จะกล่าวถึงหน้าประวัติศาสตร์โลกเวทมนตร์ชื่อของ 'จาฟา ครูส' เป็นชื่อที่ทุกคนต้องได้ยินเสมอ แต่เหตุการณ์เมื่อห้าปีก่อนทำให้ตัวตนของเขาหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์
ชาย-ชาย,แฟนตาซี,ตลก,ย้อนยุค,ไทย,จาฟาไม่อยากเป็นพ่อมด,ลึกลับ,นิยายแฟนตาซี,คำสาป,เวทมนตร์,แฟนตาซีน,พ่อมด,BL,ผจญภัย,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
พ่อมดในตำนานคนนั้นเป็นแค่คนตกงาน #จาฟาไม่อยากเป็นพ่อมดจะกล่าวถึงหน้าประวัติศาสตร์โลกเวทมนตร์ชื่อของ 'จาฟา ครูส' เป็นชื่อที่ทุกคนต้องได้ยินเสมอ แต่เหตุการณ์เมื่อห้าปีก่อนทำให้ตัวตนของเขาหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์
#จาฟาไม่อยากเป็นพ่อมด
มิเกล อาร์เอชได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลหลังจากที่บิดาของตนเสียชีวิตลงอย่างปริศนา
ห้องทำงานที่เคยถูกลงกลอนถูกเปิดออก ภาพของพ่อมดในตำนานที่เคียงข้างเขาในวัยเยาว์
การสิ้นชีวาของแม่มดสาวผู้มีความสัมพันธ์ลับ ๆ กับเขา
'จาฟา ครูส'
การดำดิ่งสู่เพนทาเคิล สมาคมพ่อมดที่ปกครองพ่อมดทั้งปวงในฮีมาไทต์
คำเตือน: การฆ่า/การใช้ความรุนแรง/การพยายามฆ่า/ฆ่าตัวตาย/สังหารหมู่/พฤติกรรมน่ารังเกียจ/การทารุณกรรมเด็ก/การทารุณกรรมทางด้านจิตใจ/ลิทธิ/ความเชื่อ ศาสนา
เวอร์ชั่นที่เผยแพร่ยังไม่ได้ตรวจสอบคำผิดอย่างละเอียด
ป.ล.การลงนิยายอาจจะไม่ถี่หรือไม่ค่อยมีเวลามากนัก เนื่องจากนักเขียนอยู่ในช่วงวัยเรียน ภาระงานจากโรงเรียนเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ อีกทั้งนักเขียนเรียนเกี่ยวกับแพทย์ อาจทำให้มีเวลาทางด้านนี้น้อยลงอีกด้วย
ต้องขอบคุณนักอ่านทุกท่านด้วยนะคะ
อยากเขียนแฟนตาซีขึ้นมา และคิดว่าแนวพ่อมดแม่มดนี่แหละเหมาะแก่การทดลองเขียนสุด ๆ ในโลกสมมตินี้จะพาคุณไปท่องยังเมืองต่าง ๆ สมาคมและสมาพันธ์ มีความเชื่อศาสนาและลัทธิต่าง ๆ เป็นเรื่องสมมุติ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยนะครับ
ห้องอาหารเงียบสงัดไร้แว่วเสียงของการมีชีวิต พ่อมดหนุ่มอดตั้งตารอกับแขกคนสำคัญไว้ไม่อยู่ เขาไม่แตะอาหารบนโต๊ะแม้แต่น้อย แต่การรอคอยช่างยาวนานกินเวลาเหลือเกิน เรียวนิ้วเคาะลงบนโต๊ะเป็นการฆ่าเวลา เขาควรทักทายนางด้วยประโยคแรกว่าอย่างไรดี สายัณห์สวัสดิ์? เป็นอย่างไรบ้าง? ชอบที่นี่หรือไม่?
“โอ้ ยินดีที่ได้พบอีกครั้ง สายัณห์สวัสดิ์” หัวใจของเขาแทบกลิ้งกระดอนออกจากอกเมื่อเห็นคนที่รอคอยย่ำเท้ามายังโต๊ะอาหาร ใบหน้าของนางยังคงเรียบนิ่งไม่ต่างจากวันแรกที่พบเจอกัน หากดูเหมือนมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย แววตาสีเลือดคล้ายพบเจอกับกระแสคลื่นน้ำขนาดใหญ่ เขาคิด…หรือนางอาจไม่ชอบที่นี่
ทันทีที่ฮิมนั่งลงบนเก้าอี้ บทสนทนาก็เริ่มต้นขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ดรากันติดต่อกับเจ้าทางไหนเหรอ?”
“ดวงไฟ”
“เจ้าใช้พลังของเขาได้หรือไม่”
“ได้”
“เจ้ามีวิธีใช้มันหรือไม่”
“...” ฮิมเงยหน้ามอง
“ข้าตื่นเต้นมากที่ได้ใช้พลังอันยิ่งใหญ่แบบนี้”
“วันที่เจ้าขาดสติ พลังของดรากันจะกลืนกินเจ้า ข้าคงบอกได้แค่นี้ ส่วนการรีดใช้ก็เหมือนเวทมนตร์คาถาของพ่อมดทั่ว ๆ ไปเพียงแค่ไม่มีตัวกลางในการเรียกใช้เท่านั้น” ฮิมยกมือขึ้น นางกางนิ้วออก เขามองตาม “พลังจะหลั่งไหลจากช่วงอก เวียนว่ายในร่างกายก่อนจะพรั่งพรูออกมาผ่านปลายนิ้ว”
ดวงไฟสีดำจุดขึ้นที่นิ้วชี้ “เพียงจินตนาการ ทุกอย่างก็สามารถเกิดขึ้นได้ ในโลกแห่งเวทมนตร์เช่นนี้แล้ว” ทั่วฝ่ามือของอีกฝ่ายค่อย ๆ กลายเป็นสีดำอย่างเชื่องช้า กลืนกินฝ่ามือ ข้อมือไปจนถึงข้อพับแขน เส้นเลือดใต้ผิวหนังนูนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด มีสีเหลืองทองชวนมอง
“นี่มันอะไร...”
“ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับข้า แต่กับเจ้าก็คงไม่มีหรอก”
“ทำ…ทำไมละ?” เขาไม่เข้าใจ “ไว้ถึงเวลาที่เหมาะสมข้าจะบอกเจ้าเอง”
อาหารเย็นวันนั้นตรึงอยู่ในอกของมิเกล ภายในห้องนอนของเขา ฝ่ามือของมิเกลยกขึ้น เขาใข้สมองเค้นความต้องการ เขาอยากได้แสงสว่างเล็ก ๆ พริบตาเดียวช่วงอกของเขาก็ร้อนฉ่าขึ้นมา มืออีกข้างหนึ่งยกขึ้นกุมเอาไว้ก่อนความร้อนจะไหลเวียนไปยังแขนขา สมอง กระดูกสันหลังและปลายนิ้ว พรึบ! พริบตาเดียว แสงไฟสีดำทมิฬก็ปรากฏขึ้น สิ่งนี้คงเป็นประโยชน์เมื่อเขาถูกริบไม้กายสิทธิ์
ในตอนเช้า การแข่งขันเริ่มต้นอย่างรวดเร็ว เป็นการศึกษาด้านดรากันโดยอาศัยความรู้เชิงลึก คนที่เข้าแข่งขันในครานี้เป็นศาสตราจารย์ลอว์เลนผู้ที่สอนพวกเขาในคาบเรียนนั่นละ เธอดูสง่างามในชุดเครื่องแบบโดยมีหมวกทรงสูงครอบทับเอาไว้ นักวิชาการส่วนใหญ่ก็หันมาสนใจเรื่องของเผ่าพันธุ์มังกรบ้างแล้ว เมื่อหลายทศวรรษที่ผ่านมาไร้วี่แววว่ามังกรจะรุกรานทวีปนี้ จึงได้ออกศึกษาเรียนรู้เพื่อหาแนวป้องกันร่วมกัน
ความเจ้าเล่ห์ของเพนทาเคิลคิดจะใช้ตรงจุดนั้นเพื่อให้ผลประโยชน์เสียมากกว่า
“ตื่นเต้นเป็นบ้า ถ้าทุกคนได้รู้สูตรยาใหม่แล้วละก็ข้าคงเป็นที่โด่งดัง ได้ลงหนังสือพิมพ์ฉบับใหม่แน่ ๆ!”
ดอริสกระปี้กระเป่าขึ้นมาหลังจากเมื่อวันก่อนที่มีผู้หญิงยื่นสูตรยาบางอย่างมาให้ โดยที่หญิงแปลกหน้าคนนั้นก็คือฮิม แขกของบ้านเขาเองละ มิเกลอยากรู้เช่นเดียวกันว่าเธอจะมอบสูตรยาอะไรให้เพื่อนของเขา แต่ดูจากวัตถุดิบที่ดอริสใช้แล้วก็ไม่น่าจะมีปัญหาเท่าไร ดูไม่อันตรายนัก
แต่คนของดรากันจะต้องระวังมากขึ้นเป็นพิเศษหน่อย
เขายังจำที่ตัวเองทรุดลงเพราะดื่มยาที่เธอมอบให้ได้อยู่เลย
“เป็นการแข่งขันเดี่ยวครั้งแรกของเจ้าด้วยมิใช่หรือ คงตื่นเต้นน่าดู” อาร์คคงอยากให้การแข่งขันทั้งหมดจบลงในวันนี้หากแต่คงเป็นไปไม่ได้ เขาเข้าใจความรู้สึกคนที่อยากจะปลดปล่อยสิ่งที่อัดอั้นมานานอยู่เหมือนกัน งานประลองครานี้เห็นทีจะได้ลงแรงเต็มที่เสียแล้ว “ใช่! แต่ข้าจะไม่ลืมเรื่องการประลองแน่ ๆ ถึงจะช่วยอะไรไม่ได้มากเท่าไร แต่การสกัดเวทมนตร์ ข้าว่าข้าเก่งที่สุดแล้ว” ว่าจบอีกฝ่ายฉีกยิ้มเห็นฟันขาว อาร์คยิ้มเงียบ ๆ ก่อนผินสายตาไปทางอื่น
เป็นจังหวะเดียวกันที่การแข่งขันปรุงยาเริ่มขึ้น ดอริสก้าวขึ้นไปบนเวทีที่มีโต๊ะของตัวเองรอเอาไว้ เขาวางวัตถุดิบอุปกรณ์ทุกอย่างเอาไว้ก่อนสูดหายใจเข้าลึก ๆ เมื่อกวาดสายตามองรอบข้าง ผู้คนจากฮีมาไทต์กับอพันโพโทปกำลังจ้องมองทางเขาอยู่ ใจลึก ๆ แล้วเขาชื่นชอบศาสตร์การปรุงยามาแต่ไหนแต่ไร
ไม่ใช่เพราะหลงใหล หรือชอบมัน
แต่นั่นคือสิ่งเดียวที่เขาทำได้ดีต่างหาก
ณ ตอนนี้เขาก็ชอบมันมากขึ้น ชอบจนถอนตัวไปไหนไม่ได้ เขาไม่เคยอยากเป็นเจ้าหน้าที่ในเพนทาเคิล ไม่อยากเป็นเจ้าหน้าที่สืบสวน แค่การได้ใช้ชีวิตอยู่กับสิ่งที่ตัวทำได้และชอบทำไปตลอดชีวิต...เขาคงฝันอยู่แน่ ๆ ดอริสมองมือสั่นเทาของตนเอง เขาไม่อาจเลี่ยงความประหม่าไปได้
มือไม้เยียบเยียบ เมื่อสบสายตากับอมนุษย์ตรงข้าม
เขายิ้มให้ด้วยความเป็นมิตร อีกฝ่ายไม่ยิ้มตอบเพียงหันกลับไปตั้งใจกับการแข่งขัน
เขาโขลกใบสมุนไพร ก่อนโยนลงหม้อขนาดใหญ่ที่เคยอยู่ในห้องเรียนคาบปรุงยา เขาดึงสรรพคุณต่าง ๆ นานาที่หญิงสาวคนนั้นเขียนใส่ในกระดาษ โดยการแข่งขันคราวนี้ห้ามนำกระดาษที่เอาไว้จดส่วนผสม ซึ่งเขาค่อนข้างรู้สึกเป็นกังวลอยู่หน่อยเพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถจำได้ทั้งหมด หากสูตรยานั่นมีความซับซ้อนละ แปลว่าผู้เข้าแข่งขันจะไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นนักปรุงยางั้นหรือ
เขาได้แต่ถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย
ใช้ไม้พายเคี่ยวน้ำสีฟ้าประกายมุขอย่างใจเย็น ต้องควบคุมอุณหภูมิของน้ำ ต้องไม่ให้น้ำยาสัมผัสกับอากาศมากเกินไป เขาจึงหาสิ่งของมาปิด “เรียบร้อย” ต้องเคี่ยวเอาไว้นานถึงสิบนาที นั่นอาจเป็นเวลาที่เร็วกว่ายาทั่ว ๆ ไป โดยปกติแล้วการปรุงยาหนึ่งขวดใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงขึ้นไป ทีแรกเขาก็ไม่ไว้ใจยานี่นักหรอกแต่เมื่อพอลองดื่มแล้ว คงมีประโยชน์กับพ่อมดแม่มดหลาย ๆ คนเช่นเดียวกับเขา
เมื่อไม่มีสิ่งใดที่ต้องทำนอกจากการรอแล้วเขาจึงลอบสังเกตทั่ว ๆ เวที มีอมนุษย์ที่ส่วนหัวของเป็นปลา กำลังทำนำยาที่เขียว คาดว่าน่าจะเป็นพวกการเติบโตของพืชพรรณ ถัดไปอีกคือชายร่างบึกบึนมีส่วนหางโผล่ออกมาคล้ายกับพวกสัตว์น้ำ...จระเข้กระมัง เขาว่าอีกฝ่ายน่าจะชอบอะไรที่ทรงพลังมากแน่ กลิ่นสมุนไพรถึงได้ลอยมาไกลถึงนี้ จากกลิ่นฉุนเช่นนี้แล้ว คงจะเกี่ยวกับการเสริมพลังกาย ดอริสหันกลับมามองที่หม้อขนาดใหญ่
กลิ่นน้ำทะเลอ่อน ๆ ทำให้เขานึกสงสัยว่าจะเป็นเกี่ยวกับน้ำยาหายใจใต้น้ำหรือไม่ ทั้งยังมีการใส่เกลือลงไปในสูตรอีกด้วย เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ เปิดฝามองดูน้ำสีฟ้าประกายมุขดูคล้ายลูกปัด ดอริสตักขึ้นมาบรรจุในขวดอย่างคล่องแคล่ว ตามที่กระดาษเขียนไว้ น้ำยาตัวนี้ไม่ควรจะถูกอากาศมากเกินไปดัง มิเช่นนั้นจะระเหยไปกับมวลสายลม
เมื่อการบรรจุสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ก็มาถึงขั้นตอนการทดลองแล้ว
ผู้ตัดสินครานี้มาจากเอนเซลาดัสและพรีโฟติน่า คณะศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญหยิบขวดของเขาขึ้นมาพินิจก่อนจะเปิดฝาขึ้นดื่ม ดอริสที่ไม่ได้เตรียมตัวกับอะไรมาก่อนจึงลุ้นระทึกมากกว่าเดิม หากศาสตราจารย์ถามคำถามที่เขาไม่รู้ละก็…เส้นทางการเป็นนักปรุงยามือฉมังของดอริสก็จะหายลับไปกับตา
เพน อาจารย์ศาสตร์การปรุงยาเหลือบมองเขา ก่อนจะจดความรู้สึกแรกเริ่มลงในกระดาษ
“ถึงแม้น้ำยาตัวนี้จะไม่มีกลิ่นแรงเหมือนสมุนไพรที่พบได้ตามท้องตลาด กลับมีกลิ่นเจือจางของเกลือและน้ำทะเล รสชาติคล้ายน้ำแอปเปิ้ลทำให้ง่ายต่อการดื่ม พอจะรู้สรรพคุณของยาขวดนี้หรือไม่” ดอริสเหงื่อตก อยากสารภาพไปตามตรงเลยว่า เขาไม่รู้อะไรเลย! แม้แต่สูตรที่ทำก็ได้มาจากหญิงสาวนางหนึ่งซึ่งอยู่ในเพนทาเคิลด้วยกัน เขาปาดเหงื่อ ยามจ้องมองดวงตาสีดำปีกกาก็รับรู้ถึงแรงกดดัน
ศาสตราจารย์คงคาดหวังกับเขาไม่น้อย
ดอริสยืนตรง เงยหน้าขึ้นเพื่อตามหาความมั่นใจของตนเอง “แม้จะเป็นเพียงน้ำยาที่ช่วยเหล่าพ่อมดแม่มด แต่สรรพคุณที่ข้าทราบนั่นคือการช่วยกระตุ้นประสาทสัมผัสทั้งห้ารวมไปถึงการดึงพลังจากธรรมชาติให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น พ่อมดแม่มดส่วนใหญ่จะสามารถดึงพลังงานจากธรรมชาติมาใช้ได้เพียง สามในหกเท่านั้น แต่ตัวยาตัวนี้สามารถช่วยให้พวกเราข้ามขั้นไปถึงระดับห้า”
เพนพยักหน้า “ยินที่ได้เห็นเจ้าปรุงน้ำยาอีกครั้ง”
เขายิ้มตอบ “เป็นเกียรติอย่างยิ่งเช่นกันขอรับ”
...
เขาก้าวลงจากเวทีก่อนร่างจะซวยเซล้มแหล่ไม่ล้มแหล่ ได้อาร์คเข้ามาประคองเอาไว้เสียก่อน อีกฝ่ายส่งยิ้มจางให้เพื่อนสนิทที่คอยรับชมโดยไม่ละสายตา มิเกลเอ่ยปากชมด้วยสัตย์จริง “เจ้าทำได้ดีกว่าที่ข้าคิดไว้มาก ไม่เสียแรงที่จะเป็นอันดับหนึ่งในด้านการปรุงยา ต่อจากนี้ตระกูลของข้าคงต้องรักษาเจ้าไว้อย่างดีแล้วละ”
“ไม่ขนาดนั้นหรอกน่า เอเฮะ...”
“ต้องรออีกกี่ชั่วโมงถึงลำดับจะปรากฏขึ้นนะ” มาเดลินว่า
อาร์เชอ “การแข่งขันแบ่งออกเป็นหลายสาขา คงต้องใช้เวลาอีกมากโข ระหว่างนี้ไปที่—”
“อาร์เชอ!! มิเกล อาร์เชอ!!” เสียงของใครสักคนเอ่ยเรียกเขา เจ้าของนามหันไปมองอย่างรวดเร็ว พบว่าหญิงสาวมีสีหน้าร้อนรน การปรากฏตัวอย่างฉุกละหุกเช่นนี้ทำให้เขาก้าวออกมาด้านหน้าอย่างรวดเร็ว เขาพินิจอยู่ครู่หนึ่งก่อนสันนิษฐานว่านางอาจเป็นหนึ่งในญาติพี่น้องวงตระกูลของเขาก็เป็นได้ “ท่านเซวานด์!...ท่านเซวานด์ถูกลอบทำร้าย!!”
นัยน์แววตาของอีกฝ่ายเบิกกว้างออก สีบุษราคัมมืดครึ้มไปอีกหลายส่วน “นำทาง”
“มิเกล! ให้ข้าไปด้วยดีไหม...” ดอริสถามอย่างร้อนรน แลมองหญิงสาวเบื้องหน้าก่อนดึงสายตากลับมาที่เพื่อนสนิทอีกหน “ไม่เป็นไร หากเจ้าไม่อยู่การประลองครั้งนี้พวกเราจะเสียเปรียบเอาได้” เขาหมุนตัว กล่าวว่า “ข้าจะกลับมาให้ทันก่อนงานประลองจะเริ่มขึ้น ข้าสาบาน” คำกล่าวเป็นดั่งวาจาสิทธิ์ ไม่มีใครค้านหากอีกฝ่ายจะไป จาฟาก้าวเท้าเร็ว ๆ รีบวิ่งกับนาง หญิงสาวเบื้องหน้าเอ่ยแนะนำตนว่า “ข้าอาบิเกล เป็นตระกูลสายรองลำดับที่สาม ได้ทราบข่าวมาจากท่านเดนเบิร์กอีกทีว่ามีการลอบทำร้ายท่านเซวานด์ที่คฤหาสน์” นางละล่ำละลักเล็กน้อย
“ว่าต่อสิ” เขาเอ่ยอย่างราบเรียบ ในอกร้อนรนยิ่งกว่าอะไรดี “ท่าน...อาร์เชอ ข้าขอโทษที่รักษาสิ่งที่ท่านปกป้องเอาไว้ไม่ได้” จนกระทั่งปลายเท้าของเขาหยุดอยู่ที่หน้าคฤหาสน์ ทั่วทั้งร่างชาหนึบไปหมด เสสายตากวาดมองรอบด้าน พ่อมดแม่มดข้างเคียงต่างช่วยกันดับไฟที่ลุกโชติเป็นช่วง ๆ เพลิงเหล่านั้นคล้ายกับดรากันมาก หากสิ่งที่อยู่ด้านในของเขากลับบอกว่ามันต่างกันราวฟ้ากับเหว
แม้จะดำทมิฬ แต่ฤทธิ์เดชกลับไม่เสถียรแม้แต่น้อย
หูของมิเกลอื้ออึงได้ยินเพียงเสียงกรีดร้องของแม่มดที่หวาดกลัวเปลวเพลิง
“มิ—เกล—ท่าน—เกล”
บ้านของเขา บ้านของพ่อกับแม่ บ้านของเซวานด์...
กรอบรูปนั่น
ภาพวาดที่อยู่ในห้องทำงาน
เอกสารมากมาย
เขาต้อง—
“ท่านมิเกล!!!!”
“ข้าจะเข้าไปด้านใน รีบติดต่อทางการให้ตรวจสอบเรื่องนี้โดยเร็ว” คาดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตระกูลของเขาย่อมต้องเป็นฝีมือของเขาเหล่าเพนทาเคิล ตั้งแต่การมาถึงของเดนเบิร์ก และวันนี้ เอเดอร์ยังมาปรากฏตัวให้เขาเห็นได้ง่าย ๆ กำลังประกาศอำนาจของตนอยู่หรืออย่างไร จาฟาวิ่งเข้าไปในเปลวเพลิงท่ามกลางเสียงตะโกนของอาบิเกล นางพยายามรั้งพ่อมดหนุ่มแต่ก็ทำได้เพียงยืนบื้ออย่างนั้น
“รีบดับไฟเร็วเข้า”
“รับทราบ!” เธอกล่าวแม้เสียงนั้นจะไม่คุ้นหูเลยก็ตาม
น่าแปลกใจที่ห้องทำงานของเขาไม่ถูกเพลิงโลมเลียไป มีเพียงส่วนของเอกสารที่ไม่สำคัญเท่านั้นที่กลืนหายไปกับกองไฟ เขาจัดการหอบเอาทุกอย่างเข้ากระเป๋าก่อนจะเคลื่อนย้ายไปด้านนอก ชายหนุ่มทรุดตัวลงด้วยความวิงเวียน ควันพวกนี้ทำให้ประสาทการมองเห็นถูกโจมตีไปด้วย มือเรียวรีบเลื่อนลิ้นชักออกมาเปิดดู เขาหยิบหนังสือและกรอบรูปแตกระแหงออกมา ยังเหลือรูปของตระกูลที่จะให้ใครพรากเอาไปไม่ได้
วินาทีนั้นมิเกลทำได้เพียงพาร่างกายของตนไปยังบันได สิ่งแรกที่เขาเห็นคือกรอบรูปขนาดใหญ่ที่ค่อย ๆ ถูกไฟโลมเลียอย่างเชื่องช้า ชายหนุ่มรีบกระโจนตัวปยังรูปนั้นโดยเร็ว เขาไม่ยอมปล่อยให้ภาพขนาดใหญ่ถูกเผาไปต่อหน้าต่อตาเป็นแน่ เมื่อสองมือได้โอบกอดกรอบรูปขนาดใหญ่มาแล้วจึงเหลือเพียงแค่วิ่งออกจากคฤหาสน์ให้เร็วที่สุดแล้วก็พอ เมื่อคิดได้ดังนั้นพ่อมดหนุ่มจึงหันสายตาไปมองยังประตู ที่ถูกไฟสีดำสนิทกลืนกินไปหมด
มิเกลวิ่งกลับไปยังห้องทำงาน...หน้าต่างที่เหลืออยู่คงจะเป็นทางออกเดียวของที่นี่เป็นแน่
แม้นึกอยากจะย้อนกลับไปดูห้องของส่วนอื่น ๆ อีกก็ตาม แต่ไม่มีเวลามากมายขนาดนั้น
เขากระโดดลอดหน้าต่างออกไป กระจกบางส่วนทิ่มแทงใส่แขนและช่วงลำตัว เลือดสีเข้มหยดเป็นทาง ก่อนร่างจะล่วงลงกับพื้นแต่ได้รับการช่วยเหลืออย่างรวดเร็วจากคนสมาชิกร่วมตระกูล เขาเหม่อมอง…ไปยังเธอ อาบิเกลตื่นตระหนกเมื่อพับเลือดที่ซึมออกมา “ต้องรักษา!! ตามแพทย์เร็วเข้า!!”
“ขอรับ!”
เขาวางกรอบรูปเอาไว้ก่อนพยุงตัวขึ้นนั่ง กวาดสายตามองไปรอบ ๆ เพื่อหาทางกลาง พบเพียงแค่เดนเบิร์กที่กำลังช่วยกันดับไฟอยู่ “ทางกลางมีแค่นั้นหรือ คนอื่น ๆ ไปไหนหมดเล่า”
“เห็นว่าต้องออกไปเพื่อตรวจสอบดูร่องรอยของการใช้คำสาป จึงเหลือเพียงท่านเดนเบิร์กที่ยังคงอยู่ที่นี่เจ้าค่ะ”
“เพลิงนั่นไม่มีวันดับง่าย ๆ หรอก” เธอมองหน้าเขา ก่อนมิเกลจะพยักหน้าเพื่อยืนยันคำพูดของตนเอง “เพราะมันคือคำสาปที่พวกทางการกำลังตามหาอย่างไรละ”
!!!
อาบิเกลอ้าปากค้าง ชั่วครู่เดียวพ่อมดหนุ่มก็ผุดลุกขึ้นยืนเพื่อไปยังลานประลองซึ่งใกล้จะเริ่มในเร็ว ๆ นี้ “อย่างไรพวกนักเรียนในเอนเซลาดัสก็ต้องไม่ปลอดภัยเป็นแน่ คำสาปพวกนี้โจมตีอย่างรวดเร็ว ยังมีอมนุษย์จากอพันโทโพปอีก ข้าว่าสิ่งนี้อาจเป็นการจุดชนวนสร้างสงครามเกิดขึ้นก็ได้”
อาบิเกล “งั้น...”
“สั่งเดนเบิร์กให้คุ้มกันประชาชน ประกาศเรื่องนี้ออกไปให้ได้มากที่สุด ข้าจะไปดูแลพวกเขา”
“แต่ท่านจะแก้คำสาปได้หรือ?!!” เขาปรายตามอง ยกยิ้มอย่างผู้ชัยชนะ
มิเกล “ข้าทำไม่ได้”
“แต่เพื่อนข้าทำได้”
“จาฟา”
“อืม ข้ารู้แล้ว” เขามองควันไฟที่ลอยสูงขึ้น บริเวณนั้นคือคฤหาสน์ตระกูลอาร์เชอหรือบ้านของเจ้าเด็กนั่นไม่ผิดแน่ กลิ่นอายคำสาปก็รุนแรงกว่าเก่าทำเอาเขาแสบจมูกไปหมด ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้มาเจอคำสาปง่ายดายขนาดนี้ การคุ้มกันของฮีมาไทต์ต่ำลงไปจริง ๆ ด้วย
ตั้งแต่เริ่ม ทีแรกเขาก็ไม่ควรเข้ามาที่นี่ได้อยู่แล้ว
หรือจะเป็นความต้องการของเพนทาเคิล...ไม่สิ ไม่ใช่แน่ เขารู้จักอีกฝ่ายดีกว่าใคร ๆ
จาฟามองซ้ายแลขวา ผู้คนแตกตื่นกับกลิ่นอายความมืด ทางการก็เริ่มประกาศการป้องกันตัวแล้วเสียด้วย แม้จะไม่เอ่ยขึ้นมาตรง ๆ แต่พ่อมดแม่มดทุกคนก็ทราบได้ว่านั่นคือคำสาป สถานการณ์ดูเอิกเกริกยิ่งขึ้นไปใหญ่เมื่อผู้คนจาก
อพันโทโพบใส่ร้ายป้ายสีว่าพวกพ่อมดแม่มดต้องการฆ่าพวกเขา
“พวกนั้นไม่รู้จักกับการรับมือคำสาป ต่อให้มีความรู้มากแค่ไหนก็ไม่อาจพลิกแพลงสถานการณ์วิกฤตนี้ได้...เมื่อสัมผัสกับคำสาปโดยตรงก็จะกัดกิน แต่ดวงวิญญาณของพวกเขาจะไม่อยู่ในวัฏสงสาร และถูกครอบครอง...กลายเป็นปิศาจ” มีน้อยคนนักที่จะจัดการต่อสู้กับคำสาปเหล่านี้ได้ ในฮีมาไทต์มีสมาคมพ่อมด ทางการเพียงสามคน ส่วนศาสตราจารย์มีวิธีรับมือขั้นพื้นฐาน
การปรากฏตัวของคำสาปในช่วงหลายสหัสวรรษแทบไม่เคยมี
จึงมิใช่เรื่องแปลกหากจะไร้การรับมือ
หย่อนยานเกินไปเสียจริง
“เจ้าจะช่วยพวกเขาหรือ?”
“ก็คงต้องเป็นเช่นนั้น” ดรากันส่งเสียงเฮอะในลำคออย่างสมเพชในตัวตนของเขา “อยากชดใช้บาปที่เจ้าก่องั้นหรือ”
“...”
“แต่ข้าคิดว่าเจ้าจะแย่ยิ่งกว่าเก่าหากยื่นมือเข้าไปช่วย”
“แต่พวกเขาไม่รู้วิธีรับมือกับมัน! ให้ข้าอยู่เฉย ๆ ข้าทำไม่ได้!!”
“เจ้าทำได้จาฟา”
“...ข้า”
“เจ้าเคยทำมัน”
เขาเงียบไปพักใหญ่ เมื่อจู่ ๆ ซากปรักหักพังก็ถูกลมแรงโยนเข้าใส่ตัวเขา จาฟาเมินมองด้วยความเรียบเฉยก่อนจะถูกเวทมนตร์ต้านเอาไว้ นั่นหาใช่ฝีมือของอดีตพ่อมดแต่เป็นคนผมสีเงินที่มีกลิ่นของสมุนไพรติดตัว เพื่อนของมิเกล อีกฝ่ายถือวิสาสะจับมือของเขาวิ่งไปหลบภัยหลังจากสมาคมพ่อมดเพนทาเคิลเริ่มเคลื่อนไหว ตัวอาคารเรียนที่ด้านล่างเป็นชั้นใต้ดิน สถานที่หลบภัยแบบฉุกเฉิน
“สถานการณ์ฉุกเฉิน ข้า เอเดอร์และบาร์ธาจะปัดเป่าคำสาป ขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบ รอจนกว่าพวกข้าจะกลับมา” พ่อมดเฟเดลินกล่าวอย่างเชื่องช้า อธิบายให้ผู้คนที่ตื่นตระหนกด้วยน้ำเสียงทุ้มน่าฟัง เขาทำตัวสุภาพเสมอสมกับอดีตอาจารย์ แม้ปัจจุบันจะผันตัวไปแล้วก็ตาม
“แต่ด้านนอกนั่นยังมีนักเรียนอีกหลายคนที่ยังอยู่ ให้ข้าออกไปตามหาพวกเขาเถอะ!” ดอริสร้องขึ้นมา ตามด้วยคนอื่น ๆ ที่ระรึกถึงเพื่อนของตนได้ เฟเดลินยกมือปรามให้พ่อมดขั้นต้นสงบอารมณ์ “พวกเราจะตามหาสหายของเจ้าทุกคน ได้โปรดเชื่อข้าว่าพวกเขาจะปลอดภัย”
เขาก้มมองดอริสที่กัดริมฝีปากจนห้อเลือด ซ้ำยังบีบข้อมือของเขาจนขึ้นสีแดงเถือกอีก “ไม่ต้องมิเกลมาก
หรอก คนเจ้าเล่ห์อย่างเพื่อนเจ้ามีวิธีรอดอยู่แล้ว”
คนร่างเล็กคล้ายได้สติขึ้นมา “จริงหรือ แต่เขาไม่เคยเผชิญหน้ากับคำสาปมิใช่หรือ แล้ว...”
“เจ้าไง”
“หา?”
“รู้หรือไม่ว่าพ่อมดที่สกัดเวทมนตร์คาถาของผู้อื่นได้หาได้ยากยิ่งกว่าการรับมือปิศาจเสียอีก และเจ้าเป็นหนึ่งในนั้น”
ดอริสทำหน้าไม่เชื่อ อีกฝ่ายรู้ตัวดีว่าสิ่งที่เขาทำได้เกิดขึ้นจากการฝึกฝนเท่านั้น “ถ้าอยากให้เพื่อนเจ้ารอดก็ต้องออกไปช่วยเหลือเขา ได้หรือไม่”
“แต่ข้า...ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าว่าละก็”
อาร์ครีบหันมาจับมือของดอริสเอาไว้เสียก่อน ชายร่างสูงอยากให้อีกฝ่ายคิดอย่างถี่ถ้วนเพราะการออกไปด้านนอกเสมือนกับการฆ่าตัวตาย “มิเกลคงรับไม่ได้หากเจ้าจะตายเพียงช่วยเหลือเขา”
“แต่มิเกลเป็นเพื่อนของข้า! ข้าต้องไป!”
“งั้นข้าไปด้วย!”
อาร์ค “มาเดลิน!!”
“รีบตัดสินใจเร็วเข้า รู้หรือไม่ว่าคำสาปรุกรามอย่างรวดเร็ว” สี่คนที่เหลือขบคิดด้วยความตึงเครียด การลอบออกไปจากที่นี่ก็ยากเย็นอีกด้วย ยังเหลือเคลลี่ นางเป็นแม่มดที่น่าเกรงขามแถมยังน่ากลัว เพียงแค่มองหน้าเขาก็กลัวจนหัวหดแล้ว กระนั้นดอริสไม่อยากทิ้งให้มิเกลอยู่ด้านนอกตามลำพัง อีกฝ่ายแม้จะเย็นชาไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเลย
เขาเป็นห่วง…เป็นห่วงครอบครัวของตน
“เรื่องเวทมนตร์ของข้าเจ้าหรือมากน้อยเพียงใด” ร่างเล็กหันกลับมาสอบถามจาฟาอีกหน
เขากอดอกมอง “มากกว่าที่เจ้ารู้จักพลังของตน”
“ข้าตกลง”
“เจ้า…!” อาร์คท้วงแต่ถูกขัดเสียก่อน “ข้าไม่มีอะไรจะเสียแล้ว เขาเป็นเพื่อนข้า เป็นครอบครัวของข้า ข้าต้องปกป้องครอบครัวของตนเองมิใช่หรือ?”
“ข้าจะเตรียมทางเอาไว้ให้แล้ว หลบสายตาจากผู้คนให้ได้มากที่สุด” ว่าจบจาฟาก็เดินไปอีกทางหนึ่ง ซึ่งมีมุมอับสายตาเป็นเสาขนาดใหญ่แม้จะไม่ปิดบังตัวเขาแต่เมื่อผู้คนอยู่รวมกันมาก ๆ ก็หาได้มีใครสนใจอดีตพ่อมด ชายหนุ่มใต้คราบหญิงสาวใช้เข็มเล่มยาวของตนเองจิ้มไปที่นิ้วก่อนเลือดจะไหลย้อย นิ้วชี้ของเขาวาดอักขระซึ่งเอาไว้เป็นการเชื่อมไปยังอีกด้านหนึ่ง เมื่อเสร็จสิ้นก็เหลือเพียงแค่ทาบมือลงบนอักขระนั้น เขาหันกลับไปมอง
ดอริสและคนอื่น ๆ กำลังตามมา
ดอริสพยักหน้าให้เขา ก่อนจาฟาจะแนบมือลงบนอักขระ
กำแพงที่เคยเรียบเสมอกันกลับมีช่องโหว่ขนาดใหญ่เกิดขึ้น แสงเพียงเล็กน้อยทำให้ผู้คนแตกตื่น จังหวะที่เสียงกรี๊ดของแม่มดสาวโพล่งดัง ร่างของเขาก็ทะลุไปยังด้านหลังของกำแพง ตามไปด้วยคนอื่น ๆ ที่หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ รัวเร็วราวกับกำลังถูกละเล่นไปมา คนสุดท้ายที่จาฟามองเห็นนั่นคือเคลลี่ที่เบิกตามอง มีเพียงเขายกยิ้มก่อนกำแพงจะผสานรวมเป็นหนึ่งอีกครั้ง
เขาหันหน้าไปทางหนึ่ง ก่อนชี้ไปยังลานประลองซึ่งคาดว่ามิเกลคงกำลังตามหาพวกตนอยู่
“เอาละ...กลิ่นคำสาปอยู่ตรงนั้น”
*พ่อมดจะไม่เชื่อเรื่องปิศาจ ซาตาน แต่จะเชื่อว่ามีพลังงานลบที่ทำร้ายพวกเขาได้ ซึ่งเราได้ดัดแปลงให้เข้ากับเนื้อหาของนิยายมากขึ้นค่ะ