู้บัญชาการสูงสุด…เมเยอร์ครับ”
นิวได้ยินดังนั้นจึงสั่งให้สัญญาณกับทหารยามเปิดประตู บุคคลที่ยืนอยู่นั้นคือชายที่ใส่สูทคนที่โบกให้กับผมนั่นเอง! ผมเบิกตาโพลงเมื่อเห็นรอยยิ้มที่แสยะออกมา แผ่รังสีแห่งความชั่วร้ายด้วยไร้ความปรานี รวมถึงทหารพร้อมอาวุธครบมือจำนวนยี่สิบคนยืนอยู่ด้านหลังและรถทหารแบบหุ้มเกราะอีกห้าคัน ดูเหมือนว่าพวกมันจะคงไม่ได้มาบุกพวกเราสินะ…
“สายันสวัสดิ์ทุก ๆ คน ผมขออนุญาตแนะนำตัวเองเพียงเล็กน้อย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจและก้องกังวาน
“ผมชื่อว่า ‘เมเยอร์’ ครับ”
______________________________________________
To Be Continue Ep.69