"พลังที่ผมได้มานั้น...มันคือพรหรือคำสาปกันแน่นะ...? แล้วผมจะใช้พลังนี้แก้ไขประเทศที่ล่มสลายนี้จะกลับเหมือนเดิมได้อย่างไร...?"
แอคชั่น,ชาย-หญิง,สะท้อนปัญหาสังคม,ไทย,เลือดสาด,พล็อตสร้างกระแส,ดราม่า,สยองขวัญ,ผี,ผจญภัย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Undead War สงครามคนเป็น"พลังที่ผมได้มานั้น...มันคือพรหรือคำสาปกันแน่นะ...? แล้วผมจะใช้พลังนี้แก้ไขประเทศที่ล่มสลายนี้จะกลับเหมือนเดิมได้อย่างไร...?"
โรคระบาดยังคงอยู่รอบๆ ตัวเรา ไม่ได้หายไปไหน หมอทุกคนตายกันไปหมดแล้ว ความหวังดับวูบจนไม่เหลือแม้แต่แสงสุดท้าย ราวกับว่าตัวเองกำลังเดินอยู่ในอุโมงค์ไร้แสงสว่างและไร้สิ้นสุด พวกซอมบี้ต่างคอยจะได้กัดกินเนื้อมนุษย์อย่างกับเครื่องจักรที่ไม่มีวันเหนื่อย ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็มีแต่พวกมันอยู่เต็มไปหมด
แต่ความหวังก็ยังไม่หมดไป เมื่อผมสามารถเอาชนะเชื้อไวรัสตัวนี้ได้ ทำให้ร่างกายของผมเกิดกลายพันธุ์และสามารถแปลงกายเป็นซอมบี้ได้ตลอดเวลา นั่นทำให้ผมวิวัฒนาการไปอีกขั้นเพื่อที่จะช่วยเหลือมวลมนุษยชาติได้
ผู้บัญชาการสูงสุดเมเยอร์รินเหล้าสุดหรูราคาแพงจนทหารระดับเขาก่อนกลียุคไม่มีวันได้ดื่มลงในแก้วใบหรูที่หาเจอได้ตามบาร์ของพวกคนรวยก่อนจะยกขึ้นมาดื่ม ของเหลวแอลกอฮอล์เคลื่อนไปมาตามการขยับของกล้ามเนื้อบริเวณช่องปากเพื่อให้ทุกอณูในนั้นสามารถรับรสของเหล้าอันแสนแพงนี้ราวกับว่าจะไม่ได้ลิ้มรสอีกต่อไป ลิ้นสีชมพูอมดำเลื่อนไปเลื่อนมาทั่วปากก่อนจะเลื่อนไปถูกฟันทุกซี่เพื่อทำความสะอาด ภายในห้องพักของเมเยอร์นั้นมักจะมีของหรู ๆ ที่ขโมยมาจากร้านขายเครื่องแต่งบ้านหรือไม่ก็ไปขโมยมาจากบ้านเศรษฐีรวย ๆ ที่ไหนสักแห่ง
“ฉันเริ่มเกลียดเหล้าพวกนี้แล้วสิ” เขาพูด “ไม่รู้ว่าไอ้พวกทหารยศระดับสูงมันมีลิ้นที่สูงส่งดีจังเลยนะที่สามารถดื่มเหล้าแรง ๆ รสชาติห่วย ๆ แบบนี้ได้”
“คนหัวสูงทุก ๆ อย่างมันก็ต้องสูงตามไปด้วยนั่นแหละครับ”
ต้อม รองผู้บัญชาการทหารคนสนิทและบอดี้การ์ดส่วนตัวพูดเออออไปตามผู้นำโดยที่ในใจนั้นไม่ได้เห็นด้วย…ในความเป็นจริงเขาเบื่อที่จะฟังที่เจ้าตัวพล่ามอะไรพวกนี้มาจนเดาทางได้ว่าประโยคต่อไปเขากำลังจะพูดอะไรออกมา ใบหน้าของเขาเบื่อหน่ายทันทีเมื่อชายวัยกลางคนผมสีขาวหันหลังเพื่อหยิบที่คีบยกน้ำแข็งก้อนวงกลมจำนวนหนึ่งก้อนใส่ลงไปในแก้ว ก่อนจะรินเหล้าลงไปประมาณหนึ่งส่วนสามของแก้ว จากนั้นก็วนมันจนของเหลวสีน้ำตาลทองเคลื่อนไหวไปตามแรง สายตาของเขามองลงไปยังของเหลวในแก้วรวมถึงสัมผัสที่มือค่อย ๆ เย็นลง เขากระดกขึ้นดื่มอีกครั้ง “พอใส่น้ำแข็งลงไป น้ำที่ละลายผสมลงในเหล้าก็จะเจือจางลง คนที่เชี่ยวชาญเรื่องนี้จะสามารถสัมผัสรสชาติที่เปลี่ยนไปด้วยการใช้ลิ้นแตะเพียงครั้งเดียว”
ต้อมไม่รู้ว่าท่านผู้นำคนนี้ต้องการอยากจะสื่ออะไรกันแน่ ตั้งแต่เขาตัดสินใจจะไปเยี่ยมเดวิดที่ฐานทัพหมู่บ้านที่เขาเพิ่งยึดมาจากกลุ่มเด็กวัยรุ่นเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่งโดยที่ไม่เสียกระสุนและกำลังคนเลยแม้แต่นิดเดียว แล้วกลับมาพร้อมกับสีหน้าที่หงุดหงิดเต็มที่ เขาจำได้แม่นว่าใบหน้าของผู้บัญชาการเมเยอร์นั้นแดงก่ำและเหมือนว่ามีควันออกจากหูก่อนจะสั่งให้ทหารกว่าห้าสิบนายในฐานทัพเตรียมอาวุธยุทโธปกรณ์ให้พร้อมเพื่อจะไปทำสงคราม
นี่เป็นครั้งแรกที่เมเยอร์โกรธจนถึงขั้นประกาศสงคราม คราวนี้จะเป็นศัตรูแบบไหนกันแน่?
“นายรู้ไหมว่าทำไมถึงสั่งให้ทุกคนไปรบแล้วมีเปิดเหล้าที่แพงที่สุดกินอย่างสบายใจเฉิบแบบนี้?” เมเยอร์ถามด้วยน้ำเสียงที่เริ่มเพี้ยนไปเล็กน้อย
“ไม่ทราบครับ” ต้อมตอบไปตามตรงแม้ว่าจะมีความเบื่อหน่ายติดอยู่ในน้ำเสียงเล็กน้อย
“เพราะเรากำลังจะประกาศสงครามกับเด็กพวกนั้นน่ะสิ!” เมเยอร์ขมวดคิ้วแล้ววางแก้วลงบนโต๊ะก่อนจะบีบแตกคามือด้วยความโกรธ เศษแก้วแหลม ๆ ทิ่มแทงเข้าไปที่เนื้อหนังเลือดไหล ความเจ็บปวดบันดาลให้โทสะขึ้น แต่เขาพยายามอดกลั้นมันเอาไว้แล้วเดินไปที่กล่องพยาบาลจากนั้นก็หยิบผ้าพันแผลสีขาวมาพันรอบฝ่ามือเอาไว้ “ไปเช็คดูหน่อยสิว่าเอลมันทำอะไรอยู่”
การแสดงความจงรักภักดีต่อผู้บังคับบัญชานั้นเป็นสิ่งที่ทหารอย่างต้อมต้องทำตลอดเวลาทั้งต่อหน้าและลับหลัง แต่เมื่อกลียุคมาเยือนนั้นทำให้เขาเทียบอยากจะถอดชุดทหารแล้วหนีออกจากกองทัพไปให้รู้แล้วรู้รอด ในเมื่อความไฝ่ฝันและความเป็นจริงนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เขาจึงต้องทนกัดฟันอยู่ใต้ร่มเงาของเมเยอร์ ด้วยความที่อีกฝ่ายนั้นยังมีผลประโยชน์ร่วมกันคือการมีชีวิตรอดเพราะเขาและเขามีชีวิตรอดเพราะการบริหารของต้อมเอง นั่นก็จะเป็นเหมือนน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าไปโดยปริยาย
เต็นท์ห้องทดลองของเอลนั้นไม่ได้มีขนาดใหญ่ไปกว่าเต็นท์คลังอาวุธเท่าไหร่แถมเครื่องมือในการทดลองนั้นมีไม่มาก จึงดูแล้วเขาไม่ค่อยสะดวกในการทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันหรืองานผลิตคิดค้นวัคซีนอย่างที่เมเยอร์ต้องการและการที่มีหัวหน้าโครงการ 005 ที่เป็นผู้คิดค้นเชื้อโรคระบาดนี้นั้นอยู่กับเขาก็ไม่ต่างจากได้กุญแจดอกสำคัญที่จะเปิดประตูออกไปสู่โลกใหม่ก็เป็นได้
ต้อมกดรหัสผ่านสี่ตัวก่อนจะผลักประตูเข้าไป เห็นชายหนุ่มร่างผอมสวมแหวนกำลังรัวนี้แป้นพิมพ์ด้วยท่าทางที่ใจจดใจจ่อเป็นอย่างมาก เขาตกใจและรีบพับหน้าจอของแล็บท็อปไปในทันทีเมื่อเห็นทหารหนุ่มเดินเข้ามา
“ขอความเป็นส่วนตัวหน่อยไม่ได้หรือไง!?” เอลถามด้วยความหงุดหงิด แต่ต้อมก็ไม่ได้สนใจ
“ก็ท่านผู้นำไม่ได้ให้พื้นที่ส่วนตัวกับใครเป็นพิเศษอยู่แล้วนี่” ต้อมลากเก้าอี้หนังเข้ามานั่งฝั่งตรงข้ามเพื่อประจันหน้ากับนักวิทยาศาสตร์คนนี้ “แล้ววัคซีนที่กำลังทำการวิจัยอยู่ตอนนี้ล่ะเป็นยังไงบ้าง?”
“สูตรก็คิดได้หมดแล้ว ส่วนผสมวัคซีนก็มีแล้ว” เขาโกหกเรื่องส่วนผสมวัคซีน “แต่ถ้าไม่มีเครื่องผสมวัคซีนที่อยู่หมู่บ้านพฤกษาของคุณเทียบก็ไม่สามารถทำอะไรได้”
ต้อมพ่นหายใจออกมาทางจมูกอย่างเบื่อหน่าย
“ยังต้องการอะไรอีกไหม?”
“ไม่แล้วล่ะ” เอลตอบทันควัน แต่แล้วเขาก็หรี่ตามองมือของต้อมที่อยู่ใกล้ ๆ กับปืนพกและรู้ดีว่าเขาไม่ได้ชอบตัวเองสักเท่าไหร่ โดยปกติแล้วเมเยอร์ไม่ได้สั่งให้ต้องเข้ามาดูแบบนี้ แต่เป็นเพราะว่าเมเยอร์นั้นยุ่งกับแผนการบางอย่างที่สำคัญกว่าการจะมานั่งรู้ทุกขั้นตอนของการวิจัยวัคซีนเหมือนทุก ๆ ครั้งที่ผ่านมา เอลจึงตัดสินใจแหย่ทหารหนุ่มขี้หงุดหงิดนี่ให้เขาหัวเสียเล่น ๆ ดีกว่า “ฐานที่หมู่บ้านพฤกษายังอยู่ดีหรือเปล่า?”
คำพูดของนักวิทยาศาสตร์หนุ่มเปรียบเสมือนดาบล่องหนแทงเข้าไปในหัวใจของเขาเต็มรัก ความหงุดหงิดค่อย ๆ เพิ่มขึ้นจนกลายมาเป็นความโกรธเกรี้ยวของตัวเขาเอง จึงชักปืนพกออกมาจ่อที่กบาลของอีกฝ่าย ส่วนเอลนั้นทำได้เพียงนั่งนิ่งและแสยะยิ้มสู้เสือ เพราะนั่นคือสิ่งที่ชายหนุ่มต้องการจะแหย่เล่น ตอนนี้เขาพร้อมที่จะตายมาก ๆ เพราะถ้าเขาตาย สูตรการผลิตวัคซีนปาฏิหาริย์นั่นจะหายไปในทันที ต้อมคงจะรู้เรื่องนี้แล้วสามารถตั้งสติได้ดีพอที่จะไม่เหนี่ยวไกล่ะนะ
“ฐานของหมู่บ้านนั้นถูกยึดไปแล้วเดวิดถูกฆ่าตาย รวมถึงหมู่บ้านเล็กที่มีวิทยุเป็นคนคุมก็ถูกยึดแล้วเหมือนกัน” เมเยอร์ปรากฏตัวด้านหลังของต้อมอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ทำให้ทหารหนุ่มสะดุ้งสุดตัวแล้วเขาก็รีบลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว สีหน้าตื่นกลัวเล็กน้อย แต่ผู้บัญชาการสูงสุดกลับไม่สนใจ “หมู่บ้านพฤกษาถูกกลุ่มวัยรุ่นยึดไว้ ไม่ว่าจะเป็นยังไง คืนนี้เราก็จะชิงคืนมาอยู่ดี เพราะตอนนี้เตรียมจัดทัพไว้แล้ว”
“แต่ตอนนี้กำลังของเรามีพอ ๆ กับพวกมันเลยนะครับ” ต้อมแย้ง “จะเอาอะไรไปได้เปรียบในสมรภูมิล่ะครับ?”
“ทุบหม้อข้าวทิ้งให้หมดเหมือนยุคพระเจ้าตากไง” คำตอบที่ออกมาจากปากของเมเยอร์ทำให้รองผู้บัญชาการถึงกับไปไม่ถูก
“เอาเถอะ ถ้าอยากให้งานวิจัยและวัคซีนสำเร็จไว ๆ ก็ช่วยเอาเครื่องผสมวัคซีนมาด้วยละกัน ให้ไว้ชีวิตเทียนด้วยก็ดีเพราะเขาใช้เครื่องนั่นเป็น” เอลบอกก่อนจะเปิดหน้าจอคอมแล้วเริ่มเล่นเกมคอมพิวเตอร์ที่ดาวน์โหลดมาก่อนช่วยกลียุคซึ่งเป็นเกมเดียวที่เขาเล่นต่อจากก่อนหน้านี้เพื่อเป็นการไล่ทั้งสองคนออกมาจากเต็นท์
เมเยอร์และต้อมยอมออกมาจากเต็นท์ห้องทดลองแต่โดยดี
“ผมไม่ชอบเขาเลย” ต้อมบ่น
“คนฉลาดมักจะนิสัยเสียเสมอแหละ แต่ก็ต้องตามใจเพราะเราต้องพึ่งมันสมองของมันนี่แหละ” เมเยอร์หยิบบุหรี่ออกมาจากกระเป๋ากางเกง เขาชะงักเมื่อเห็นว่ามันเป็นมวนสุดท้ายจึงจุดไฟสูบด้วยไฟแช่กปล่อยให้ทหารยศต่ำกว่ากลืนน้ำลายดังเอื้อก เมเยอร์สูดควันมะเร็งเข้าไปเต็มปอดก่อนจะเป่าออกมา ต้อมเห็นดังนั้นจึงสูดดมอย่างเต็มที่ “โอ๊ะ! โทษทีนะ พอดีบุหรี่มันหมดแล้วน่ะ”
“เดี๋ยวค่อยแวะเซเว่นก็ได้ครับ”
“แหม พูดเหมือนสมัยที่ยังประจำการอยู่ที่สภาเลยนะ” เมเยอร์หัวเราะ
“รายงานครับท่านผู้บัญชาการเมเยอร์!” ทหารคนหนึ่งเดินเข้ามาทำความเคารพด้วยน้ำเสียงที่ขึงขัง “ตอนนี้กองทัพจำนวนทหารทั้งหมดห้าสิบนายพร้อมรบครับ”
“ดีมาก” เมเยอร์แสยะยิ้ม “เดี๋ยวก่อนไปฉันจะประชุ…”
ปั้ง!!.....แผละ!!!!
กระสุนจากปืนไรเฟิลซุ่มยิงลอยมาจากทิศปริศนาปลิดชีพทหารคนนั้นเป็นที่เรียบร้อย เลือดสีแดงจำนวนมาพุ่งสาดเข้าไปที่ใบหน้าและร่างกายของเมเยอร์เต็ม ๆ ส่งผลให้บุหรี่ดับไปในตัว!!
__________________________________________
To Be Continue Ep.71