ที่ที่คุณอยู่มีความเชื่อแปลกๆไหมครับ อย่างเจอใบโคลเวอร์สี่แฉกแล้วจะโชคดี ปอกแอปเปิ้ลหน้ากระจกเพื่อให้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น ความเชื่อที่นำเราไปเจอสิ่งเหนือธรรมชาติ — ที่ที่ผมอยู่ก็มีความเชื่อแบบนั้น
พารานอมอล,ลึกลับ,ระทึกขวัญ,ดาร์ค,เลือดสาด,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ชีวิตที่ 9ที่ที่คุณอยู่มีความเชื่อแปลกๆไหมครับ อย่างเจอใบโคลเวอร์สี่แฉกแล้วจะโชคดี ปอกแอปเปิ้ลหน้ากระจกเพื่อให้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น ความเชื่อที่นำเราไปเจอสิ่งเหนือธรรมชาติ — ที่ที่ผมอยู่ก็มีความเชื่อแบบนั้น
#รถแห่ชวนเขียน3
เรื่องสั้นจากกิจกรรมเพจนักเขียนรถแห่
Content Warning
Blood เลือด
Dead Body ศพและลักษณะของศพ
Gore อวัยวะภายใน
Supernatural เรื่องเหนือธรรมชาติ
Violence การใช้ความรุนแรง
❝
ที่ที่คุณอยู่มีความเชื่ออะไรแปลก ๆ ไหมครับ อย่างถ้าเจอใบโคลเวอร์สี่แฉกแล้วจะโชคดี ปอกแอปเปิ้ลหน้ากระจกเพื่อให้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น ความเชื่อที่นำเราไปเจอเรื่องเหนือธรรมชาติอะไรพวกนั้น...ที่ที่ผมอยู่ก็มีความเชื่อแบบนั้นเหมือนกัน
❞
ที่ที่คุณอยู่มีความเชื่ออะไรแปลก ๆ ไหมครับ พวกความเชื่ออย่างถ้าเจอใบโคลเวอร์สี่แฉกแล้วจะโชคดี ห้ามขานรับเสียงเรียกตอนกลางคืนเพราะอาจไปรับสิ่งไม่ดีโดยไม่รู้ตัว หรือปอกแอปเปิลหน้ากระจกเพื่อให้มองเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น... เรื่องเหล่านั้นล้วนเป็นความเชื่อประหลาดที่นำเราไปเจอกับเรื่องเหนือธรรมชาติ
ที่ที่ผมอยู่ก็มีความเชื่ออะไรแบบนั้นเหมือนกัน
เมี้ยว!
เสียงร้องของเจ้าแมวอ้วนประจำบ้านเรียกให้ผมหลุดจากภวังค์ ดวงตาที่มองออกไปนอกหน้าต่างเลื่อนกลับเข้ามาภายในห้อง แมวตัวนั้นมองหน้าผมนิ่ง ๆ ที่ประตูห้อง ก่อนสะบัดตูดแล้วเดินลงบันได
ผมถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนปิดหน้าต่างให้เรียบร้อย แล้วเดินตามมันลงไป ทุกครั้งที่เข็มนาฬิกาเดินมาหยุดอยู่ที่เลขหก แมวตัวนี้จะขึ้นมาหาผมที่ห้องเพื่อเรียกลงไปกินมื้อเย็น ผมเคยสงสัยว่าสัตว์พวกนี้รับรู้เวลาได้อย่างไร ก็เลยลองค้นดูในอินเทอร์เน็ตก่อนพบว่าความเห็นส่วนใหญ่พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘มันแค่หิว’
ผมมองแมวอ้วนขนสีขาวละเอียดที่กำลังกินอาหารในชามสีเงินของมันแล้วถอนหายใจ
คงงั้นแหละมั้ง มันแค่หิวจริง ๆ นั่นแหละ เพราะถ้าทุกคนยังไม่มาพร้อมหน้าพร้อมตากันที่โต๊ะอาหาร แม่ของผมจะไม่เทข้าวให้แมวเด็ดขาด...
“โหดร้ายเป็นบ้า” พี่ชายของผมหย่อนก้นลงที่เก้าอี้พร้อมกับพูดขึ้นมา
“ก็จะได้กินพร้อมกันไง” แม่แกล้งทำเสียงประชด
“แม่อยากให้พวกเรารู้สึกผิดสินะ” พี่ชายตัวดียังคงเถียงต่อ
ผมหัวเราะพลางเลื่อนเก้าอี้มานั่ง อันที่จริงผมก็เห็นด้วยกับที่พี่ชายพูดนะ แม่น่ะอยากให้เรารู้สึกผิด เพราะถ้าพวกเราไม่ลงไปกินข้าวสักที แมวตัวนี้ก็จะต้องอดไปพร้อมกับพวกเรา...
“พอ ๆ รีบกินเข้า” แม่ตักข้าวใส่จานแล้วส่งให้ผมกับพี่ชาย
“คร้าบ ๆ” พี่ชายตอบเสียงเนือยก่อนหันมาจ้องผมตาเขม็ง “อะไรของนายซิน”
“ไม่มีอะไรสักหน่อย พี่โซนั่นแหละ เลิกทะเลาะกับแมวได้แล้ว”
“ฉันไม่ได้ทะเลาะกับแมวสักหน่อย” พี่ชายส่งเสียงเชอะแล้วพึมพำเบา ๆ “ฉันแค่อิจฉาที่แม่ดูแลมันดียิ่งกว่าลูกในไส้”
“แม่ได้ยินนะ” เสาหลักที่เหลือเพียงคนเดียวของบ้านพูดขึ้น
ผมกับพี่ชายเงยหน้าขึ้นมาสบตาพร้อมกันแทบจะทันที ก่อนระเบิดเสียงหัวเราะออกมาท่ามกลางโต๊ะอาหาร
ผู้เป็นแม่ที่อยู่หัวโต๊ะส่ายหัวให้เราสองคนก่อนผลิยิ้มจาง ๆ แม่เหลือบมองที่นั่งฝั่งตรงข้ามซึ่งว่างเปล่าก่อนฉีกยิ้มกว้างกว่าเดิม ราวกับกำลังบอกใครก็ตามที่เคยนั่งอยู่ตรงนั้นว่าแม่สามารถดูแลพวกเราได้และไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง...
พวกเรากินมื้อเย็นด้วยกันเงียบ ๆ ครอบครัวที่แต่เดิมมีสี่คนกลายมาเป็นสามคนหลังจากที่หัวหน้าครอบครัวเกิดอุบัติเหตุเมื่อปีก่อน พ่อจากไปและไม่กลับมาหาพวกเราอีก ตำรวจบอกว่าตรงจุดเกิดเหตุไม่ไกลจากซากรถที่ถูกชนจนพังยับเยินมีแมวตัวหนึ่งอยู่ตรงนั้นด้วย มันนั่งอยู่ข้าง ๆ ร่างไร้วิญญาณของพ่อ ส่งสายตาดุร้ายและแยกเขี้ยวขู่คล้ายเป็นคำเตือนบอกคนที่คิดร้ายต่อพ่อว่ามันจะฝังเขี้ยวและฉีกกระชากคนผู้นั้นอย่างทารุณ
แม่รับแมวตัวนั้นกลับมาที่บ้านและเลี้ยงดูมันเป็นอย่างดี จากแมวผอมโซหนังติดกระดูกสู่แมวอ้วนพีที่วัน ๆ มีหน้าที่แค่ขึ้นไปเรียกผมและพี่ชายลงมากินข้าว
ผมเคยถามแม่ไปว่าทำไมถึงรับเอามันมาเลี้ยง แค่เพราะมันปกป้องร่างของพ่องั้นหรือ
แม่ยิ้มแล้วบอกผมว่า “แมวเป็นสิ่งมีชีวิตที่มหัศจรรย์ มันมีเก้าชีวิต และทุกชีวิตก็มีค่า”
ผมฟังคำตอบที่ค่อนไปทางนามธรรมนั่นแล้วขมวดคิ้วมุ่น แม่ต้องการจะสื่ออะไรกันแน่ ทีแรกผมอยากจะพูดออกไปว่าหนึ่งชีวิตของพ่อก็มีค่าเหมือนกัน…แต่ผมกลัวว่ามันจะทำให้แม่รู้สึกแย่ก็เลยไม่ได้เอ่ยอะไรอีก
“มหา’ลัยเป็นยังไงบ้างโซ” แม่ถามขึ้นเมื่อเห็นว่ามื้ออาหารวันนี้เงียบเกินไป
พี่โซตักข้าวคำสุดท้ายเข้าปากแล้วตอบทั้งที่ยังเคี้ยว “ก็ดีครับ กิจกรรมรับน้องเพิ่งจบไป ก็เลยมีเวลามาเคลียร์งานค้างเยอะขึ้น”
“มหา’ลัยมันงานเยอะขนาดนั้นเลยเหรอพี่โซ” ผมที่ตอนนี้เรียนอยู่ชั้นมัธยมปีสุดท้ายเอ่ยถาม
พี่โซกลืนข้าวคำโตแล้วพูดลากเสียง “มาก”
แม่มองเราสองคนพลางหัวเราะอย่างเอ็นดู “ปีหน้าซินก็จะเข้ามหา’ลัยแล้วนี่เนอะ เล็งที่ไหนไว้ล่ะลูก”
ผมเท้าคางครุ่นคิดก่อนชำเลืองมองพี่ชาย “เล็งที่เดียวกับพี่โซครับ”
พี่คนโตที่อยากอยู่ให้ไกลจากน้องชายแทบสำลักน้ำ พี่โซวางแก้วลงพร้อมกับไอสำลัก “แค่ก ๆ ไปไกล ๆ เลย”
จากนั้นบรรยากาศบนโต๊ะอาหารก็เริ่มผ่อนคลาย แมวตัวนั้นที่แม่รับมาเลี้ยงเดินมาคลอเคลียที่ขาของผม พุงอ้วน ๆ ของมันส่ายไปมาดูน่าตลก ไม่ต้องมองชามข้าวก็รู้ว่าสะอาดแค่ไหน
คืนนั้นหลังจากที่ไฟทุกดวงในบ้านถูกปิด ต่างคนก็ต่างแยกย้ายไปยังห้องนอนของตัวเอง ทุกคืนแมวตัวนี้จะชอบไปนอนห้องแม่ แต่ไม่รู้ทำไมคืนนี้มันถึงมาอยู่ที่ห้องของผม
“อะไร” ผมถามออกไปเมื่อเห็นว่ามันเอาแต่จ้องหน้า
เจ้าเหมียวเชิดหน้าไปอีกทาง ทำเหมือนว่าไม่อยากคุยกับผม
“…” ผมที่เพิ่งถูกแมวเมินใส่ก็เลยถอนหายใจแล้วนอนหันหลังให้มัน
ผ่านไปสักครึ่งชั่วโมงคนหูดีอย่างผมก็ได้ยินเสียงบางอย่างจากแมวที่ขึ้นมานอนข้าง ๆ เป็นเสียงหายใจที่ฟังดูเหมือนกับว่ามันกำลังกรน ผมเดาว่านั่นน่าจะเป็นเสียงเพอร์ที่คนรักแมวชอบพูดถึง
สบายจังเลยน้า ผมคิดในใจพลางอมยิ้ม ก็นะ ห้องของผมมันเย็นที่สุดนี่นา
ระหว่างที่ผมพยายามจะข่มตาหลับ จู่ ๆ ผมก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างจากชั้นล่าง เป็นเสียงฝีเท้าที่ก้าวย่างอย่างเงียบเชียบ กระนั้นมันก็ไม่อาจรอดไปจากโสตประสาทชั้นดีของผมได้
แมวของผมเองก็ได้ยินเสียงเหมือนกัน มันยกหัวขึ้นแล้วหันมองไปยังทิศทางเดียวกับผมซึ่งก็คือชั้นล่าง…
หรือว่าจะเป็นแม่?
ความคิดแรกที่เข้ามาคือแม่ลงไปกินน้ำหรือเปล่า แต่ปกติแม่จะเปิดไฟเสมอ ฉะนั้นผมจึงตัดตัวเลือกนี้ออกไป ทว่าตัวเลือกสุดท้ายก็ดูไม่สมเหตุสมผลเหมือนกัน พี่โซเป็นคนเดินลงน้ำหนัก ไม่มีทางที่พี่ชายของผมจะเดินเหมือนย่องเบาแบบนี้แน่นอน
ย่องเบางั้นหรือ…
คิดได้ดังนั้นรูม่านตาของผมก็หดลงทันที หัวใจเต้นระส่ำอย่างเป็นกังวล
ทำยังไงดี มีโจรกำลังเข้ามาในบ้านของผมใช่ไหม?
ทันใดนั้นเองผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนัก พี่ชายของผมน่าจะออกจากห้องมา
“เฮ้ย! มึงเป็นใครวะ?!” พี่โซตะโกนเสียงดัง
ไม่นานก็มีเสียงเปิดประตูอีกบาน เป็นเสียงจากห้องของแม่ แล้วจากนั้นก็มีเสียงมากมายดังตามออกมา ถ้าผมฟังไม่ผิดพวกมันน่าจะมีกันหลายคน
เพล้ง!
ผมสะดุ้งตัวสั่น ถ้าให้เดาเสียงนั่นน่าจะเกิดจากการที่แม่โยนแจกันใส่มัน หนึ่งในพวกมันสบถเสียงดังคาดว่าน่าจะโดนแจกันนั่นทุ่มใส่ ผมได้กลิ่นคาวเลือดจาง ๆ จากนั้นภาพที่มองเห็นในความมืดก็พลันสว่างขึ้นทั้งที่ทั้งบ้านยังปิดไฟอยู่ ผมมองลอดช่องว่างระหว่างประตูก่อนพบว่าพวกมันมากันทั้งหมดสี่คน
พี่ชายของผมปกป้องแม่อย่างสุดความสามารถ ทั้งรับการโจมตีแทนจนเนื้อตัวอาบท่วมไปด้วยเลือด กระนั้นผู้ชายคนเดียวก็ไม่อาจสู้กลุ่มโจรที่อาวุธครบมือได้
“มีใครอยู่ในบ้านอีกไหม” หนึ่งในพวกมันยกปืนขึ้นมาจ่อหน้าผากพี่ชาย
เนื้อตัวของผมสั่นอย่างควบคุมไม่ได้น่าจะเป็นเพราะอะดรีนาลีนที่หลั่งออกมาเยอะจนเกินไป ปอดทำงานหนักจนหน้าอกกระเพื่อมอย่างรุนแรง ผมกำมือที่เย็นเฉียบก่อนพยายามควบคุมมันไปที่ลูกบิดประตู ผมต้องทำอะไรสักอย่าง ผมต้องออกไปช่วยครอบครัว!
“ไม่” เป็นเสียงของแม่ที่พูดขึ้น “เราอยู่กันแค่สองคน”
ตอนนั้นหัวใจของผมตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม ในอกมันหวิวคล้ายความรู้สึกที่สูญเสียคนในครอบครัวกำลังจะกลับมาอีกครั้ง
“มะ…ไม่นะ” มือที่สั่นเทาจับลูกบิดประตูแน่น ทว่าก่อนที่ตัวผมจะได้เปิดมัน แม่ก็ตะโกนเสียงดังใส่พวกมันอีกครั้ง
“พวกเราอยู่กันแค่สองคน!” ราวกับคำประกาศิตที่สั่งห้ามไม่ให้ผมออกมา
ผมทำได้เพียงทรุดเข่าลงแล้วนั่งเงียบ ๆ อยู่ตรงประตู ทนฟังเสียงร้องคร่ำครวญของครอบครัวที่กำลังจะหมดลมหายใจ
ผมนั่งอยู่ตรงนั้น ภายนอกดูนิ่งราวภูเขาน้ำแข็งทว่าภายในกลับร้อนรนจนอกแทบปะทุ
ทำยังไงดี ผมจะปล่อยให้ครอบครัวตายไปแบบนี้จริง ๆ หรือ
ระหว่างที่ความสับสนกำลังตีกันในอก แมวที่ผมลืมไปแล้วว่ามันอยู่ในห้องด้วยก็เลียที่มือเบา ๆ ราวกับกำลังปลอบโยน และนั่นก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เสียงทุกอย่างภายนอกเงียบลง
ไม่มีอีกแล้วเสียงร่ำไห้และร้องครวญครางอย่างเจ็บปวด ไม่มีอีกแล้วเสียงที่ก่นด่าและสาปแช่งคนพวกนั้น ไม่มีแล้วเสียงของมีดที่เฉือนตัดเนื้อและเส้นเอ็น ไม่มีเสียงลมหายใจและไม่มีเสียงดวงใจที่เต้นอีกต่อไป…
รูม่านตาของผมหดเกร็งจนไม่สามารถเล็กลงไปได้มากกวานี้ ดูเหมือนผมจะหายใจดังเกินไป พวกมันหันมามองที่ประตูห้องนอนของผม ดวงตาที่เห็นได้ดีในความมืดสะท้อนนัยน์ตาวาววับเมื่อมันหันมามอง ผมสะดุ้งและถอยออกห่างจากช่องประตูทันที ในใจภาวนาให้มันคิดว่าเป็นแค่แสงสะท้อนจากลูกบิดประตูเท่านั้น ทว่ากลุ่มโจรพวกนั้นก็ฉลาดพอที่จะดูออกว่าแสงนั่นคือลูกตา...
ความมืดในดวงตาค่อย ๆ สว่างขึ้นราวกับผมมีดวงตาของสัตว์ป่า พวกมันพยักหน้าให้กันก่อนจะแบ่งทีม สามคนช่วยกันจัดการศพ...และอีกคนเดินมาที่ห้องนอน
ผมนึกขันในใจ ห้องนอนมีสามห้อง เปิดออกมาแล้วสอง ถึงแม้แม่จะบอกไปแล้วว่าอยู่กันแค่สองคน แต่พวกมันจะไม่สงสัยเลยหรือว่าอีกห้องเป็นของใคร...
หน้าอกของผมกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง แมวตัวนั้นหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ขณะเดียวกันเสียงฝีเท้าที่ย่างกรายเข้ามาก็ดังขึ้นเรื่อย ๆ
ผมสบถกับตัวเองในใจ เดิมทีผมก็ไม่ชอบแมวตัวนั้นอยู่แล้ว ส่วนแม่ของผมที่รับมันมาเลี้ยงก็มีความเชื่อแปลกประหลาดอยู่อย่างหนึ่ง
‘แมวมีเก้าชีวิต และทุกชีวิตก็มีค่า’
แม่พูดอย่างนั้นสินะ ผมจำได้แม่นและจำได้ดีเลยด้วย แต่แล้วยังไงล่ะ ตอนนี้หนึ่งชีวิตของทุกคนตายกันหมดแล้ว และผมก็กำลังจะตายตามไป ส่วนแมวตัวนั้นที่แม่บอกว่ามีเก้าชีวิตก็ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหนแล้ว บางทีมันอาจจะหนีไปแล้วก็ได้ ถ้ามันมีเก้าชีวิตจริง ทำไมมันถึงไม่เอาชีวิตพวกนั้นไปแลกแทนแม่กับพี่โซบ้างล่ะ...
ประตูไม้ตรงหน้าเปิดออกช้า ๆ พร้อมกับเสียงแหลมที่เกิดจากการเสียดสีของบานพับ โจรคนนั้นสวมชุดสีดำทั้งชุด ส่วนหัวใส่หมวกโม่งที่ปิดบังใบหน้าแต่เปิดเผยดวงตา
มันยกปืนที่อยู่ในมือแล้วจ่อปลายกระบอกมาที่ผม มือข้างนั้นสั่นเทาพร้อมกับอัตราการเต้นของหัวใจที่เร็วขึ้น ผมไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะมันเพิ่งเคยฆ่าคนหรือเปล่า มันถึงได้ดูสั่นกลัวแบบนั้น แต่จะอะไรก็ช่าง ตอนนี้ผมกำลังจะตายแล้ว
ผมหัวเราะหึในลำคอ รีบ ๆ ตายไปก็ดีเหมือนกัน ผมจะได้ไปอยู่กับครอบครัว...ตอนนี้แม่และพี่ชายน่าจะไปรออยู่กับพ่อแล้ว
“เป็นอะไรวะ?” อีกคนที่เดินตามมาถามขึ้นด้วยน้ำเสียงรำคาญ เพราะคนที่ถือปืนเอาแต่ยืนนิ่งและตัวสั่น
“นะ...นี่มัน...” คนถือปืนเอ่ยแต่ละคำด้วยเสียงสั่นเครือ มือที่กุมกระบอกปืนเองก็สั่นเทาไม่แพ้กัน
“มันทำไม?” ชายอีกคนชะโงกหน้าเข้ามามองผมก่อนจะหยุดนิ่งไปอีกคน มันทำท่าเหมือนหายใจไม่ทั่วท้องก่อนจะคว้าปืนของอีกคนแล้วเอามายิงเอง
ปัง!
ความรู้สึกที่ลูกกระสุนทะลุผ่านร่างกายมันเป็นแบบนี้เองสินะ นึกว่าจะเจ็บกว่านี้เสียอีก...
จากนั้นดวงตาของผมก็ค่อย ๆ พร่าเลือน ร่างกายพลันแข็งเกร็งขึ้นมาเองก่อนจะล้มลงไปอย่างไร้เรี่ยวแรง ผมรู้สึกได้เลยว่าอุณหภูมิร่างกายของตัวเองกำลังลดต่ำลงขณะที่เลือดอุ่นไหลออกมา นี่หรือเปล่าสิ่งที่เรียกว่าเทอร์โมไดนามิกอะไรนั่นที่ผมเคยเรียนในคาบวิชาวิทยาศาสตร์
ช่างเถอะ จะตายอยู่แล้วยังจะมาคิดอะไรให้ปวดหัวอีก แถมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไอ้ที่คิดน่ะมันถูกหรือเปล่า...
ในตอนนั้นเองที่สมองของผมมันประมวลผลอย่างสับสน โสตประสาทที่ใกล้จะหยุดทำงานก็พลันหลอนไปด้วย ผมได้ยินเสียงของโจรสี่คนที่กำลังสติแตก เสียงลูกปืนที่ถูกดีดออกมาจากรังเพลิง เสียงข้าวของภายในบ้านที่ตกกระทบพื้นจนแตกกระจาย เสียงของผิวหนังที่ฉีกขาดคล้ายถูกกรงเล็บกรีดและเสียงสะบั้นของหลอดเลือดที่ถูกคมเคี้ยวของสัตว์ร้ายขย้ำ
อุณหภูมิในร่างกายที่เย็นชืดพลันกลับมาพุ่งสูงอย่างรวดเร็ว กระทั่งหนังตาอันหนักอึ้งเปิดขึ้นได้ในที่สุด ผมก็พบว่าห้องของผมได้กลายเป็นสถานที่ของการฆาตกรรมไปเสียแล้ว