จะกล่าวถึงหน้าประวัติศาสตร์โลกเวทมนตร์ชื่อของ 'จาฟา ครูส' เป็นชื่อที่ทุกคนต้องได้ยินเสมอ แต่เหตุการณ์เมื่อห้าปีก่อนทำให้ตัวตนของเขาหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์
ชาย-ชาย,แฟนตาซี,ตลก,ย้อนยุค,ไทย,จาฟาไม่อยากเป็นพ่อมด,ลึกลับ,นิยายแฟนตาซี,คำสาป,เวทมนตร์,แฟนตาซีน,พ่อมด,BL,ผจญภัย,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
พ่อมดในตำนานคนนั้นเป็นแค่คนตกงาน #จาฟาไม่อยากเป็นพ่อมดจะกล่าวถึงหน้าประวัติศาสตร์โลกเวทมนตร์ชื่อของ 'จาฟา ครูส' เป็นชื่อที่ทุกคนต้องได้ยินเสมอ แต่เหตุการณ์เมื่อห้าปีก่อนทำให้ตัวตนของเขาหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์
#จาฟาไม่อยากเป็นพ่อมด
มิเกล อาร์เอชได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลหลังจากที่บิดาของตนเสียชีวิตลงอย่างปริศนา
ห้องทำงานที่เคยถูกลงกลอนถูกเปิดออก ภาพของพ่อมดในตำนานที่เคียงข้างเขาในวัยเยาว์
การสิ้นชีวาของแม่มดสาวผู้มีความสัมพันธ์ลับ ๆ กับเขา
'จาฟา ครูส'
การดำดิ่งสู่เพนทาเคิล สมาคมพ่อมดที่ปกครองพ่อมดทั้งปวงในฮีมาไทต์
คำเตือน: การฆ่า/การใช้ความรุนแรง/การพยายามฆ่า/ฆ่าตัวตาย/สังหารหมู่/พฤติกรรมน่ารังเกียจ/การทารุณกรรมเด็ก/การทารุณกรรมทางด้านจิตใจ/ลิทธิ/ความเชื่อ ศาสนา
เวอร์ชั่นที่เผยแพร่ยังไม่ได้ตรวจสอบคำผิดอย่างละเอียด
ป.ล.การลงนิยายอาจจะไม่ถี่หรือไม่ค่อยมีเวลามากนัก เนื่องจากนักเขียนอยู่ในช่วงวัยเรียน ภาระงานจากโรงเรียนเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ อีกทั้งนักเขียนเรียนเกี่ยวกับแพทย์ อาจทำให้มีเวลาทางด้านนี้น้อยลงอีกด้วย
ต้องขอบคุณนักอ่านทุกท่านด้วยนะคะ
อยากเขียนแฟนตาซีขึ้นมา และคิดว่าแนวพ่อมดแม่มดนี่แหละเหมาะแก่การทดลองเขียนสุด ๆ ในโลกสมมตินี้จะพาคุณไปท่องยังเมืองต่าง ๆ สมาคมและสมาพันธ์ มีความเชื่อศาสนาและลัทธิต่าง ๆ เป็นเรื่องสมมุติ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยนะครับ
“ข้า...ข้าคิดว่าเจ้า...อะไรของเจ้าเนี่ยมิเกล?!”
“หืม?” ชายหนุ่มหลับตาพริ้ม คล้ายง่วงงุนไม่น้อยกับยามเช้าตรู่เช่นนี้ ผิดกับเขาที่ตื่นเต็มตา
“คิดจะติดต่อกับดรากันงั้นรึ?! ต่อให้เป็นพ่อมดที่มีความสามารถ ฉลาดเทียบเคียงกับจาฟา แต่เจ้าก็ยังเป็นพ่อมดวัยเยาว์นะ! ข้าไม่อยากให้ความสารถของเจ้าหล่นหายไปเพียงเพราะติดต่อกับมังกรบรรพกาลที่เราไม่รู้เลยว่าจะเป็นเช่นไร บางทีอาจย้อนกลับมาเผาฮีมาไทต์ให้วอดวายก็ได้ไม่ใช่หรือ” เขาดันแผ่นอกของดอริสที่ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ล้มตัวลงบนเตียงนุ่มขนาดใหญ่ก่อนจะปรือตามองเพดาน “ข้าให้สิ่งที่ต้องแลกกับดรากันไปแล้ว ตอนนี้เหลือแค่รอเวลาเจ้ามังกรตนนั้นจะยื่นน้ำใจแก่ข้าหรือไม่...ก็เท่านั้นเองมิใช่หรือ”
ใบหน้าของชายหนุ่มมึนงงยิ่งกว่าเก่า แลกเปลี่ยนสิ่งใด?
คล้ายมิเกลจะตามทันความคิดของเพื่อนสนิทได้จึงลอบขบขันขึ้นมา
“เอาเป็นว่าเมื่อดรากันยื่นจิตไมตรีแก่พวกเรา วันนั้นข้าจะเริ่มแผนต่อไป แต่ก่อนอื่น...” สีบุษราคัมเลื่อนมามองใบหน้าเหลอหลาของพ่อมดอีกคนที่อยู่ข้างกัน ดอริสเสียววาบไปทั่วแผ่นหลังพอนึกถึงเรื่องที่ยังต้องจัดการ “ไข่มังกรหายไปทั้งที ป่านนี้พวกผู้ใหญ่คงวิ่งวุ่นไปทั่วแน่แท้ ข้าต้องหาแพะรับบาปเสียก่อน” ถึงการขโมยไข่คราวนี้จะเป็นฝีมือของมิเกล หากคนที่วิตกกังวลที่สุดคงเป็นดอริส พ่อมดหนุ่มขอลากลับบ้านพักของตนโดยเร็ว
มิเกลทิ้งท้ายไว้ว่า “ใช้ชีวิตตอนนี้ให้เต็มที่ก่อนเถอะ”
เพราะเขาจะไม่ยอมให้ดอริสถอนตัวอย่างแน่นอน
ผู้นำตระกูลคนปัจจุบันผุดลุกขึ้นจากเตียง ตรงดิ่งไปยังห้องทำงานของพ่อที่เหลือทิ้งไว้ให้ เขาไม่ได้รื้อถอนอะไรออกไปเพียงปัดทำความสะอาดให้ดูน่าชมพร้อมใช้งาน เขานั่งอยู่เก้าอี้หนังมีราคา ก่อนประตูจะเปิดอ้าออกอีกครั้งเพื่อให้พ่อบ้านอย่างเซวานด์นำชามาเสิร์ฟ์ให้ถึงที่ ก่อนจะขอตัวลาออกไป พริบตาหนึ่ง ทั่วทั้งห้องกลับหยุดนิ่ง มิเกลลืมตามองก่อนพ่นลมหายใจออกทางจมูก เอ่ยขึ้นว่า
“ขอบคุณที่สละเวลามา ไรรย์” หญิงสาวใช้มือสางเส้นผมยาวขลับให้พ้นทาง ก่อนเลื่อนสายตามองเพื่อนชายที่ยังคงสงบนิ่งอยู่ นางยิ้มเยาะเล็กน้อยก่อนจะวางขวดโหลที่บรรจุสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กกำลังหลับไหลหารู้เรื่องราวด้านนอก “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะจำข้าได้อยู่ เมื่อสองปีที่แล้วเจ้ายังเกลียดขี้หน้าข้าอยู่เลยมิใช่รึ?”
เขาหัวเราะกับคำค่อนขอด “งั้นหรือ ข้าไม่คิดว่าเจ้าเป็นศัตรูสักหน่อย เรายังเป็นเพื่อนร่วมสถาบันกันอยู่นี่”
มือเรียวหยิบปากกาขนนกขึ้นมาหมุนเล่น พลางสังเกตทั่วห้องที่ฟุ้งด้วยไอคาถา หาใช่คาถาของมิเกลแต่อย่างใด มันเข้มข้นเสียจนมึนหัวขึ้นมาเสียดื้อ ๆ “ถูกต้อง! เจ้าไม่มีศัตรูหรอก เพียงเล็งเห็นผลพลอยได้จากบุคคลนั้น ๆ ต่างหากเล่า ข้าพูดจริงไหม? อ้อ เจ้าคงไม่อยากได้ยินคำค่อนขอดนี้จนโกรธขึ้นมาหรอกนะ เอาเป็นว่าของตอบแทน...ไม้ประดับในพิพิธภัณฑ์ฮีมาไทต์แล้วกัน”
มิเกล “...”
“มันไม่ใช่สิ่งของราคาแพงจนผู้ดีเก่าอย่างเจ้าจะจัดหาไม่ได้ใช่หรือไม่” เธอเงียบไปพักหนึ่งก่อนจุดรอยยิ้มที่มุมปาก “ข้ามอบวิธีดูแลทุกอย่างเสร็จสรรพแล้ว ที่เหลือก็แล้วแต่เจ้าเลยว่าจะทำอย่างไรกับแฟรี่ตัวน้อยนั่น แต่ว่า ข้าในฐานะผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องนี้อยากเตือนท่านเล็กน้อย ขืนเจ้าฆ่าแฟรี่เจ้าจะถูกขับไล่ออกจากฮีมาไทต์ ซ้ำยังถูกริบไม้กายสิทธิ์อีก เท่านี้เจ้าก็จบเห่ เข้าใจหรือไม่”
เขาหยิบขวดโหลจ้องมอง ภายในขวดโหลเป็นสวนขนาดย่อม สิ่งมีชีวิตเพียงหนึ่งเดียวมีใบหน้าจิ้มลิ้ม ปีกสองข้างพับเก็บลง ละอองสีเหลืองอร่ามกระจายอยู่เต็มก้นขวด เขาหลับตาลง คิดภาพของแฟรี่ที่ร่างกายถูกฉีกกระชากออก ร่างกายของมนุษย์จิ๋วถูกหั่นตัดเพื่อนำมาเป็นแหล่งเรียนรู้แหล่งใหม่ เขาสูดหายใจเข้าลึก ก่อนปล่อยไว้ที่เดิม
“ข้าไม่คิดทำร้ายนาง หรือเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์อื่นสักหน่อย เห็นข้าเป็นคนเช่นไรหรือไรรย์”
สีบุษราคัมพลันเปล่งประกายจนเธอหัวเราะเหอะในคอ ก่อนภาพตรงหน้าจะเลือนหายไป พื้นที่ที่ถูกมนตร์คาถาแช่แข็งกาลเวลากลับมาเดินอีกครั้ง เขาฟุบหน้าลงบนโต๊ะเอียงคอมองเจ้าแฟรี่...ก่อนจะดีดที่ขวดโหล่ เปล่ง เสียงกระทบกันเบา ๆ แต่ดังกึกก้องไปทั่วในหูของนาง แฟรี่ตัวน้อยปรือตาอยางขี้เซา จับจ้องผู้มาใหม่ด้วยความตระหนก
นางใช้มือทุบขวดโหลซ้ำ ๆ หากไม่เป็นผล
ก่อนจะร้องไห้งอแงจนเขาหลุดรอยยิ้มกว้าง ถึงจะเยือกเย็นแต่กลับดึงดูดสายตาของแฟรี่ได้เป็นอย่างดี
มิเกลเห็นว่าแฟรี่หยุดร้องไห้แล้วจึงค่อย ๆ นั่งหลังตรง ใช้แววตาหวานมองนางด้วยความเอ็นดู แม้ด้านในจะไร้ความรู้สึกก็ตามที
“เจ้ามีชื่อหรือไม่” ว่ากันว่าภาษาของแฟรี่เป็นเอกลักษณ์ หากไม่ได้การยอมรับหรือรู้หลักภาษาก็ไม่อาจฟังความออกได้ ผู้คนส่วนมากจะได้ยินแฟรี่ที่พูดเจื้อยแจ้วเป็นการร้องเพลง หากแฟรี่เบื้องหน้าต่างออกไป เพราะลุ่มหลงในรูปลักษณ์จึงลดกำแพงความหวาดกลัว...อีกเรื่องหนึ่งที่มิเกลรู้มาตลอด นั่นคือแฟรี่มักของสวยของงาม เขาเชื่อว่าในฮีมาไทต์ สีบุษราคัมที่ตนครอบครองงดงามกว่าใคร
ได้สืบทอดจากมารดาผู้เป็นที่รัก ก่อนท่านจะตายจาก หลงเหลือเศษเสี้ยวของนางเอาไว้
ไม่สิ—เขาหาใช่ผู้ครอบครองบุษราคัมที่งดงามที่สุด หากเป็นมารดาของเขาต่างหาก
“พีออน”
“ข้าชื่อพีออน แล้วเจ้าเล่า?”
“มิเกล อาร์เชอ”
“มิเกล...มิเกล อาร์เชอ”
แฟรี่ตัวน้อยทบทวนชื่อซ้ำไปซ้ำมาจนกระทั่งช้อนสายตามอง พวงแก้มขึ้นสีแดงระเรื่อยามสบกับสีอัสดง พ่อมดหนุ่มเรียกสมุดบันทึกของจาฟาออกมาอีกครั้ง คราวนี้พีออนดูสนใจกว่าเจ้าของตระกูลเสียอีก เขาเปิดไปดูหน้าที่เกี่ยวกับแฟรี่ มีเพลงของพวกนางอยู่เต็มไปหมด ซึ่งเขียนด้วยลายมือเป็นระเบียบเรียบร้อย มีการแปลภาษาของพวกนางให้เข้าใจง่ายขึ้น
“จาฟา ครูส พ่อมดตาสีชาด เจ้ารู้จักหรือไม่”
“จาฟา! จาฟา!”
“พ่อมดหายตัวไปเมื่อห้าปีก่อน ไม่พบวี่แววหรือร่องรอยการมีชีวิต มีเพียงสิ่งเดียวที่ยืนยันได้ว่าเขายังไม่สิ้นชีวาคือไม้กายสิทธิ์ด้ามนี้” เมื่อกล่าวจบ มิเกลเสกเอาไม้กายสิทธิ์รูปทรงมั่นคง มีเสียงเพลงคลอเคล้ากับความเย็นเยียบที่เกาะเอาไว้ พีออนมองด้วยแววตาลุกวาวก่อนจะร้องเพลงเสียงฉะฉานออกมา ถ้อยคำของแฟรี่เต็มไปด้วยเสียงดนตรี ที่คอยเย้ายวนให้ลุ่มหลง มิเกลหลับตาฟังจนจบก่อนจะเอ่ยชมไม่ขาดปาก
หากแต่พีออนไม่ตอบอะไรกลับมา เพียงฉีกยิ้มกว้างมองดูไม้กายสิทธิ์ดังเดิม
เขาถามอีกว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาอยู่ที่ไหน”
“...” พีออน
นางฉีกยิ้มกว้าง กะพริบตาปริบเสมือนฟังไม่รู้ความ เขาลองอีกครั้ง “ข้าอยากเจอเขา ต้องการช่วยเหลือเขาจากอยุติธรรมทั้งปวง” แต่แล้วพีออนกลับละความสนใจ เมื่อละอองของนางเพิ่มขึ้น มือน้อย ๆ จึงโกยเศษละอองก่อนปล่อยผงสีอร่ามให้ตกกระทบปีกสีขาวล้อแสงอาทิตย์ด้านนอก มิเกลเก็บสมุดบันทึกของจาฟา ต้องคิดหาวิธีชนะใจของแฟรี่ตัวน้อยเสียแล้ว
คณะครูมากมายต่างวิ่งวุ่นกันแต่เช้าตรู เพื่อตามหาเบาะแสการหายไปของไข่มังกรที่เพิ่งเก็บมาได้จากพื้นที่ใกล้เคียง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้การเรียนการสอนต้องพักเก็บเสียก่อน เหล่าพ่อมดแม่มดต่างเดินขวักไขว่หาที่พักผ่อน บ้างก็เข้าห้องสมุดเพื่อหาความรู้ใหม่ ๆ หรือสภานักเรียนที่ช่วยเหลือคณะครูอีกแรง จาฟาไม่ได้ยื่นมือเข้าไปช่วยแต่อย่างใด เขากล่าวปฏิเสธอย่างไร้น้ำใจว่า “นั่นหาใช่หน้าที่ของข้า” สภานักเรียนหน้าซีดเผือดก่อนเดินกลับกันให้ไว
ดอริสที่เดินตามต่างหันหลังไปมองผู้คนกลุ่มหนึ่ง ฝ่ายนั้นแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา
ซ้ำร้ายคนที่ได้ฟังคำนินทาระยะเผาขนก็คือเขา
“คิดว่าเป็นนักเรียนดีเด่นแล้วจะทำอะไรก็ได้งั้นรึ! เหอะ ข้าละอยากประลองกับเจ้านั่นเสียจริง”
“คนเป็นพ่อนิสียเสียเช่นไร คนลูกก็เป็นเช่นนั้น ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นมันจริง ๆ!”
“ดูแววตานั่นสิ จองหองซะไม่มี!!”
“เอาเถิด เรื่องแบบนี้ก็หาใช่ธุระของเขาด้วย ปล่อยให้มิเกลได้อ่านหนังสืออย่างที่เจ้าตัวชอบทำเถิด”
ดอริสหันคอแทบหลุดออกจากบ่า เพิ่งมีคนออกปากปกป้องเพื่อนเขาไม่ใช่หรืออย่างไร
แถมพ่อมดตนนั้นยังเป็นถึงหัวหน้าสภานักเรียน ที่เมื่อก่อนเคยเดินตามหลังมิเกลต้อย ๆ ดั่งลูกเป็ดก็มิปาน แต่พอมาวันนี้กลับยืนหยัดได้ด้วยตนเอง เขาก็นับถือใจอีกฝ่ายไม่น้อย...แต่ความรู้สึกเทิดทูนมิเกลจนล้นปรี่นั้นก็ไม่น่าวางใจนัก ต้องคอยจับตาดูไว้ก่อนจะดีกว่า
“เจ้าทำได้อย่างไร?” ดอริสก้าวขึ้นมาเดินข้างกัน พลางกระซิบกับชายร่างสูงที่มีจุดหมายคือพิพิธภัณฑ์กลางเมือง ซึ่งเพื่อนคนสนิทอย่างเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุใดมิเกลถึงอยากเข้าชมที่นั่นนัก ตลอดห้าปีที่เข้าเรียนในสถาบัน พิพิธภัณฑ์นับเป็นที่ที่พวกเขาเหล่าพ่อมดแม่มดเข้าออกบ่อยที่สุดก็ว่าได้ ชิ้นส่วนอดีต โบราณสถาน ไม้กายสิทธิ์ของผู้ปกครองฮีมาไทต์คนแรกหรือจะเป็น...กรอบรูปขนาดใหญ่ที่วาดภาพเสมือนของจาฟา ครูสเอาไว้
ไม่ผิดแน่!
“เรื่องอะไรหรือ” มิเกลเลิกคิ้วถาม ก่อนเปลี่ยนทิศทางการเดิน ย่ำเท้าเร็ว ๆ ไปด้านในจุดหมาย ปกติสถานที่นี้จะสามารถเข้าออกได้ในวันธรรมดาโดยเวลาแปดโมงครึ่งถึงสี่โมงเย็น ส่วนวันหยุดสองวันจะเปิดเร็วขึ้นหน่อยเพื่อรองรับพ่อมดแม่มดให้ได้มากที่สุด “เจ้าขโมยไข่ออกมาโดยไม่มีใครจับได้ไง”
“อ้อ...ง่ายนิดเดียว” เพราะเขายืมมือคนอื่นอีกทีต่างหาก มิเกลไม่กล่าวเรื่องนั้นออกไปเพียงก้าวเดินนำหน้า ก่อนจะหยุดลงที่รูปภาพขนาดใหญ่ไม่อาจละสายตาไปได้ ใบหน้าเรียบนิ่งเฉยเมยต่อทุกสิ่งบนโลกใบนี้ เนตรสีทับทิมประกอบกับหยดน้ำอันเป็นต่างหูสองข้างเข้ากันอย่าลงตัว ริมฝีปากชมพูระเรื่อน่าชวนชม
จาฟา ครูส
ชายที่เขาลุ่มหลงอย่างสุดหัวใจ
“คิดว่าอาจารย์และคระครูในสถาบันนี้มีคนของตระกูลอาร์เชอมากน้อยแค่ไหนกันเชียวละ” ญาติห่าง ๆ ของเขามากมายเหลือคณาที่ทุ่มกับการทดลอง เสาะหาความรู้กับสิ่งต่าง ๆ หลงใหลในความรู้และเทิดทูนในวิชาการ แปรเปลี่ยนมันไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นความหมกมุ่น “ข้าไม่คิดว่าญาติของเจ้าจะยอมร่วมมือง่ายดายนัก ดะ...เดี๋ยว! เจ้าจะทำอะไรเนี่ย?!”
“ชู่ เดี๋ยวพ่อมดด้านนอกก็เข้ามาหรอก”
การเข้าถึงรูปภาพของจาฟา ครูสไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ก็ใช่เรื่องยาก หากพอมีเส้นสายและมาจากวงตระกูลที่มีชื่อเสียงหน่อยก็สามารถเข้ามาชื่นชมได้อย่างเพลินจิตร และเขาก็ไม่ต้องการให้ผู้อื่นได้ชื่นชมจาฟาของเขาเสียหน่อย แต่กระนั้นการถอดถอนรูปภาพก็เป็นเรื่องใหญ่หลวง หากลงมืออย่างอุกอาจจะสาวถึงตัวได้ง่าย วันนี้เขาต้องการเพียงไม้ประดับ ผลงานอันเลื่องชื่อของจาฟา ครูสก็เท่านั้น
“ไม่ต้องห่วง ข้าเตรียมของมาให้แล้ว”
“นั่นมัน...ไม้ประดับของก๊อปเกรด A งั้นรึ? นี่เจ้าลงทุนทำเองเลยหรือ”
เขาจัดแต่งให้สวยงามดังเดิม แล้วเอาของปลอมเก็บเอาไว้เพื่อจะนำไปส่งมอบแก่เพื่อนรัก ผู้มีผลประโยชน์ร่วมกัน
วันหลังคงต้องใช้หล่อนมาขโมยรูปของจาฟาแล้วกระมัง
“ไม่ต้องห่วงเรื่องการถูกจับ ข้าลงคาถาไว้ตั้งแต่ก้าวเข้ามาที่นี่ ทุกการเคลื่อนไหวของข้าจะถูกบิดเบือนให้คล้ายกับผู้ชมทั่ว ๆ ไปเท่านั้น” ดอริสอยากแจ้งจับเพื่อนตัวเองซะตอนนี้ เหตุใดผู้นำตระกูลเก่าแก่ถึงต้องมาขโมยไม้ประดับออกไปด้วย หากจะซื้อก็คงเป็นเรื่องง่ายยิ่งกว่ากะพริบตามิใช่หรือ ดอริสไม่เข้าใจพวกคนรวยเหล่านี้จริง ๆ แต่ก็ขัดอะไรไม่ได้นัก ในความรู้สึกของเขาไม้ประดับนั่นคงต้องเกี่ยวโยงกับไข่มังกรดรากัน หรือเป็นหนึ่งในแผนการของมิเกลแน่ ๆ
“เอาละ ได้เวลากลับไปอ่านหนังสือกันแล้ว”
การเรียนไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นไปกว่าสองวิชาคือศาสตร์การปรุงยาและการประลองที่ใครหลาย ๆ คนอยากจะระเบิดพลังกันออกมา พ่อมดทั้งสองในคาบวิชาปรุงยาที่ต้องเรียนรวมกันได้จับกลุ่มสามคน เนื่องจากเพื่อนเพื่อนรักอย่างไรรย์ยังถูกพักการเรียนอยู่จึงเป็นเหตุให้จับคู่กับอารี หัวหน้าสภานักเรียนที่ปกป้องเพื่อนเขานั่นเอง มิเกลเห็นว่าการลากอารีเข้ากลุ่มไม่มีปัญหาจึงเริ่มลงมือปรุงยาโดยมีลูกมือคือดอริสที่ยืนกั้นตรงกลางระหว่างทั้งสองเอาไว้
ดอริสเชื่อในสัญชาตญาณของตนเองว่าอีกฝ่ายเข้าหาเพื่อนเขาด้วยความวิกลจริตเป็นแน่
แต่จะให้ตัดสินกันตั้งแต่เนิ่น ๆ นั่นก็หาใช่พ่อมดที่ควรจะเป็นอีก
“น้ำยาแปลงกลายรึ” อาจารย์อีรีออนหยิบขวดบรรจุน้ำยาขึ้นมา สีม่วงสว่างไสวดูไม่น่ารับประทานนัก หากเมื่อทดลองเสร็จสิ้นก็ถึงคราวการทดสอบประสิทธิภาพแล้ว “พวกเราใครจะดื่มกันละ” ดอริสกล่าวด้วยน้ำเสียงประหม่า พยายามหดตัวให้เล็กลีบที่สุดเพื่อจะไม่ต้องโดนจิ้ม แม้เขาจะมั่นว่าสามารถถอนพลังของน้ำยาหลาย ๆ ของพ่อมดแม่มดได้ แต่ก็ไม่อยากเสี่ยงตายกินน้ำยาของมิเกลเสียหน่อย
พ่อมดตนนี้ไม่เคยใส่สัดส่วนแบบพ่อมดปกติสักหน!
“ข้าเอง ข้าจะดื่มเอง” เขากะพริบตาปริบ ๆ พลางเงยหน้าช้อนมองคนตัวโตกว่าอย่างอารี ชายผมดำสนิทมีดวงหน้าละมุนละม่อน ยามฉีกยิ้มดวงตาจะกลายเป็นเสี้ยวพระจันทร์น่าชม มิเกลพยักหน้าก่อนส่งน้ำยาแปลงกายใส่มือ อีกฝ่ายรับมาด้วยความมั่นใจ ก่อนกลุ่มของเขาจะถูกจับตามองในทันที
ในคาบเรียนปรุงยา ไม่มีใครอยากดื่มน้ำยาของตนเองเสียหน่อย
มีคนใจกล้าอย่างพวกนักกีฬากระมังที่อยากหาความท้าทาย
น้ำยาสีม่วงตุ่นมีประกายแวววับไหลลงคออย่างง่ายดาย ไม่นานเกินรอร่างของอารีค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นสัตว์หน้าขน แมวดำขนาดตัวใหญ่กว่าปกติกระโดดขึ้นโต๊ะก่อนเอียงคอมองเหล่าพ่อมดวัยเยาว์ทั้งหลายแหล่ แม้แต่มิเกลก็ถึงกลับยกยิ้มออกมา อาร์เชอใช้มือลูบไปตามส่วนต่าง ๆ จับใบหูสามเหลี่ยมก่อนลูบหางดำยาว “สมบูรณ์...สมบูรณ์แบบไปเลย”
เขาพึมพำด้วยความปีติ
“เอ่อ อารี เจ้าลองพูดหน่อยได้ไหม ข้าว่าสัดส่วนของยานี่มันแปลกเกินไป” ดอริสท้วงขึ้น ก่อนอารีจะพยักหน้า ค่อย ๆ อ้าปากส่งเสียงพูดออกมา “ข้ายัง พูดได้ปกติ” แม้จะมีน้ำเสียงมีเล็กแหลมขึ้นมาหน่อยก็ไม่ทำให้ภาพลักษณ์ของหัวหน้าสภานักเรียนหนุ่มจะหม่นหมอง กลับดึงดูดพ่อมดแม่มดคนอื่นเข้ามาพูดคุย โต๊ะปรุงยาของพวกเขาทั้งสามถูกรายล้อมด้วยนักศึกษาขั้นพื้นฐานไปหมด
มิเกลก้าวถอยหลังเพื่อหลบหนีความวุ่นวาย เขาเสกกระดาษอันเล็กจดบางอย่างลงไป
ก่อนเหลือบมองดอริสที่จ้องหน้าเขาคล้ายเห็นวิญญาณเดินได้
“มีอะไรงั้นหรือ?” เขาเก็บกระดาษกับปากกาขนนก “พรุ่งนี้มีการประลองในคาบ คาดว่าข้าน่าจะแพ้อีกเช่นเคย เฮ้อ...อยากจะหนีกลับบ้านเสียจริง ๆ”
ทุกสามเดือนจะมีการวัดประสิทธิภาพของเหล่าพ่อมดแม่เรื่องคาถาอาคม การร่ายเวท หรือการสอบเก็บคะแนนก็มี เป็นที่น่ากังวลไม่น้อยสำหรับพ่อมดที่ไม่ถนัดทางด้านนี้แต่มักชอบเนื้อหาวิชาการมากกว่า มิเกลยิ้มกับคำตอบของเพื่อนสนิท เก็บเอายาแปลงกายหนึ่งขวดไว้กับตนแล้วยื่นอีกขวดให้ดอริส สีเงินสบกับสีบุษราคัมก็ต้องเลิกคิ้ว
มีแผนอีกแล้วรึ? ดอริสคิด ก่อนรับมาอย่างเก้ ๆ กัง ๆ
มิเกลจับไหล่ของอีกฝ่าย โน้มหน้าลงกระซิบใกล้ใบหู “ข้าเชื่อว่าเจ้าทำได้ เข้าใจไหม...เจ้าแมวขโมยดอริส”
“อา ข้าอยากตาย...ข้าอยากตายจริง ๆ มิเกล”