"พลังที่ผมได้มานั้น...มันคือพรหรือคำสาปกันแน่นะ...? แล้วผมจะใช้พลังนี้แก้ไขประเทศที่ล่มสลายนี้จะกลับเหมือนเดิมได้อย่างไร...?"
แอคชั่น,ชาย-หญิง,สะท้อนปัญหาสังคม,ไทย,เลือดสาด,พล็อตสร้างกระแส,ดราม่า,สยองขวัญ,ผี,ผจญภัย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Undead War สงครามคนเป็น"พลังที่ผมได้มานั้น...มันคือพรหรือคำสาปกันแน่นะ...? แล้วผมจะใช้พลังนี้แก้ไขประเทศที่ล่มสลายนี้จะกลับเหมือนเดิมได้อย่างไร...?"
โรคระบาดยังคงอยู่รอบๆ ตัวเรา ไม่ได้หายไปไหน หมอทุกคนตายกันไปหมดแล้ว ความหวังดับวูบจนไม่เหลือแม้แต่แสงสุดท้าย ราวกับว่าตัวเองกำลังเดินอยู่ในอุโมงค์ไร้แสงสว่างและไร้สิ้นสุด พวกซอมบี้ต่างคอยจะได้กัดกินเนื้อมนุษย์อย่างกับเครื่องจักรที่ไม่มีวันเหนื่อย ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็มีแต่พวกมันอยู่เต็มไปหมด
แต่ความหวังก็ยังไม่หมดไป เมื่อผมสามารถเอาชนะเชื้อไวรัสตัวนี้ได้ ทำให้ร่างกายของผมเกิดกลายพันธุ์และสามารถแปลงกายเป็นซอมบี้ได้ตลอดเวลา นั่นทำให้ผมวิวัฒนาการไปอีกขั้นเพื่อที่จะช่วยเหลือมวลมนุษยชาติได้
“ระหว่างนี้จะขอคั่นรายการว่าด้วยเรื่องของกลุ่มมนุษย์กินคน ซึ่งตอนนี้ได้ก่อเหตุฆาตกรรมกินเนื้อคนในแทบละแวกใกล้ ๆ นี้ ขอให้ประชาชนทุกคนเตรียมอาวุธพร้อมสู้ให้พร้อม หากต้องการหลีกเลี่ยงให้ติดต่อเจ้าหน้าที่การทหารได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเลยครับ จากนี้เราจะไปฟังเพลงต่อไปกันเลยครับ”
เสียงวิทยุจากร้านอาหารเล็ก ๆ ร้านหนึ่งชื่อว่า ‘ร้านอาหารคนเป็น’ ตั้งอยู่ที่ชานเมืองซึ่งไกลจากหมู่บ้านพฤกษาราวสิบกิโลเมตร นอกร้านมีที่จอดรถอยู่เป็นจำนวนมากเนื่องจากเป็นพื้นที่กว้าง รถสัญจรน้อย อีกทั้งเป็นร้านอาหารที่ตั้งอยู่เดี่ยว ๆ กลางทุ่งนา แต่สวนทางกับจำนวนลูกค้าที่มากมายนั้น พวกเขาหลายคนเคยเป็นซอมบี้มาก่อนที่จะได้รับวัคซีนจนหายดี ภายในร้านตกแต่งด้วยสไตล์อเมริกันยุคเก้าศูนย์โดยจะมีที่นั่งเป็นเบาะโซฟาสีแดงหันเข้าหากันมีโต๊ะอยู่ตรงกลาง พร้อมทั้งบาร์ที่มีคนขับรถส่งของมักจะหยุดรถเพื่อนั่งกินอะไรสักหน่อยก่อนกลับไปทำงาน เวลาหนึ่งทุ่มซึ่งเป็นเวลาที่ฉันจะต้องเลิกงาน เธอมองนาฬิกาแขวนผนังก่อนจะเดินไปยังเคาน์เตอร์ซึ่งตอนนี้มีฟางที่กำลังนั่งคิดนับเงินในกระบะ
ใช่…ฟางและนิวเป็นคนสร้างที่นี่ขึ้นมากับมือนั่นเอง นี่เป็นสาเหตุที่ฉันยังมีงานทำเพื่อเลี้ยงดูลูกสาว
“เดี๋ยวฉันกลับแล้วนะ” ฉันทักทายเจ้าของร้านก่อนจะถอดผ้ากันเปื้อนออก จู่ ๆ ก็มีมือหยาบ ๆ คว้าข้อมือของฉันเอาไว้ ฉันไม่ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะเรื่องพวกนี้มันเกิดขึ้นกับฉันอยู่บ่อยครั้ง
ฉันถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายพร้อมพูดเตือนชายร่างอ้วนไว้หนวดเฟิ้มอัปลักษณ์ “เอามือออกไปเดี๋ยวนี้”
“อย่าใจร้ายไปหน่อยเลยน่า ฉันรู้ว่าเธอเป็นแม่ม้ายอดีตเมียของไอ้วีรบุรุษอะไรนั่นใช่ปะ!?” มันแสยะยิ้มอย่างหื่นกามพร้อมกับมองสะโพกอันอวบอิ่มของฉันที่สวมกางเกงยีนฟิตแน่นจนเห็นเป็นลูกกลมสวย “แต่งตัวแบบนี้ไม่ได้มาทำงานแล้วม้าง! คืนนี้เท่าไหร่ดีล่ะจ๊ะ!?”
“ฉันจะนับหนึ่งถึงสามถ้ายังไม่ออกไปอย่าหาว่าไม่เตือน” ฉันขู่ด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำ
“อย่าทำเลอะนะคาโอริน” ฟางบอกโดยที่ตัวเองยังคงนั่งนับเงินอยู่ เชื่อเถอะ เรื่องที่ลูกค้าอาละวาดในร้านนั้นมีเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งตอนนี้มีพนักงานในร้านแค่ฉันคนเดียว นอกนั้นเป็นฟางที่เป็นเจ้าของร้าน ส่วนนิวนั้นเป็นเชฟที่คอยทำอาหารและคิดสูตรใหม่ ๆ อยู่หลังร้านไม่มีเวลาออกมาจัดการกับคนพวกนี้หรอก
รู้ไหมว่าใครเป็นคนห้ามปรามพวกที่อาละวาด?
ไม่ฉันก็ฟางนี่แหละ
ฉันสะบัดแขนออกก่อนจะคว้าข้อมืออ้วน ๆ หนา ๆ ของมันแล้วบิดมันด้วยมือข้างเดียว ภายในดวงตาลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิงจับจ้องไปที่มันอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ มันร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดราวกับหมูกำลังจะถูกเชือด แต่ด้วยความที่ร่างกายของฉันไม่ต่างจากทหารผ่านศึก จึงสามารถต่อกรกับคนพวกนี้ได้ไม่ยุ่งยากนัก
“บอกไว้ก่อนว่า กูจัดการฆ่าทั้งซอมบี้ทั้งมนุษย์อย่างพวกแกมาแล้ว ลองดมดูสิว่ามือของกูมันเหม็นกลิ่นคาวเลือดมากขนาดไหน แล้วจำไว้ว่าอย่าไปพูดหรือทำกับผู้หญิงแบบนี้อีก” จากนั้นฉันก็หักข้อมือของเขาดังกร๊อบ!! ไอ้หมูตอนกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด คนในร้านต่างตัวสั่นให้กับการกระทำของฉัน ดูท่าว่าไอ้หมอนี่จะไม่ใช่คนแถวนี้ เพราะคนแถวนี้จะรู้กันดีว่าไม่ควรมาล่วงเกินฉันไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือการกระทำต่าง ๆฉันจ้องเขม็งไปที่ชายร่างอ้วนด้วยอารมณ์โทสะที่กำลังเพิ่มขึ้น มือของฉันบีบกระดูกของมันจนได้ยินเสียงลั่นกร๊อบ!!
“เดี๋ยวเถอะคาโอริน ทำแบบนี้กับลูกค้าไม่ได้นะ” จู่ ๆ นิวในวัยสี่สิบปีวาร์ปมาจากในครัวเพื่อแยกฉันและลูกค้าเฮงซวยคนนี้ออกไป “ต้องขออภัยกับคุณลูกค้าด้วยนะครับ เดี๋ยวอาหารมื้อนี้ทางเราจะไม่คิดเงินคุณลูกค้าก็แล้วกันนะครับ”
“ฮึ! ไอ้ร้านเถื่อนและอาหารห่วย ๆ แบบนี้ไม่ดีพอที่จะให้ฉันจ่ายเงินหรอกโว้ย!” ปากหมา ๆ ของมันที่บังอาจวิจารณ์อาหารของนิวเข้า มักจะไม่ได้กลับมาที่นี่สักคน ฉันจึงวางผ้ากันเปื้อนไว้บนเคาน์เตอร์ก่อนจะลากลับบ้านด้วยการออกไปขึ้นรถทางหลังร้าน ตั้งแต่ซอมบี้หมดโลกไปนั้นบรรยากาศก็เงียบสงบ แต่วันนี้กลับยังมีฝนตกอยู่ตั้งแต่บ่ายแล้ว ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดตก ฉันรีบขึ้นไปนั่งรถเก๋งสีขาวจอดอยู่ข้าง ๆ รถของนิวและฟางอย่างรวดเร็วหลังจากที่กดปุ่มรีโมตปลดล็อกรถเป็นที่เรียบร้อย จากนั้นสตาร์ตเครื่องเพื่อทะยานตรงกลับบ้าน ระหว่างที่ควบคุมพวงมาลัยไปในความมืดโดยมีแสงส่องทางจากไฟหน้ารถทำให้ฉันคิดอะไรพลาง ๆ
เฮ้อ…วันนี้ก็หมดไปอีกวันแล้วสินะ…ป่านนี้เอ็มม่าอยู่ที่บ้านทำอะไรอยู่
คิดถึงเอ็นจัง…
ฝนยังคงตกอยู่ ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดลงเลยแม้แต่น้อย ผมยังคงนั่งตากน้ำฝนจนเสื้อผ้าเปียกปอนไปหมด แต่ดีอยู่อย่างตรงที่เศษขี้ดินได้ถูกชำระล้างหายไปหมดแล้ว ดวงตาจับจ้องไปที่ป้ายหลุมศพของตัวเองก่อนจะก้มไปมองมือของตัวเอง จากนั้นผมตั้งสมาธิก่อนจะกลายร่างเป็นซอมบี้ พลังของผมยังเป็นเหมือนเดิม ความรู้สึกเหมือนตัวเองนั่งไทม์มาชีนมาเลยทีเดียว ในพิภพมนุษย์นี้ผมได้ตายไปกว่ายี่สิบปีแล้วสินะ แต่ในโลกหลังความตายผมตายไปเพียงยี่สิบนาที ซึ่งความรู้สึกมันก็ผ่านไปแค่ยี่สิบนาทีจริง ๆ นั่นแหละ ผมไม่อาจจะรู้ได้เลยว่าตอนนี้ทุกคนเป็นยังไงกันบ้าง คงจะเติบโตแซงหน้าไปมากโขเลยล่ะมั้ง
โดยเฉพาะคาโอริน…และลูก…
เมื่อภาพของภรรยาสาวของตัวเองผุดขึ้นมาก็ทำให้ผมมีไฟที่จะลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินไปในทางที่มีดวงไฟส่องสกาว มันทำให้ผมเห็นว่าน้ำไขสันหลังของผมสามารถทำให้โลกทั้งใบกลับมาเป็นเหมือนเดิมจริง ๆ ด้วย รู้สึกซาบซึ้งแปลก ๆ เลยแฮะ…ผมเริ่มออกเดินไปท่ามกลางสายฝนด้วยท่าทางที่ง็อก ๆ แง็ก ๆ ไม่ต่างจากซอมบี้ จริง ๆ การที่อยู่ดี ๆ ก็ผุดขึ้นมาจากสุสานแบบนี้มันก็คือซอมบี้นั่นแหละ เพราะร่างกายยังไม่สามารถปรับตัวได้เต็มที่ แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็เริ่มเดินได้คล่องขึ้น อุณหภูมิในร่างกายเริ่มหนาวขึ้นแล้ว ผมยกมือขึ้นมากอดอกพร้อมกับร่างกายที่สั่นเทิ้มไปหมด
จู่ ๆ ก็เห็นแสงไฟจากหน้ารถ เป็นเหมือนดั่งแสงแห่งสรวงสวรรค์ ผมจึงตัดสินใจวิ่งไปหามันทันที รถตู้คันนั้นเบรกเอี๊ยดทันทีเมื่อแสงไฟสาดมายังร่างของผม ก่อนจะมีกลุ่มคนกว่าสิบคนพร้อมอาวุธมีดและดาบพรวดลงมาจากรถอย่างรวดเร็ว พวกมันแต่งตัวด้วยชุดสีดำมีหน้ากากปิดใบหน้า เผยให้เห็นแค่ดวงตา เพียงแค่นี้ก็รู้แล้วว่าพวกมันไม่ได้มาดี ผมกลายร่างเป็นซอมบี้ก่อนจะพุ่งเข้าไปประจันหน้าตะลุมบอนอย่างรวดเร็วและรุนแรง เพียงไม่กี่นาทีผมก็สามารถจัดการพวกมันจนหมดสภาพ เมื่อขึ้นไปบนรถตู้ฝั่งด้านคนขับ กลิ่นที่ไม่เป็นอันพึงประสงค์ที่สุดก็โชยมาเตะจมูกอย่างแรง มันเหมือนกลิ่นเน่าซากอะไรสักอย่าง กลิ่นคาวเลือดที่รู้สึกคุ้นเคยผสมปนเปอยู่
มันไม่ใช่กลิ่นเลือดของสัตว์ แต่เป็นของมนุษย์!!
ไอ้พวกนี้มันอะไรวะเนี่ย…?
มนุษย์กินคน…? จากที่ดูอุปกรณ์และเศษเนื้อที่ติดอยู่ภายในตัวรถก็น่าจะพออยู่
จากนั้นผมจัดการลากพวกมันทั้งหมดขึ้นมาอัดกันบนรถตู้ก่อนจะขับออกไปทันที
แม้ว่าช่วงนี้จะไม่ใช่หน้าฝนก็ตาม แต่ปริมาณของหยดน้ำที่ตกลงมาแต่ละหยดนั้นมันเยอะกว่าที่เห็นด้วยระยะเวลาและปัจจัยอื่น ๆ โดยเฉพาะสัญชาตญาณความรู้สึกที่ตัวเองมีแต่สิ่งรอบข้าง ฝนที่ตกลงมามากมายนั้นทำให้ถนนหนทางเริ่มมีน้ำเจิ่งนองและระดับน้ำค่อย ๆ สูงขึ้น หากยังไม่หยุดตกก็อาจจะทำให้น้ำท่วมเข้ามาในบ้านก็เป็นได้ ฉันรีบดิ่งสับฝีเท้าเปิดประตูบ้านเข้าไปทันทีหลังจากที่ดับเครื่องยนต์ เห็นเอ็มม่ากำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟา เธอละสายตาจากหน้ากระดาษก่อนจะเข้ามากอดฉันโดยที่ไม่รู้ว่าเนื้อตัวของผู้เป็นแม่เปียกปอนไปด้วยน้ำฝนเย็น ๆ เธอดีดตัวออกมาเมื่อกายเนื้อสัมผัสกับมัน ดวงตาเบิกโพลงอย่างตกใจ
“โห! แม่! ทำไมเปียกขนาดนี้อะ”
“ฝนยังไม่หยุดตั้งแต่ที่กลับจากสุสานของพ่อแล้วจ้ะ” ฉันพ่นลมหายใจออกทางจมูก “ถนนก็เริ่มน้ำท่วมแล้วนะเนี่ย”
“น้ำรอระบายเหรอคะ?” เอ็มม่ายิ้มอย่างชั่วร้ายพร้อมกับมองหน้าฉัน
“จ้า ๆ น้ำรอระบายจ้า! ว่าซ่าน!” ฉันกรอกตามองบนเพราะประโยคพิสดารนี้มันช่างคุ้นหูจริง ๆ เหมือนจะเคยได้ยินในโลกก่อนกลียุคอีกนะเนี่ย
“จ้าแม่ ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนไป เดี๋ยวหนูเอาผ้าเข้าเครื่องซักให้”
ระหว่างที่ฉันกำลังจะถอดเสื้อหลังจากที่เปิดน้ำฝักบัวให้ไหลเพื่อที่จะได้ขับน้ำเย็นออกไปและน้ำอุ่นออกมา การที่ได้อาบน้ำอุ่น ๆ หลังจากทำงานมาเหนื่อย ๆ แล้วมันรู้สึกดีจนไม่อยากจะบอกใคร โดยเฉพาะคืนที่ฝนตกแบบนี้ยิ่งได้กลิ่นน้ำฝนบาง ๆ ทำให้บรรยากาศมันลงล็อกไปหมดทุกอย่าง ตอนนี้ฉันแทบไม่อยากจะออกจากห้องอาบน้ำอีกต่อไป เว้นแต่ว่ามันจะไม่มีแอร์ แต่ก็ช่างเถอะ สมัยที่ยังอยู่ในยุคซอมบี้พวกเราก็ไม่ได้มีเครื่องปรับอากาศใช้กันอยู่แล้ว พอนึกถึงยุคนั้นแล้วก็ยิ่งทำให้รู้สึกคิดถึงเอ็นมากขึ้นไปอีก…ให้ตายสิ…ทำไมฉันถึงไม่สามารถมูฟออนจากเขาได้สักทีนะ
เพล้ง!!
จู่ ๆ ก็เกิดเสียงบางอย่างดังลงมาจากด้านล่าง ฉันคว้าเสื้อของตัวเองมาสวมแล้วคว้ามีดสั้นที่ซอนอยู่ในห้องน้ำก่อนจะวิ่งลงไปชั้นล่างทันที ใจของฉันตกลงไปอยู่ตาตุ่มทันทีเมื่อใบหน้าของลูกสาวลอยขึ้นมา แม้ว่าเธอจะมีพลังซอมบี้เหมือนกับของเอ็น แต่ก็ยังไม่สามารถควบคุมมันได้ดีเท่าที่ควร ในความเป็นจริงฉันไม่น่าจะตื่นตูมได้ขนาดนี้ แต่มันห้ามไม่ได้เพราะว่าเอ็มม่านั้นไม่เคยทำอะไรซุ่มซ่ามถึงขั้นกระจกแตกมาก่อน อีกทั้งที่เธออายุยี่สิบแล้ว เธอไม่มีทางซุ่มซ่ามขนาดนั้นแน่นอน รวมถึงเสียงประกาศข่าวเรื่องมนุษย์กินคนที่ดังมาจากวิทยุของร้านอาหารของนิวและฟางนั้นยิ่งทำให้จิตใจของฉันร้อนรนราวกับเปลวไฟที่ลุกโชน
ขอให้เรื่องแบบนั้นไม่เกิดขึ้นเลย!
“เอ็มม่า เป็นไงบ้างลูก!?” ฉันร้องเรียกหาเธอ สักพักเธอเห็นว่าลูกสาวกำลังเก็บกวาดเศษจานที่หล่นแตก ทำให้ฉันรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก เธอมองกลับมาที่ฉันด้วยสีหน้างง ๆ
“เอามีดลงมาทำไมคะ?” เธอถาม
“อ๋อ…เปล่า ๆ ไม่มีอะไร” ฉันลดมีดลงพร้อมกับหัวเราะในใจ ช่างเถอะคนเราก็มักจะผิดกันได้ “ระวังบาดมือด้วยนะ เดี๋ยวแม่ขึ้นไปอาบน้ำก่อน”
“ได้เลยค่า!” ลูกสาวยิ้มอย่างร่าเริง นี่เป็นความโชคดีของฉันหรือเปล่าที่มีลูกสาวหน้าตาน่ารัก แข็งแกร่งและร่าเริงแบบนี้ คงจะเป็นเอ็นที่กลับมาเกิดใหม่หรือเปล่านะ
“กรี๊ด!!!” เสียงกรีดร้องของเอ็มม่าดังไล่หลังมา อะดรีนาลีนของฉันสูบฉีดพร้อมกระชับมีดในมือพร้อมสู้ก่อนจะพุ่งลงบันไดไปอีกรอบ เห็นว่ามีคนจำนวนมากยืนล้อมเอ็มม่าอยู่ ตรงคนที่ตัวสูงที่สุดกำลังล็อกคอของเธออยู่
“ปล่อยลูกกูนะเว้ย!!” ฉันแผดเสียงออกไป “อย่าหาว่าไม่เตือน”
“แหม ๆ น่ากลัวจังเลย คุณนายศรีภรรยาของวีรบุรุษ” เสียงที่คุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของชายร่างอ้วนที่ฉันเกือบจะหักข้อมือเขาในร้านอาหารนี่!
ฉันเบิกตาโพลงทันทีเมื่อรู้ว่าก่อนหน้านี้ฉันทำอะไรลงไป
มันแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย พร้อมกับชักมีดยาวออกมาก่อนจะแลบลิ้นเลียใบมีดที่เต็มไปด้วยคราบเลือดอย่างน่าสยดสยอง ราวกับว่ามันหลุดออกมาจากหนังฆาตกรไล่เชือดยังไงยังงั้น ฉันพยายามนับพวกมันได้ประมาณยี่สิบคน…ให้ตายสิ…ถ้ามีปืนอยู่ตอนนี้ก็น่าจะพอเอาชนะได้อยู่หรอก ด้วยมีดเล่มเดียวก็น่าจะจัดการได้สักสองสามคน ส่วนเอ็มม่านั้นไม่ได้มีประสบการณ์ด้านการต่อสู้ แค่พละกำลังอย่างเดียวมันไม่พอ
“ปกติพวกเราจะมาแล้วเชือดกินเนื้อแล้วไป แต่วันนี้ขอข่มขืนเมียของวีรบุรุษและลูกสาวของมันด้วยดีกว่า” มันหัวเราะอย่างโรคจิตเสียงดังลั่น “จัดการ”
พวกมันพุ่งถาโถมเข้าใส่ฉัน ส่วนเอ็มม่าที่ถูกจับอยู่ก็ได้กลายร่างเป็นซอมบี้แล้วชกไปที่ชายคนหนึ่ง เขาหลบหมัดของหญิงสาวได้แล้วใช้ปืนฟาดเข้าที่ใบหน้าอย่างจัง ส่งผลให้เนื้อหนังบริเวณใบหน้าฉีกขาด ความเจ็บปวดนั้นมีนิดเดียว เพราะไม่นานแผลก็สมานกลับเป็นเหมือนเดิม เธอปล่อยหมัดออกไปซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างที่ฉันสอน แต่ดูเหมือนว่าชายร่างยักษ์คนนั้นจะมีฝีมือเป็นอย่างมาก มันหลบหมัดที่เบาหวิวของเอ็มม่าได้อย่างสบาย ๆ
“เอ็มม่า! รอแม่ก่อนนะ! กำลังจะไปช่วย!!”
ฉันพุ่งเข้าไปฟันท้ายทอยของชายสองคนตายได้ดาบเดียว จากนั้นวิ่งเข้าไปคว้าดาบคาตะนะของผู้เป็นสามีที่ประดับอยู่ในห้องนั่งเล่นเหนือทีสีออกมาตั้งท่า
โปรดคุ้มครองฉันและลูกด้วยนะ…ที่รัก
“ย้ากกกกก!!” ฉันแผดเสียงดังลั่นก่อนจะพุ่งเข้าไปประจันกับพวกมันทั้ง ๆ ที่รู้ว่าสังขารในตอนนี้จะให้ไปสู้เหมือนเมื่อยี่สิบปีก่อนนั้นไม่ไหวแล้ว แต่ด้วยความที่ตัวเองต้องเอาชีวิตรอด ฉันจำเป็นต้องกัดฟันแล้วตวัดดาบฆ่าพวกมันให้หมดเหมือนที่เอ็นได้ทำ ฉันไม่ได้มีพลังวิเศษอะไร เป็นเพียงแค่แม่ม่ายลูกติดที่สามีตายจนกลายมาเป็นวีรบุรุษเท่านั้น ในฐานะภรรยา ก็อยากจะแข็งแกร่งให้ได้สักครึ่งหนึ่งของเขาเพื่อเป็นเสาหลักเสาเดียวในการปกป้องครอบครัว ฉันตวัดดาบฟันพวกมันขาดเป็นครึ่งท่อนอย่างรวดเร็ว แต่ประสาทการรับรู้ของฉันช้าลงกว่าแต่ก่อนจึงถูกตีนใหญ่ ๆ ถีบที่ใบหน้าอย่างแรงกระเด็นไปชนกับกำแพงดาบคาตะนะหลุดจากมือ ชายร่างอ้วนคว้ามันไว้บนอากาศก่อนจะพินิจพิจารณา
“นี่เป็นอาวุธของวีรบุรุษที่ใช้ปราบซอมบี้งั้นเหรอ?” มันพ่นลมหายใจออกทางจมูกอย่างเหยียดหยาม “มันก็ไม่ต่างอะไรกับสมบัติเก่า ๆ คร่ำครึอะดิ แบบนี้ฟันเราครั้งเดียวจะไม่เป็นบาดทะยักตายหรือไง”
“ปล่อยนะ!!” เอ็มม่าที่ตอนนี้กลัวจนคืนร่างเดิมพยายามสะบัดตัวเองให้หลุดจากพันธนาการ “บอกให้ปล่อยไงล่ะโว้ย!!”
“ลูกของแกนี่เสียงดีจังเลยนะ” ชายร่างอ้วนแสยะยิ้มพร้อมกระชับดาบไว้สองมือจากนั้นก็เงื้อดาบขึ้นเหนือร่างของฉันหมายจะฟัน “ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ฉันจะฆ่าเธอทิ้งและข่มขืนลูกแกแล้วเฉือนเนื้อหนังออกมาลิ้มรสหน่อยจะเป็นไง แถมเนื้อหนังที่มีพลังซอมบี้เหมือนพ่อมันแบบนี้ถือว่าเป็นพลังที่ฉันอยากได้อยู่แล้วด้วย แบบนี้ก็น่าจะทำให้ฉันสามารถครอบครองทุกอย่างได้เลยทีเดียว เหล่ามนุษย์กินคนอย่างเราก็จะอยู่เหนือทุกสิ่งเหมือนที่พวกซอมบี้เลยครองโลก”
เมื่อสิ้นเสียง มันได้จัดการลงดาบทันที
ฉันหลับตาปี๋พร้อมกับภาวนาต่อพระผู้เป็นเจ้าและเอ็น
ช่วยด้วย
หมับ!!
“หือ!?”
ใบมีดยังไม่โดนตัวฉันสักทีจึงลืมตาขึ้นมอง ปรากฏเห็นว่าใบมีดของดาบนั้นอยู่ห่างจากร่างฉันไม่กี่เซนติเมตร แต่สิ่งที่ทำให้ฉันถึงกับเบิกตาโพลงขึ้นมาก็คือชายในชุดสูทสีดำที่เลอะไปด้วยน้ำฝนและขี้ดิน มืออันแสนซีดเซียวคว้าข้อมือของชายร่างอ้วนอยู่ ฉันมองแผ่นหลังของชายนิรนามคนนั้นก็ทำให้รู้ทันทีว่าเป็นใคร คนที่ฉันโหยหามานาน
“เฮ่ย! ยุ่งอะไรกับลูกเมียกูวะ!?”
“มึงเป็นใครวะ!?” มันชะงักไปเล็กน้อย “เมีย…? นี่หรือว่ามึงคือวีรบุรุษคนนั้นเหรอ?”
“กูถามว่ายุ่งเหี้ยอะไรกับลูกเมียกู!!” ผมแผดเสียงออกไปด้วยความโกรธจนถึงขีดสุด มือที่จับมืออ้วน ๆ ของมันได้จัดการขยี้จนกระดูกแหลกด้วยพลังซอมบี้ มันปล่อยดาบลงกับพื้นพร้อมกับแผดเสียงร้องอย่างเจ็บปวด พวกลูกน้องที่เห็นดังนั้นจึงเริ่มถอยล่น ชายร่างยักษ์ปล่อยเด็กสาวที่ดูน่าจะเป็นลูกสาวของผมออกก่อนจะเดินมาประจันหน้ากับผมอย่างไม่เกรงกลัว
“มึงเป็นใครวะ?” ก่อนที่มันจะได้พูดจบประโยค หมัดของผมได้ปล่อยออกไปอย่างรวดเร็วส่งผลให้ศีรษะที่เคยติดที่บ่าได้หลุดออกไป เลือดจำนวนมากพุ่งกระฉูดออกจากบาดแผล จนทำให้พวกลูกน้องเริ่มกลัว แต่ก็ชักมีดพุ่งเข้ามาหมายจะฟัน ซึ่งผมรู้ดีว่าพวกมันก็คือมนุษย์กินคนเหมือนที่ผมฟังในวิทยุ จึงไม่อาจจะไว้ชีวิตพวกมันได้ ผมตัดสินใจที่จะไม่ยั้งมือด้วยการก้มลงไปคว้าดาบคาตะนะที่พื้นก่อนจะพุ่งเข้าไปฟันพวกมันตายทีละคนอย่างรวดเร็ว พอถึงตัวของลูกสาวผม จึงคว้าร่างของเธอขึ้นมาให้ขี่หลังก่อนจะเชือดพวกมันตายทีละตัว คนพวกนี้อ่อนแอกว่าซอมบี้เสียอีกและด้วยความกลัวของมันทำให้ลังเลที่จะโจมตี เป็นจุดอ่อนของมันที่ทำให้สามารถโจมตีได้อย่างง่ายดาย
เพียงไม่กี่นาที พวกมันก็กลายเป็นศพ
ผมคืนร่างเดิมพร้อมกับย่อตัวให้เด็กสาวลง เธอสูงเท่าผมก็จริงแต่การเหวี่ยงลูกตัวเองขึ้นหลังคงจะเป็นการเซย์ไฮที่แปลกหน่อย
“เอ็น…” เสียงที่คุ้นหูเรียกมาจากด้านหลัง ทำให้ผมรู้สึกใจชื้นขึ้นมา ผมปล่อยดาบลงกับพื้นพร้อมหันหลังกลับไปหาภรรยาสุดที่รัก แสงไฟจากภายในบ้านกระทบที่ใบหน้าทำให้เห็นได้ชัดเจน เธอเอามือป้องปากก่อนจะเข่าอ่อนทิ้งตัวลงไปนั่งกับพื้น ผมเข้าไปรั้งตัวเธอเอาไว้เธอจึงสามารถชันตัวเองให้ยืนเองได้
“เอ็นจริง ๆ เหรอ…?” คาโอรินถามพร้อมกับน้ำตาที่ไหลนองหน้าแล้วยื่นมือมาสัมผัสที่แก้มและใบหน้า ผมยิ้มอย่างอบอุ่นให้กับหญิงสาวพร้อมกับบรรจงจุมพิตที่ริมฝีปากอันอวบอิ่มของเธอ
“ใช่ครับ” ผมตอบ “ผมกลับมาแล้วนะ…กลับมาจากความตาย…กลับมาหาเธอ”
“มาหาพ่อสิเอ็มม่า” คาโอรินยื่นมือเรียกลูกสาว เธอน้ำตานองหน้าก่อนจะพุ่งเข้ามากอดพวกเรา ผมเข้าใจว่ายี่สิบปีที่ลูกสาวของผมไม่มีพ่อนี่มันเจ็บปวดขนาดไหน เธอกอดผมแน่นเกินกว่าพละกำลังของเด็กสาวคนหนึ่งเลยทีเดียว
“พ่อกลับมาแล้วนะ…ผมกลับมาแล้ว” ผมพูดก่อนที่น้ำตาจะเริ่มนองหน้า “จากนี้ไปพวกเราจะอยู่ด้วยกันสามคนพ่อแม่ลูกแล้วนะ พ่อจะไม่ไปไหนอีกแล้ว”
จิ๊กซอว์ทุกชิ้นได้ประกอบกันสมบูรณ์แบบแล้ว ตอนนี้การเดินทางอันแสนยากลำบากก็ได้สิ้นสุดลงเสียที ผมหยุดเพื่อที่จะสร้างครอบครัว ได้อยู่กับคนที่ผมรักและปกป้องพวกเขาด้วยชีวิตและจิตวิญญาณตลอดไป
THE END