มหาสมุทรที่ไม่มีในแผนที่โลก..ไม่เคยมีใครรู้จักเป็นมหาสมุทรที่อยู่สุดขอบโลกมีสิ่งต่างๆที่นั่นมากมายที่คาดไม่ถึง...รวมถึงสมบัติล้ำค่าของท้องมหาสมุทร...เหล่านักผจญภัยจำเป็นต้องหลุดเข้าไปในมิติแห่งมหาสมุทรแห่งนี้และต้องผ่านความแปลกประหลาดหลายอย่างโดยที่ไม่รู้ว่าเขาเหล่านั้นจะมีชีวิตรอดกลับมาสู่โลกปัจจุบันได้หรือไม่
ผจญภัย,ขุมทรัพย์,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ขุมทรัพย์มหาสมุทรสุดขอบโลกมหาสมุทรที่ไม่มีในแผนที่โลก..ไม่เคยมีใครรู้จักเป็นมหาสมุทรที่อยู่สุดขอบโลกมีสิ่งต่างๆที่นั่นมากมายที่คาดไม่ถึง...รวมถึงสมบัติล้ำค่าของท้องมหาสมุทร...เหล่านักผจญภัยจำเป็นต้องหลุดเข้าไปในมิติแห่งมหาสมุทรแห่งนี้และต้องผ่านความแปลกประหลาดหลายอย่างโดยที่ไม่รู้ว่าเขาเหล่านั้นจะมีชีวิตรอดกลับมาสู่โลกปัจจุบันได้หรือไม่
วันหนึ่งในฤดูร้อน ณ มหาสมุทรแอตแลนติกอัน กว้างใหญ่ทางตะวันออกของทวีปอเมริกาใต้ เวลา 11.00 น. มี เรือยอร์ชขนาดใหญ่ของสุลต่านอัลปาโช่...องค์รัชทายาทของประเทศโกลด้า...กาลังล่องเรือเพื่อไปค้นหาขุมทรัพย์มหาสมบัติ ที่ถูกกล่าวขาน พร้อมกับหมู่สหาย 20 คน อย่างสาราญกลางทะเล ณ ขณะนั้นคลื่นลมในทะเลยังสงบเงียบ อากาศเย็นสบาย ทุกคนบนเรือต่างถือแก้วไวน์นั่งคุยกันด้านหัวเรือ ต้นหนบังคับเรือ ให้แล่นไปเรื่อยๆ...ทันใดนั้นเอง มีเจ้าหน้าที่ประจาเรือที่อยู่ด้านบนเสากระโดงเรือ มองเห็นเมฆสีดาก้อนใหญ่อยู่ข้างหน้า จึงตะโกนบอกลงมาข้างล่างว่า
“ มีเมฆฝนขนาดใหญ่...มีเมฆฝนขนาดใหญ่....”พอทุกคนได้ยินดังนั้น..เจ้าชายอัลปาโช่ก็บอกขึ้นมาว่า.. “ ก็แค่จะมีฝนตกในทะเล..ไม่เห็นจะน่าตื่นเต้นตรงไหนเลย” แต่เพื่อนเขาอีกคนไม่เห็นด้วยอย่างที่เขาพูด..
ผู้เขียน : อักษรลิขิต
จัดทำโดย : อรรถกฤต บุณฑริก
บรรณาธิการ : ตะเกียงนา
ปกและรูปเล่ม : อรรถกฤต บุณฑริก
ผู้จัดจำหน่าย : บ้านอากาศดี ค๊อฟฟี่ แอนด์ แกลลอรี่ เฮ้าส์
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 การนำส่วนหนึ่งส่วนใด เพื่อตีพิมพ์ ทำซ้ำ ดัดแปลง คัดลอกหรือ ประโยชน์อันใดเป็นพิเศษ ต้องได้รับอนุญาตจากผู้เขียน
วันหนึ่งในฤดูร้อน ณ มหาสมุทรแอตแลนติกอันกว้างใหญ่ทางตะวันออกของทวีปอเมริกาใต้ เวลา 11.00 น. มีเรือยอร์ชขนาดใหญ่ของสุลต่านอัลปาโช่...องค์รัชทายาทของประเทศโกลด้า...กำลังล่องเรือเพื่อไปค้นหาขุมทรัพย์มหาสมบัติที่ถูกกล่าวขาน พร้อมกับหมู่สหาย 20 คน อย่างสำราญกลางทะเล ณ ขณะนั้นคลื่นลมในทะเลยังสงบเงียบ อากาศเย็นสบาย ทุกคนบนเรือต่างถือแก้วไวน์นั่งคุยกันด้านหัวเรือ ต้นหนบังคับเรือให้แล่นไปเรื่อยๆ...ทันใดนั้นเอง มีเจ้าหน้าที่ประจำเรือที่อยู่ด้านบนเสากระโดงเรือ มองเห็นเมฆสีดำก้อนใหญ่อยู่ข้างหน้า จึงตะโกนบอกลงมาข้างล่างว่า
“ มีเมฆฝนขนาดใหญ่...มีเมฆฝนขนาดใหญ่....”พอทุกคนได้ยินดังนั้น..เจ้าชายอัลปาโช่ก็บอกขึ้นมาว่า.. “ ก็แค่จะมีฝนตกในทะเล..ไม่เห็นจะน่าตื่นเต้นตรงไหนเลย” แต่เพื่อนเขาอีกคนไม่เห็นด้วยอย่างที่เขาพูด..
“ฉันว่าถ้าเขาเตือนเราขนาดนี้ต้องไม่ปกตินะ..ปลอดภัยไว้ก่อนมั้ย..เราเข้าไปอยู่ข้างในดีกว่ามั้ย”
เจ้าชายอัลปาโช่พูดว่า “ นายอย่ากังวลไปเลย...นี่มันเรื่องธรรมดาของคลื่นลมในทะเล..ฉันเคยเจอฝนตกในทะเลมาหลายครั้งแล้ว...ไม่ต้องซีเรียสนะ”
เพื่อนเขาทำหน้าระเหี่ยใจ....ยังคงนั่งจิปไวน์กันต่อไป สิบนาทีต่อมาเพื่อนของเขารู้สึกว่ามีลมพัดเยือกๆเข้ามาปะทะ..ทะเลเริ่มมีคลื่นแรงขึ้น ท้องฟ้าเบื้องบนเริ่มเปลี่ยนสีจากฟ้าขาวกลายเป็นสีเทา ต้นหนเรือแจ้งให้อัลปาโช่ทราบผ่านลำโพงว่า
“ เจ้านายครับ..กรุณาเข้ามาหลบฝนด้านในครับ”
เจ้าชายอัลปาโช่และเพื่อนๆเข้าไปหลบฝนที่กำลังจะตกด้านในของเรือที่เป็นห้องหรูหราอย่างดี
ต้นหนและผู้ช่วย...พยายามหันหัวเรือให้ไปด้านข้างเพื่อเตรียมตัวหากมีคลื่นแรงจะได้ไม่ปะทะมาก...แต่นั่นมันเป็นความคิดที่ผิดอย่างมหันต์ที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน.... ทันใดนั้นเองฝนตกหนักมากกลางทะเลมาพร้อมกับลมพายุพัดเรือโคลงไปมา
เจ้าชายอัลปาโช่โวยวายใหญ่ “ เฮ้ยต้นหน..บังคับเรือยังไงวะ...ฉันเวียนหัวจะแย่แล้ว..”
คลื่นขนาดใหญ่พัดเอาเรือหันไปทางทิศตะวันตก...มีหมอกหนาทึบอยู่ข้างหน้า...ต้นหนประหลาดใจมาก “ นั่นมันหมอกอะไร..ทำไมมาอยู่ตรงนี้ได้...”
คลื่นค่อยๆพาเรือลอยลำผ่านกลุ่มหมอกเข้าไป...พอผ่านหมอกหนาเข้ามา ท้องฟ้าก็แจ่มใสไม่มีแม้แต่คลื่นแรงๆกับพายุ...ทุกอย่างสงบนิ่ง ความตกตะลึงอยู่กับคนในเรือทุกคน
พวกเขาต่างมองไปรอบๆ เจ้าชายอัลปาโช่พูดว่า
“ ที่นี่มันที่ไหนกันเนี่ย..ทำไมถึงแปลกๆ”
กลับมาที่ท้องมหาสมุทรอีกด้าน คลื่นลมและพายุยังแรงอยู่....เข้าฝั่งมาที่ สำนักงานพิทักษ์ชายฝั่งทะเล...เจ้าหน้าที่ แบร็นด์ แจ้งให้ หัวหน้ารอยด์ทราบ
“ หัวหน้าครับ..เมื่อสิบนาทีที่ผ่านมามีสัญญาณ SOS จากเรือยอร์ชของเอกชน ผมเช็คดูแล้วปรากฏว่าเป็นเรือขององค์รัชทายาทประเทศโกลด้าครับ... ที่ 80 ไมล์จากฝั่งครับ...แต่สักครู่สัญาญาณก็ขาดหายไปครับ....”
หัวหน้ารอยด์บอกว่า “ งานเข้าแล้วไง..ประเทศโกลด้ากับประเทศเราเป็นมิตรที่ดีต่อกัน...ติดต่อไปที่ยามชายฝั่งให้ออกค้นหาและช่วยเหลือด่วนเลย...คุณคอยดูมอนิเตอร์ไว้นะ..เผื่อมีสัญญาณมาอีกครั้ง..จะได้ถามพิกัด”
“ครับหัวหน้า” แบร็นด์ตอบ
สองชั่วโมงผ่านไป ทั้งยามชายฝั่งและหน่วยกู้ภัยทางทะเลก็ยังไม่ได้รับการติดต่อจากเรือยอร์ชลำนั้น...
เจ้าหน้าที่แบร็นด์บอกว่า “ พวกเขาหายจาการติดต่อไปที่บริเวณ ที่เรียกว่า วงแหวนมังกร ครับ...ในอดีตที่ผ่านมาบริเวณนี้ ได้กลืนเรือไปหลายลำแล้วครับ....แล่นอยู่ดีๆก็ขาดการติดต่อไปเฉยๆ.....”
หัวหน้ารอยด์บอกว่า”ถ้าเราปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยไม่มีความคืบหน้าอะไร..ถ้ารัฐบาลทราบเรื่อง มีหวังหน่วยงานเราเดือดร้อนแน่....แบร็นด์..คุณต่อสายผู้การอัลเบิร์ตให้ผมหน่อย...” “ ครับหัวหน้า” เจ้าหน้าที่แบร็นด์ ต่อสายโทรศัพท์ถึงผู้การอัลเบิร์ตแล้วส่งสายให้หัวหน้ารอยด์พูดสาย
เล่าเรื่องทุกอย่างให้ผู้การฟัง...แล้วขอความช่วยเหลือให้จัดมือดีในการค้นหา รัชทายาทอัลปาโช่และลูกเรือทั้งหมดโดยด่วน.... ผู้การอัลเบิร์ตรับปากจะส่งมือดีที่สุดไปดำเนินการให้
สองวันต่อมา...รถยนต์ ฟอร์ด เอ็กซ์พลอเรอร์ สีดำ มาจอดที่หน้าสำนักงานพิทักษ์ชายฝั่ง ประตูรถทั้งสี่ด้านถูกเปิดออกพร้อมกับชายฉกรรจ์ 4 คน กับหญิงสาว 1 คน ก้าวลงจากรถทันที คนขับสวมแว่นดำ สูง 6 ฟุต 4 นิ้ว รูปร่างกำยำ
เขาคือ นาวาโทเจสัน อดีตนาวิกโยธิน
คนที่สอง แวนด้า สาวสวยเก่งรอบด้าน
คนที่สาม นิกค์ นายพรานแกะรอย
คนที่สี่ เดฟ เชี่ยวชาญทางทะเล
และคนสุดท้าย ดาร์ลิ่ง นักอุตุนิยมวิทยา
ทั้งหมดเดินเข้าไปแนะนำตัวกับหัวหน้ารอยด์.....หลังจากฟังบรรยายสรุปจากรอยด์แล้ว... “ พวกคุณพร้อมเริ่มงานได้เมื่อไหร่?” เจสันหัวหน้าทีมบอกว่า “ เดี๋ยวนี้เลยครับ...เรามีเวลาไม่มากในการเข้าไปค้นหาเพราะถ้าปล่อยเวลาไปอาจเกิดอันตรายต่างๆกับ รัชทายาทได้”
รอยด์บอกว่า “ดี..ถ้างั้นพวกคุณออกเดินทางได้เลย..ผมจะส่งคนของผมไปด้วย 2 คน คือ แบร็นด์ กับ กาโน่ เขาสองคนสามารถใช้เครื่องมือในเรือได้อย่างชำนาญ...”
เจสันสงสัย “ ขอโทษนะครับ...ปกติพวกผมก็สามารถขับเรือได้อยู่แล้ว..คงไม่รบกวนดีกว่า...”
รอยด์พูด “พวกคุณตามผมมาทางนี้”
รอยด์พาพวกของเจสันทั้งหมดมาที่โรงจอดเรือ ซึ่งเป็นอาคารปิดทึบและมีวงจรปิดทุกด้าน ประตูรีโมทค่อยๆเปิดออกจนหมด...เจสันและลูกทีมถึงกับผงะกับสิ่งที่เห็น..
รอยด์อธิบาย “ สิ่งที่พวกคุณเห็นอยู่ตรงหน้ามันคือเรือเดินสมุทรขนาดกลางแต่มีเทคโนโลยี่ล้ำสมัยมาก ด้วยระบบนำร่องด้วยดาวเทียม ตัวเรือทำด้วยโลหะหนาพิเศษกว่าเรือทั่วไปถึง 3 เท่า มีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน...ลำเรือกว้างถึง 20 เมตร ยาว 70 เมตร และที่สำคัญคือ ระบบเรด้าของเรือลำนี้สามารถจับความเคลื่อนไหวได้ทุกอย่างตามที่เราต้องการ...เรือลำนี้จะพาพวกคุณไปค้นหาเรือรัชทายาทอัลปาโช่ และสำรวจมหาสมุทรด้านนอกได้อย่างปลอดภัย” เจ้าหน้าที่อู่เรือกดปุ่มไฮโดรลิกนำเรือออกจากอู่เพื่อลงน้ำ......
เจสันบอกว่า “ ถ้างั้นพวกผมคงต้องใช้บริการของคุณสองคนแล้วนะ คุณ แบร็นด์ คุณกาโน่” สองคนนั้นพยักหน้าและยิ้ม
เสียงเครื่องยนต์เรือถูกสตาร์ท...ระบบทุกอย่างเริ่มทำงาน เจสันและเจ้าหน้าที่ค้นหาทั้งหมดขึ้นเรือทางบันไดเรือ ทุกคนอยู่ในห้องควบคุมด้านหน้าเรียบร้อย....เรือเริ่มออกจากท่ามุ่งหน้าทางทิศเหนือไปยังกลางมหาสมุทร....เวลาผ่านไป 3 ชั่วโมง ขณะนี้เรือออกห่างมาจากฝั่งไกลมากแล้วกลางทะเลเวิ้งว้าง...
ไร้ขอบชายฝั่ง เจสันบอกกับต้นหน แบร็นด์ ว่า
“ เราต้องมุ่งหน้าไปจุดที่เรือหายไปจากจอเรด้าใช่มั้ย”
แบร็นด์บอก “ ครับ...น่าจะอีก 10 ไมล์ก็ถึงครับ...”
แต่พอเรือล่องมาได้สัก 5 ไมล์ ในขณะที่ทุกคนกำลังอยู่ที่ท้ายเรือ....แบร็นด์ก็สังเกตุเห็นเมฆทึบเหมือนครั้งที่เรือยอร์ชรัชทายาทเจอ....เขารีบวิทยุบอกเจสัน
“ ผู้การเจสัน..มาที่ห้องควบคุมหน่อยครับ..ผมมีอะไรจะให้ดู”
เจสันมาถึงห้องควบคุม...แบร็นด์ ชี้มือไปข้างหน้า“ โน้นครับ..ผมว่าเรากำลังเจอพายุอีก 20 นาทีตรงจุดที่เรือยอร์ชหายไป” กาโน่เปิดจอเรด้า แสดงผลพายุด้านหน้า “ ระดับ 4 ถือว่าค่อนข้างแรงเลยครับ” เจสันพูดว่า “ เรามีเวลาแค่ 20 นาทีเองเหรอ.....เราต้องนำเรือเข้าปะทะ..อย่าหันหัวเรือหนีคลื่นนะ แบร็นด์...”
แบร็นด์ ถาม “หมายความว่า..เราจะวิ่งสวนคลื่นอย่างงั้นเหรอครับ...แล้วเรือจะไม่ล่มเหรอครับ"
เจสันตอบไปว่า “ ไม่หรอก..แบร็นด์ เพราะถ้าเราหันหัวเรือต้านคลื่นๆจะซัดเราจมทันที...เพราะผมว่าขนาดของคลื่นคงไม่ใช่เบาๆแน่นอน”
กาโน่เสริม “ ผมเห็นด้วยกับผู้การ เจสันครับ”
แบร็นด์และกาโน่ควบคุมเรือมุ่งหน้าเข้าไปหาศูนย์กลางพายุ... และแล้วพวกเขาก็เข้าเขตพายุ....เสียงคลื่นซัดเข้าหาหัวเรือเป็นระยะ ทำให้เรือโต้คลื่นตลอดเวลา...ทุกคนในเรือต่างหาที่ยึดเกาะไว้...แวนด้ายืนอยู่กลางห้องภายในเรือ.. “ ฉันจะไม่ไหวแล้ว...คลื่นไส้มากเลย” แวนด้ารีบออกไปด้านนอก...ทันใดนั้นคลื่นและพายุซัดเข้ามาที่แวนด้าพอดี...ร่างของเธอกลิ้งไปที่ขอบเรือพลัดตกจากเรือ..แต่แวนด้าสติยังดี คว้าเชือกแนวข้างเรือไว้ได้...ขณะที่เจสันอยู่ในห้องควบคุมหันไปเห็นพอดี...จึงรีบออกมาช่วยคว้ามือแวนด้า
“ แวนด้า..คุณจับมือผมไว้แน่นๆนะ...ผมจะดึงคุณขึ้นมา”
แวนด้าคว้ามือและแขนเจสันแล้วค่อยๆใช้เท้าถีบดันตัวเองขึ้นมาบนเรือจนได้...เสียงหายใจหอบอย่างแรงพร้อมกับล้มตัวลงนอนแผ่ท่ามกลางฝนที่ตกหนัก....เจสันพยุงเธอให้เข้าไปด้านใน แวนด้าพูดขึ้นมา “ ฉันว่าฉันหายคลื่นไส้แล้วแหล่ะ..แต่ฉันหมดแรงเลย...ถ้าคุณมาช้าอีกนิดฉันคงได้ลงไปว่ายน้ำหรือเป็นเหยื่อฉลามแล้ว....แต่ก็ขอบใจนะเจสัน”
“ไม่เป็นไร..พอดีผมหันมาเห็นพอดี”
นาทีนั้นเองทุกคนมีความรู้สึกเหมือนเรือค่อยๆหมุนเป็นวงกลมช้าๆ...เจสันรีบเข้าไปในห้องควบคุมและถาม
“ แบร็นด์..กาโน่..เกิดอะไรขึ้นกับตัวเรือ...ทำไมมันหมุนแบบนี้ล่ะ” เขามองซ้ายมองขวา กาโน่ตอบว่า “ เราสูญเสียการควบคุมระบบทั้งหมดครับ..” เดฟพูดว่า “หมายความว่าไง..สูญเสียการควบคุม..แถวนี้มันกลางมหาสมุทรไม่น่ามีอะไรมากวนสัญญาณนะ...หรือว่า”
ดาร์ลิ่งถาม “ หรือว่าอะไร..เดฟ” เดฟพูดขึ้นมา
“ หรือจะเป็นสนามแม่เหล็กหรือแหล่งพลังงานที่ทำให้ระบบทุกอย่างใช้ไม่ได้”
เรือหมุนคว้างสักพักก็หยุด แบร็นด์มองที่แผงควบคุม
“ แปลกมากเลยทุกอย่างปกติแล้ว เรากำลังมุ่งหน้าไปที่บริเวณหมอกหนานั่น.”
เรือแล่นผ่านหมอกเข้าไป..เจสันมองไปรอบๆและสังเกตุดูเข็มทิศที่หน้าปัดเดินเรือ...เมื่อผ่านเขตหมอกหนาๆเข้ามาท้องฟ้าแจ่มใสมาก นิกค์บอกว่า
“บรรยากาศแถวนี้เป็นทะเลที่ไม่ค่อยเหมือนที่เราผ่านมาเลย....”
ทุกคนออกมายืนอยู่ด้านหน้าของเรือมองไปข้างหน้า เดฟพูดขึ้นมาทันที... “ นั่นไงมองเห็นฝั่งแล้ว”
มันเป็นแผ่นดินกว้างยาวสุดลูกหูลูกตา..เหมือนกับมหาสมุทรมาสิ้นสุด ณ ที่แห่งนี้
เรือเดินสมุทรอันทันสมัย..ค่อยแล่นมาลอยลำทอดสมออยู่ห่างจากฝั่งประมาณ 400 เมตร แบร็นด์บอกว่า
“ ผมจะอยู่เฝ้าที่เรือนะครับ..” แล้วแบร็นด์ก็กดสวิทช์ไฮโดรลิกนำเรือลำเล็กที่เรียกว่า Jet Boat ออกมาจอดบนผิวน้ำด้านข้างเรือ...ทุกคนพร้อมสัมภาระที่จำเป็นทยอยลงบันไดด้านข้างเพื่อลงเรือ Jet Boat นิกค์ถามว่า
“ อ้าวแล้วใครจะขับไอ้เจ้าเรือลำนี้ล่ะ”
เจสันบอกทันที “ ฉันขับเอง...พอเราขึ้นฝั่งแล้ว ขอให้ทุกคนระมัดระวังตัวเกาะกลุ่มกันไว้นะอย่าแยกกัน...เพราะเราไม่รู้ว่าจะเจอกับอะไรบ้าง”
ทุกคนพยักหน้ารับทราบ เจสันสตาร์ทเครื่องยนต์และขับเรือลำนี้อย่างชำนาญ...มันแล่นสวนแนวคลื่นด้วยความเร็วพอสมควร..น้ำกระเซ็นขึ้นมาด้านข้าง แวนด้าบอก
“ น้ำทะเลแถวนี้ทำไมจืดสนิทเลยไม่มีความเค็มเลย”
นิกค์ เดฟ และ ดาร์ลิ่ง ต่างเอามือวักน้ำขึ้นมาดมและชิม...พร้อมตอบเหมือนกันว่า.. “ เออจริงด้วยไม่คาวเลย แปลกจัง..ที่นี่มันที่ไหนกัน”
เรือวิ่งมา 10 นาทีก็มาถึงชายหาดสีขาวบริสุทธิ์.....เจสันและอีก 4 คนลงจากเรือด้วยอาวุธครบมือ ค่อยเดินขึ้นบนชายหาด......เจสันเหลือบไปเห็นเรือยอร์ชจอดทิ้งไว้บนหาด สภาพเก่ามาก เจสันสงสัยว่า
“ ทุกคนดูนั่นซิ...น่าจะเป็นเรือยอร์ชของรัชทายาท อัลปาโช่ แต่ไม่มีใครอยู่บนเรือเลย..ถูกจอดทิ้งไว้มาหลายวันแล้ว...น่าจะถูกคลื่นซัดมาที่นี่ คนบนเรือคงออกไปในป่าด้านในนั่นกันหมดเพราะถ้าอยู่ในเรือไม่มีทั้งเสบียงและน้ำ...ถ้าเราเดินไปตามรอยพวกเขาก็อาจจะเจอกันได้”
นิกค์พูดขึ้นมาว่า...
“ ใช่..เขาคงเจออะไรแบบที่เราเจอมาในทะเลนั่น...เดี๋ยวผมนำไปครับ........น่าจะทิ้งร่องรอยไว้บ้าง ไปครับ”
ดาร์ลิ่งมองขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วบอกว่า “ ผมว่าอีกไม่เกิน 2 ชั่วโมงเราอาจเจอกับพายุอีกครั้งครับ...”
แวนด้าบอก “ อีกแล้วเหรอ...ฉันไม่ชอบพายุเลย”
เจสันพูด “งั้นเรารีบไปกันดีกว่า..อย่างน้อยต้องหาที่ตั้งแค้มป์ที่ปลอดภัยให้ได้ก่อน เพราะถ้าอีก 2 ชั่วโมงก็หกโมงเย็นพอดี”
ทุกคนรีบเร่งฝีเท้าเข้าไปในป่านั่น โดยมีนิกค์อดีตนายพรานและนักแกะรอยมืออาชีพเดินนำหน้าห่างทุกคนประมาณ 5 เมตร .....จนมาถึงที่โล่งกลางป่าพวกเขาเดินต่อไปอีก 400 เมตร นิกค์ก็ต้องบอกให้ทุกคนหยุด “ เดี๋ยวหยุดก่อน...เรามีปัญหาแล้ว..ผู้การเจสัน” เจสันเดินเข้ามาหานิกค์ทันที ชะโงกดูไปข้างหน้าเขาก็ต้องออกอาการ ตาเบิกกว้างแล้วพูดว่า
“ คุณพระช่วย...นี่มันเหวชัดๆ..ไม่มีทางอื่นเลยเหรอ..นิกค์” นิกค์ตอบว่า “ไม่มีครับ..ทางที่เรามามันเป็นทางบังคับให้มาทางนี้”
เจสันขมวดคิ้วทันที............
“ แล้วพวกรัชทายาทล่ะ..พวกเขาผ่านไปได้ยังไงกัน”
เดฟพูดขึ้นมาว่า “ ผมว่ามีทางเดียวครับ..ต้องโดดหรือโรยตัวลงไป...แต่มันสูงมากเลยเชียว อย่างน้อยๆต้องมี 150 เมตร”
แวนด้ารีบแทรกทันที “ โอ๊ย...ไม่ไหวนะแค่วิ่งร้อยเมตรฉันยังเหนื่อยแทบแย่...นี่ต้องไต่ลงเหว 150 เมตร ไม่ใช่แค่เหนื่อยแต่ต้องมาตื่นเต้นอีกและที่สำคัญหัวใจจะหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม แถมเสี่ยงตายด้วย....”
เจสันบอกว่า “ ถ้าไม่มีทางเลือกอื่นเราก็ต้องไปตามนั้น.. ทุกคนพร้อมมั้ย”
ทุกคนพยักหน้าพร้อมกัน..แวนด้าบู้ยปากพร้อมส่ายหน้า
“ ฉันไม่พร้อมในทุกประการ” เจสันบอก “ เดี๋ยวคุณไปพร้อมผมไต่ลงไปด้วยกัน..” แวนด้าถอนหายใจเฮือกใหญ่... “ เอาก็เอา..”
แต่ละคนเริ่มเตรียมเชือกสำหรับไต่เขาของตัวเอง..พร้อมแล้วเริ่มไต่ลงไปเป็นหน้ากระดาน เริ่มจากซ้าย เดฟ ถัดมา นิกค์ ดาร์ลิ่ง และเจสันกับแวนด้าซึ่งเอาเชือกผูกติดกันไว้....ไต่ลงมาได้ครึ่งทาง เหลือระยะอีกประมาณ 50 เมตร ทันใดนั้นก็มีนกยักษ์ตัวใหญ่มากบินมาโฉบแบบเฉียดๆพวกเขา ระหว่างนั้น เจสันหยิบปืนพก บาเร็ตต้า จากซองที่เหน็บเอวออกมา...เจ้านกยักษ์นั่นบินมาอีกรอบ...เมื่อได้ระยะเจสันเหนี่ยวไกทันที กระสุนพุ่งเข้าใส่กลางลำตัวมัน เจ้านกนั่นล่วงตกลงไปทันที
เดฟตะโกน “โห..ผู้การ..แม่นเหมือนจับวางเลยครับ”
แล้วพวกเขาก็ไต่ลงมาถึงพื้นล่างจนได้....เจสันสังเกตุเห็นมีเชือก 2 เส้นโปรยลงมาก่อนพวกเขา
“ มีคนลงมาที่นี่ก่อนเรา...น่าจะเป็นพวกรัชทายาท...แต่ทำไมมีเชือกแค่ 2 เส้น ”
คณะของเจสันออกเดินเท้าไปแนวลำน้ำจนถึงโพรงถ้ำขนาดใหญ่ ขณะนี้เป็นเวลา 6 โมงเย็นแล้วพระอาทิตย์ใกล้จะตก....
เจสันบอกทุกคน “ วันนี้พวกเราต้องตั้งแค้มป์ที่ถ้ำนี้..เดี๋ยวผมกับนิกค์จะเข้าไปสำรวจด้านในถ้ำก่อน... ไปนิกค์”
เขาสองคนเดินเข้าไปในถ้ำพร้อมไฟฉายส่องสว่าง....นิกค์พูดว่า “ ดูเหมือนถ้ำนี้จะลึกมากนะครับ...เราเดินเข้ามาหลายสิบเมตรแล้วยังมีทางไปได้อีก..” เจสันพูด “ เราน่าจะพักที่นี่ได้...ไป...เราออกไปบอกคนที่เหลือให้เข้ามาได้เลย”
นิกค์บอกว่า “ เดี๋ยวผมออกไปบอกเองครับ..ผู้การรอที่นี่ก็ได้ครับ..” ทั้งหมดเข้ามาในถ้ำกันครบแล้ว เจสันบอกว่า
“ เราต้องก่อกองไฟไว้ทางเดินด้านในเพราะป้องกันไว้เผื่อมีสัตว์ร้ายมันจะได้ไม่เข้ามาใกล้เราเพราะเรามีกองไฟสุมอยู่....ทำไว้สองกองเลยนะ”
ดาร์ลิ่งพูด “ เดี๋ยวผมจัดการเองครับ..ในนี้มีท่อนไม้อยู่หลายท่อน”
กองไฟถูกสุมขึ้นสองกองตรงปากช่องทางเดินด้านใน แวนด้ากำลังเอาเนื้อวัวแห้งติดมันคลุกเกลือและพริกไทที่เตรียมมาด้วย ย่างไฟร้อนๆ พร้อมกันกับข้าวโพดเหลือง กลิ่นหอมไปทั่วถ้ำ จนขณะนั้นมีเสียงดังออกมาจากด้านในถ้ำผ่านกองไฟสองกองเข้าไป...เหมือนเสียงฝีเท้าคนเดินมา....เจสันบอก
“ ทุกคนเตรียมตัว” ต่างคนต่างใช้อาวุธของตัวเองเล็งไปที่บริเวณกองไฟนั้น ทันใดนั้นเองก็มีชายอายุกลางคน 2 คน เดินออกมาอย่างโซซัดโซเซ....คนหนึ่งที่มีเครายาวยืนคอตกหมดเรี่ยวหมดแรงพูดขึ้นว่า “พวกท่าน...เราขอแบ่งอาหารและน้ำให้เราสองคนหน่อยเถิด....เราหิวเหลือเกิน ไม่ได้กินอาหารมา 2 วันแล้ว”
เจสันควักรูปจากกระเป๋าเสื้อเขาออกมา...แล้วเทียบกับชายเครายาวผู้นั้น...แล้วพูดออกมาทันที
“ ใช่ๆแล้ว...ท่านคือ รัชทายาทอัลปาโช่ ใช่มั้ย”
ชายเครายาวตอบว่า “ ใช่เราคือ อัลปาโช่....พวกท่านเป็นใครกันทำไมถึงมาที่นี่ได้....”
เจสันเล่าให้ฟัง “ พวกเราถูกส่งให้มากู้ภัยเรือของท่าน....แต่บังเอิญพบกับเหตุการณ์พายุและคลื่น...ที่ทะเลแห่งหมอกแล้วเรือของเราก็มาที่นี่..จนมาพบท่านรัชทายาทนี่แหล่ะครับ...ว่าแต่ท่านนึกยังไงถีงมาล่องเรือสำราญเล่นในมหาสมุทรแถบนั้น....เพราะมันเป็นมหาสมุทรที่ลึกมากและไกลจากฝั่งมากโขอยู่.....”
แวนด้าแบ่งอาหารคือ เนื้อย่างและข้าวโพดที่มีมากพอให้กับอัลปาโช่และเพื่อน...ทั้งสองคนซัดเนื้อย่างนั่นอย่างเมามันเพราะความหิว...จนอิ่มแล้วก็พูดขึ้นมาว่า
“ จริงๆแล้วจุดประสงค์หลักของเราคือไปล่าสมบัติที่เป็นตำนานสุดขอบมหาสมุทร...แต่ดันมาเจอกับพายุนี่ซะก่อนทุกอย่างก็เลยยุติ...แต่พอเรามาคิดๆดูอาจเป็นแค่เรื่องเล่าเท่านั้นก็เป็นได้”