"เมื่อความรักต้องห้ามเกิดขึ้นระหว่างทูตสวรรค์ผู้บริสุทธิ์และปีศาจแห่งความมืด... ความเกลียดชังระหว่างสองเผ่าพันธุ์จะสั่นคลอน หรือรักแท้จะเป็นเพียงความลับที่ถูกกลืนหายไปในความขัดแย้งนิรันดร์?"

Heaven Fall's รักระหว่างเเสงเเละเงา - บทที่ 8 "ชะตากรรมที่มิอาจหวนคืน: ศึกระหว่างสายเลือด" โดย Dekuru @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,แอคชั่น,ตลก,แฟนตาซี,ไซไฟ,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

Heaven Fall's รักระหว่างเเสงเเละเงา

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,แอคชั่น,ตลก,แฟนตาซี,ไซไฟ

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

Heaven Fall's รักระหว่างเเสงเเละเงา โดย Dekuru @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

"เมื่อความรักต้องห้ามเกิดขึ้นระหว่างทูตสวรรค์ผู้บริสุทธิ์และปีศาจแห่งความมืด... ความเกลียดชังระหว่างสองเผ่าพันธุ์จะสั่นคลอน หรือรักแท้จะเป็นเพียงความลับที่ถูกกลืนหายไปในความขัดแย้งนิรันดร์?"

ผู้แต่ง

Dekuru

เรื่องย่อ

ในโลกที่แบ่งออกเป็นสามดินแดน, ทูตสวรรค์ และ ปีศาจ ได้พบรักที่ไม่อาจเปิดเผยได้ ความเกลียดชังระหว่างสองเผ่าพันธุ์ทำให้ความรักนี้ต้องถูกซ่อนเร้นท่ามกลางสงครามและความขัดแย้ง ทั้งคู่ต้องเลือกว่าจะรักกันและเปลี่ยนแปลงโลก หรือจะต้องรักษาความลับนี้ไว้ตลอดไป.

 เป็นการเขียนครั้งเเรกของผม อาจจะไม่ถูกใจหรือไม่ถูกชะตาถ้าอยากให้ใส่อะไรเข้าไปหรือเเนะนำเเนวทางคอมเม้นได้คับ 

สำหรับผมขอให้มีผู้คนมาเห็นเรื่องราวที่ผมสร้างเเละฟังหรืออ่านเรื่องราวของผมก็ถือว่า

ผมสำหรับกับเป้าหมายเเล้วคับ

**ยังไงก็ขอฝากผลงานไว้ด้วยคับ

นามปากกา Dekuru คับ

สารบัญ

Heaven Fall's รักระหว่างเเสงเเละเงา-บทที่1 "เงามืดแห่งพันธสัญญา",Heaven Fall's รักระหว่างเเสงเเละเงา-บทที่2 "การเริ่มต้นใหม่ในโลกมนุษย์",Heaven Fall's รักระหว่างเเสงเเละเงา-บทที่3 "ความมืดของเรื่องราวที่ซ่อนไว้",Heaven Fall's รักระหว่างเเสงเเละเงา-บทที่4 "ความจริงที่ถูกเปิดเผย",Heaven Fall's รักระหว่างเเสงเเละเงา-บทที่5 "การเผชิญหน้าที่นำพาทั้งสองโลก",Heaven Fall's รักระหว่างเเสงเเละเงา-บทที่6 "ความมืดที่ถูกปลดปล่อยและการเผชิญหน้าครั้งใหม่",Heaven Fall's รักระหว่างเเสงเเละเงา-บทที่7 "สัญญาณแห่งชะตากรรม",Heaven Fall's รักระหว่างเเสงเเละเงา-บทที่ 8 "ชะตากรรมที่มิอาจหวนคืน: ศึกระหว่างสายเลือด",Heaven Fall's รักระหว่างเเสงเเละเงา-7.2 7.2 "ชะตากรรมที่มิอาจหวนคืน: ศึกระหว่างสายเลือด"

เนื้อหา

บทที่ 8 "ชะตากรรมที่มิอาจหวนคืน: ศึกระหว่างสายเลือด"

เสียงหอบหายใจสลับกับเสียงคำรามของเหล่าก็อบลินดังก้องไปทั่วสี่ชีวิตที่เหลือรอดต่างอยู่ในสภาพสะบักสะบอม ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลและความเหนื่อยล้าเสียงโลหะกระทบกันดังสนั่นขณะที่แทงค์หนุ่มใช้โล่อันแข็งแกร่งของเขาปัดป้องการโจมตีจากก็อบลินจำนวนมหาศาลสุดกำลังเลือดสีแดงเข้มไหลซึมออกจากรอยแผลบนแขนและขาของเขาไม่หยุดมือที่จับโล่เริ่มสั่นเล็กน้อยจากความอ่อนล้าทว่าดวงตาคู่นั้นยังคงเปล่งประกายด้วยความมุ่งมั่นเขายืนหยัดอยู่ตรงนั้น ไม่ยอมให้ศัตรูฝ่าแนวป้องกันไปได้แม้แต่นิดเดียว


ด้านข้างของเขาอาเรนนักดาบสวมเกราะที่เคยเป็นแนวหน้าแข็งแกร่งบัดนี้แทบยืนไม่ไหวแขนที่กำดาบหนักอึ้งไร้เรี่ยวแรงจากความเหนื่อยล้าและบาดแผลที่สะสมทั่วร่างเกราะของเขามีรอยแตกร้าวไปทั่วรอยเลือดเปรอะเปื้อนจากการฟาดฟันกับพวกมันแต่ถึงกระนั้นเขายังฝืนกัดฟันสู้อยู่ 


เสียงคำรามจากก็อบลินบรูทดังก้องก่อนที่มันจะเงื้อขวานหนักขึ้นเหนือหัวและฟาดลงมาด้วยแรงมหาศาล!ทางเด็กหนุ่มที่วิ่งมาถึงจุดนั้นพอดี 


“อ่ะ พวกนั้นมันนักผญจภัยงั้นหรอ? เหมือนคนในปาร์ตี้จะโดนฆ่าไปคนนึงสินะ..แถมอีกสองคนก็กลัวตนจนสั่น อีกสองคนก็เสียเลือดเยอะแถมยังเป็นพวกมนุษย์..." เด็กชายกล่าวกับตัวเองภายในความคิดขณะที่กำลังหลบอยู่หลังกำแพงคอยสังเกตเหตุการณ์อยู่ห่างๆ


“บัดซบเอ้ย! ชั้นผิดเองหล่ะที่ลากพวกนายเข้ามาที่นี่ด้วยแค่เพื่อนคนเดียวชั้นยังปกป้องไว้ไม่ได้เลย! แฮรๆ ขอโทษด้วยนะทุกคน”


“เฮ้ย อาเรน! จะมาดราม่าก็ไว้ทีหลังสิฟ่ะ ทางนี้จะยันไว้ไม่ไหวแล้วนะ! ไม่ว่ายังไงพวกเราก็ต้องรอดไปด้วยกันให้ได้!”


ตรงหน้าพวกเขาก็อบลินฮันเตอร์และก็อบลินบรูทยืนตระหง่านผู้นำของเหล่าก็อบลินที่สูงใหญ่กว่าพวกเดียวกันหลายเท่าก็อบลินฮันเตอร์ถือดาบสั้นคู่พลิ้วไหวดุจนักล่าสายตาคมกริบของมันสะท้อนแววเจ้าเล่ห์และคำนวณการเคลื่อนไหวของเหยื่ออย่างแม่นยำ ส่วนก็อบลินบรูท—นักรบกระหายเลือดผู้ใช้ขวานหนักกรีดร้องเสียงดังขณะที่เตรียมพุ่งเข้าขย้ำเหยื่อ


“มันกำลังจะมาอีกแล้ว!” แทงค์หนุ่ม ไคลน์ ตะโกนออกมา ขณะใช้โล่ต้านการโจมตีจากก็อบลินหลายตัวรอบด้าน


“ชั้นจะยันพวกมันไว้ไม่ไหวแล้ว อาเรน!” ชายหนุ่มที่ถือโล่ตั้งรับและป้องกันการโจมตีของพวกก็อบลิน แต่ตอนนี้เริ่มอ่อนล้าเต็มทีแล้ว


“ชั้นช่วยเสริมให้นะไคลน์ ฮึบ ตายซะเจ้าพวกก็อบลิน!” ชายหนุ่มอีกคนวิ่งไปป้องกันด้านข้างให้ชายที่ถือโล่ที่คอยป้องกันด้านหน้าให้


นักธนูเอลฟ์สาวถอยหลังจนเกือบชนกับกำแพงถ้ำคันธนูในมือสั่นระริกลูกศรที่เธอง้างไว้เต็มไปด้วยความลังเลแววตาสั่นระริกอย่างไม่มั่นใจสหายของเธอเพิ่งถูกฆ่าต่อหน้าต่อตาไม่กี่นาทีก่อนพวกเขายังมีโอกาสชนะแต่ตอนนี้—


“...ชั้น..สู้ต่อไม่ไหวแล้ว..แบบนี้หน่ะ..มัน..โหยร้ายเกินไปแล้วนะ..” เสียงของอัลเธียนักธนูเอลฟ์สาวที่ยืนหลังชิดกำแพงไร้ที่หนีกำลังจับแขนของตนที่บาดเจ็บพร้อมสีหน้าและแววตาที่สิ้นหวังเลยอมแพ้กับสถานการณ์ตรงหน้าเเละน้ำเสียงที่เยือกเย็นเเละสิ้นหวัง


นักเวทย์สาวฟีเรียที่อยู่ด้านหลังสะดุ้งเฮือก ดวงตาเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัวคทาในมือสั่นระริกเวทย์มนตร์ที่เธอร่ายเตรียมไว้แทบควบคุมไม่อยู่


“ทำยังไงดี..เราร่ายเวทย์รักษาให้พวกไม่ได้เลย พลังเวทย์ในตัวของเรากำลังปั่นป่วน..ทำยังไงดีล่ะ”


“พวกเธอสองคนหน่ะ หนีไปซะ! ฟีเรีย อัลเทีย อย่างน้อยแค่พวกเธอก็ยังดี! เดี๋ยวชั้นสองคนจะฝ่าพวกมันออกไปเพื่อเปิดทางหนีให้พวกเธอเอง!” อาเรนตะโกนด้วยรอยยิ้มฝืนๆมือที่จับดาบแน่นขึ้นแม้ว่าแขนจะสั่นจนแทบไม่มีเรี่ยวแรง


“แต่ว่า—!” ฟีเรียอ้าปากค้านน้ำตาคลอ

“ไม่มีเวลาเเล้ว ตอนนี้หล่ะ ไปซะ!! ฟีเรีย เอเลน!” ไคลน์คำราม พร้อมกับกระแทกโล่เข้าใส่ก็อบลินที่พุ่งเข้าโจมตีเสียงกระดูกแตกร้าวสะท้อนก้องทั่วถ้ำ


เอลเลนเม้มปากแน่น ขณะที่ฟีเรียกำคทาในมือแน่นขึ้น ก่อนจะกัดฟันร่ายเวทย์สุดท้ายเพื่อเปิดทาง ทว่า—


ฉัวะ!


“อ๊ากกก!” ฟีเรียนักเวทย์สาวกรีดร้อง เมื่อรู้สึกถึงแรงตัดถากผ่านข้างลำตัว ก่อนที่ร่างของเธอจะล้มลงไปกระแทกพื้นอย่างแรง หางตาของเธอเห็นเงาดำสามสายพุ่งออกมาจากความมืด


“เกี๊ยววววว!!”


เสียงคำรามต่ำของก็อบลินบรูทดังขึ้นก้องในถ้ำมืด มันยกขวานหนักขึ้นเหนือหัว เส้นเลือดปูดโปนไปทั่วแขนก่อนจะฟาดลงมาด้วยแรงมหาศาล


ตูม!!


ฟีเรียรีบพลิกตัวหลบสุดแรงเกิด ขวานขนาดใหญ่ฟาดลงบนพื้นถ้ำจนเกิดรอยแตกร้าว ฝุ่นตลบอบอวลเธอพยายามจะยันตัวลุกขึ้น—แต่ไม่ทัน!


“อึก…!”


แขนหยาบกร้านของก็อบลินตัวหนึ่งกระชากแขนของเธอเอาไว้อีกสองตัวกรูกันเข้ามามือสกปรกของพวกมันพยายามจะกดร่างเธอลงกับพื้นแววตาของพวกมันเต็มไปด้วยความหื่นกระหาย


“ไม่นะ… ปล่อยฉันนะ!” เธอดิ้นสุดแรง ทว่าเรี่ยวแรงของนักเวทย์สาวไม่อาจสู้แรงของพวกมันได้—


ขณะเดียวกันนั้นเอง…


“อ๊ากกก!!”


เสียงร้องของอัลเธียดังมาจากอีกด้านหนึ่งของถ้ำนักธนูสาวเอลฟ์ถูกก็อบลินมากกว่าสิบตัวล้อมไว้จากทุกทิศทาง เธอยิงศรออกไปอย่างต่อเนื่องแต่ลูกศรของเธอก็เริ่มหมดลงเรื่อยๆพร้อมทั้งแผลที่แขนทำให้ธนูที่ถืออยู่หลุดมือ


"ถอยไปนะ! ถอยออกไปเดี๋ยวนี้นะ! ชั้นยังไม่อยากจะตายในมี่เเบบนี้นะ!" เธอพยายามถอยแต่แผ่นหลังของเธอกระแทกเข้ากับผนังหินเยือกเย็นวิ่งขึ้นมาเกาะแน่นในใจของเธอ


“เกี๊ยวววว!” ก็อบลินตัวหนึ่งคำราม ก่อนจะกระโจนเข้าใส่เธอจากด้านหน้า—

พวกมันกำลังจะลงมือ!ก็อบลินสามตัว…มันฉวยโอกาสเข้ามาโจมตีจากมุมอับสายตา!

ขณะที่สองสาวตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤติสุดขีด—


เด็กสาวนักเวทย์ที่โดนจับตัวกล่าวกับตัวเองในความคิด“นี่เรา..จะมาตาย…โดยที่ยังไม่ทำประโยชน์อะไรเลยหรอ…ตัวเรา…กำลังจะตาย..อย่างนั้นหรือ..”


"ผู้ที่อ่อนแอ..จะต้องตาย มีเพียงผู้แข็งแกร่งที่จะเอาตัวรอดในโลกใบนี้ได้..เพราะงั้น..ขอโทษด้วยนะชั้นไม่มีเวลาพอจะมาช่วยพวกนายหรอกนะ ขอโทษจริงๆนะ" เด็กชายกล่าวกับตัวเองภายในความคิดขณะที่กำลังหลบอยู่หลังผนัง คอยสังเกตเหตุการณ์อยู่ห่างๆก่อนจะค่อยๆเดินออกไปแต่ในพลิบตานั้นพลางนึงถึงภาพในอดีตที่ผ่านมาของตนเอง…


“ขอร้องหล่ะอย่างฆ่าชั้นเลยนะ! ชั้นมีภรรยาลูกสาวคนโตและลูกสาวที่กำลังจะลืมตาดูโลกอีกคนนึง ได้โปรดไว้ชีวิตชั้นด้วยเถอะนะ ถ้าชั้นไม่รอดกลับไป ครอบครัวชั้นจะอยู่กันยังไงกันเล่า”


“แกหน่ะ..รู้ตัวบ้างหรือเปล่า แกกำลังต่อรองกับอะไรอยู่..คิดจะลืมชีวิตนับสิ่งที่แกฆ่าไปเพื่อปล้นชิงเอาไปเลี้ยงดูครอบครัวแก..อย่างนั้นหรือ..ชั้นไม่เห็นความสมเหตุสมผลอะไรในคำพูดของคนที่เอาชีวิตคนอื่นแล้วยังใช้ชีวิตได้มีความสุขนะ” น้ำเสียงที่เย็นยะเยือดเเววตาที่เย็นชาไร้จิตใจและไร้ความเมตตา 


เด็กชายในอดีตได้ยกดาบขึ้น ก่อนจะฟาดฟันสะบั้นชายผู้นั้นจนชิ้นส่วนกระจัดกระจายพร้อมทั้งเลือดกระเซ็นไปทั่วบริเวณนั้น


“ชีวิตแกแค่คนเดียว มันเทียบไม่ได้กับชีวิตที่แกพึ่งฆ่าไปหรอกนะ..เรื่องครอบครัวของแกหน่ะชั้นจะหาทางช่วย” เด็กชายในอดีตได้ถือถุงย่ามขนาดใหญ่ที่ตุ่งและดูหนักมากเดินไปยังบ้านหลังหนึ่งเขาได้เคาะประตูและวางถุงนั้นไว้หน้าบ้านหลังนั้นก่อนจะมีหญิงสาวท้องโตเดินออกมาหญิงสาวล้วงมือไปในถุงที่รู้สึกได้ว่าเป็นเหรียญเงินและเหรียญทองปะปนกันในถุงนั้นและหยิบแผ่นกระดาบขึ้นอ่านก่อนจะยิ้มเดินกลับเข้าไปในบ้านเด็กชายที่ยืนหลบมุมดูสถานการณ์อยู่ในความมืดได้มองมายังจุดนั้นและเดินจากไป “ชั้นหน่ะ…ช่วยแกได้แค่นี้หล่ะนะ”


ภาพตัดกลับมายังปัจจุบัน…

“ใครจะไปยอมกันละฟ่ะ!” แทงค์หนุ่มตะโกนออกมาก่อนจะตั้งโล่แล้ววิ่งฝ่าฝูงก็อบลินเข้าไปช่วยทั้งสองสาวที่โดนจับตัว แต่…


“อึก … บัดซบเอ้ย!” แทงค์หนุ่มกล่าวก่อนจะล้มลงไปเพราะโดนก็อบลินบรูทฟาดขวานลงมาโจมตีจากด้านหลังที่ไร้การป้องกัน


“อ่ะ ไคลน์” ชายสวมเกราะอีกคนกล่าวขึ้นก่อนจะมีก็อบลินฮันเตอร์สองตัวกระโดดเข้ามาโจมตี


ทันใดนั้นเองเสียงกัลปนาทดังก้องขึ้นทั่วบริเวณก่อนจะปรากฎร่างของก็อบลินฮันเตอร์ทั้งสองตัวที่ล่วงหล่นโดยที่หัวถูกบางอย่างเจาะทะลวง


“ให้มันได้งี้สิน่า! คุณมนุษย์เเละพี่สาวเอลฟ์!” เสียงที่กล่าวขึ้นอย่างเบาๆ ก่อนจะปรากฎเป็นร่างที่เป็นเงา พุ่งเข้าไปแต่ที่จริงแล้วคือร่างของเด็กชายที่กำลังจะเดินออกไปจากตรงนั้น เเต่กลับวิ่งเข้าไปจุดนั้นด้วยความเร็วจนเห็นเป็นเงาดำพุ่งผ่านพร้อมทั้งเสียงปืนกัมปนาทดังขึ้นไม่หยุด


“เก็บพวกตัวสั่งการก่อนละกัน..เเกก่อนเลยเจ้าคิง!”


ปั้ง!


ร่างของก็อบลินคิงที่คอยสั่งการก็อบลินฮันเตอร์และก็อบลินบรูทได้ล้มหงายลงไปที่พื้นอย่างไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นขณะนั้นเหล่าก็อบลินจำนวนมากต่างหันมามองในจุดเดียวกันซึ่งก็คือจุดที่ก็อบลินคิงถูกสังหารนั่นเอง


“เอาหล่ะ ชั้นให้ตัวเลือกพวกแก 2 ข้อ เจ้าพวกก็อบลิน”


“1. พวกแกไสหัวหนีไปแบบกระเจิงแล้วไม่กลับมาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น!”


“2. ตายยันโคตรของพวกแก! เลือกมาซะ!” แต่สิ่งที่ตอบรับกลับมาคือเสียงของอาวุธที่เสียดสีกันและเสียงของเหล่าก็อบลินที่แสดงถึงความโกรธและไม่พอใจกับการกระทำของเด็กหนุ่ม


“เลือกข้อ 2 กันหล่ะสินะ”


“งั้นก็ตายยันโคตรของพวกเเกนั่นล่ะ !!” สิ้นคำพูดของเด็กหนุ่มได้คว้าปืนเวทย์มนตร์ธาตุไฟและลมออกมาจากใต้เสื้อโค้ทสีแดงนั้นแล้วยิงใส่พวกก็อบลินทุกตัวที่เล็งปืนไป และยังยิงใส่พวกก็อบลินที่กำลังจะสังหารชายทั้งสองคน รวมถึงก็อบลินกลุ่มนึงที่จับตัวสาวทั้งสองกดลงกับพื้นจนก็อบลินพวกนั้นสิ้นชีพกันนับไม่ถ้วน เสียงกรีดร้องและเสียงโวยวาย ของพวกก็อบลินรวมถึงเสียงปืนทั้งสองกระบอกของเด็กชายที่สาดใส่พวกก็อบลินอย่างไม่ปราณีจนได้สังหารพวกก็อบลินจนหมดสิ้นก่อน…เสียงสะท้อนจากการต่อสู้เงียบสงัดลงเมื่อศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดล้มลงไปกับพื้น..


 [หน้าต่าง UI – รายการดรอปไอเทม]

 [ศัตรู: ก็อบลินคิง – Lv. 45 (แรงค์ B)]

มงกุฎก็อบลินคิง – เครื่องประดับของราชาก็อบลิน เพิ่มพลังเวทมนตร์สายมืด

ดาบเงารัตติกาล – อาวุธประจำตัวของก็อบลินคิง เพิ่มพลังโจมตีธาตุความมืด

เกราะก็อบลินคิง – เกราะที่ลดดาเมจทางกายภาพ

แก่นพลังราชาเงา – วัตถุดิบหายาก ใช้เสริมพลังอาวุธและเวทมนตร์

 

__________________________________________________

[ศัตรู: ก็อบลินฮันเตอร์ – Lv. 28 (แรงค์ D)]

มีดนักล่าเงา – มีดสั้นที่เพิ่มอัตราคริติคอล

เสื้อคลุมเงาก็อบลิน – เพิ่มค่าหลบหลีกเมื่ออยู่ในที่มืด

ลูกธนูเงาก็อบลิน – ลูกธนูอาบพิษ ใช้โจมตีศัตรู

 

__________________________________________________

[ศัตรู: ก็อบลินบรูท – Lv. 32 (แรงค์ C)]

ค้อนกระดูกก็อบลิน – อาวุธหนักที่เพิ่มพลังโจมตีแบบกระแทก

แก่นพลังนักรบเถื่อน – ใช้เสริมพลังให้กับอาชีพสายกายภาพ

กระดูกก็อบลินยักษ์ – วัสดุสำหรับสร้างอาวุธหรือเครื่องป้องกัน

_________________________________________________

เด็กหนุ่มยืนอยู่กลางเหล่าซากก๊อบลินลมหายใจหนักหน่วงหัวใจเต้นแรงหลังจากการต่อสู้ที่กินเวบาระดับนึงขณะมองไปยังร่างไร้วิญญาณของก็อบลินคิงที่นอนจมกองเลือดท่ามกลางบรรยากาศที่นิ่งเงียบราวกับทุกสิ่งทุกอย่างถูกหยุดลงไปในชั่วขณะหนึ่ง...ก่อนจะเดินเข้าไปดูอาการนักเวทย์ของกลุ่มปาร์ตี้นั้น


“เธอโอเครนะ คุณนักเวทย์? ดื่มโพชั่นรักษากับล้างพิษนี่ก่อน อย่าขยับมากล่ะครับ! อาวุธของพวกก็อบลินมันมีพิษเคลือบไว้อยู่ ถ้ายิ่งขยับพิษจะยิ่งไหลเร็วขึ้น พวกคุณรวมถึงเธอคุณเอลฟ์ตรงนั้นด้วยนะครับ!”


“ขอบคุณ..ที่ช่วยชั้นไว้น่ะค่ะ, คุณ..?”


“รีบไปช่วยกันรักษาเพื่อนของเธอก่อนเถอะ โดยเฉพาะสองคนนั้นหน่ะ”


“คะ ค่ะ!”


“นี่ๆ แล้วชั้นหล่ะ? พ่อหนุ่ม ชั้นเองก็บาดเจ็บนะ!”


“แผลของคุณเอลฟ์ไม่ได้รุนแรงมากครับ ไกลหัวใจ...แต่ถ้าไม่ยอมอยู่เฉยๆ ผมว่าคงได้สู่ขิตในไม่ช้าครับ” เด็กชายตอบกลับเอลฟ์สาวนักธนูคนนั้นด้วยท่าทางที่เย็นชาก่อนจะโดยนขวดโพชั่นให้


"ขะ ขอบใจนะเจ้าหนู” สาวเอลฟ์นักธนูคนนั้นกล่าวตอบก่อนจะดื่มโพชั่นเเละนั่งพักอยู่ตรงนั้น


เด็กหนุ่มเดินเข้าไปหาชายโล่ที่ตอนนี้นอนนิ่งขยับตัวไม่ได้ สายตาพล่ามัว สติกำลังกระเจิงไปเรื่อยๆ จนเกือบจะสิ้นลม “แข็งใจไว้ก่อนนะครับ ผมจะรีบช่วยเดี๋ยวนี้ล่ะครับ”


เด็กหนุ่มมองสังเกตอาการของชายคนนี้นก่อนจะกล่าวขึ้นมาอย่างใจเย็น "บาดเเผลสาหัสเกินไป โพสชั่นเอาไม่อยู่เเน่ต้องใช้เวทย์รักษา" เด็กหนุ่มยกมือหันไปทางร่างของชาโล่ก่อนจะทำการร่ายเวทย์


"โอแสงแห่งศักดิ์สิทธิ์ จงขจัดมลทินและเยียวยาร่างกายแก่ผู้ศรัทธา— Purifying Radiance!"

“ใช้งาน Advanced Spell: Purifying Radiance (แสงศักดิ์สิทธิ์ชำระล้าง)


ชายโล่ที่นอนหายใจโรยรินตอนนี้กลับอาการเริ่มดีขึ้นเเละเด็กสาวนักเวทย์ที่กำลังช่วยชีวิตเพื่อนที่สวมเกราะของเธอได้แล้ว ตอนนี้ได้ร้องไห้ดีใจที่เพื่อนๆของเธอรอดชีวิตมาได้พลันเธอหันมามองเด็กหนุ่มที่กำลังช่วยชีวิตเพื่อนของเธออีกคนที่นอนแน่นิ่งอยู่ที่ตอนนี้อาการค่อยๆดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “เวทย์นั่นมัน เวทย์ศักดิ์สิทธิ์ระดับกลาง แต่เป็นเวทย์ที่ใช้ได้เฉพาะนักเวทย์ระดับสูงเท่านั้น เด็กคนนั้นเป็นใครกันนะ?” เด็กสาวมองแล้วนึกกล่าวตั้งคำถามภายในจิตใจ


 “ขอบคุณมากนะที่ช่วย นายคือ…?”


ชายโล่ที่ฟื้นคืนสภาพและกำลังกายกล่าวก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นนั่งโดยมีเด็กหนุ่มช่วยพยุงให้อยู่ เด็กหนุ่มนั่งยองๆลงใกล้ตัวของชายโล่ที่นั่ง ดังหมดแรง “อย่าพึ่งฝืนเป็นไปหล่ะครับ ถึงผมจะรักษาล้างพิษจนมีกำลังกลับมาเเล้วแต่มันก็ยังมีระบมอยู่ เพราะงั้นอย่าฝืนหล่ะครับ” เด็กหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หวังดี


 “ชิ... ไม่อยากใช้ก็เพราะเงี้ยแหล่ะ... ไอเวทย์รักษานี่หน่ะ” เด็กหนุ่มที่กำลังนั่งยองๆบ่นเบาๆพร้อมยกมือข้างที่ร่ายเวทย์รักษาไว้ถกถุงมือออกนิดหน่อยทำให้เห็นว่าตอนนี้มีควันและรอยไหม้ออกมาจากมือข้างนั้น เนื่องจากคนใช้อย่างเด็กหนุ่มที่เป็นปีศาจไม่สามารถแตะต้องหรือโดนแสงหรือพลังศักดิ์สิทธิ์ได้


 “นี่ นายเป็นปีศาจอย่างนั้นหรือ?” ชายหนุ่มถามเด็กหนุ่ม


“ใช่ครับ... จะกลัวก็ได้นะครับ”


“เปล่าๆๆ ไม่ได้กลัวหรอก ก็นายช่วยชีวิตพวกเราไว้นินา พอดีชั้นไม่เคยเข้าใก้ลเผ่าปีศาจได้ขนาดนี้หน่ะ ฮ่าๆ”


“แต่ก็..ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ เรื่องเพื่อนของคุณอีกคนที่ตายไป ผมมาช้าไปต้องโขโทษด้วยจริงๆครับ..”


“ไม่เป็นไรๆนายไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอกนะ พวกชั้นต่างหากหล่ะที่ต้องขอบคุณนาย”


“จริงสิ ชั้นชื่อว่า ไคลน์ ออร์เทก้า ตำแหน่งแทงค์ของปาร์ตี้นี้”


“ส่วนผม โอมิกะ อากิระ ยินดีที่ได้รู้จักครับ นักดาบสายโซ่โล่”


“อากิระคุงหรอ? ชื่อนายเพราะดีนะ”


ก่อนจะได้พูดคุยกันต่อคนสามคนที่เดินเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วยได้กล่าวขอบคุณหนุ่มที่มีหูและหางเป็นแมวใส่เสื้อโค้ทสีแดงที่นั่งยองๆคุยกับเพื่อนของพวกเขาอยู่ก่อนหัวหน้าในปาร์ตี้ที่สวมเกราะจะเดินเข้ามาพูดด้วยเสียงที่ดังว่า


“ชั้นขอขอบคุณนายมากๆ ที่ช่วยชีวิตพวกเราเอาไว้ถ้ามีโอกาส ขอให้พวกเราตอบแทนบุญคุณครั้งนี้ด้วยเถอะนะ ว่าแต่นายชื่อว่าอะไรล่ะ?”


“โอมิกะ อากิระครับ, เป็นเผ่าปีศาจหน่ะครับ”


“งั้นหรอก, ดูน่าเกร็งขามมากเลยนะนายจัดการพวกก๊อบลินทั้งเผ่านี้ได้ด้วยตัวคนเดียวเลยนะ”


“ใช่ๆ ถ้าไม่ได้นายช่วยไว้ไม่รู้พวกชั้นจะโดนอะไรบ้างต้องขอขอบคุณจริงๆโอมิกะคุงงั้นสินะ” สาวเอลฟ์นักธนูกล่าวเสริมอย่างเต็มใจ


เด็กชายไม่ได้ตอบอะไรได้ลุกแล้วเดินไปยังร่างของเพื่อนในปาร์ตี้นั้นโดยที่เด็กสาวนักเวทย์นั่งทุลักทุเลลงกับพื้นข้างๆร่างของเพื่อนพลางโทษว่าเป็นความผิดของเธอและกำลังร้องไห้


“ชีิวิตที่ดับสูญไปเเล้ว เสียใจไปก็ไม่กลับมาหรอกครับ..คิดในเเง่ดีนะครับเพื่อนคุณอีกสามคนยังรอดชีวิตนะครับ..” เด็กชายพยายามพูดปลอบโยนเด็กสาวนักเวทย์


เด็กชายเดินไปนั่งยองๆข้างร่างของเพื่อนเธอเงยหน้ามองหน้าเด็กสาวที่ตอนนี้กำลังสิ้นหวังกวาดกลัวเเละกำลังช๊อคมากก่อนเด็กชายจะเอามือช่วยปิดตาเเละปากให้กับร่างนั้นพร้อมทั้งเอาอาวุธของเขามาวางไว้บนร่างเเละจัดท่าด้วยความเคารพต่อร่างตรงหน้า 


“อย่างคุณจะไปเข้าใจอะไรกันละ…คุณไม่ได้เป็นคนสูญเสียนิ!…” เสียงของเด็กสาวตะหวาดออกมาด้วยความโกรธและเจ็บปวด ตาเธอเปล่งประกายด้วยความเศร้า ขณะที่มือสั่นระริกจากความเจ็บปวดที่ไม่สามารถควบคุมได้เเต่ว่าเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมามองที่เด็กหนุ่มทำให้เธอต้องหยุดชะงัก


เด็กหนุ่มที่นั่งย่อตัวอยู่ฝั่งตรงข้ามมองเธอด้วยสายตาที่นิ่งสงบและยิ้มบางๆที่ไม่มีความตกใจเขามองเด็กสาวที่กำลังสูญเสียการควบคุมเขาจับมือเธอเบาๆก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่นิ่งและแฝงไปด้วยความรู้สึก


“ผมเข้าใจ… ผมเองก็สูญเสียทุกสิ่งไปหมดเหมือนกัน รู้สึกทรมานจนแทบอยากจะตาย แต่ตอนนี้ผมเหมือนสูญเสียไปหมดแล้วครับ ราคาที่ต้องจ่ายสำหรับชีวิตคือการสูญเสียสิ่งสำคัญทั้งหมด...” น้ำเสียงของเด็กหนุ่มสงบ แต่มีความรู้สึกที่ลึกซึ้ง เขาพยายามให้กำลังใจเธอในแบบที่เธอไม่คาดคิด สายตาของเขาสื่อถึงการเข้าใจความเจ็บปวดที่เธอไม่สามารถบอกออกมาเป็นคำพูดได้


“ไม่มีใครอยากให้เกิดการสูญเสียหรอกครับ คุณนักเวทย์..อย่างน้อยเราก็มาช่วยกันทำพิธีศพให้เขากันเถอะครับ” เด็กสายที่ได้ยินดังนั้นไม่ได้ตอบอะไรทำเพียงเเค่หยักหน้าตอบเบาๆ


“พวกคุณ ไคลน์ เองก็ด้วยนะครับ” เด็กหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบเเละเผยรอยยิ้มที่อ่อนโยนเพื่อให้กำลังใจกลุ่มนักผจญภัยเหล่านั้น


“ได้สิโอมิกะคุง ยังไง เรนท์ มอร์เทม นั่นก็เป็นเพื่อนในปาร์ตี้ที่ดีที่สุดตั้งเเต่ชั้นได้เข้าปาร์ตี้เลยหล่ะนะ” สาวเอลฟ์นักธนูตอบกลับเด็กหนุ่มที่กำลังร่ายเวทย์อะไรสักอย่างอยู่


"จงเบ่งบาน... สายลมอ่อนโยนโอบอุ้มสรรพสิ่ง มวลบุปผาจงผลิบานสู่ห้วงนิรันดร!" 


"ใช้งาน Basic Skill: Eternal Blossom – บุปผาแห่งนิรันดร์”


ปลดปล่อยพลังแห่งธรรมชาติทำให้พื้นที่รอบตัวผู้ใช้เกิดทุ่งดอกไม้ขนาดย่อมที่ผลิบานขึ้นจากพื้นดินในพริบตา ดอกไม้เหล่านี้เปล่งแสงอ่อนๆและมีกลิ่นหอมที่ช่วยฟื้นฟูพลังชีวิตเล็กน้อยให้กับพันธมิตรที่อยู่ภายในอาณาเขตเด็กหนุ่มร่ายพร้อมวางมือลงกับพื้นที่มีหลุมเล็กๆก่อนจะปรากฎทุ่งดอกลิลลี่ขาว(WhiteLily) ขนาดย่อมตรงจุดที่เด็กหนุ่มวางมือลงไป


เด็กหนุ่มยื่นมือไปเด็ดดอกไม้จากตรงนั้นเเล้วนำมาวางไว้บนอาวุธที่อยู่บนร่างของเพื่อนนักผจญภัยกลุ่มนั้นอย่างอ่อนโยนสายตาเเละการเเสดงออกให้เห็นถึงการเคารพต่อร่างตรหน้าถึงเเม้ว่าจะไม่ได้รู้จักกันก็ตามสิ่งนั้นก่อนจะเดินลุกออกมาทำให้อีกทั้งสามคน ไคลน์ เอเลนเเละอาเรนเข้ามาทำเเบบเดียวกันกับเด็กชายรวมถึงได้กล่าวคำสั่งเสียเเละระบายความในใจบรรยากาศเป็นไปด้วยความโศกเศร้าก่อนเฮเลนจะเดินไปจับไหล่ฟีเรียเพื่อเรียกให้เธอร่วมส่งเพื่อนเป็นครั้งสุดท้ายเธอได้ใช้เวทย์สร้างกองฟอนไว้ใต้ร่างเพื่อนของเธอ


"กิ่งก้านแห่งวสันต์ จงเรียงร้อยเป็นอัฐฐานแห่งนิรันดร์"


“ใช้งาน Basic Skill : Verdant Rest – อัฐฐานแห่งวสันต์”

ปรากฎกองไม้ที่จัดเรียงอย่างเป็นระเบียบใต้ร่างของผู้ล่วงลับราวกับเป็นแท่นบูชาธรรมชาติที่ถูกจัดวางโดยมือแห่งสรรพชีวิต ไม้ที่ปรากฏขึ้นจะมีลวดลายอ่อนโยนคล้ายผ่านกาลเวลามาอย่างสงบพร้อมเป็นสถานที่สุดท้ายแห่งการพักพิง


“ชั้นใช้เวทย์เตรียมที่ไว้ให้เเล้วนะ..ขอรบกวนนายทีนะคุณนักดาบ..” เด็กสาวกล่าวก่อนจะเดินไปยืนข้างๆกลุ่มเพื่อนของเธอ


“เข้าใจเเล้วหล่ะครับ สั่งเสียกันกันเรียบร้อยเเล้วนะครับ..” น้ำเสียงที่อ่อนโยนเเละสงบนิ่งของเด็กชายกล่าวขึ้นก่อนเด็กหนุ่มยื่นมือออกไปพร้อมร่ายเวทย์ "เปลวอัคคีคือห้วงลมหายใจแห่งดวงวิญญาณ ควันทมิฬคือการปลดปล่อยจากพันธนาการที่สิ้นเเล้ว ธุลีสู่ปฐพี วิญญาณของเจ้าจง…กลับคืนสู่เปลวเพลิงแห่งนิรันดร์"


“ใช้งาน Advanced Skill: Eternal Flame (เปลวเพลิงนิรันดร์)”

เมื่อคำร่ายเสร็จสิ้นไฟจะลุกลามจากมือของผู้ใช้เวทย์และกลายเป็นเปลวเพลิงร้อนแรงที่สามารถเผาผลาญสิ่งที่อยู่ในเส้นทางของมัน.เปลวเพลิงนี้ยังมีความสามารถในการปลดปล่อยวิญญาณที่ตกอยู่ในพันธนาการและทำให้วิญญาณเหล่านั้นกลับคืนสู่สภาพธุลีดิน มือของเด็กหนุ่มที่ติดไฟเเต่ตัวเขากลับไม่รู้สึกเจ็บปวดหรือทรมานจากเปลวเพลิงนั่นเลยสักนิดก่อนจะเดินไปจับที่มือของร่างไร้วิญญาณนั่นอย่างให้ความเคารพเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อนั้นปรากฎเปลวเพลิงเเผดเผาร่างนั้นอย่างสมเกียรติเเสดงจากเปลวเพลิงส่องสว่างไปทั่วบริเวณ


“ยังไงก็มานั่งพักทานข้าวกลางวันกันก่อนเถอะครับ ระหว่างรอไฟที่เผาร่างนั่นมอดแล้วไปเก็บอัฐิ จากนั้น…พวกคุณก็กลับออกไปกันเถอะครับคุณไคลน์รวมถึงทุกคนด้วยนะครับ”


ทุกคนหยิบเสบียงอาหารและน้ำที่เตรียมมาทานอย่างหิวโหยขณะเดียวกันก็กระตือรือร้นที่จะพูดคุยกันระหว่างทานอาหาร


“ถ้าไฟที่เผาร่างนั้นมอดแล้วไปเก็บอัฐิกันจากนั้น…พวกคุณก็กลับออกไปกันเถอะครับคุณไคลน์ รวมถึงทุกคนด้วยนะครับ”

“แล้วตัวนายหล่ะโอมิกะคุง?” สาวเอลฟ์นักธนูถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ


“ผมจะลุยต่อหน่ะครับ เพราะผมมีเหตุผลที่ต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ครับ..ว่าแต่ พี่สาวเอลฟ์ คุณนักเวทย์ และพี่ชายสวมเกราะชื่ออะไรกันบ้างหรอครับ?” เด็กหนุ่มตอบพร้อมกินอาหารไปด้วย หางของเขาไหวไปมาอย่างเป็นมิตร


“อืม...ชั้นเป็นหัวหน้าของปาร์ตี้นี้ ชื่อว่า อาเรน เฟลไฮม์ ตำแหน่งไฟต์เตอร์แนวหน้า!” อาเรนยิ้มตอบ


“ส่วนชั้นชื่อ อัลเธีย สตาร์ฟอลล์ เอลฟ์สายธนู ตำแหน่งดาเมจหลักจากแนวหลัง”


“ทางชั้นชื่อ ฟีเรีย เอเวริสค่ะ นักเวทย์ระดับกลาง ตำแหน่งซัพพอร์ตและฮีลเลอร์ค่ะ”


“แล้วก็ชั้น ไคลน์ ออร์เทก้า ตำแหน่งแท็งค์และโล่ของปาร์ตี้นี้ครับ”


“ฝั่งผมก็ โอมิกะ อากิระครับ เป็นปีศาจจากเผ่าอาคุมะครับ”


ทุกคนตกใจเมื่อได้ยินว่าเด็กหนุ่มมาจากเผ่าอาคุมะซึ่งเคยเป็นตำนานในสงครามบรรพกาลทำให้พวกเขารู้สึกช็อคกับภาพตรงหน้า


“เดี๋ยวนะโอมิกะคุง! นายมาจาก...ผะ...เผ่าอาคุมะในตำนานนั่นหรอ!?” อัลเธียถามเสียงสั่นเล็กน้อย


“จริงหรอโอมิกะคุง!?” อีกสามคนถามขึ้นพร้อมกัน


“ใช่ครับ 100เปอร์เซ็นต์เลยครับทุกคน!” เด็กหนุ่มยิ้มด้วยท่าทางมั่นใจ


ทุกคนมองไปที่ท่าทางของเขาที่นั่งเหมือนแมวน้อยหางของเขากระดิกไปมาหูขยับไปมาดวงตาสีฟ้าเป็นประกายน่ารักจนไม่สามารถต้านทานได้ ทันใดนั้น ทุกคนกรูก็เข้าไปโอบกอดเด็กหนุ่ม จับหางและหูของเขาด้วยความตื่นเต้น อาเรนนักดาบใหญ่ร่างกำยำในชุดเกราะหนักเป็นคนแรกที่โถมเข้าไปกอดจากด้านหลังอย่างแน่นหนาแม้จะรู้สึกเขินอายจากความรักที่ไม่อาจควบคุมได้แต่เขาก็ยิ้มให้กับความน่ารักของอีกฝ่าย


 “ทำไมถึง…น่ารักขนาดนี้นะกิระคุง!”


“อ่ะ คุณอาเรน ทำอะไรครับเนี่ย!?” เด็กหนุ่มดิ้นเล็กน้อย


ฟีเรียนักเวทย์ขี้กลัวแม้จะเครียดและขี้อายแต่ก็ไม่อาจต้านทานความน่ารักของเด็กหนุ่มที่เหมือนเเมวน้อยได้เธอยื่นมือไปสัมผัสหูขนฟูนุ่มๆอย่างระมัดระวังก่อนจะหลุดเสียงอุทาน “อ๊า…มันขยับได้จริงๆด้วย น่ารักกก!” เธอจมหน้าลงกับหูด้วยความตื่นเต้น


“หา! คะ คุณฟีเรียมันเจ็บนะครับ!”


ไคลน์ผู้ปกป้องทีมลูบหางนุ่มๆของเด็กหนุ่มด้วยรอยยิ้ม“เห้ยๆ กิระคุง…นุ่มเกินไปแล้ว!” เขาหัวเราะเสียงดัง ขณะที่หางของเด็กหนุ่มถูกลูบไปมา


“คุณไคลน์ด้วยหรอ!?” เด็กหนุ่มตาโตด้วยความตกใจ


อัลเธียเอลฟ์สาวนักธนูที่มักสงบและใจเย็นไม่สามารถหักห้ามตัวเองได้เธอลูบหูและหางของเขาอย่างนุ่มนวลลอยยิ้มเล็กๆบนใบหน้าบ่งบอกถึงความพอใจที่ไม่อาจปกปิดได้ “นุ่มนิ่มน่ารักน่าฟัด”


“คุณอัลเธียก็ใจเย็นเกินไปแล้วน่ะครับ!”

ทุกคนล้อมรอบเด็กหนุ่มด้วยความหลงใหลความน่ารักของเขาทำให้พวกเขาลืมไปว่ากำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดขณะที่พวกเขารวมตัวกันอย่างอบอุ่นและเต็มไปด้วยความรู้สึกดีๆ


“ไม่อยากใช้เจ้านั้นเลยนะ!”


“ใช้งานสกิลติดตัว BasicSkill: Akauma’s Beast Form (ร่างอสูรแห่งอาคุมะ)”


จบประโยคนั้นเด็กถูกจับไว้จนขยับไม่ได้เลยเปลี่ยนร่างเป็นเเมวสีต้ำตาลตาสีฟ้าครามเเละหนีหลุดออกมา ก่อนจะกล่าวขึ้นมมาในร่างนั้นว่า


“เดี๋ยวสิครับทุกคนใจเย็นๆก่อนนะครับ!เล่นเข้ามาจับตัวผมทีเผลอนี่ผมระเเวงนะครับ! ”


“กิระคุงนายเปลี่ยนร่างได้ด้วยอย่างงั้นหรอ?” อัลเธียกล่าวอย่างใจเย็น


“ขอโทษทีนะ กิระคุงที่พวกเราทำอะไรล่วงเกินนายหน่ะโอมิกะคุง เพราะว่าเจอเรื่องเเบบนั้นกันมาก็เลยอยากให้ทุกคนร่าเริงกันหน่อยหน่ะ” อาเรนผู้เป็นหัวหน้ากล่าวขอโทษอย่างเกรงใจกิระเเต่ในทางกลับกันฝั่งความคิดของเด็กหนุุ่มร่างเเมว


“เอ้า!เฮ้ยไหงเราเป็นคนผิดซะนิ! ช่วยไม่ได้ละนะ..” เด็กชายอุทานออกมาภายในความคิด


สุดท้ายก็จบลงด้วยเด็กชายที่อยู่มนร่างเเมวตัวเล็กได้นอนตักเด็กสาวนักเวทย์โดยมีสาวเอลฟ์คอยลูบตัวไปมาเเละเล่นกับหัวหน้าปาร์ตี้กับเเทงค์ของปาร์ชตี้พร้อมกับอารมที่อายมาก


“อายโคตรๆเลยวุ้ย! ไม่คิดว่าตัวเราจะต้องมาอยู่ในสถานะการณ์บีบบังคับเช่นนี้!” เด็กหนุ่มกล่าวกับตัวเองในความคิดก่อนจะถึงเวลาเเยกย้ายกัน..


เมื่อกองไฟที่เเผดเผ่าร่างนั้นจนมอดสิ้นเหลือเพียงเศษซากการเผาร่างนี้เหล่าสมาชิในปาร์ตี้ต่างยังกับเก็บอัฐิในถุงคนละช