"พลังที่ผมได้มานั้น...มันคือพรหรือคำสาปกันแน่นะ...? แล้วผมจะใช้พลังนี้แก้ไขประเทศที่ล่มสลายนี้จะกลับเหมือนเดิมได้อย่างไร...?"
แอคชั่น,ชาย-หญิง,สะท้อนปัญหาสังคม,ไทย,เลือดสาด,พล็อตสร้างกระแส,ดราม่า,สยองขวัญ,ผี,ผจญภัย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Undead War สงครามคนเป็น"พลังที่ผมได้มานั้น...มันคือพรหรือคำสาปกันแน่นะ...? แล้วผมจะใช้พลังนี้แก้ไขประเทศที่ล่มสลายนี้จะกลับเหมือนเดิมได้อย่างไร...?"
โรคระบาดยังคงอยู่รอบๆ ตัวเรา ไม่ได้หายไปไหน หมอทุกคนตายกันไปหมดแล้ว ความหวังดับวูบจนไม่เหลือแม้แต่แสงสุดท้าย ราวกับว่าตัวเองกำลังเดินอยู่ในอุโมงค์ไร้แสงสว่างและไร้สิ้นสุด พวกซอมบี้ต่างคอยจะได้กัดกินเนื้อมนุษย์อย่างกับเครื่องจักรที่ไม่มีวันเหนื่อย ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็มีแต่พวกมันอยู่เต็มไปหมด
แต่ความหวังก็ยังไม่หมดไป เมื่อผมสามารถเอาชนะเชื้อไวรัสตัวนี้ได้ ทำให้ร่างกายของผมเกิดกลายพันธุ์และสามารถแปลงกายเป็นซอมบี้ได้ตลอดเวลา นั่นทำให้ผมวิวัฒนาการไปอีกขั้นเพื่อที่จะช่วยเหลือมวลมนุษยชาติได้
พวกเราต่างตกใจให้กับคำพูดของคาเรนที่ไม่คิดว่ามันจะออกมาจากปากเขาเสียเอง
“เดี๋ยวสิเพื่อน มันอาจจะทำให้มึงตายได้เลยนะเว้ย!” ผมบีบไหล่อีกฝ่ายก่อนจะกลับคืนร่างมนุษย์ “แล้วกระรอกล่ะ…? แฟนมึงจะอยู่ยังไงถ้ามึงตายวะ?”
“ก็กูไม่ได้บอกว่ากูจะตายหลังจากที่ถูกดูดน้ำไขหลัง” คาเรนผลักผมออกไปแล้วมองเข้ามาในดวงตาของผมลึกจนไปถึงแก่นกลางจิตใจ “กูน่ะไม่เท่าไหร่ ความสัมพันธ์ระหว่างกูและกระรอกมันยังไม่ได้แนบแน่นขนาดนั้น…แต่เป็นมึงนั่นแหละที่สมควรจะต้องอยู่ต่อไป เพื่อเมียของมึงไม่ใช่เหรอ?”
“ตะ…แต่….” ผมไม่ได้อยากจะโลกสวยขนาดนั้น…ผมแค่คิดว่าผมไม่อยากจะเสียเพื่อนร่วมทีมไปอีกคนแล้ว…แค่ทอมคนเดียวก็เกินพอ
“นี่มึงคิดว่ากูจะตายงั้นเหรอ?” คาเรนยิ้มอย่างอบอุ่นก่อนจะโผเข้ามากอดผมแน่น ดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยพลังจับจ้องมาที่ผม “กูไม่ตายหรอกน่า ต่อให้กูตายก็ถือเสียว่าได้ล้างบาปของตัวเองไปในตัว กูฆ่าคนมาเยอะไม่ต่างจากมึง แล้วก็ไม่มีครอบครัวด้วย กูตัวคนเดียวมาตลอด”
“มึงมีเพื่อนไง ไอ้ควาย!” ผมเริ่มสะอื้น น้ำตาอุ่น ๆ ไหลย้อยลงมาตามใบหน้า “มึงมีพวกเราอยู่…ถ้ามึงตายไปพวกกูจะเสียใจขนาดไหนมึงรู้ตัวบ้างไหม?”
“แล้วถ้าปล่อยให้โลกมันตายไปมากกว่านี้แทนที่จะเป็นกูแค่คนเดียวล่ะ?” คาเรนถามกลับ “นายจะยังคงปกป้องคาโอรินและคนอื่น ๆ ให้ไม่ตายได้อยู่อีกเหรอ? คนเราสุดท้ายมันก็ต้องตายเพื่อน ขอแค่กูเสียชีวิตของกูคนเดียวเพื่อช่วยคนทั้งโลกจะเป็นการดีที่สุด”
ผมยืนนิ่ง ทุกอย่างที่เขาพูดมาทั้งหมดนั้นเป็นความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ สุดท้ายคนเราไม่ว่ายังไงก็ต้องตาย หากลองมาคิดดี ๆ แล้ว พวกซอมบี้เป็นพันเป็นหมื่นที่พวกเราได้ฆ่าไปนั้นก็ไม่ต่างจากการฆ่าคนเหมือนกัน ถ้าเทียบกับช่วงที่โลกของเรายังปกติอยู่ พวกเราคงจะได้รับโทษประหารชีวิตในฐานะฆาตกรคนหนึ่งเลยก็ว่าได้
ผมมาอยู่จุดนี้ได้ยังไง…?
จุดที่ผมจับดาบจับปืนขึ้นมาฆ่าซอมบี้ฆ่าคนได้อย่างป่าเถื่อนแล้วผมเลือกที่จะหันหลังให้กับมันเพื่อมุ่งหน้าสู่วันพรุ่งนี้ ผมมีคู่ชีวิตที่จะอยู่ร่วมลมหายใจด้วยกันจนวันตาย รวมถึงคนอื่น ๆ ทุกคนสมควรมีชีวิตที่ดีกว่านี้ แต่มันไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้แล้วเหรอ? วิธีที่ไม่ต้องเสียสละใครเลย สุดท้ายแล้ว สงครามย่อมมีผู้เสียสละเสมอ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม แม้แต่ผมเอง…ก็น่าจะต้องตายอยู่วันยันค่ำ ไม่รู้ว่าผมจะถูกยิงแสกหัวเขาเมื่อไหร่ ที่ผมรอดมาได้ก็คงมีโชคช่วยนั่นแหละ ผมกำมือจนเล็บจิกอุ้งมือจนเลือดไหล พยายามยอมรับให้ได้ในการตายของคาเรนในอีกไม่กี่นาทีนี้
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า” คาเรนพูดให้ผมรู้สึกเบาคลายลงแม้ว่าจะไม่ช่วยอะไรก็ตาม “ตอนนี้ชีวิตอันว่างเปล่าของฉันก็เหมือนได้ถูกเติมเต็มเสียที ฉันไม่เสียใจหรอก”
ปั้ง! ปั้ง! ปั้ง! ปั้ง! ปั้ง!!
จู่ ๆ เสียงปืนจากภายนอกก็ดังขึ้น พวกเราสี่คนต่างตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“ศัตรูบุกเหรอ!?” เอลเริ่มกระวนกระวายก่อนจะถอยรูดไปติดกับผนังเต็นท์
“ก็เป็นไปได้” นิวกำลังจะวาร์ปออกไปด้านนอก แต่กิ๊บรีบวิ่งเข้ามาในเต็นท์ด้วยสีหน้าที่ตื่นตระหนก
“แย่แล้ว! พวกซอมบี้เป็นกองทัพกำลังมาที่นี่!” เธอพูดเสียงดัง “ไทแรนก็มาด้วย”
เมื่อได้ยินคำว่าไทแรน ผมและคาเรนก็มองหน้ากัน
“พวกนายอย่าไปเชียวนะ!!” เอลบอก “ฉันต้องทำวัคซีนเพื่อทำเป็นละอองแล้วฆ่าพวกมันทั้งหมด!”
“มันไม่ใช่ยารักษาหรอกเหรอ!?” ผมถาม
“มนุษย์ที่ได้กลายเป็นซอมบี้แบบนั้นไปแล้วก็คงยากที่จะกลับมาเป็นมนุษย์ปกติอีกครั้ง และต้องเผชิญกับความเจ็บปวดไปตลอดชีวิตไม่ต่างจากตายทั้งเป็น” เอลพุ่งเข้ามากระชากคอเสื้อผมอย่างโกรธเกรี้ยวแล้วชี้นิ้วใส่หน้าผม ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตื่นตระหนก “การมอบความตายให้กับพวกมันคือทางออกที่ดีที่สุด แล้วระหว่างที่ฉันกำลังดูดน้ำไขสันหลังของออกมา ฉันต้องการให้นายช่วยปกป้องที่นี่เอาไว้”
ผมหยักหน้าอย่างเข้าใจแล้ววิ่งออกไปด้านนอกพร้อมกับกิ๊บแล้วกลายร่างเป็นซอมบี้ทันที สิ่งที่ผมเห็นนั้นมันคือวันสิ้นโลกของจริง ซอมบี้กว่าพันตัวกำลังเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหาพวกเรา รวมถึงซอมบี้ร่างยักษ์อย่างไทแรนกว่าสิบตัวกำลังเดินพุ่งหน้ามาหาพวกเรา ผมเบิกตาโพลงอย่างหวาดกลัวให้กับพวกมัน ราวกับว่ากำลังอยู่ในความฝันที่ร้ายเกินกว่าจะเยียวยา ทหารทุกนายต่างถูกพวกมันกัดกินไปหมด เหลือเพียงพรรคพวกของเราที่วิ่งหนีอย่างเดียว สิ่งแรกที่ผมคิดในหัวคือภรรยาของผมอยู่ที่ไหน!?
“ริน!!” ผมแผดเสียงออกไปก่อนจะชักดาบออกมา เท้าของผมสั่นระรัวเมื่อเห็นไทแรนพวกนั้น…เพียงเสียววินาทีที่ผมเห็นยมทูตแต่งตัวด้วยชุดสีดำกำลังนั่งจิบชามองดูผมเผชิญหน้ากับความตาย ผมกัดฟันแน่นแล้วทอดสายตามองหน้าภรรยาสาว “อยู่ที่ไหนกันวะ!!!”
ตัดมาที่ฝั่งของเอลที่ให้คาเรนนอนคว่ำอยู่บนเตียง พร้อมเอาสายรัดมากมายพันธนาการร่างของเขาเอาไว้เพื่อกันหนี เนื่องจากการเจาะเอาน้ำไขสันหลังนั้นจะเป็นการแทงเข็มผ่านเข้าไปในช่องว่างใต้ชั้นเยื้อหุ้มสมองเพื่อนำน้ำหล่อเลี้ยงสมองและไขสันหลังออกมา ซึ่งส่วนมากนั้นจะเจาะเพื่อทำการรักษาเช่นให้ระบายน้ำหล่อเลี้ยงสมองและไขสันหลังในภาวะโพรงน้ำในสมองโตเพื่อเป็นการลดความดันในโพรงกะโหลกศีรษะ หรือการฉีดยาเคมีบำบัดหรือการฉีดยาชาเพื่อระงับการปวดในการผ่าตัดบางชนิด
คาเรนระงับการเจ็บปวดโดยการกลายร่างเป็นซอมบี้ แต่แอลไม่ได้ต้องการให้เป็นแบบนั้น จึงให้คาเรนกัดผ้าแทนซึ่งแม้ว่ามันจะไม่ทำให้บรรเทาอาการเจ็บปวดได้น้อยลง แต่อย่างน้อยมันช่วยไม่ทำให้คาเรนตัดสินตัวเอง แม้ว่าการที่ให้คาเรนนอนคว่ำอยู่แบบนี้มันผิดหลักการก็จริง แต่ด้วยความรวดเร็วและไม่ให้ชายหนุ่มขยับเขยื้อนในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ก็จำเป็นต้องทำแบบนี้แหละ นิวรับหน้าที่ออกไปช่วยพรรคพวกทั้งหมดวาร์ปกลับไปยังฐาน เขารับกระรอก มาย และไอยากลับไปแล้วและจะกลับมารับคนอื่น ๆ กลับไปต่อ
เอลสวมถุงมือยาง สวมแมสก์และสวมเฟซชิลด์ก่อนจะเริ่มหยิบเข็มฉีดยาขนาดใหญ่ที่ภายในว่างเปล่าขึ้นมาจ่อที่บริเวณกระดูกสันหลัง
“การเจาะที่ไขสันหลังจะเจ็บมากและเราไม่มียาชา” เอลบอก “นายต้องอดทนเอาหน่อย นายเข้าใจใช่ไหม?”
คาเรนพยักหน้าพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาเพราะความกลัวความตาย
จากนั้นเอลได้จัดการแทงเข็มให้ตั้งฉากกับผิวหนังก่อนจะค่อย ๆ หมุนเข็มผ่านชิ้นเนื้อให้ผิวหนังรู้สึกว่าปลายเข็มถึงผิวแล้ว จากนั้นจึงหมุนเข็มเข้าไปในผิวกระดูกลึกไปจนถึงช่องโพรงกระดูก ซึ่งในกระบวนการนี้นั้นได้สร้างความเจ็บปวดให้กับคาเรนอย่างแสนสาหัส ร่างกายของเขาเกร็งสุดชีวิต ความเจ็บปวดนั้นแผ่ขยายไปทั้งร่างกาย ความรู้สึกที่ถูกกระสุนยิงยังไม่เจ็บเท่านี้ แต่เพื่อคนทั้งโลก เข้ายอมที่จะสละทุกอย่างเพื่อให้เพื่อนและพรรคพวกของตัวเองมีชีวิตอยู่ต่อไปได้
เมื่อเข็มของเอลเจาะเข้าไปในโพลงกระดูกอีกประมาณ 2 - 6 มิลลิเมตร เมื่อปลายเข็มนั้นยึดแน่นกับกระดูกไม่เคลื่อนไปมาแล้วจึงสอดเข็มสำหรับดูดน้ำไขสันหลังทันที แม้ว่าการดูดน้ำไขสันหลังโดยที่อุปกรณ์ไม่ครบนั้นเป็นสิ่งที่อันตรายสำหรับมนุษย์ปกติธรรมดา เพราะมันอาจจะทำให้คนคนนั้นเป็นอัมพาตหรือไม่ก็เสียชีวิต แต่ในเมื่อคาเรนนั้นไม่เหมือนกับคนอื่น ๆ ชีวิตของเขาจึงไม่จำเป็นต้องมาตายเพราะแบบนี้ เขากัดฟันแน่นแล้วรู้สึกแปลก ๆ บริเวณสันหลังมาก ๆ
“สำเร็จแล้ว” เอลพูดก่อนจะดึงเข็มออกมา “กลายร่างเพื่อสมานแผลเร็ว!”
เมื่อคาเรนได้ยินดังนั้นจึงพยายามกลายร่าง ตอนนี้เซลล์ของเขาได้กระตุ้นเพื่อให้แผลที่บริเวณสันหลังนั้นสมานหายเป็นที่เรียบร้อย แต่อาการภาวะแทรกซ้อนนั้นมาเร็วราวกับเป็นกรรมตามสนองเสียจริง ๆ
“ตอนนี้อย่าเพิ่งทำอะไร ให้รอนิวกลับมาก่อน” เอลนำน้ำไขสันหลังอันมีค่ามากกว่าทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้บรรจุลงในขวดแก้วอนามัยทันทีเพื่อป้องกันสิ่งเจือปนที่จะทำให้น้ำไขสันหลังใช้การอะไรไม่ได้ คาเรนหันไปมองน้ำไขสันหลังสีใสปนขาวขุ่นพวกนั้นพร้อมกับดวงตาที่เบิกโพลง
“นั่นน่ะเหรอ? น้ำไขสันหลังของผม”
“นี่แหละ คือกุญแจสำคัญเลยเชียวล่ะ”
ตู้มมมมม!!!!
จู่ ๆ เต็นท์ห้องลดลองของเอลก็ถูกไทแรนสองตัวยกขึ้นมาและทำลายลงอย่างง่ายดาย คาเรนกลายร่างเป็นซอมบี้เต็มตัวแม้ว่าจะรู้สึกมีอาการแทรกซ้อนอย่างที่เอลได้บอกมาเมื่อไม่นานมานี้ เขาใช้มือที่ว่างชักมีดออกมาก่อนจะตัดสิ่งที่พันธนาการออกมาอย่างง่ายดายแล้วยืนเผชิญหน้ากับพวกไทแรน เมื่อเท้าของชายหนุ่มแตะพื้นมันทำให้รู้สึกราวกับว่าโลกทั้งใบนั้นสนั่นไหวไปหมด เท้าของเขาไม่มีแรงที่จะชันร่างกายนั้นได้จึงล้มลงไปกับพื้น ความเจ็บปวดบริเวณแผลที่ถูกเจาะนั้นกำเริบอีกครั้ง รวมถึงอาการเวียนศีรษะก็โจมตีเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง คาเรนพยายามกลายร่างอีกครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ
“บัดซบเอ๊ย!!” เขาตะเกียกตะกายให้ชันตัวเองลุกขึ้นมา เขากัดฟันแน่น สารอะดรีนาลีนสูบฉีดไปทั่วร่างกาย ดวงตาจับต้องไปที่ไทแรนทั้งสองตัวที่เหวี่ยงซากเต็นท์ฟ้าใบสีชาวออกไปอีกทางก่อนที่ตัวหนึ่งนั้นมุ่งหน้ามาหาเขา ส่วนอีกตัวกำลังมุมไปที่เอล เขากุมขวดบรรจุนั้นไว้ในมืออย่างแน่นหนาราวกับว่าเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่หวงแหนเป็นที่สุด สีหน้าของนักวิทยาศาสตร์หนุ่มนั้นหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะหนีไปที่ไหนดี ร่างกายของไทแรนใหญ่โตกว่ามนุษย์ปกติตั้งสามเท่า แค่ตัวเดียวก็จัดการยากเลย แต่นี่มาถึงสองตัว!!
“เพื่อพรรคพวก!! เพื่อครอบครัว!!”
คาเรนแผดเสียงคำรามแน่นก่อนจะฝืนตัวเองให้ลุกขึ้นแล้วกลายร่างเป็นซอมบี้ได้สำเร็จ เขาพุ่งเข้าไปโจมตีไทแรนตัวที่จะเข้าไปหาเอลด้วยกำลังสูงสุด เขารวบรวมทุกอย่างไว้ที่หมัดขวาจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ ดวงตาที่แดงก่ำจับจ้องไปที่ซอมบี้ร่างยักษ์ตัวนั้นก่อนจะปล่อยหมัดออกไปอย่างแรงที่บริเวณศีรษะของมัน ความรุนแรงที่ชายหนุ่มได้ปล่อยออกมานั้นรุนแรงพอที่จะทำให้ศีรษะของไทแรนตัวนั้นหลุดจากบ่า ร่างกายที่สูงใหญ่นั้นล้มหงายหลังสิ้นชีพไปในทันที ถือว่าเป็นการปกป้องสิ่งที่ตัวเองได้เสียสละไปแล้ว แต่กระนั้นร่างกายของคาเรนยิ่งทรุดหนักลงกว่าเดิม ร่างซอมบี้นั้นหายไป นั่นทำให้พลังในการเยียวยานั้นหายไปด้วย ชายหนุ่มแผดเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เลือดไหลออกมาจากทุกรูในร่างกายไม่ว่าจะเป็นดวงตาทั้งสองข้าง รูหูทั้งสองข้าง จมูกและปาก ความเจ็บปวดทั้งร่างกายนั้นแสนทรมานราวกับถูกเข็มนับพันทิ่มแทงอย่างไร้ความปรานี
“อ๊อกกกก!!” ชายหนุ่มสำรอกออกมาเป็นเลือดจำนวนมาก ดวงตาของเขาเริ่มเลื่อนลอย ร่างกายของเขาถึงขีดจำกัดแล้ว…ไม่สิ…มันเกินขีดจำกัดไปอีก เขาล้มลงแต่ไทแรนอีกตัวหันกลับมาก่อนจะพุ่งเข้ามาโจมตี คาเรนพยายามตั้งสติและชันตัวเองให้ลุกขึ้นมา แม้ว่าพลังใจนั้นเต็มร้อยแต่พลังกายนั้นแทบติดลบ เขาอยู่ในช่วงที่ร่างกายอ่อนแอที่สุด เขาสมควรที่จะได้นอนพักสักสองสามวันหรือเป็นสัปดาห์เพื่อให้ร่างกายนั้นฟื้นตัวอย่างดี
เป๊าะ!
เหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ถูกดึงจนตึงเกินกว่าจะรับได้ขาดสะบั้น เส้นเลือดในสมองของคาเรนได้แตกออก ส่งผลให้สติของคาเรนหายไป ร่างกายของเขาหยุดทำงาน ภาพในดวงตาดับวูบกลายเป็นสีดำ ทุกอย่างกลับสู่เลขศูนย์ ร่างของเขานิ่งสนิทราวกับหุ่นยนต์ที่แบตหมด
คาเรน…ตายแล้ว
เมื่อเอลมองไปที่มือของตัวเองเพราะรู้สึกถึงความเจ็บปวดเล็ก ๆ ที่ฝ่ามือ…ปรากฏว่าขวดบรรจุน้ำไขสันหลังนั้นแตกคามือของเขาไปแล้ว!!
“ฉิบหายละไง…”
ผมเข้าปะทะกับซอมบี้กว่าพันตัวเพื่อค้นหาคาโอรินที่ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน มันคงเป็นไปไม่ได้ที่นิวจะวาร์ปเธอให้กลับไปยังหมู่บ้านพฤกษาแล้ว แม้ว่าตอนนี้ผมจะอยู่ท่ามกลางวงล้อมของพวกซอมบี้ก็ตาม ผมก็ไม่ยอมแพ้พวกมันอย่างแน่นอน ดาบคาตะนะของผมตวัดฟาดฟันพวกมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ไม่สามารถทำให้จำนวนของมันลดลงได้เลย ถึงตัวเองจะเคยปะทะกับกองทัพซอมบี้กว่าร้อยตัวมาแล้วก็ตาม แต่นี่มันเยอะกว่าตั้งสิบเท่าเลยทีเดียว ระหว่างที่ผมฟันพวกมันไปแล้วพร้อมกับใช้พละกำลังอันมหาศาลผลักพวกมันให้ออกไปไกลเพื่อที่จะได้มีพื้นที่ในการตั้งหลักได้มั่นคง
“รินอยู่ที่ไหนกันนะ” ผมพูดกับตัวเองด้วยความกังวลอย่างถึงที่สุดพลางฟาดฟันพวกซอมบี้อย่างไม่หยุดยั้ง เสียงคำรามของพวกมันดังลั่นอยู่รอบตัวจนไม่มีสมาธิในการกวาดสายตามองเลยแม้แต่น้อย “ตอนนี้นิวก็น่าจะพาทุกคนกลับไปได้แล้วมั้ง…แต่ทำไมยังรู้สึกว่ารินยังอยู่ที่นี่อยู่เลย…”
สักพักผมก็สังเกตเห็นกลุ่มซอมบี้กลุ่มหนึ่งพยายามจะเข้าไปในกระท่อมเล็ก ๆ นั่นทำให้ผมรู้สึกมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นผมได้เคลื่อนไหวตัวเองพุ่งฝ่าพวกซอมบี้ทั้งฝูงอย่างเอาเป็นเอาตายจนสามารถมาถึงกระท่อมนั้นได้ ผมเห็นว่าใบมีดของดาบนั้นบิ่นไปเยอะแล้วจึงชักปืนพกมายิงพวกมันเข้าที่หัวทุกนัดจนกระสุนหมดแม็ก ผมเปิดประตูเข้าไปก่อนจะเจอกับหญิงสาวพุ่งเอาหอกเข้ามาเสียบที่ท้องของผมจนร่างกายไปชนกับบานประตู
ดวงตาของเธอเบิกโพลงเมื่อรู้ว่าเป็นผมก่อนจะดึงหอกออกแล้วโผเข้ามากอดผม แผงอกนั้นรู้สึกถึงน้ำตาอุ่น ๆ ของหญิงสาวและร่างกายที่สั่นเทิ้มไปด้วยความกลัว
“ไม่เป็นไรแล้วนะที่รัก” ผมกอดเธอตอบ “ไม่มีอะไรจะต้องกลัวแล้วนะ เค้าอยู่นี่แล้ว”
“พวกมันมาเยอะมาก” เธอสะอื้น “เค้าสู้ไม่ไหว…”
“ไม่เป็นไรหรอก” ผมปลอบก่อนจะลูบศีรษะของภรรยาสาวอย่างแผ่วเบา “เค้าอยู่ที่นี่แล้ว เค้าจะปกป้องรินเองนะ จากนี้เราจะไม่จากกันไม่ไหนอีกแล้วนะครับ”
“อื้อ!” เธอพยักหน้าทั้ง ๆ ที่ใบหน้ายังคงซุกอยู่ที่แผงอกของผม เล็บของเธอจิกลงไปในเนื้อหนังแต่ก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บมากมายขนาดนั้น
“เราจะยังมีชีวิตรอดกันอยู่มั้ย?” คาโอรินถาม สร้างความแปลกใจให้กับผมอย่างมาก
“หมายความว่ายังไง?” ผมไม่เข้าใจคำถามของหญิงสาว
“ถ้าเรารอดไปจากที่นี่ฉันอยากจะสร้างครอบครัวกับเธอนะเอ็น” เธอพูดก่อนจะเงยหน้ามามองผมด้วยน้ำตาที่ไหลริน “เราจะมีกันสามคน พ่อ แม่และลูก”
ลูก?
“ระ…ริน…” เสียงของผมสั่น ภายในหัวนั้นคิดไปไกลกับคำสุดท้ายที่เธอพูดออกมา ทุกอย่างมันมีความเป็นไปได้สูงมาที่สิ่งที่อยู่ในหัวของผมนั้นจะเป็นเรื่องจริง “ยะ…อย่าบอกนะว่า…”
ภรรยาสาวพยักหน้า
“ที่รักคะ…เค้าท้อง…”
_______________________________________________________
To Be Continue Ep.73