"พลังที่ผมได้มานั้น...มันคือพรหรือคำสาปกันแน่นะ...? แล้วผมจะใช้พลังนี้แก้ไขประเทศที่ล่มสลายนี้จะกลับเหมือนเดิมได้อย่างไร...?"
แอคชั่น,ชาย-หญิง,สะท้อนปัญหาสังคม,ไทย,เลือดสาด,พล็อตสร้างกระแส,ดราม่า,สยองขวัญ,ผี,ผจญภัย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Undead War สงครามคนเป็น"พลังที่ผมได้มานั้น...มันคือพรหรือคำสาปกันแน่นะ...? แล้วผมจะใช้พลังนี้แก้ไขประเทศที่ล่มสลายนี้จะกลับเหมือนเดิมได้อย่างไร...?"
โรคระบาดยังคงอยู่รอบๆ ตัวเรา ไม่ได้หายไปไหน หมอทุกคนตายกันไปหมดแล้ว ความหวังดับวูบจนไม่เหลือแม้แต่แสงสุดท้าย ราวกับว่าตัวเองกำลังเดินอยู่ในอุโมงค์ไร้แสงสว่างและไร้สิ้นสุด พวกซอมบี้ต่างคอยจะได้กัดกินเนื้อมนุษย์อย่างกับเครื่องจักรที่ไม่มีวันเหนื่อย ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็มีแต่พวกมันอยู่เต็มไปหมด
แต่ความหวังก็ยังไม่หมดไป เมื่อผมสามารถเอาชนะเชื้อไวรัสตัวนี้ได้ ทำให้ร่างกายของผมเกิดกลายพันธุ์และสามารถแปลงกายเป็นซอมบี้ได้ตลอดเวลา นั่นทำให้ผมวิวัฒนาการไปอีกขั้นเพื่อที่จะช่วยเหลือมวลมนุษยชาติได้
ทหารกว่าสิบคนต่างพากันล้มตายอย่างหน้าอนาจด้วยกระสุนปืนสไนเปอร์ลอยมาจากทิศทางปริศนา ส่วนที่เหลือนั้นรีบวิ่งออกไปหาที่กำลัง ไม่ว่าจะเป็นหลังเฮลิคอปเตอร์หรือหลังรถถัง พวกเขาพยายามยิงสวนไปซึ่งมันมีปัญหาอยู่ที่ไม่รู้ว่าจะต้องยิงไปในทิศทางไหน พวกเขาไม่สามารถคำนวณวิถีกระสุนในเวลาไม่กี่วินาทีนี้ได้อย่างแน่นอน เมเยอร์และต้อมเห็นดังนั้นจึงตกใจกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วรีบวิ่งเข้ามาที่กำบังหลังจากที่กระสุนนัดหนึ่งเฉี่ยวผ่านศีรษะไปราวกับโชคช่วย
“มันเกิดอะไรขึ้นวะ ไอ้ฉิบหาย!?” เมเยอร์หัวเสียแล้วถุยบุหรี่มวนสุดท้ายลงพื้น
“พวกมันคงบุกแล้วล่ะครับ ท่านรออยู่ที่นี่แหละครับ” ต้อมชักปืนพกออกมาแล้วเช็คกระสุนในแม็กอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะลุกออกไปพยายามจะเข้าไปควบคุมสถานการณ์
แต่ก็ไม่ทันแล้ว ประตูรั้วเหล็กคอนเทนเนอร์ที่สร้างเป็นโล่ป้องกันอย่างดีได้ถูกพังได้อย่างง่ายดายด้วยพลังการทำลายล้างสูงสุดของผมและคาเรน ผู้ครอบครองพลังซอมบี้ทั้งสองคน รวมถึงพรรคพวกที่เหลือตามมาจากด้านหลังและทหารฝ่ายตัวเองอีกสิบกว่าคนพร้อมอาวุธครบมือโหมกระหน่ำกระสุนใส่พวกศัตรูอย่างไม่หยุดยั้ง การบุกจู่โจมแบบสายฟ้าแล่บแบบนั้นทำให้อีกฝ่ายเสียขวัญเป็นอย่างมาก แม้ว่าจะมีบางคนยังสามารถตั้งสติและยิงสวนกลับมาได้ก็ถูกหน่วยซุ่มยิงของเราเก็บอยู่ดี
คาโอรินวิ่งเข้ามาอยู่ข้าง ๆ ผมพร้อมกับปืนไรเฟิลคู่ใจพร้อมกับยิงใส่พวกทหารที่ตอนนี้ยังคงขวัญเสียกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด ผมทำหน้าที่โล่กำบังให้เธอ ไม่ว่าจะกระสุนจะพุ่งมาถูกผมกี่นัดก็ไม่สามารถทำให้ต้องตาย แผนการณ์ของนิวนั้นถือว่าไม่ค่อยแยบยลเท่าแผนอื่น ๆ เพราะเขารู้ว่าพวกของมันมีมากกว่าเราแต่ก็น้อยกว่าทหารของเดวิด เนื่องจากพวกมันมั่นใจในฝีมือของทหารตัวเองมาก ๆ ทั้ง ๆ ที่ถ้าลดจำนวนน้อยลง ก็ไม่ต่างจากไดโนเสาร์ท่ามกลางมนุษย์ที่มีอาวุธครบมือ
“เท่าที่สังเกต ทหารพวกนี้ไม่ได้เก่งอะไรเลย” คาโอรินบอกก่อนจะวิ่งเข้าใส่ทหารคนหนึ่งแล้วอัดกระสุนใส่กบาลจนแน่นิ่งเลือดกระเด็นเซ็นซ่านไปทั่ว “มีแต่ทหารที่ติดยศสูง ๆ เยอะ ๆ ทำให้หนักร่างกายเวลาออกรบทั้งนั้นเลย”
“คิดเหมือนกัน” ผมถอนหายใจแล้วยืนนิ่งท่ามกลางสมรภูมิ “เทียบกันแล้วตอนที่เราไปบุกเดวิดยังจะน่ากลัวกว่านี้เป็นสิบเท่า”
จู่ ๆ ก็มีใครบางคนพพุ่งเข้ามาหาผม หางตาเห็นเป็นใบมีดสีดำถูกเหวี่ยงเข้ามาหมายจะควักลูกตาเพื่อช่วงชิงการมองเห็นของผมไป แต่แล้วมันคนนั้นก็ไม่สามารถทำให้สำเร็จ เนื่องจากคาโอรินชักมีดคารัมบิตขึ้นมาปัดมีดของมันออก
“เป็นผู้หญิงที่แรงดีใช้ได้เลยนี่” อีกฝ่ายแสยะยิ้ม “ขอแนะนำตัวเองว่าชื่อต้อม เป็นรองผู้บัญชาการและผู้รักษาการณ์แทนผู้บัญชาการ”
“เป็นทหารก็ต้องอวดยศกันบ้างล่ะเนาะ” คาโอรินแสยะยิ้มก่อนจะพุ่งเข้าไปดวลมีดกับต้อม
สิ่งหนึ่งที่ผมสัมผัสได้ว่าเธอเคลื่อนไหวช้าลงและคอยระวังไม่ให้อีกฝ่ายทำร้ายบริเวณท้อง…มันใช่สิ่งที่ผมคิดไว้หรือเปล่านะ…แต่ถ้าเป็นจริง ๆ ผมคงจะยกโทษให้ตัวเองไม่ได้แน่
ผมเดินเข้าไปคว้าร่างของต้อมก่อนจะหักคอเขาจนกระโดดท้ายทอยหักดัง กร๊อบ!! ราวกับมันฝรั่งแผ่นทอดกรอบ
“ไม่แฟร์อะ” คาโอรินทำหน้างอลใส่ผม
“ขอโทษนะที่รัก” ผมยื่นมือไปลูบศีรษะแฟนสาวแล้วยิ้มอย่างอบอุ่น “ถ้าภรรยาคนสวยของเค้าเป็นอะไรไปเค้าคงจะให้อภัยตัวเองไม่ได้เชียวล่ะ”
หญิงสาวหน้าแดงเมื่อได้ยินคำว่า ‘ภรรยา’ ก่อนจะหันหน้าหนีแต่ก็เอี้ยวตัวมาซบกับแผงอกของผม ตั้งแต่ผมตัวสูงขึ้นอย่างไร้สาเหตุดูเหมือนว่าเธอจะยิ่งหลงผมจนหัวปักหัวปำเลยทีเดียว
“เข้าใจแล้วค่ะ” เธอพูด “คุณสามี”
สงครามย่อม ๆ ในนี้จบลงอย่างรวดเร็วในตอนที่ทหารที่เหลือไม่ถึงสิบคนยอมวางอาวุธก่อนจะยกมือขึ้นเหนือศีรษะ นิวเดินเข้ามาในฐานทัพที่ล้อมรั้วด้วยอิฐเป็นทรงสี่เหลี่ยม มีลวดหนามวางไว้บนกำแพง เมเยอร์เห็นดังนั้นจึงชักปืนออกมาแล้วเล็งไปที่นิว
แกร๊ก! แกร๊ก!
เวร! กระสุนหมด จากนั้นเขาชักมีด รวบรวมความกล้าเอาไว้ก่อนจะพุ่งออกจากที่ซ่อนตรงเข้าไปหาชายหนุ่ม แต่ก็ถูกมายและไอยาสกัดไว้ด้วยลูกเตะของทั้งสองจนผู้บัญชาการหงายท้องไปกับพื้น ซึ่งทำให้มายและไอยางงกันเป็นไก่ตาแตกเพราะตัวหัวหน้าควรจะแข็งแกร่งกว่านี้ไม่ใช่เหรอ?
“เป็นผู้บัญชาการสูงสุดซะเปล่า ทำได้แค่นี้เองเหรอครับ?” นิวเดินเข้าไปหาเมเยอร์ก่อนจะนั่งยองพูดอย่าเยาะเย้ย “ถ้าเทียบกันเดวิดยังแข็งแกร่งกว่าอีกนะครับ เขาฆ่าทอมไปแล้ว แต่ก็นั่นแหละ เขาเป็นอดีตทหารผู้น้อยที่ไม่ได้อยู่ในสายตาผู้บัญชาการแบบคุณ และการที่ฐานใหญ่มีทหารแต่หยิบมือเดียวแบบนี้มันทำให้โจมตีได้ง่ายเดินไปครับ ชาติหน้าไปเรียนมาใหม่แล้วค่อยมาสู้กันนะครับ”
“พวกมึงมันปีศาจ” อีกฝ่ายค่อย ๆ ชันตัวลุกขึ้นมาพร้อมกระอักเลือดเล็กน้อย “พ่อแม่ของพวกแกไม่ได้สั่งสอนเรื่องศีลธรรมกันหรือยังไง?”
“ก็มีแต่คนบอกแบบนั้นเรื่องที่ว่าพวกเราเป็นปีศาจอะนะ…แต่เรื่องศีลธรรมที่คุณอ้างออกมานั้นมันใช้กับโลกนี้ได้ด้วยเหรอ? เพราะคุณกำลังจะถูกผมฆ่าก็เลยอ้างเรื่องที่มันไม่มีจริงมาตั้งแต่แรกแล้วงั้นเหรอ? คุณคิดดูให้ดีละกันว่าโลกนี้มันสกปรกขนาดไหน ขนาดพระเจ้ายังส่งซอมบี้มาล้างให้เลย” นิวยกนิ้วชี้ขึ้นมาจิ้มที่หน้าผากของชายวัยกลางคนอย่างแรง
“ทำแบบนี้กับผู้ใหญ่ได้ยังไงวะ!? เจ็บนะโว้ย!!” เมเยอร์โวยวาย
“ก็ผู้ใหญ่เหี้ย ๆ ทำอะไรกับเราไว้บ้างล่ะ?” นิวถามกลับก่อนที่จะถอนหายใจ “ว่าแต่ตอนนี้มันคนนั้นอยู่ที่ไหน หัวหน้าโครงการ 005 ที่ชื่อว่า ‘เอล’ มันอยู่ที่ไหน?”
“เต็นท์ทดลอง…” เมเยอร์ยอมตอบแต่โดยดีเพราะไม่อยากจะเจ็บไปมากกว่านี้แล้ว รวมถึงสิ่งที่นิวพูดออกมามันคือความจริงพวกเขาเลือกที่จะหันหลังให้และไม่ยอมรับความจริงว่าตัวเองได้กระทำจริง ๆ “เอลมันมีเพียงสูตรวัคซีน แต่ไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้”
“แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว” นิวกดนิ้วชี้แรงขึ้น เล็บอันแหลมคมจิกหนังกบาลจนเลือดไหล ผมที่มองอยู่เม้มปากด้วยความโหดเหี้ยมของนิวที่ได้กระทำต่ออีกฝ่าย จริง ๆ ผมก็ไม่ได้มองหลักศีลธรรมและจริยธรรมมาตั้งนานแล้ว เพราะตัวเองไม่ได้มองหลักตรงนั้นมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วเหมือนกัน แต่ก็ช่างเถอะ…ถ้านิวจะฆ่าเมเยอร์ตอนนี้ก็ถือว่าสมควรแล้ว
เขาสมควรตาย…
จากนั้นสิ่งที่ทุกคนยกเว้นผมไม่ได้คาดหวังก็เกิดขึ้น นิวใช้นิ้วทิ่มกะโหลกหนา ๆ ของเมเยอร์จนทะลุเข้าไป เลือดจำนวนมากกระฉูดออกมามากมายราวกับก๊อกน้ำที่แตกออกไม่มีชิ้นดี ดวงตาของเมเยอร์เบิกกว้างมองไปที่ผู้สังหารอย่างอาฆาตแค้น โดยที่อีกฝ่ายนั้นกลับมองมาที่มันอย่างเย็นชาราวกับว่าไม่เหลือความรู้สึกสงสารใด ๆ ต่อมันแล้ว นิ้วของชายหนุ่มเปื้อนเลือดไปหมด เขาเช็ดมันกับกางเกงออกเหลือแต่เพียงคราบเลือดส่งกลิ่นคาว ทุกคนเงียบแล้วมองตามเขาไปยังเต็นท์ของเอล
“นิวทำแบบนี้มันถูกแล้วเหรอวะ?” นัทถาม “ตั้งแต่รู้จักกับมันมา แบบนี้ไม่เคยเห็นมาก่อนแล้วน่ากลัวอีกต่างหาก”
“ก็เขาในตอนนี้ไม่ต่างจากภาชนะเก็บความแค้นที่มีต่อผู้อิทธิพลนี่” ฟางเดินแบกปืนไรเฟิลซุ่มยิงมาบนบ่าตอบออกไป
“แฟนเธอนี่โหดจริง ๆ เลยนะ” จินอูพูด
“ถ้าพวกนายเห็นเขาสู้กับคนที่เก่งที่สุดของโลกฉันแล้วล่ะก็ จะเมเยอร์หรือใครก็ตามไม่มีทางเอาชนะเขาได้หรอก” ฟางพูดอย่างอวด ๆ
“แล้วนี่เขาใช้พลังระดับไหนกันล่ะ…” ผมถาม “ที่ผ่านมา”
“แค่ครึ่งเดียว”
ชายหนุ่มเดินแหวกม่านเข้าไปพบกับชายหนุ่มร่างผอมกำลังรัวแป้นพิมพ์บางอย่างอยู่ที่แล็บท็อปเงียบ ๆ อย่างใจจดใจจ่อ เท่าที่สังเกตแล้วเขาไม่ต่างจากนักวิทยาศาสตร์ทั่วไปเท่าไหร่ ร่างกายที่ผอมแห้ง นิ้วมือที่แทบจะเห็นกระดูก ผมเผ้าที่ยาวรกรุงรังถูกมัดไว้ด้านหลังอย่างเรียบร้อย ใบหน้าที่ขาวสว่างตามฉบับคนที่ดูแลตัวเองดีแต่สวนทางกันตรงที่ขอบตาของเขาดำราวกับไม่ได้นอนมาหลายคืน
“เมเยอร์ตายแล้วสินะครับ” เขาพูดขึ้นโดยที่ไม่ได้หันมาหานิว “ยินดีที่ได้รู้จัก ผมเอล”
“ใช่” ชายหนุ่มผู้มาเยือนตอบเพียงแค่นั้น ซึ่งมันเพียงพอทำให้นักวิทยาศาสตร์หนุ่มหยุดพิมพ์แล้วพับหน้าจอลงก่อนจะลุกขึ้นถอนหายใจอย่างไม่สบอารมณ์
“ผมได้ยินเสียงปืนและเสียงความตายที่มาเยือนทหารทุกคนในฐานทัพแห่งนี้” เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำ “มาจากกลุ่มของคุณที่ต้องการมายึดที่นี่สินะ”
“ไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลหรือชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูด คุณก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจแล้วว่าผมไม่ได้เข้ามาที่นี่เพราะความบังเอิญใช่ไหม?” นิวพยายามอ่านใจของอีกฝ่าย
“ทั้งใช่และไม่ใช่” เขาพยายามเล่นลิ้น “มีกลุ่มคนหลายกลุ่มพยายามจะบุกยึดที่นี่แต่ก็ไม่สำเร็จ”
“ยังมีกลุ่มผู้เอาชีวิตรอดอีกสินะ”
“ก็ไม่น่าแปลกใจหรอกจริงไหม? ขนาดประเทศที่ด้อยพัฒนาแบบเรายังสามารถรอดชีวิตจากพวกผีดิบออกมาได้เลย จริง ๆ อยากจะเรียกว่า ผู้ป่วยโรคระบาดที่ก้าวร้าวเกเรมาก ๆ และรอการรักษาตามที่รัฐบาลได้ประชุมกันตั้งสามชั่วโมงเพื่อตั้งชื่อให้กับพวกซอมบี้นี่” นักวิทยาศาสตร์หนุ่มพูดเริ่มใส่อารมณ์ ซึ่งดู ๆ แล้วมันน่าจะเป็นสิ่งที่อึดอัดในใจของเขามาโดยตลอด
“คุณสามารถทำวัคซีนและมีสูตรครบหมดแล้วใช่ไหม?” นิวถามเพื่อเข้าประเด็น
“เหลือแค่ส่วนผสมสุดท้ายที่ทำยังไงก็ไม่มีทางหาพบและผมก็ไม่อยากจะบอกเมเยอร์ด้วย” เอลบอก “เขาไม่สมควรได้รับรู้ถึงมัน”
“แล้วผมสมควรได้รับรู้ถึงมันหรือเปล่าล่ะ?”
“ก็ไม่รู้สิ…เอาเถอะ…รู้ไปก็ไม่มีใครสามารถทำได้อยู่ดี” ท่าทางของเอลกวนโอ๊ยจนนิวอยากจะจับทุบกับโต๊ะจริง ๆ
“การที่จะผลิตออกมาได้สมบูรณ์แบบนั้น เราจำเป็นจะต้องมีน้ำไขสันหลังที่มีภูมิคุ้มกับเชื้อซอมบี้อยู่ด้วย ซึ่งมันจะมาในรูปแบบของอาวุธชีวภาพ” สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์พูดออกมานั้นทำให้นิวยักคิ้วข้างหนึ่งด้วยความเอะใจ
“อาวุธชีวภาพที่คุณพูดถึงมันเป็นยังไง?” เขาภาวนาให้ความคิดในหัวของเขาถูกต้องด้วยเถิด
“อาวุธชีวภาพมีอยู่สามแบบ นั่นก็คือซอมบี้ธรรมดาที่ไร้สติ ซอมบี้ร่างยักษ์ที่ไร้สติปัญญาพอ ๆ กันและมนุษย์ที่สามารถกลายร่างเป็นซอมบี้ได้” เอลบอก “เราต้องการน้ำไขสันหลังของแบบที่สาม ซึ่งไม่ต่างจากการงมเข็มในมหาสมุทร เพราะแบบที่สามนี้จะมีความสามารถในการควบคุมเชื้อไวรัสพวกนี้ได้ แต่เงื่อนไขในการได้มันมาก็ยากลำบาก เพราะเขาคนนั้นจะต้องมีพลังใจที่แกร็งมาก ๆ ถึงจะชนะเชื้อไวรัสได้ มันฟังดูเป็นหนังไปหน่อย แต่ก็นะ…โลกที่กว้างใหญ่แบบนี้จะไปหาคนแบบนั้นได้ที่ไหน”
นิวเงียบแล้วครุ่นคิดบางอย่าง
“น้ำไขสันหลังของผู้ครองพลังซอมบี้นั้นจะสามารถสกัดเอาภูมิคุ้นกันออกมาได้ใช่ไหม?” เขาถาม
“ใช่” อีกฝ่ายตอบอย่างสิ้นหวัง
“งั้นรออยู่ตรงนี้” พอชายหนุ่มพูดจบแล้วเดินออกไปเรียกผมและคาเรนเข้ามาในเต็นท์แล้วแนะนำให้รู้จักกับเอล ซึ่งอีกฝ่ายก็งงว่าพวกเราสองคนถูกเรียกตัวให้เข้ามาในนี้ทำไม
“ทั้งสองคนกลายร่างให้ดูหน่อย” ถึงแม้ว่าผมจะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ผมและคาเรนมองหน้ากันก่อนจะทำการกลายร่างเป็นซอมบี้ ส่วนรีแอ๊กชั่นของนักวิทยาศาสตร์ที่ชื่อเอลนั้นเบิกตาโพลงราวกับเห็นผี จากนั้นก็ตามมาด้วยรอยยิ้ม
“นี่ผมไม่ได้ฝันจริง ๆ ใช่ไหม…?” น้ำใส ๆ ไหลรินมาตามใบหน้าของนักสิทยาศาสตร์หนุ่มด้วยความซาบซึ้งที่ได้เห็นผลงานของตัวเองประสบความสำเร็จ พวกคุณได้พลังนี้มาได้ยังไง?”
“ผมว่าอย่าเพิ่งนอกเรื่องจะดีกว่านะครับ” นิวพูดอย่างสุภาพ “คุณบอกว่าจะต้องใช้น้ำไขสันหลังจากสองคนนี้ใช่ไหมครับ”
“นี่มันหมายความว่ายังไง?” คาเรนถาม
“การที่จะสร้างวัคซีนได้ก็ต้องใช้น้ำไขสันหลังของหนึ่งในพวกเธอ” เอลบอก “แล้วการดูดน้ำไขสันหลังออกมานั้นมันจะทำให้เกิดผลข้างเคียงถึงตายได้เลยทีเดียว”
ผมและคาเรนยืนนิ่ง โดยเฉพาะผมที่พูดอะไรไม่ออก…ถึงตายเลยเหรอ…? มันคือการเสียสละเพื่อคนทั้งโลกสินะ
“แล้วไม่มีคนอื่นแล้วใช่ไหมครับ?” คาเรนถาม
“นอกจากพวกคุณสองคนแล้ว…ก็ไม่มีอีกแล้วล่ะ”
เอลลากเก้าอี้มานั่ง จากนั้นคาเรนก็พูดบางอย่างออกมา
“ผมจะเป็นคนมอบน้ำไขสันหลังให้คุณเอง”
_____________________________________________
To Be Continue Ep.72