"พลังที่ผมได้มานั้น...มันคือพรหรือคำสาปกันแน่นะ...? แล้วผมจะใช้พลังนี้แก้ไขประเทศที่ล่มสลายนี้จะกลับเหมือนเดิมได้อย่างไร...?"
แอคชั่น,ชาย-หญิง,สะท้อนปัญหาสังคม,ไทย,เลือดสาด,พล็อตสร้างกระแส,ดราม่า,สยองขวัญ,ผี,ผจญภัย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Undead War สงครามคนเป็น"พลังที่ผมได้มานั้น...มันคือพรหรือคำสาปกันแน่นะ...? แล้วผมจะใช้พลังนี้แก้ไขประเทศที่ล่มสลายนี้จะกลับเหมือนเดิมได้อย่างไร...?"
โรคระบาดยังคงอยู่รอบๆ ตัวเรา ไม่ได้หายไปไหน หมอทุกคนตายกันไปหมดแล้ว ความหวังดับวูบจนไม่เหลือแม้แต่แสงสุดท้าย ราวกับว่าตัวเองกำลังเดินอยู่ในอุโมงค์ไร้แสงสว่างและไร้สิ้นสุด พวกซอมบี้ต่างคอยจะได้กัดกินเนื้อมนุษย์อย่างกับเครื่องจักรที่ไม่มีวันเหนื่อย ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็มีแต่พวกมันอยู่เต็มไปหมด
แต่ความหวังก็ยังไม่หมดไป เมื่อผมสามารถเอาชนะเชื้อไวรัสตัวนี้ได้ ทำให้ร่างกายของผมเกิดกลายพันธุ์และสามารถแปลงกายเป็นซอมบี้ได้ตลอดเวลา นั่นทำให้ผมวิวัฒนาการไปอีกขั้นเพื่อที่จะช่วยเหลือมวลมนุษยชาติได้
ความหวังของพวกเราและมนุษยชาติกำลังจะดับสูญ หากชีวิตของผมนั้นหาไม่…ผมไม่ได้เห็นตัวเองสำคัญเป็นที่หนึ่งสักเท่าไหร่ แต่ถ้าขาดผมที่เป็นกำลังสำคัญในการล้างบางพวกซอมบี้ล่ะ…โลกทั้งใบก็คงจะเหลือเพียงแต่ความว่างเปล่าอย่างแน่นอน ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตรวมถึงสรรพสิ่ง ทุกอย่างจะย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นแล้วค่อย ๆ นับหนึ่งใหม่ จากนั้นโลกทั้งใบก็จะวนลูปเวียนว่ายตายเกิดไม่มีวันหยุดหย่อน นั่นเป็นเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นในอนาคตก็เป็นได้ แต่ตอนนี้ไทแรนและซอมบี้พวกนั้นกำลังจะเข้ามาฉีกร่างของพวกเราเป็นชิ้น ๆ แล้ว คาโอรินกอดร่างอันไร้สติของผมเอาไว้แน่นก่อนจะหลับตาปี๋เพื่อไม่ให้เห็นอสุรกายที่น่าหวาดกลัวพวกนั้นและภาวนาให้เรื่องนี้เป็นเพียงแค่ความฝันอันยาวนาน
จู่ ๆ ก็มีชายคนหนึ่งวาร์ปเข้ามากลางวงล้อมพร้อมกับทุบกำปั้นลงพื้นอย่างแรง ทำให้เกิดปฏิกิริยาช็อกเวฟ แรงสั่นสะเทือนทำให้พื้นปูนซีเมนท์แตกออกมาเป็นวงกว้างและทำให้พวกไทแรนและซอมบี้ต่างหงายหลังล้มไปกับพื้น
“นิว!” คาโอรินลืมตาขึ้นมาพบกับชายหนุ่มที่ตอนนี้มีสภาพเหน็ดเหนื่อยไม่ต่างจากเอ็น เขากัดฟันลุกขึ้นมาก่อนจะแผดแรงดังแล้วชกอากาศใส่พวกไทแรนจนเกิดกลุ่มอากาศที่อัดเป็นก้อนพุ่งทะลุร่างของพวกมัน จากนั้นกล้ามเนื้อของนิวก็ฉีกชาด เลือดจำนวนมากไหลซึมออกมาจากรูขุมขนอย่างบ้าคลั่ง เขาแผดเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดก่อนจะพุ่งเข้ามาหาพวกเราก่อนจะทำการวาร์ปกลับไปยังฐาน
ภาพสมรภูมิที่เต็มไปด้วยศพเดินได้แปรเปลี่ยนมาเป็นภาพภายในหมู่บ้านพฤกษาทันที ทุกคนเห็นดังนั้นจึงวิ่งเข้ามาประคองร่างของพวกเราสามคนไปนอนบนเตียงพยาบาล ผมที่ยังไม่ได้สติยังคงนอนนิ่ง คาโอรินหมดสติไปแล้ว ส่วนนิวยังคงเดินไหวอยู่ ร่างกายของเขาถูกใช้การอย่างหนักจนเกินไปจนต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะหายเป็นปกติ ซึ่งต้องรอให้พลังของฟางกลับมาเป็นปกติก่อนแล้วจึงให้เธอทำการรักษาให้
เปลือกตาของผมเบิกขึ้น ดวงตากระทบกับแสงไฟ ร่างกายที่ไร้ความรู้สึกไม่สามารถขยับได้ ต่อให้จะพยายามมากสักเพียงไหนก็ไม่ขยับ แม้แต่นิ้วก็ยังไม่สามารถกระดิกได้ราวกับเป็นอัมพาตทั้งร่างกาย ผมยังสามารถหายใจได้อย่างปกติ…ผมยังไม่ตาย แต่ทำไมร่างกายมันไม่ยอมทำตามคำสั่งเลย
“เฮ้! เอ็น!” เสียงของนักวิทยาศาสตร์เอลก้มมองเข้ามาในดวงตาของผมด้วยสีหน้าที่ตื่นตระหนกเล็กน้อย “ยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม? ตอบทีสิ”
“ยะ…ยัง…อยู่…” น้ำเสียงที่ต้องพยายามเค้นออกมาเป็นสัญญาณที่ไม่ค่อยดีเอาเสียเลย “นะ…น้ำ…ไข…ส..สันหลัง…หวะ…วัคซีน…” ให้ตายสิ…สภาพแบบนี้จะพูดให้ปกติยังลำบากเลย
เอลนิ่ง
ผมนิ่ง สมองของผมยังทำงานปกติ ลางสังหรณ์บางอย่างได้บอกกับผมถึงความผิดพลาดของนักวิทยาศาสตร์หนุ่มคนนี้
“ต้องขอโทษด้วย…น้ำไขสันหลังของคาเรนมันแตกไปแล้ว….” ความหวังนั้นดับวูบหลังจากที่ชายหนุ่มพูดจบ เพียงไม่กี่อึดใจ ร่างกายของเอลนั้นถูกกระแทกอย่างแรงจนกระเด็นออกไปนอกเต็นท์ ทุกคนที่กำลังทำแผลและพักร่างกายต่างตกใจก่อนจะหันมามองเป็นตาเดียวด้วยคำถามที่เต็มอยู่ในหัว เอลลุกขึ้นมาพร้อมกับใช้มือกุมบริเวณกระดูกซี่โครงซึ่งตอนนี้เริ่มร้าวเพราะแรงปะทะของคาโอริน เธอเดินออกมาพร้อมกับมีดที่อยู่ในมือ ใบหน้าที่บิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธจนจินอูเห็นดังนั้นจึงต้องเข้ามาขวางทางไว้
“คาโอรินเดี๋ยวก่อน! นี่มันเกิดอะไรขึ้น!?” ชายหนุ่มร่างใหญ่ถามแต่ก็มีความรู้สึกถึงรังสีอำมหิตของหญิงสาวที่พุ่งตรงมายังเขาทำให้รู้สึกสั่นไหวอย่างไม่ทราบสาเหตุ ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม เอลนั้นเป็นบุคคลสำคัญของที่นี่ จะให้เขาเป็นอะไรไม่ได้ จินอูคว้าร่างของหญิงสาวที่เดินตรงเข้าไปเพื่อปลิดชีวิตของนักวิทยาศาสตร์หนุ่ม “อย่านะคาโอริน! ไม่ว่าเธอจะทำอะไรก็ขอให้หยุดตรงนี้ก่อน!”
“หยุดพ่อมึงอะ!!” คาโอรินหมดความอดทนแล้วพร้อมกับมองหน้าทหารหนุ่มด้วยสีหน้าที่อาฆาตแค้นต่อนักวิทยาศาสตร์เอลเป็นอย่างมาก “น้ำไขสันหลังของคาเรนนั้นแตกไปแล้ว!! ความหวังที่จะสร้างวัคซีนก็หายไปแล้วด้วย แล้วไหนล่ะคาเรน? คาเรนหายไปไหน!!?....แต่ก็พอเดาไม่ยากหรอกว่าเขาอยู่ที่ไหน”
“คาเรนตายแล้ว” คำพูดของเอลนั้นทำให้ทุกคนที่อยู่ใกล้ ๆ นั้นตกใจเป็นการใหญ่ เรมัสที่สนิทกับคาเรนที่สุดถึงกับทรุดลงไปกับพื้นพร้อมกับน้ำตาที่ไหลริน
“คาเรน…เขาตายแล้วเหรอ…?” น้ำเสียงของเรมัสดูเหมือนจะไม่เชื่อ “ปะ…เป็นไปไม่ได้…มันเป็นไปไม่ได้!!”
เรมัสวิ่งเข้ามาหาเอลพร้อมกับเงื้อมีดมาเชเต้ที่ชุ่มไปด้วยเลือดแต่ก็ถูกทหารสองสามคนคว้าตัวได้ทัน เขาดิ้นทุรนทุรายอย่างบ้าคลั่งด้วยความเสียใจ
“ไอ้เหี้ยเอล! มึงคือตัวการที่ทำให้มนุษย์ทุกคนต้องเป็นแบบนี้!!” ชายหนุ่มตะคอกอย่างแรงทั้งน้ำตา “เอาแต่ผลประโยชน์เข้าตัวเองเพียงอย่างเดียวแล้วมึงเห็นชาวบ้านตาดำ ๆ ที่ต้องมาตายเพราะความโลภของมึงมั้ย!? แล้วการที่มึงยังมีชีวิตอยู่แทนที่จะเป็นคาเรนนี่มันหมายความว่ายังไงวะ!? เอ็นและคาเรนรวมถึงคนอื่น ๆ สู้กันแทบตาย แต่มึงกลับไปทำอะไรเลยเนี่ยนะ!!”
“ก็กำลังจะทำอยู่นี่ไง!!” นักวิทยาศาสตร์หนุ่มหมดความอดทนจึงคำรามแผดเสียงจนลั่น มือที่กำอยู่แน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ ร่างกายสั่นเทิ้มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวที่น่าอึดอัดใจและแรงกดดันหลายสิ่งหลายอย่างที่ชายหนุ่มแบกมาตลอดทั้งชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่พ่อแม่ของเขาบังคับให้เรียนยี่สิบชั่วโมงต่อวันเพื่อที่จะได้เป็นหมดที่เก่งกาจเพื่อที่จะได้เป็นหน้าเป็นตาของครอบครัวและจะได้ไม่เสียค่ารักษาพยาบาล จนเอลจำเป็นต้องยอมทิ้งชีวิต
วัยเด็กที่แสนมีความสุขอุทิศให้กับการเรียนและการศึกษาเท่านั้น แต่พอได้เป็นแล้วพวกท่านได้เสียชีวิตลงด้วยโรคร้ายที่ไม่มีทางรักษาในขณะที่เอลกำลังจะเรียนจบ เป้าหมายที่บุพการีได้ตั้งเอาไว้ก็แหลกสลายไปในพริบตา จนได้เข้ามาทำงานให้กับเบื้องบนและได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าโปรเจ็กต์ที่ 005 เพื่อพัฒนาอาวุธชีวภาพ
ซึ่งเขาก็อุทิศชีวิตของตัวเองเพื่อคิดค้นมันสำเร็จแล้วคิดว่ามันจะช่วยชุบชีวิตพ่อกับแม่ให้ฟื้นจากความตาย แต่กลับกลายเป็นว่ามันเป็นการทำให้เกิดกลายเป็นซอมบี้เหมือนในหนัง ทุกคืนทุกวันเขาเอาแต่หนีจนมาเจอกับเมเยอร์โดยอ้างตัวว่าเป็นคนผลิตอาวุธชีวภาพ จึงมีที่ซุกหัวนอน
“มึงกำลังทำอะไรวะ!?” เรมัสยังคงโกรธอยู่ มีดในมือของเขาถูกปลดออกอย่างรวดเร็ว “มึงกำลังจะทำอะไร!!?”
“หยุด!!” ผมตะคอกเสียงดังออกมาจากในเต็นท์จนทำให้เรมัสเงียบ ทุกคนมองเข้าไปในเต็นท์เป็นตาเดียว ผมที่กำลังนอนอยู่หันหน้ามาหาเอลที่กำลังร่ำไห้
“นะ…ในเมื่อ หนะ…น้ำไขสันหลัง ขะ…ของคาเรนได้ สึ…เสียหายไปแล้ว…” ผมพูด “กะ…ก็ใช้ของฉันสิ”
ทุกคนตกใจให้กับคำพูดของผมซึ่งมีแววเห็นด้วยกับความคิดนี้
แต่กลับกลายเป็นว่าคาโอรินไม่ยอม
“หาเรื่องตายเหรอ?” เธอเดินก้าวฉับ ๆ เข้ามาหาผม ดวงตาที่โกรธเกรี้ยวลุกโซนไปด้วยเปลวเพลิงแห่งโทสะร้อนระอุแสดงให้เห็นว่าเธอไม่พอใจอย่างมากที่ผมพูดสิ่งที่เธอไม่อยากได้ยินออกไป “ไม่เห็นเหรอว่าการทำแบบนั้นมันจะทำให้เธอตาย อีกอย่างสภาพร่างกายของเธอในตอนนี้ก็ยังไม่พร้อม แล้วดูสิจำไม่ได้เหรอ? เรากำลังจะมีลูกด้วยกัน เธอกำลังจะได้เป็นพ่อ เด็กในท้องนี้ต้องการพ่อ! เธอจะปล่อยให้ลูกกำพร้าพ่อไปตลอดชีวิตเหรอ?”
“ละ…แล้วเธอคิดเหรอ…หวะ…ว่า ร่างกาย…ขอ…ของฉันจะกลับมา…ดะ..ดะ…ได้อย่างปกติ…” ผมถาม
ภรรยาสาวเงียบ
“ระ…รินลองคิด…ดะ…ดูให้ดีนะ…ถ้าโลกนี้…ไม่ ถะ…ถูกเยียวยา…ทะ… เธออยากให้ลูก กะ…กะ…เกิดมาในสิ่ง วะ…แวดล้อมแบบนี้เหรอ…?” นั่นคือสิ่งที่ผมในฐานะคนที่กำลังจะได้เป็นพ่อของเด็กคนหนึ่งผู้ต้องเกิดมาบนโลกที่แสนโหดร้ายแบบนี้ เขาควรจะได้เกิดมาในสิ่งแวดล้อมที่ดี แม้ว่าจะไม่มีผมแล้วก็ตาม ผมก็มั่นใจว่าลูกของผมนั้นจะเติบโตเป็นเด็กที่เข้มแข็งได้อย่างแน่นอน สุดท้ายแล้วมันอยู่ที่ว่าคาโอรินจะเข้าใจและยอมรับในสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อหรือเปล่าเท่านั้น
“อืม…”. เธอตอบเพียงเท่านั้นแล้วก็เดินหนีออกไป
เธอเข้าใจแต่เลือกไม่ยอมรับความจริงตรงนั้น….
“ริน…” ผมไม่มีแรงที่จะลุกแล้วไปคุยกับเธอแล้ว ผมพ่นลมหายใจออกทางจมูกแล้วก็ยังนอนมองเพดานอย่างเหนื่อยใจ
ดวงใจดวงเล็ก ๆ นั้นบอบบางเกินกว่านี้ไม่ได้แล้ว เธอยอมรับไม่ได้ที่จะต้องเสียผู้เป็นสามีที่ยังไม่ได้ฉลองวันครบรอบแต่งงานหนึ่งเดือนเลยด้วยซ้ำ อีกทั้งก็ยังมีเจ้าตัวเล็กอยู่ในท้องของเธอนั้นยิ่งทำให้รู้สึกแย่ยิ่งไปกว่าเก่า ในใจหนึ่งเธอก็อยากจะให้ลูกในท้องเกิดมาในสิ่งแวดล้อมที่ดีไม่ผิดเพี้ยนจากผู้เป็นสามีต้องการ แต่ในทางกลับกัน ทุกอย่างมันไม่ได้มาฟรี ๆ การที่จะได้มาซึ่งเป้าหมายตรงนั้น วิญญาณของเอ็นคือราคาที่ต้องจ่าย เป็นชีวิตเดียวที่เสียไปเพื่อคนทั้งโลก คนอื่น ๆ อาจจะมองว่าชีวิตของคนที่ใกล้ตายคนหนึ่งสละชีวิตเพื่อให้คนอื่นรอดและหยุดสงครามคนเป็นแบบนี้เสียทีมันก็เป็นราคาที่สมเหตุสมผลอยู่พอสมควร
จะไม่ต้องมีใครมาตายอีก
จะไม่ต้องมีใครมาระแวงซอมบี้อีก
การใช้น้ำไขสันหลังของเอ็นคือสิ่งทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับตอนนี้
คาโอรินเดินออกมาจากเต็นท์พร้อมกับปาดน้ำตาเดินกลับไปยังบ้านของตัวเองซึ่งก่อนหน้านี้เธอไม่รู้ว่าเป็นบ้านของใคร แต่ตอนนี้มันเป็นบ้านที่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับสามีสุดที่รักที่ต้องการจะตายเพราะอยากปกป้องโลก…
ทำไมฮีโร่จำเป็นต้องตายด้วยวะ…? ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ
เธอกระแทกปิดประตูอย่างแรงด้วยอารมณ์หลาย ๆ อย่างรวมกันก่อนจะเข่าอ่อนทรุดลงไปกับพื้น เธอผิดอะไรตรงไหน…? ทำไมเธอถึงไม่ได้สมหวังกับคนรักแต่ละคนเลย ไม่ว่าจะคบทั้งผู้หญิงและผู้ชาย…ก็ไปไม่รอดกันสักคน แม้ว่าจะแต่งงานและสาบานว่าจะอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่าแล้ว…ความตายนั้นก็ไม่อาจทำให้คำสาบานนั้นคงกระพัน เธอปล่อยให้ความรู้สึกทับถมกันจนบีบให้หญิงสาวรู้สึกหดหู่ โดยที่ลืมคิดไปว่าลูกของเธอที่ยังเป็นวุ้นอยู่นั้นจะมีความรู้สึกเดียวกับเธอหรือเปล่า ก็คงจะไม่หรอก…อายุครรภ์น่าจะไม่ถึงเดือน…
“คาโอริน” เสียงหนึ่งเรียกขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของกระรอก กิ๊บ มาย ไอยา และฟางที่ดูอาการไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่ พวกหล่อนถือวิสาสะเปิดประตูเข้ามาก่อนจะเข้าไปรุมล้อม แต่ละคนรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นจึงไม่มีใครพูดอะไร กระรอกโผเข้าไปกอดหญิงสาวผู้เป็นทุกข์โศกอย่างแนบแน่น
“พ่อของลูกในท้องฉันก็ไม่อยู่แล้วเหมือนกัน” กระรอกพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาข้างหูทำให้อีกฝ่ายที่ได้ยินนั้นรู้สึกตกใจและแย่ตามกัน เพราะเธอรู้ว่าชะตากรรมในอนาคตก็ไม่น่าจะต่างกัน…
“มันเจ็บปวดไหม?” คาโอรินถาม
“เจ็บสิ” อีกฝ่ายตอบ “แต่สุดท้ายแล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราก็ต้องอยู่ให้ได้ ต่อให้จะเป็นซิงเกิลมัมก็ตาม”
“ฉันไม่อยากให้เอ็นตาย…” หญิงสาวสะอื้นร่ำไห้มือที่กอดกระรอกสั่นเทิ้ม
“ฉันก็ไม่อยากให้คาเรนต้องมาตายเหมือนกัน” กระรอกดันร่างของอีกฝ่ายมามองเข้าไปในมองตาที่ชุ่มเปียกแฉะก่อนจะปาดน้ำที่ไหลออกมาออก “เราสองคนต้องผ่านมันไปได้ เรามีส่วนหนึ่งของเขาอยู่ในนี้ ต่อให้เขาตาย ส่วนหนึ่งของชีวิตเขาจะยังคงอยู่กับเราต่อไป”
“จะให้บอกว่าฉันต้องปล่อยให้เอ็นตายเหรอ?”
“เขาเสียสละตัวเองต่างหาก” กระรอกแก้คำ “ทุกคนอยากให้ลูกของตัวเองเกิดมาในสิ่งแวดล้อมที่ดีเท่านั้น ไม่อยากให้เขาเกิดมาในภาวะสงครามแบบนี้ ถ้าลูกของเราเกิดมาแล้วก็ต้องตายเพราะต้องเอาตัวรอดจากซอมบี้พวกนั้น เธอจะยอมเหรอ?”
คาโอรินส่ายหัว
“ไม่…” มันก็ถูกของเธอ…เอ็นก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกริน” กิ๊บเอื้อมมือมาบีบไหล่พร้อมกับรอยยิ้มที่แสนอบอุ่น “เราจะอยู่เป็นเพื่อนเธอเอง เพราะว่าพวกเราเป็นเพื่อนทีมเดียวกันไม่ใช่เหรอ”
“นี่มันชมรมแม่บ้านหรือไงวะเนี่ย” คาโอรินเริ่มรู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อย อ้อมกอดของสี่สาวนั้นช่างอบอุ่นเสียจริง ๆ พวกเธอเองก็อยากจะให้สงครามคนเป็นแบบนี้หยุดลงเสียที พอแล้วกับการตายที่เพื่อหวังผลประโยชน์และเอาชีวิตรอด
พอกันทีกับความกลัวในทุกย่างก้าว
พอกันทีกับซอมบี้
พอกันทีกับการเสียน้ำตาเพราะอารมณ์ของตัวเอง
สุดท้ายแล้วคาโอรินก็ต้องยอมปล่อยให้เอลดูดน้ำไขสันหลังของผม เธอร่ำลาผมเป็นครั้งสุดท้ายพร้อมกับทุก ๆ คนที่ผมรู้จัก ไม่ต่างจากจัดงานศพให้ตัวเองแล้วได้เห็นสิ่งที่ทุกคนได้แสดงออกมา ผมถามตัวเองอยู่เสมอว่าความตายนั้นมันเป็นยังไง? มันจะเจ็บปวดหรือเปล่าก็ไม่รู้ ร่างกายของผมในตอนนี้ไม่ต่างจากการเป็นอัมพาตทั้งตัวทำให้ไม่รู้สึกถึงอะไรทั้งสิ้น ผมมองไปยังภรรยาสาวที่ยังคงกุมมือผมไม่ยอมปล่อย เธอบอกผมว่า เธออยากจะอยู่กับผมไปตลอดชีวิต อยากให้ผมได้อุ้มลูกได้เลี้ยงลูก ได้สั่งสอนลูกคนนี้เติบโตขึ้นมาเป็นคนดี ไม่อยากให้เด็กคนนี้กำพร้าพ่อ ผมทำได้แต่เพียงบอกว่า
ให้เขาจดจำผมให้ฐานะคนที่สามารถเขียนประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งไว้ว่าผมคือผู้ที่ล้มล้างเบื้องบนได้จริง ๆ ผมคือวีรบุรุษของคนทั้งโลก แต่ถ้าเป็นไปได้…ผมก็อยากจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาจริง ๆ
เมื่อถึงเวลาที่ต้องสั่งเสีย ผมบอกให้นิวและสี่สาวช่วยกันดูแลคาโอริน ไม่ต้องมีวันสำคัญวันตายของผม ไม่ต้องมีการทำรูปปั้น แค่สลักไว้บนป้ายหน้าหลุมศพว่าผมเป็นใครเท่านั้นก็พอ ผมไม่ต้องการให้ร่างกายถูกเผา แต่ให้ฝังเอาไว้ก็พอ ร่างกายคนเรานี้นั้นเกิดมาจากพื้นดินจึงบอกได้ว่าเนื้อหนัง กระดูก ตับ ไต ไส้ พุงต่าง ๆ นั้นคือธาตุดิน ส่วนเลือดและของเหลวในร่างกายกันเป็นธาตุน้ำ ระบบเผาผลาญต่าง ๆ นั้นคือธาตุไฟ ลมหายใจและอากาศภายในร่างกายนั้นคือธาตุลม มันได้หลอมรวมกันเป็นร่างภาชนะของจิตวิญญาณ ร่างกายผมจะตายและเน่าสลาย จิตวิญญาณของผมจะยังคงกระพันต่อไป ไม่ว่าชาติใดชาติหนึ่งผมก็จะเกิดมาเจอกับเธอและได้รักกันอีกครั้งก็เป็นได้
“ฉันรัก…เธอนะ…ริน” ผมบอกรักเธอเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เอลจะเริ่มกระบวนการดูดน้ำไขสันหลังของผมออกมาตามวิธีเดียวกับที่เขาทำกับคาเรน
ให้ตายสิ…ผมจะได้ไปเจอกับเขาบนสวรรค์แล้วสินะ…หรือว่าเป็นนรกกันหว่า…ชักไม่แน่ใจแล้วสิ เพราะผมและเขาได้ฆ่าคนและทำกรรมไว้เยอะ…แต่ก็ช่างเถอะ…ต่อให้เจอกันที่ไหนก็ไม่สำคัญแล้วล่ะ
พอน้ำไขสันหลังของผมได้ถูกดูดออกไป มันทำให้ผมรู้สึกปวดหัวอย่างรุนแรง ร่างกายเกร็งไปหมดและความพะอืดพะอมนี้มันอะไรกัน…คาเรนรู้สึกแบบนี้ตลอดเลยเหรอ?
เอ๊ะ…?
ผู้ชายใบหน้าขาวหน้าตาหล่อเหลาคิ้วเข้ม ดวงตาสีดำเป็นประกาย จมูกโด่งเป็นสันคม ริมฝีปากสีชมพูอวบอิ่มสวมเสื้อคลุมยาวสีดำ สวมหมวกปีกกว้างสีดำนั้นคือใคร…? เขามายืนอยู่ข้างเตียงผมเมื่อไหร่? ไม่มีใครเห็นเขาเลยเหรอ?
“พร้อมจะไปกันหรือยัง” น้ำเสียงที่ทุ้มต่ำนั้นดังขึ้นในหัวก่อนที่เขาจะยื่นมือมาหาผม
“ไปไหน?” ผมถาม…เดี๋ยวนะ…พูดไม่ตะกุกตะกักแล้ว
“ปรโลก” คำตอบสั้น ๆ แต่ได้ใจความนั้นทำให้ผมหันกลับไปมองร่างอันไร้วิญญาณของตัวเองกำลังหลับใหลอย่างไม่มีความตื่นอยู่ มารู้ตัวอีกทีผมก็เปลือยกายหมดจด แผลบริเวณดวงตาที่ถูกซอมบี้ข่วนนั้นหายไปแล้ว…ร่างของคาโอรินทรุดลงไปกับพื้น แต่ก็มีนิวและนัทช่วยกันพยุงเธอ แต่ด้วยสัญชาตญาณของผู้เป็นสามี ผมโผเข้าไปจะประคองเธอด้วย แต่แล้วจิตวิญญาณที่ไร้ภาวะก็ผ่านร่างของเธอไปและดูเหมือนว่าทุกคนจะไม่เห็นผมด้วยซ้ำ
“น้ำไขสันหลังนี้จะเอาไปทำวัคซีนและยาเพื่อช่วยให้โลกของเรากลับมาเป็นปกติ ต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิต ฉันขอสาบานด้วยจิตวิญญาณของเอ็น” เอลประกาศเสียงดังพร้อมกับน้ำตาที่ไหลนองหน้า “พวกเราทุกคนขอเคารพและยกย่องให้ท่านเป็นวีรบุรุษของมนุษย์”
เมื่อสิ้นคำประกาศของนักวิทยาศาสตร์หนุ่มเขานั่งลงชันเข่าขึ้นแล้วก้มหัวเพื่อแสดงความเคารพต่อหน้าศพของผมอย่างมีเกียรติ ในเวลาสั้น ๆ ทุกคนก็ทำตามพร้อมกับสะอื้นร่ำไห้ออกมา กลายเป็นฉากที่ตราตรึงในจิตใจที่แสนโศกเศร้าเกินกว่าจะเรียกได้ว่าเป็นโศกนาฏกรรม น้ำตาของผมนั้นไม่สามารถไหลได้อีกแล้ว ไม่มีน้ำมูก ไม่มีน้ำลาย แต่ก็ไม่ได้รู้สึกแห้ง ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้สละชีวิตของตัวเองเพื่อช่วยให้โลกกลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่มันก็ขึ้นอยู่กับเอลว่าเขาจะใช้น้ำไขสันหลังอันมีค่าของผมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากน้อยขนาดไหน
“ไปกันได้แล้ว” เสียงของชายชุดดำพูดด้วยสำเนียงเรียบ ๆ เรียกผมให้ตายเขาไป พอมารู้ตัวอีกที ดวงตาของผมก็มืดบอดไปหมดแล้ว เหลือแต่เพียงคำพูดสุดท้ายของภรรยาสาวที่พูดกับเด็กในท้องว่า
“พ่อของลูก…ได้เป็นวีรบุรุษแล้วนะ จากนี้ไปลูกจะเกิดมามีชีวิตที่ดีแล้วนะ”
หลังจากนั้น…ผมได้เดินเข้าไปสู่โลกหลังความตาย
__________________________________________________
To Be Continue Ep.75