“เธอต้องการอะไรกันแน่อันนา บอกพี่สิ” “ฉันอยากอยู่กับพี่ค่ะ!” อันนาตัดสินใจแบบนั้น บอกตัวเองว่าเธอรักเขามากมาย รักแบบไม่มีข้อแม้ แม้จะต้องแลกด้วยความสาวเธอก็ยอม ขอเพียงให้เธออยู่ในสายตาของเขาตลอดเวลาก็พอ
รัก,ชาย-หญิง,ผู้ใหญ่,ฤทธิ์รักอสูรร้าย ,อรอร,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ฤทธิ์รักอสูรร้าย“เธอต้องการอะไรกันแน่อันนา บอกพี่สิ” “ฉันอยากอยู่กับพี่ค่ะ!” อันนาตัดสินใจแบบนั้น บอกตัวเองว่าเธอรักเขามากมาย รักแบบไม่มีข้อแม้ แม้จะต้องแลกด้วยความสาวเธอก็ยอม ขอเพียงให้เธออยู่ในสายตาของเขาตลอดเวลาก็พอ
มาร์เธียส ทูริพาโน มหาเศรษฐีหนุ่มเจ้าของธุรกิจพลังงานอันดับหนึ่งในบริชเธน เขาร่ำรวย หล่อเหลา เป็นหนึ่งในหนุ่มโสดเนื้อหอมหัวใจเย็นชาที่ยังคงไร้ซึ่งคู่ครอง ชายหนุ่มได้ชื่อว่าเป็นบุรุษหนุ่มที่มีสายตาเฉียบคมในเชิงธุรกิจ แต่ดวงตาคู่นั้นกลับมองข้ามคนใกล้ตัวที่คอยแอบห่วงใย คะนึงหา และปรารถนาที่จะเป็นคนข้างใจ เขายัดเยียดให้เธอเป็นตัวปัญหา เป็นคู่หมายที่เขาไม่พึงปรารถนา แต่เมื่อมีบุรุษเข้ามายุ่มย่ามวุ่นวาย ความรู้สึกเป็นเจ้าของกลับพลุ่งพล่านฉีดแรง หัวใจที่เคยเย็นชากลับร้อนระอุดั่งไฟเผา เขาหวงเธอ ไม่อาจสูญเสีย จนต้องกลายร่างเป็นอสูรร้าย จัดการรวบหัวรวบหางจับแม่สาวหน้าหวานกลืนลงท้องชนิดไม่มีเหลือเผื่อไว้ถึงบุรุษหนุ่มคนอื่น
อันนา โคโทเนหญิงสาวชาวไทย ผู้จากบ้านมาไกลถึงบริชเธน เธอเป็นเลขาฯสาวสวยข้างกายมาร์เธียส ทูริพาโน และแอบหลงรักเจ้านายตัวเองมาเนิ่นนาน ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ความรักสมปรารถนา ด้วยถือคติที่ว่า “เพราะเธอคือทั้งหมดของหัวใจ” จึงตกหลุมพรางที่เสือร้ายอย่างมาร์เธียส ทูริพาโนวางล่ออย่างเต็มใจ
“อย่าทำแบบนี้ได้ไหมคะมาร์เธียส ฮือๆ” อันนาร่ำไห้เสียใจกับท่าทีหมางเมินเย็นชาของชายหนุ่ม เธอโผเข้ากอดซบอกเมื่อบอกตัวเองว่าทนไม่ได้ที่จะกลายเป็นคนไม่สำคัญของมาร์เธียส ทูริพาโน ทนไม่ได้ที่จะไม่ได้เห็นเขาทุกเช้า ทนไม่ได้ที่จะไม่ได้เดินเคียงไปกับเขาทุกที่ ทนไม่ได้ที่เขาจะเห็นคนอื่นสำคัญกว่าเธอ
“ร้องไห้ทำไมเด็กโง่ เธอต้องการแบบนี้ไม่ใช่เหรอ” มือหนายกขึ้นลูบหลังปลอบโยน
“ไม่ค่ะ ไม่ใช่แบบนี้” ร่างอรชรยังซุกหน้าร่ำไห้อยู่กับแผงอกล่ำภายใต้เสื้อสูทราคาแพงของเขา
“แล้วแบบไหน พี่เอาใจเธอไม่ถูกหรอก”
“พี่อย่าเพิ่งไล่ฉันออกได้ไหมคะ”
“พี่ไม่ได้ไล่ แค่ให้โอกาสเลือกสิ่งดีๆ กับชีวิตของเธอเอง ฟรังซัวส์อาจเป็นคนที่ใช่สำหรับเธอก็ได้”
“ไม่ค่ะ ไม่ใช่” คำตอบนั้นเรียกรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ในดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลได้เป็นอย่างดี
นิ้วแข็งแรงเชยคางคนในอ้อมอกให้เงยขึ้นสบตา แล้วโน้มใบหน้าลงไปกระซิบถามตรงเรียวปากอิ่มเต็ม
“เธอต้องการอะไรกันแน่อันนา บอกพี่สิ”
“ฉันอยากอยู่กับพี่ค่ะ!” อันนาตัดสินใจแบบนั้น บอกตัวเองว่าเธอรักเขามากมาย รักแบบไม่มีข้อแม้ แม้จะต้องแลกด้วยความสาวเธอก็ยอม ขอเพียงให้เธออยู่ในสายตาของเขาตลอดเวลาก็พอ
เสียงเพลงจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงดังอยู่ภายใต้โดมแก้วที่มีซุ้มกุหลาบดอกใหญ่เลื้อยเกี่ยวเกาะอยู่บนหลังคาภายในสวนที่ร่มรื่นด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ของอาณาเขตเกือบสิบไร่ของคฤหาสน์ทูริพาโน ซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจมาร์สโปรดักส์ทำเกี่ยวกับทางด้านพลังงานหลักของประเทศบริชเธน มีมาร์เธียสทายาทรุ่นที่สองเป็นผู้กอบกู้ขึ้นมาจากศูนย์ หลังธุรกิจเกือบล้มละลายโดยเขาได้เพื่อนรักยื่นมือให้ความช่วยเหลือ
แต่ถึงแม้ปัจจุบันมาร์สโปรดักส์จะกลับมายืนผงาดอยู่ในธุรกิจพลังงานได้ดังเดิม แต่ผู้บริหารอย่างมาร์เธียส ทูริพาโนก็ไม่เคยหยุดคิด หยุดลงทุนในสิ่งใหม่ๆ เพื่อที่จะให้มาร์สโปรดักส์ยืนหยัดอย่างสง่าภาคภูมิดั่งเรเดียลเต้เมาท์เท่นภูเขาคู่บ้านคู่เมืองของบริชเธน
เฮลิคอปเตอร์สีดำมีตราสัญลักษณ์ของมาร์สโปรดักส์ร่อนลงจอดบนลานโล่งกว้างด้านข้างสวน สุภาพบุรุษหนุ่มผู้มีเรือนร่างสูงสง่า ใบหน้าคมเข้มด้วยไรเขียวของหนวดเคราตามสองข้างแก้มและเหนือริมฝีปาก ผมสีน้ำตาลแดงตัดเป็นรองทรงได้รูปกับศีรษะทุ้มสวย จมูกโด่ง คิ้วเข้มพาดตรงเหนือดวงตาคมสีฟ้าน้ำทะเล ปากหยักได้รูปสีแดงตัดกับสีผิวที่ขาวออกนวล
มาร์เธียส ทูริพาโนอยู่ในชุดเสื้อกางเกงสูททำงานสีเทา ด้านในเสื้อสูทเป็นเชิ้ตแขนยาวสีขาว เนกไทสีเทาเข้ม ปลายแขนติดกระดุมสีทองสลักอักษรมาร์เธียส ร่างสูงสง่าก้าวลงจากเฮลิคอปเตอร์หลังชายหนุ่มเพิ่งกลับจากการร่วมประมูลงานต่างเมือง โดยมีเอเต้ ซิลวาบอดี้การ์ดคู่ใจก้าวตามหลังพร้อมกระเป๋าหนังสีน้ำตาล
เสียงเพลงจากโดมกุหลาบทำให้เจ้าของดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลต้องเหลียวไปมอง ทั้งที่ทราบดีว่าบิดามารดามักจะชอบนั่งเล่นและเปิดเพลงฟังอยู่บ่อยครั้ง แต่แล้วคิ้วเข้มต้องขมวดเข้าหากันเมื่อมองไปยัง
น้ำพุกลางสวนต้นสนสามใบ ร่างอรชรในชุดเสื้อสีดำสวมกระโปรงบานสีเหลืองทับด้วยโค้ทตัวบางสีน้ำตาลนั่งเล่นอยู่ตรงม้านั่งหิน มือเรียวบางรองรับน้ำที่ไหลรินจากรูปปั้นหินอ่อนของเทพคิวปิด ใบหน้านวลเนียนเจือรอยยิ้มเพียงนิด
ร่างสูงจึงก้าวเดินไปหาด้วยความสงสัย เพราะปกติคฤหาสน์ทูริพาโนจะไม่ต้อนรับแขกแปลกหน้า แต่เมื่อเดินไปจนใกล้และหญิงสาวเหลียวหน้ามามอง ทำให้เขาต้องเอ่ยปากทัก
“อันนา โคโทเน” มาร์เธียสปล่อยชื่อของหญิงสาวหลุดจากปากด้วยความแปลกใจ ที่เห็นหญิงมายืนอยู่ที่นี่ตามลำพังหลังได้ข่าวว่าคร่ำเคร่งเรียนหนังสือเพื่อให้จบปริญญาตรี แล้วเขาไม่ได้ใส่ใจอีก เพราะมีเรื่องมากมายให้ต้องทำ โดยเฉพาะธุรกิจของครอบครัวที่เขาไม่อาจปล่อยให้มันล้มละลายได้อีกครั้ง
“พี่มาร์เธียส”อันนาเอ่ยเรียกอึกอัก ร้อนผ่าวไปทั่วสองแก้มเมื่อเหลียวไปเห็นชายหนุ่มคนที่เธอหลงรักปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า ที่ไม่ว่าจะเจอกันกี่ครั้งเขาก็มักจะทำให้เธอใจเต้นแรงกว่าปกติ และหัวใจมันยังรีบสารภาพออกมาว่าเธอรักเขาตั้งแต่วินาทีแรกที่เจอ จนเธอรู้สึกว่าสามารถยอมมอบกายถวายชีวิตให้เขาได้เลยด้วยซ้ำ
มาร์เธียสทำเป็นไม่เห็นแววตาที่เปล่งแสงจากใจจนเขาสัมผัสได้ บอกตัวเองว่าเด็กเมื่อวานซืนมักหลงใหลได้ปลื้มผู้ชายที่สมบูรณ์แบบเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เดี๋ยวพอเจอคนใหม่ก็ปลื้มใหม่อีกเรื่อยไป
“พี่มาร์เธียส”
“เธอเองเหรออันนาจำไม่ได้เลย” พูดออกไปแล้วก็รู้สึกว่ามันเป็นการทักทายที่แย่มาก ทั้งที่เขาก็มักจะได้ข่าวคราวจากแม่อยู่บ่อยๆว่าลูกสาวบุญธรรมของเพื่อนรักเติบโตและเรียนไปถึงชั้นไหนแล้ว
“ค่ะ พี่ไปไหนมาคะ”
“เพิ่งกลับจากเนบเบีย กำลังจะเข้าบ้านแต่หันมาเห็นเธอก็เลยเดินมาดูว่าใคร”
อันนาได้แต่ยิ้มรับไม่กล้าพูดอะไรมาก เพราะตอนนี้บิดามารดาบุญธรรมของเธอซึ่งสนิทสนมเป็นเพื่อนรักกับบิดามารดาของเขามาตั้งแต่ครั้งเป็นหนุ่มสาวนั้น กำลังพูดคุยถึงเรื่องอนาคตของเธอหลังเรียนจบ นั่นคือต้องการให้เธอมาทำงานเป็นเลขาฯของเขา และดูเหมือนว่าทั้งสองตระกูลจะต้องการเป็นทองแผ่นเดียวกันด้วยซ้ำ แต่เธอไม่หวังถึงขนาดนั้นเพราะรู้ว่าเขาอยู่สูงเกินเอื้อม ขอแค่ได้ทำงานกับเขาก็พอ
“แล้วสบายดีใช่ไหม”ประธานมาร์โปรดักส์ถามออกไปตามมารยาท พลางก้มดูนาฬิกาข้อมือ เพราะเป็นห่วงเรื่องการลงทุนที่จะต้องเจรจากับมิสเตอร์ไซม่อนทางโทรศัพท์
“สบายดีค่ะ ขอบคุณ”
“โอเค ถ้าอย่างนั้นวันหลังค่อยคุยกัน”
ร่างอรชรในชุดเดรสกระโปรงเหลืองมะนาวไม่มีโอกาสได้เอ่ยปากรับคำด้วยซ้ำ เมื่อมาร์เธียสเร่งฝีเท้าเดินหนีไปเสียก่อน ทิ้งให้หญิงสาวมองตาละห้อย บอกตัวเองว่าเธอไม่เห็นแม้ร่องรอยว่าดีใจบนสีหน้าและในแววตาของเขาเลยสักนิดที่ได้เจอกัน
“ว่างหรือยังลูก” เอลลาเอ่ยถามลูกชายคนเดียวที่มี หลังแขกคนสำคัญขับรถออกจากคฤหาสน์ทูริพาโนไป
“ผมว่างสำหรับแม่เสมอครับ”
“ให้มันจริงเถอะ เห็นบอกแบบนี้หลายครั้งแล้ว จนแม่กับพ่อต้องนั่งกินข้าวกันสองคนทุกวัน”
“ขอโทษครับแม่ บางครั้งการเจรจามันก็ติดพันยาว” คนเป็นลูกหันไปรับแก้ววิสกี้มาจากเอเต้ที่รินใส่แก้วถือใส่ถาดมาเสิร์ฟให้อย่างรู้ใจเหมือนทุกวัน
“เอเต้ ไปพักได้แล้ว ฉันขอคุยกับลูกสักครู่” นายหญิงแห่งทูริพาโนเอ่ยขึ้น ทำให้บอดี้การ์ดร่างยักษ์ต้องรับคำแล้วล่าถอยออกจากห้องทำงานของผู้เป็นนาย
“แม่มีอะไรหรือครับ เหมือนจะธุระสำคัญ”
“ก็ไม่เชิงนะ”
“เรื่องของแม่คงเกี่ยวข้องกับอันนาใช่ไหมครับ”คนเป็นลูกถามดักคอ เขาพอจะรู้อยู่ว่ามารดาหมายมั่นปั้นมืออยากได้ลูกบุญธรรมของตระกูลโคโทเนมาเป็นสะใภ้
“ลูกสมกับเป็นนักธุรกิจแถวหน้าของบริชเธน”
“โอเค เดี๋ยวผมคุยด้วย ขอผมโทรทางไกลไปเบอร์ลินก่อนเพราะนัดเวลาเขาไว้”บอกแล้วก็ดูนาฬิกาข้อมือ
“มาร์เธียส รู้ตัวบ้างไหมว่าลูกทำงานหนักเกินไปแล้ว”
“ผมทำก็เพื่อมาร์สโปรดักส์นะครับ ไม่ใช่เพื่อคนอื่นเลย”
“แต่ลูกทำจนไม่มีเวลาพักสำหรับหายใจด้วยซ้ำ”
“ผมไม่อยากให้เรากลับไปเหมือนเมื่อห้าปีที่แล้วครับแม่ อีกอย่างผมไม่อยากให้เพื่อนต้องผิดหวัง เพราะซีอัลให้โอกาสผม โดยที่เขาก็ต้องเสี่ยงกับข้อครหาหากรู้ว่าให้ความช่วยเหลือผมทางอ้อม”
“แต่แม่ว่าซีอัลก็ไม่ได้กดดันลูกมากถึงขนาดนี้นะ อีกอย่างเงินทุนลูกก็ใช้คืนหมดแล้ว” คนเป็นแม่กล่าวแย้งด้วยความเป็นห่วง เพราะหลายปีที่ผ่านมา มาร์เธียสทุ่มเทให้กับงานเสียจนเธอกลัวจะเสียลูกไปกับงานที่อาจทำให้เครียดเสียจนเส้นเลือดในสมองแตก และเมื่อนั้นเงินหลายพันหลายหมื่นล้านเหรียญก็ช่วยอะไรไม่ได้
“ผมว่าเราพูดเรื่องนี้กันเยอะแล้วนะครับ” ร่างสูงสง่ายกมือขึ้นดูนาฬิกาอีกครั้ง เพราะใกล้เวลานัดหมายเข้ามาทุกที
“เดี๋ยวมาร์เธียส ขอเวลาแม่สักห้านาทีเถอะ”
“ห้านาทีนะครับ”
“จ้ะ ห้านาที แต่ลูกต้องรับปากว่าจะทำตามแม่”
“นักธุรกิจที่ดีจะไม่รับปากอะไรจนกว่าจะพิจารณาถึงผลประโยชน์ที่จะได้อย่างแท้จริงครับแม่” นักธุรกิจคนเก่งเอ่ยเสียงเรียบก่อนจะโดนผู้เป็นแม่ตีแขนดังเผียะ
“นี่แน่ะ กับแม่ก็ยังจะใช้คำพูดนี้เหรอ”
“เหลือสี่นาทีแล้วครับ”
“มาร์เธียส ถ้าลูกยังไม่หยุดฟังแม่ละก็ แม่จะโทรไปบอกคู่ค้าทั้งหมดว่าทางมาร์สโปรดักส์ขอยกเลิกสัญญา เพราะลูกถูกปลดจากตำแหน่งประธาน”
“โอเคครับ ท่านประธานมาร์สโปรดักส์ตัวจริง มีอะไรให้กระผมรับใช้ครับ”คนเป็นลูกเสียงอ่อนลง
“นั่งลงก่อน แล้วเราค่อยคุยกัน”
มาร์เธียสจึงจำต้องยอมตามใจด้วยการนั่งตามคำสั่ง แต่ยังอุตส่าห์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อจะส่งข้อความถึงบอดี้การ์ดเพื่อให้โทรไปบอกคู่ค้าว่าขอเวลาอีกสิบนาที แต่เขาก็โดนแย่งมือถือนั้นไปเสียก่อน
“เอามานี่”
“โธ่ แม่ครับ”
“ไม่รู้ละ ถ้ายังไม่เชื่อละก็ แม่จะทำจริงๆ”
คนเป็นลูกจึงต้องสูดหายใจ แล้วรอฟัง
“แม่หาเลขาฯ คนใหม่มาให้”
“โธ่ นึกว่าเรื่องอะไร โอเคครับ ให้มาเริ่มงานพรุ่งนี้เลย” มาร์เธียสรีบตอบตกลง จัดแจงจะลุกยืนแต่ก็โดนเอ็ดอีกครั้ง
“แม่ยังพูดไม่จบ”
“ไม่จบตรงไหนครับ ก็ผมโอเคแล้ว”
“ลูกยังไม่รู้เลยว่าเลขาฯ คนใหม่เป็นใคร”
“รู้สิครับ อันนา ลูกสาวบุญธรรมของตระกูลโคโทเน”
“นั่นแหละจ้ะ น้องจบวิชาเลขานุการมาเชียวนะ รู้แบบนี้แล้วก็ขับรถไปขอโทษเธอที่บ้านด้วยเลย”
คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันด้วยความไม่เข้าใจ เขาจึงเอ่ยถามออกไป
“ทำไมผมต้องไปขอโทษด้วย ในเมื่อจะมาทำงานเป็นเลขาฯ ของผม”
“แม่เชิญครอบครัวโคโทเนมากินข้าว เพื่อเลี้ยงแสดงความยินดีที่อันนาเรียนจบ แม่บอกไว้ว่าลูกจะร่วมยินดีด้วย แต่ลูกก็ไม่ว่าง”
“แม่ก็เห็นนี่ครับว่าผมไม่ได้อยู่เฉยๆ”
“ก็นี่ไง ธุระของลูกเสร็จแล้ว ออกไปซะตอนนี้ก็ยังทัน”
ร่างสูงสง่ายกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาอีกครั้ง
“ห้าทุ่มแล้วครับแม่”
“จากนี่ไปบ้านโคโทเน่ใช้เวลาสิบนาที เดี๋ยวแม่จะโทรไปบอกโซเฟียกับวิคเตอร์ว่าอย่าเพิ่งนอน ลูกหิ้วไวน์ไปสักขวดด้วย” คำสั่งเรียบๆ แต่มาร์เธียสรู้ว่าเขาต้องทำตามอย่างไม่มีเงื่อนไข
อันนา โคโทเนแทบทำอะไรไม่ถูกเมื่อมารดาของมาร์เธียสโทรมาบอกให้เตรียมต้อนรับประธานมาร์สโปรดักส์ที่บ้าน ครั้นเธอถามว่าจะมาทำไมเพราะดึกแล้ว แต่คุณป้าเอลลาก็บอกให้เธอทำตามก็พอ
หญิงสาวจึงต้องทำหน้าที่รับแขกยามวิกาลที่มาด้วยสีหน้าเรียบๆ แต่นัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลแทบจะเปลี่ยนเป็นสีเพลิง เมื่อเธอบอกว่าพ่อกับแม่เข้านอนแล้ว
“ให้มันได้อย่างนี้สิ”
“ขอโทษด้วยค่ะ”
“ขอโทษทำไม เธอไม่ได้ทำอะไรผิดจะขอโทษทำไมนะอันนา”
“ก็ทำให้พี่เสียเวลา” เจ้าของบ้านแก้ตัวเสียงเบา ก่อนเดินไปยกถาดสเตนเลสที่วางถ้วยชาและสโคลกับขวดแยมราสเบอร์รี่มาวางบนโต๊ะ จากนั้นจัดแจงรินใส่ถ้วยสีขาวพร้อมกับน้ำตาลหนึ่งก้อนชงด้วยช้อนเล็กให้เสร็จสรรพ แล้วเลื่อนส่งมาให้ตรงหน้า
“ดื่มชากุหลาบก่อนค่ะ”
“ขอบใจ” มาร์เธียสยกถ้วยชาขึ้นจิบพอไม่ให้เจ้าของบ้านเสียน้ำใจ แต่พอชิมแล้วก็ต้องเอ่ยปากชม
“รสชาติดี หอมด้วย”
“ชากุหลาบ ที่นี่ทำเองค่ะ แล้วนี่ก็แยมราสเบอร์รี่ฉันทำเองอีกเหมือนกัน” สโคลชิ้นพอดีคำทาด้วยแยมสีม่วงถูกยื่นส่งมาให้อีกครั้ง
“พี่อิ่มแล้ว” พอบอกไปแบบนั้นก็ไม่สบายใจ เมื่อสโคลชิ้นนั้นถูกวางบนจาน โดยไม่มีการคะยั้นคะยอให้เขารำคาญใจ แต่ให้ตายเถอะ ทำไมเขาต้องหงุดหงิดด้วย
“แม่บอกว่าเธอจะไปเป็นเลขาฯ ของพี่เหรอ”
ว่าที่เลขาฯ รับคำ ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นจากมือของตัวเองที่กุมไว้บนตัก
“มั่นใจว่าทำได้เหรอ”
“ทำได้ค่ะถ้าพี่ให้โอกาส”
“เธอรู้ใช่ไหมว่าเลขาฯ หลายคนก่อนหน้านี้ อยู่กับพี่ไม่เคยเกินสามเดือน”
“พอจะทราบค่ะ”
“เธอคิดยังไงถึงจะทำตามใจแม่ของพี่” คำถามนั้นทำให้คนต้องตอบเงยหน้าขึ้นสบด้วยดวงตาสีดำกลมโตแวววาว จนมาร์เธียสต้องนึกชมว่าเหมือนหยาดน้ำค้างยามต้องแสงแดดอุ่น
“ฉันไม่ได้คิดอะไรค่ะ นอกจากอยากตอบแทนผู้มีพระคุณ ท่านให้ทำอะไรก็ทำ แต่ถ้าพี่ไม่ต้องการให้ฉันไปเป็นเลขาฯ ฉันไม่ไปก็ได้ค่ะ”อันนาตัดสินใจบอกแบบนั้น เพราะไม่อยากขัดใจชายหนุ่ม แต่กลายเป็นว่าโดนเอ็ดกลับมาแทน
“บ้าสิ ขืนเธอไม่ไป พี่ได้โดนบ่นจนหูชา”ประธานมาร์สโปรดักส์กล่าวด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ยามเห็นแววตาน้อยเนื้อต่ำใจ จนนึกอยากจะถามออกไปนักว่า เขาทำอะไรให้นักหนาถึงต้องคอยตัดพ้อต่อว่าด้วยแววตาตลอด
“ก็พี่ไม่อยากให้ฉันไปเป็นเลขาฯ”
“ตอนนี้คงไม่ได้แล้วละ เอาเป็นว่าพี่ถามจริงๆเลยนะ”
เจ้าของดวงตากลมโตเงยหน้ารออย่างตั้งใจฟัง
“แม่พี่บอกให้ความหวังอะไรเธอใช่ไหมว่า ถ้าทำให้พี่หายบ้างานได้ เธออาจได้แต่งงานกับพี่” น้ำเสียงเรียบๆ แต่แววตาจริงจังเกือบทำให้อันนาถอนสะอื้น แต่ด้วยความคิดที่ว่าเธอเป็นใครมาจากไหน หญิงสาวจึงตอบออกไป
“ฉันรู้ตัวดีค่ะว่าไม่มีความสามารถถึงขนาดจะทำให้พี่หลงรักจนแต่งงานด้วยได้ ฉันแค่อยากทำงานตามสายงานที่เรียนมาให้ดีที่สุดเท่านั้นค่ะ”
“พูดได้ดี ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้เจอกันที่ออฟฟิศ” ญาติร่วมโลกลุกยืน ไม่วายหยิบสโคลชิ้นนั้นขึ้นมาถือ แล้วแก้ตัวว่า
“ถ้าแม่ถาม พี่จะได้บอกถูกว่าเธอเอาอะไรมาเลี้ยงพี่ แล้วรสชาติเป็นยังไง ขอบใจที่เข้าใจ”
อันนา โคโทเนมองตามร่างสูงสง่าที่เปิดประตูออกจากบ้านด้วยความสะเทือนใจ เธอถอนสะอื้น เมื่อบอกตัวเองว่าเธอจะพยายามเลิกรักเขาให้ได้ในวันหนึ่งข้างหน้า ซึ่งเธอก็ไม่รู้ว่ามันจะต้องใช้เวลากี่วันกี่เดือนกี่ปีถึงจะทำได้สำเร็จ