“เธอต้องการอะไรกันแน่อันนา บอกพี่สิ” “ฉันอยากอยู่กับพี่ค่ะ!” อันนาตัดสินใจแบบนั้น บอกตัวเองว่าเธอรักเขามากมาย รักแบบไม่มีข้อแม้ แม้จะต้องแลกด้วยความสาวเธอก็ยอม ขอเพียงให้เธออยู่ในสายตาของเขาตลอดเวลาก็พอ
รัก,ชาย-หญิง,ผู้ใหญ่,ฤทธิ์รักอสูรร้าย ,อรอร,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ฤทธิ์รักอสูรร้าย“เธอต้องการอะไรกันแน่อันนา บอกพี่สิ” “ฉันอยากอยู่กับพี่ค่ะ!” อันนาตัดสินใจแบบนั้น บอกตัวเองว่าเธอรักเขามากมาย รักแบบไม่มีข้อแม้ แม้จะต้องแลกด้วยความสาวเธอก็ยอม ขอเพียงให้เธออยู่ในสายตาของเขาตลอดเวลาก็พอ
มาร์เธียส ทูริพาโน มหาเศรษฐีหนุ่มเจ้าของธุรกิจพลังงานอันดับหนึ่งในบริชเธน เขาร่ำรวย หล่อเหลา เป็นหนึ่งในหนุ่มโสดเนื้อหอมหัวใจเย็นชาที่ยังคงไร้ซึ่งคู่ครอง ชายหนุ่มได้ชื่อว่าเป็นบุรุษหนุ่มที่มีสายตาเฉียบคมในเชิงธุรกิจ แต่ดวงตาคู่นั้นกลับมองข้ามคนใกล้ตัวที่คอยแอบห่วงใย คะนึงหา และปรารถนาที่จะเป็นคนข้างใจ เขายัดเยียดให้เธอเป็นตัวปัญหา เป็นคู่หมายที่เขาไม่พึงปรารถนา แต่เมื่อมีบุรุษเข้ามายุ่มย่ามวุ่นวาย ความรู้สึกเป็นเจ้าของกลับพลุ่งพล่านฉีดแรง หัวใจที่เคยเย็นชากลับร้อนระอุดั่งไฟเผา เขาหวงเธอ ไม่อาจสูญเสีย จนต้องกลายร่างเป็นอสูรร้าย จัดการรวบหัวรวบหางจับแม่สาวหน้าหวานกลืนลงท้องชนิดไม่มีเหลือเผื่อไว้ถึงบุรุษหนุ่มคนอื่น
อันนา โคโทเนหญิงสาวชาวไทย ผู้จากบ้านมาไกลถึงบริชเธน เธอเป็นเลขาฯสาวสวยข้างกายมาร์เธียส ทูริพาโน และแอบหลงรักเจ้านายตัวเองมาเนิ่นนาน ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ความรักสมปรารถนา ด้วยถือคติที่ว่า “เพราะเธอคือทั้งหมดของหัวใจ” จึงตกหลุมพรางที่เสือร้ายอย่างมาร์เธียส ทูริพาโนวางล่ออย่างเต็มใจ
“อย่าทำแบบนี้ได้ไหมคะมาร์เธียส ฮือๆ” อันนาร่ำไห้เสียใจกับท่าทีหมางเมินเย็นชาของชายหนุ่ม เธอโผเข้ากอดซบอกเมื่อบอกตัวเองว่าทนไม่ได้ที่จะกลายเป็นคนไม่สำคัญของมาร์เธียส ทูริพาโน ทนไม่ได้ที่จะไม่ได้เห็นเขาทุกเช้า ทนไม่ได้ที่จะไม่ได้เดินเคียงไปกับเขาทุกที่ ทนไม่ได้ที่เขาจะเห็นคนอื่นสำคัญกว่าเธอ
“ร้องไห้ทำไมเด็กโง่ เธอต้องการแบบนี้ไม่ใช่เหรอ” มือหนายกขึ้นลูบหลังปลอบโยน
“ไม่ค่ะ ไม่ใช่แบบนี้” ร่างอรชรยังซุกหน้าร่ำไห้อยู่กับแผงอกล่ำภายใต้เสื้อสูทราคาแพงของเขา
“แล้วแบบไหน พี่เอาใจเธอไม่ถูกหรอก”
“พี่อย่าเพิ่งไล่ฉันออกได้ไหมคะ”
“พี่ไม่ได้ไล่ แค่ให้โอกาสเลือกสิ่งดีๆ กับชีวิตของเธอเอง ฟรังซัวส์อาจเป็นคนที่ใช่สำหรับเธอก็ได้”
“ไม่ค่ะ ไม่ใช่” คำตอบนั้นเรียกรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ในดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลได้เป็นอย่างดี
นิ้วแข็งแรงเชยคางคนในอ้อมอกให้เงยขึ้นสบตา แล้วโน้มใบหน้าลงไปกระซิบถามตรงเรียวปากอิ่มเต็ม
“เธอต้องการอะไรกันแน่อันนา บอกพี่สิ”
“ฉันอยากอยู่กับพี่ค่ะ!” อันนาตัดสินใจแบบนั้น บอกตัวเองว่าเธอรักเขามากมาย รักแบบไม่มีข้อแม้ แม้จะต้องแลกด้วยความสาวเธอก็ยอม ขอเพียงให้เธออยู่ในสายตาของเขาตลอดเวลาก็พอ
ณ ถนนสายหลักในตัวเมืองบรีเธน ตัวอาคารสูงสองชั้นซึ่งเป็นตึกเก่าถูกดัดแปลงให้เป็นร้านเหล้าสำหรับนั่งดื่มกิน พูดคุยสนทนาระหว่างเพื่อนฝูง ญาติสนิทมิตรสหายนั้น ด้านหน้าของร้านช่วงครึ่งบนเป็นกระจกสีชาแก่ติดอักษรภาษาอังกฤษเป็นชื่อร้านว่าเดอะไนท์ ส่วนครึ่งล่างเป็นอิฐเนื้อแข็ง ประตูไม้บานเล็กมีกระดิ่งอันเล็กแขวน มันจะดังทุกครั้งที่ลูกค้าเปิดเข้าและเปิดออก
ส่วนภายในร้านมีเคาน์เตอร์บาร์สำหรับให้พนักงานบริการเครื่องดื่มกับลูกค้าที่มักเข้ามานั่งฟังเพลงจากตู้หยอดเหรียญ มีอาหารว่างขบเคี้ยว รวมไปถึงอาหารหนักประเภทสเต็กไว้บริการ
โซฟาสีแดงตัวใหญ่ตั้งหันหลังชนกัน จัดกั้นเป็นสัดส่วนสำหรับลูกค้าที่ต้องการความเป็นส่วนตัว โต๊ะไม้สีขาวตัวเตี้ยวางตั้งเครื่องดื่มและอาหารให้บริการกับนักดื่มที่มักจะแวะเวียนมาอย่างเนืองแน่น
แต่ในคืนวันศุกร์กลับมีเพียงหญิงสาวต่างฐานะนั่งปรึกษาหารือกันอยู่เพียงสองคน หนึ่งนั้นคือ อาร์ทิมีส อัญมณี คาลซินีเจ้าของบริษัทจัดหาคู่ฟิโอเร่ที่โด่งดัง หญิงสาวสวมเดรสสีหวานราคาแพงตามฐานะของภริยาประธานาธิบดีแห่งบริชเธน
อีกหนึ่งนั้นคืออันนา โคโทเนเลขาฯของประธานมาร์สโปรดักส์ ทั้งสองเป็นเพื่อนรักที่รู้จักกันมาตั้งแต่เรียนไฮสคูล แล้วมาแยกจากกันตอนเธอไปเรียนปริญญาตรีที่สหรัฐอเมริกา แต่ก็ยังติดต่อพูดคุยกันทางอีเมล์ รวมถึงบางครั้งก็โทรทางไกลมาปรึกษาหารือตามประสาหัวอกเดียวกัน
และเมื่ออันนากลับมาบริชเธน หญิงสาวทั้งสองก็นัดเจอเพื่อปรึกษาปรับทุกข์กันที่ร้านแห่งนี้ทุกวันศุกร์ จนกระทั่งอาร์ทิมีสแต่งงาน แต่เธอก็ยังคงความเป็นส่วนตัวตรงนี้ไว้ให้เพื่อนเสมอ เพียงแต่ว่าความปลอดภัยก็ต้องเข้มมากขึ้นตามฐานะสตรีหมายเลขหนึ่งของประเทศ ด้านนอกจึงมีรถยนต์สีดำจอดถึงสามคันพร้อมบอดี้การ์ดอีกหกคน
“เกิดอะไรขึ้นอันนา?”
หน้าตาของเพื่อนบ่งบอกให้อาร์ทิมีสทราบว่าอันนาไม่ได้อยู่ในสภาวะอารมณ์ปกติ มันเต็มไปด้วยความซึมเศร้า หม่นหมอง แล้วไหนจะดวงตาที่ยังคงบวมช้ำหลังผ่านการร้องไห้มาคู่นั้นอีกล่ะ
“ฉันทำอะไรก็ไม่เคยถูกใจพี่มาร์เธียส”
อันนาเอ่ยปากบอกเสียงเครือ เรื่องของชายหนุ่มผู้นั้นมักมีผลกระทบกับสภาพจิตใจของเธอให้ยิ่งอ่อนไหวและเปราะบางจนหญิงสาวควบคุมไม่อยู่
“ฉันต้องทำยังไงเหรออาร์ตี้ เขาถึงจะมองฉันในแง่ดีบ้าง”
“อันนาการเป็นคนอื่นมันจะมีประโยชน์อะไรในเมื่อมันไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเธอ การที่เธอเป็นแบบนี้ก็ไม่ได้เสียหายตรงไหน เธอที่เป็นเธอมันดีที่สุดแล้ว”
คนฟังพยายามกลั้นก้อนสะอื้น นั่นเพราะอาร์ทิมีสรักเธอ เพื่อนสาวถึงได้มองเธอในแง่ดี ทว่าคนที่เขาชิงชังน้ำหน้าเธอ คงมองเธอแตกต่างจากที่อาร์ทิมีสมองราวฟ้ากับเหว
“ตัดใจไม่อยู่ข้างเขาได้หรือยังอันนา?”
อาร์ทิมีสถามเสียงนุ่ม พร้อมกับยื่นมือไปจับมือของอันนาที่วางอยู่บนโต๊ะ คนถูกถามส่ายหน้าปฏิเสธทันที หากตัดใจได้เธอคงไม่ทนอยู่ให้มาร์เธียสเหยียบย่ำความรู้สึกทำเหมือนเธอเป็นคนไร้ค่าจนถึงตอนนี้
“ถ้าตัดใจไม่ได้ ก็ต้องอดทนจนกว่าจะตัดใจไปจากเขาได้” อาร์ทิมีสเคยให้คำปรึกษากับอันนาถึงเทคนิคที่ฟิโอเร่ใช้จับคู่ลูกค้า แต่มาร์เธียสเป็นผู้ชายประเภทเดียวกับเพอร์ซิอัล เมื่อเทคนิคพวกนี้ไม่ได้ผลกับพวกเขาเลยสักนิด
“นั่นสินะ ฉันต้องอดทน แต่ฉันต้องทนถึงเมื่อไหร่ ฉันถึงจะตัดใจได้เสียที”
หญิงสาวต้องยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาบนแก้มด้วยตัวเองเหมือนกับทุกครั้งที่เธออัดอั้นตันใจ แต่ไม่รู้จะระบายกับใครก็มักจะใช้น้ำตาเป็นเพื่อน โดยมีเพื่อนรักคอยให้คำปรึกษาอยู่เนืองๆ
“แล้วมีอะไรมากกว่านั้นอีกไหม ทำไมวันนี้ฉันรู้สึกว่าเธอเศร้ากว่าทุกวัน”
ใบหน้าที่เศร้าหมองของอันนาพยักรับกับคำถามของผู้เป็นเพื่อน
“วันนี้เราเถียงกันเยอะมากเลยอาร์ตี้ แล้วเขาก็เกือบจะจูบฉัน ดีที่คุณป้าโทรศัพท์เข้ามาเสียก่อน”
อาร์ทิมีสต้องกลั้นยิ้มเมื่อเพื่อนของเธอหน้าแดงเรื่อ แล้วเสยกแก้วไวน์ขึ้นจิบไปจนหมด
“เธอคงพูดอะไรไม่ถูกใจเขาน่ะสิ”
“ก็บอกไม่ถูกนะอาร์ตี้ แต่จริงๆแล้วเขาดูจะรู้ใจฉันไปหมด เขาว่าฉันจะตัดใจจากเขาได้ยังไงในเมื่อยังรักเขาอยู่”
“เขารู้ใจเธอถึงขนาดนั้น แสดงว่าเขาต้องรับรู้ถึงสิ่งที่เธอทำให้ในทุกๆวัน ฉันว่าเรื่องที่เราปรึกษาหารืออาจกำลังได้ผลก็ได้นะอันนา บางทีคุณมาร์เธียสอาจเริ่มรักเธอแล้วก็ได้นะ”
เรียวคิ้วสวยขมวดเข้าหากันด้วยความไม่แน่ใจ
“ไม่น่านะอาร์ตี้ เขายังไม่ได้จูบฉันเลยนะ”คนพูดหน้าแดงซ่านเพราะขัดเขินยามบอกเล่าให้เพื่อนรักฟังอย่างไม่ปิดบัง
“การจูบไม่ใช่การแสดงออกว่าเธอชนะใจเขานะ มันมีอีกหลายสิ่งอย่างประกอบเข้าด้วยกัน”
“ก็จริง ฉันยอมรับว่าสับสนมาก คำพูดกับการกระทำของเขาทำให้ฉันเข้าไม่ถึง เขาแสดงออกด้วยการจูงมือโอบไหล่ ขยี้ผมเล่นเหมือนพี่กับน้อง ยอมให้ฉันเดินคล้องแขนเที่ยวกับเขา ชี้ชวนดูโน่นดูนี่ ฟังฉันเล่าเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อยเปื่อย แต่เขาก็ยังเชื่อว่าโลกนี้ไม่มีรักแท้ เขาพูดเหมือนว่าฉันเป็นพวกโลกสวย มีแต่สีชมพู แล้วก็ไร้เดียงสาแบบโง่ๆ” อันนาบอกเสียงเศร้าอย่างเจ็บปวด
“เท่าที่ฉันรู้ คุณมาร์เธียสเคยถูกผู้หญิงทิ้ง ตอนที่ครอบครัวกำลังมีปัญหาเรื่องเงิน เขาก็เลยฝังใจเรื่องนี้”
“ฉันจำได้ บอกตรงๆเลยนะตอนที่พี่มาร์เธียสชอบกับแคโรลีน ฉันแอบภาวนาให้เขาเลิกกันทุกวัน สุดท้ายเขาก็เลิกกันแต่พี่มาร์เธียสกลับเป็นคนใจแข็งยิ่งกว่าเดิม”
“เธอร้ายกาจมากนะอันนา”อาร์ตี้พูดเสียงกลั้วหัวเราะเพราะขำกับความคิดของเพื่อน
“แล้วเธอไม่มีอะไรจะแนะนำฉันเพิ่มเติมบ้างเหรออาร์ตี้”
“ฉันก็แนะไปหลายข้อแล้ว แต่คุณมาร์เธียสจริงจังเกินไป ฉันว่าเธอต้องใช้ความพยายามมากกว่าปกติอีกเท่าตัว”
“หรือว่าฉันจะถอยดีไหม”
“เธอไม่รักคุณมาร์เธียสแล้วเหรอ”
คนต้องตอบน้ำตาปริ่มอยู่ริมขอบตาเพราะความเจ็บช้ำที่อยู่ภายใน รู้ดีว่าเวลาที่ผ่านมา มันไม่ได้ช่วยให้ความรักของเธอเดินหน้าต่อไปได้ มันหยุดนิ่งเป็นนาฬิกาตายมาหลายปี
“บางครั้ง เราก็ต้องอดทนกับความรักนะอันนา” อาร์ทิมีสปลอบเสียงหวาน เพราะเธอเองกว่าจะสมรสสมรักก็ต้องเจ็บช้ำเพราะผู้ชายที่เธอรักมาก่อนเช่นกัน
“กลับบ้านเถอะ เดี๋ยวพ่อกับแม่จะเป็นห่วง”
“ก็ดี เธอจะได้กลับไปพักผ่อนด้วย ฉันขอโทษที่ดึงเธอมาจากครอบครัวนะอาร์ตี้ แต่ฉันไม่รู้จะปรึกษาใครจริงๆ”
อาร์ทิมีสดึงคนกำลังเสียขวัญเข้ามากอดปลอบโยน
“ให้ฉันไปส่งบ้านนะ”
“ไม่ต้องหรอก ฉันเอารถมา ขอบใจเธอมากนะอาร์ตี้” อันนากอดเพื่อนแน่น พลางแนบแก้มซ้ายขวากับแก้มของอาร์ทิมีสจากนั้นเปิดกระเป๋าสะพายเพื่อหยิบเงินมาจ่าย แต่ภริยาประธานาธิบดีก็ห้ามไว้เสียก่อน
“ไม่ต้องหรอกอันนา ฉันจ่ายเอง เพราะคืนนี้เราเหมาร้านเขาแล้ว”
“จริงสิ แต่ให้ฉันจ่ายครึ่งนึงเหมือนเดิมเถอะนะ”
“เรียนคุณอาร์ทิมีสครับ ท่านประธานาธิบดีสั่งให้ผมจัดการเรียบร้อยแล้วครับ” บอดี้การ์ดเอ่ยแทรกขึ้นอย่างนอบน้อม เมื่อเห็นสองสาวกำลังจะช่วยกันจ่ายเงิน
“ฉันว่าคราวหน้า เราไปเจอกันที่บ้านดีกว่านะอาร์ตี้” อันนาบอกเสียงกลั้วหัวเราะทั้งที่คราบน้ำตายังอยู่บนแก้ม เมื่อเดินออกจากร้านด้วยกัน
“แต่ฉันว่าเธอเมานะอันนา ถนนก็ลื่น ช่วงนี้หิมะเริ่มลงหนาเม็ดแล้ว ให้บอดี้การ์ดฉันขับไปส่งดีกว่าไหม”
“ขอบใจจ้ะอาร์ตี้ แต่ฉันจะแวะร้านกาแฟตรงนั้น ดื่มกาแฟดับกลิ่นไวน์สักแก้ว แล้วค่อยขับกลับ ไม่ต้องเป็นห่วง” อันนาฝืนทำเสียงให้สดชื่น
“ก็ได้ แต่กลับถึงบ้านแล้วไลน์ไปบอกด้วยนะ”
อันนารับคำพร้อมรอยยิ้มพลางสวมกอดเพื่อนรักที่แสนดีอีกครั้ง จากนั้นยืนรอจนรถยนต์สามคันแล่นหายไปจากหน้าร้าน
หญิงสาวจึงเดินไปขึ้นรถของตัวเอง จากนั้นสตาร์ตเครื่องยนต์ ปรายตามองนาฬิกาบนหน้าปัดมันเป็นเวลาสามทุ่ม ป่านนี้เจ้านายของเธอคงกำลังเริงสวาทอยู่กับสาวบนเตียงภายในโรงแรมไหนสักแห่ง
“ฮึ เธอจะมีคนรักใหม่ได้เหรอ ในเมื่อเธอยังรักพี่อยู่”อันนาพึมพำเลียนแบบคำพูดของผู้ชายปากร้ายด้วยความเจ็บปวด เพราะรู้ดีว่าคำตอบมันชัดเจนอยู่ในตัวแล้ว
“ฉันตัดใจจากพี่ไม่ได้หรอกค่ะมาร์เธียส เพราะฉันรักพี่มาก แล้วพี่ล่ะคะเมื่อไรจะใจอ่อนยอมเปิดใจรับฉันเสียที หรือว่าพี่ยังไม่ลืมแคโรลีนจริงๆ” คนที่กำลังคิดมากขณะขับรถ รีบกระแทกเท้าลงบนเบรกอย่างแรง แต่ก็ไม่ทันเมื่อรถของเธอชนเข้ากับท้ายรถคันหน้าเสียงดังปัง แค่นั้นก็ทำให้เธอตกใจแทบเป็นลม แต่คนที่ลงจากรถมากลับทำให้เธอแทบจะกรีดร้องออกมาดังๆ
เมื่อเขาคือ ฟรังซัวส์ ลูกา ดารานักร้องชื่อดังของกรุงปารีส!
“ฟรังซัวส์ ลูก้า” อันนาอุทานด้วยความตกใจระคนตื่นเต้น เมื่อชายหนุ่มร่างสมาร์ต ผมสีทอง นัยน์ตาสีเขียวมรกต ปากสีแดงสดตัดกับผิวหน้าขาวนวลเปิดประตูลงจากรถมายืนแล้วเดินมาหา หญิงสาวจึงรีบเปิดประตูลงไปเพราะรู้ตัวว่าผิดอย่างแรง
“คุณเป็นอะไรมากหรือเปล่าครับคนสวย” ดารานักร้องหนุ่มเอ่ยถามเสียงทุ้ม นัยน์ตาสีเขียวยิ้มกรุ้มกริ่มเมื่อหญิงสาวร่างอรชร ตาดำผมดำ ใบหน้าสวยแปลกตาไปจากผู้หญิงชาวบริชเธนทั่วไป หรือว่าแม้แต่สาวๆ ชาวปารีสก็ตาม
“เอ่อ ไม่เป็นไรค่ะ ฉันขอโทษด้วย มัวแต่ดีใจ”
“ดีใจที่ชนรถผมเหรอครับ” ฟรังซัวส์ถามเสียงกลั้วหัวเราะ พลางนึกชมรอยยิ้มของหญิงสาวที่ดูจะเต็มไปด้วยความจริงใจและเปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์
“ใช่ค่ะ เอ๊ย ไม่ใช่ คือว่าฉันมัวแต่ตะลึงที่ชนรถคุณ แต่ดีใจที่เจอดาราคนโปรดค่ะ อยากจะกรี๊ดดังๆ เลย”อันนายังไม่หายตื่นเต้นเพราะเป็นเรื่องยากมากที่จะได้เข้าถึงตัวดารานักร้องชื่อดังขนาดนี้ จึงแทบจะอาการดีใจไม่อยู่ นึกไปถึงเด็กวัยรุ่นที่ชอบส่งเสียงกรี๊ดให้กับนักร้องที่ชื่นชอบแล้วก็เข้าใจเลยว่าความรู้สึกนั้นเป็นอย่างไร
“ผมอนุญาตให้กรี๊ดใส่หูผมก็ได้นะ ผมชอบฟัง เสียงคุณหวานดี”
คนถูกชมหน้าแดงเรื่อ ยิ้มจนเห็นฟันเรียงกันสวย มองใบหน้าคมสันที่หล่อราวเทพบุตรอย่างไม่เชื่อสายตาว่าดาราคนโปรดตัวเป็นๆ จะมายืนอยู่ตรงหน้าได้
เสียงบีบแตรไล่ทำให้อันนารู้สึกตัว แล้วบอกออกไป
“ฉันยินดีชดใช้ค่าเสียหายให้นะคะ แต่เราควรเอารถแอบข้างทางก่อน”
“ได้ครับ เราไปจอดกันตรงหน้าร้านกาแฟดีกว่า”
รถทั้งสองจึงขับตามกันไปจอดตรงริมทาง ไม่ไกลจากร้านกาแฟชื่อดังของอเมริกาเท่าไรนัก
“ฉันขอโทษด้วยค่ะที่ทำให้เสียเวลา แต่เบรกไม่ทันจริงๆ ถนนลื่นด้วย” อันนาเอ่ยขอโทษ เมื่อลงมายืนดูความเสียหายของกันชนหลังของรถดาราหนุ่ม หลังจากที่เธอมัวแต่พร่ำเพ้อเรื่องของเจ้านาย เลยไม่ทันระวังรถคันหน้าที่อยู่ๆก็เบรกกะทันหัน ทั้งที่ถนนข้างหน้าโล่ง
“พอดีเหมือนจะมีกระรอกวิ่งตัดหน้า ผมเลยต้องเบรกน่ะครับ”
“อ๋อ ไม่เป็นไร เขาซ่อมทุกกรณีอยู่แล้วค่ะ”
“สงสัยคุณต้องซ่อมหัวใจให้ผมด้วยแล้วสิครับ”
อันนาหัวเราะเสียงใสเมื่อดาราหนุ่มดูจะช่างพูดช่างเจรจา จากนั้นเดินกลับไปเปิดประตูหยิบกระเป๋าสะพายมาเปิดหานามบัตรของบริษัทประกัน
“นี่ค่ะ นามบัตรของบริษัทประกัน คุณติดต่อเอารถเข้าไปที่นั่นได้เลย” มือเรียวสวยยื่นการ์ดแผ่นเล็กให้
“ขอบคุณ แต่ผมขอเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นแทนแล้วกัน” มือขาวสะอาดขยำนามบัตรนั้นจนเป็นชิ้นเล็ก แล้วเดินไปหย่อนลงถังขยะริมทาง
“อะไรคะ ถ้าจะเรียกเป็นเงินทองเยอะๆ ฉันไม่มีให้หรอกนะ”
“ไม่ ผมขอแค่ดื่มกาแฟเป็นเพื่อนผมสักแก้ว แล้วก็ขนมเค้กสักชิ้น”
“แต่รถคุณเสียหายมากกว่านั้นนะคะ”
“มาเถอะครับ” ดาราหนุ่มจัดแจงจะโอบเอว แต่มีเสียงกรีดร้องเรียกชื่อของเขาดังขึ้น จากกลุ่มของเด็กสาวสามสี่คนที่วิ่งเข้ามาหาด้วยความลิงโลดดีใจ
“ฟรังซัวส์ ฟรังซัวส์ ขอพวกเราถ่ายรูปหน่อยสิคะ”
อันนาจึงต้องถอยห่างออกมาเพื่อให้เด็กสาวได้ใช้โทรศัพท์ถ่ายรูปกันอย่างทั่วถึง
“ขอบคุณมากๆ นะครับ ผมขอตัวก่อนนะเดี๋ยวเพื่อนจะรอนาน”
“ใช่แฟนของคุณหรือเปล่าคะฟรังซัวส์”
“ไม่ใช่ค่ะ เราแค่เป็นเพื่อนกัน” เลขาฯ ของมาร์เธียสต้องรีบอธิบาย เพราะเธอไม่อยากโดนเขม่นเสียก่อน
“เธอเป็นเพื่อนคนพิเศษครับ” ฟรังซัวส์ถือโอกาสโอบเอวอันนาพาเดินเข้าไปในร้านกาแฟ ดูเหมือนว่าคนที่รู้จักดาราหนุ่มก็จะขอมาถ่ายรูปกันอยู่ตลอดเวลา จนพนักงานของร้านต้องกันให้คนทั้งสองมานั่งอยู่อีกมุมของร้าน
“ผมไม่นึกว่าในกรุงบริชเธนจะมีคนรู้จักผมเยอะแบบนี้”
“คุณดังมากนะคะฟรังซัวส์ ไม่มีใครไม่รู้จักคุณหรอกค่ะ”
“รวมถึงคุณด้วยใช่ไหม”
“ค่ะ อย่างที่บอก ถ้าฉันเป็นวัยรุ่น ฉันคงทำแบบเด็กๆ พวกนั้น” หญิงสาวหัวเราะอย่างขัดเขิน จากนั้นรอให้พนักงานได้วางเครื่องดื่มตามสั่ง พร้อมเค้กส้มกับเค้กราสเบอร์รี่
“หยิบมือถือคุณมาสิครับ คุณไม่อยากถ่ายรูปกับผมเหรอ”
คำถามของดาราหนุ่มทำให้มือเรียวสวยต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถือซึ่งภาพบนหน้าจอเป็นภาพถ่ายของมาร์เธียสในชุดสูททำงาน สวมแว่นดำทำหน้านิ่งอยู่หน้าหอไอเฟล