"เมื่อความรักต้องห้ามเกิดขึ้นระหว่างทูตสวรรค์ผู้บริสุทธิ์และปีศาจแห่งความมืด... ความเกลียดชังระหว่างสองเผ่าพันธุ์จะสั่นคลอน หรือรักแท้จะเป็นเพียงความลับที่ถูกกลืนหายไปในความขัดแย้งนิรันดร์?"
รัก,แอคชั่น,ตลก,แฟนตาซี,ไซไฟ,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Heaven Fall's รักระหว่างเเสงเเละเงา"เมื่อความรักต้องห้ามเกิดขึ้นระหว่างทูตสวรรค์ผู้บริสุทธิ์และปีศาจแห่งความมืด... ความเกลียดชังระหว่างสองเผ่าพันธุ์จะสั่นคลอน หรือรักแท้จะเป็นเพียงความลับที่ถูกกลืนหายไปในความขัดแย้งนิรันดร์?"
ในโลกที่แบ่งออกเป็นสามดินแดน, ทูตสวรรค์ และ ปีศาจ ได้พบรักที่ไม่อาจเปิดเผยได้ ความเกลียดชังระหว่างสองเผ่าพันธุ์ทำให้ความรักนี้ต้องถูกซ่อนเร้นท่ามกลางสงครามและความขัดแย้ง ทั้งคู่ต้องเลือกว่าจะรักกันและเปลี่ยนแปลงโลก หรือจะต้องรักษาความลับนี้ไว้ตลอดไป.
เป็นการเขียนครั้งเเรกของผม อาจจะไม่ถูกใจหรือไม่ถูกชะตาถ้าอยากให้ใส่อะไรเข้าไปหรือเเนะนำเเนวทางคอมเม้นได้คับ
สำหรับผมขอให้มีผู้คนมาเห็นเรื่องราวที่ผมสร้างเเละฟังหรืออ่านเรื่องราวของผมก็ถือว่า
ผมสำหรับกับเป้าหมายเเล้วคับ
**ยังไงก็ขอฝากผลงานไว้ด้วยคับ
นามปากกา Dekuru คับ
เสียงหอบหายใจสลับกับเสียงคำรามของเหล่าก็อบลินดังก้องไปทั่ว สี่ชีวิตที่เหลือรอดต่างอยู่ในสภาพสะบักสะบอม ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลและความเหนื่อยล้า เสียงโลหะกระทบกันดังสนั่น ขณะที่แทงค์หนุ่มใช้โล่อันแข็งแกร่งของเขาปัดป้องการโจมตีจากก็อบลินจำนวนมหาศาลสุดกำลัง เลือดสีแดงเข้มไหลซึมออกจากรอยแผลบนแขนและขาของเขาไม่หยุด มือที่จับโล่เริ่มสั่นเล็กน้อยจากความอ่อนล้า ทว่าดวงตาคู่นั้นยังคงเปล่งประกายด้วยความมุ่งมั่น เขายืนหยัดอยู่ตรงนั้น ไม่ยอมให้ศัตรูฝ่าแนวป้องกันไปได้แม้แต่นิดเดียว
ด้านข้างของเขา อาเรนนักดาบสวมเกราะที่เคยเป็นแนวหน้าแข็งแกร่งบัดนี้แทบยืนไม่ไหว แขนที่กำดาบหนักอึ้งไร้เรี่ยวแรงจากความเหนื่อยล้าและบาดแผลที่สะสมทั่วร่างเกราะของเขามีรอยแตกร้าวไปทั่ว รอยเลือดเปรอะเปื้อนจากการฟาดฟันกับพวกมันแต่ถึงกระนั้นเขายังฝืนกัดฟันสู้อยู่
เสียงคำรามจากก็อบลินบรูทดังก้อง ก่อนที่มันจะเงื้อขวานหนักขึ้นเหนือหัว และฟาดลงมาด้วยแรงมหาศาล!
ทางเด็กหนุ่มที่วิ่งมาถึงจุดนั้นพอดี
“อ่ะ พวกนั้นมันนักผญจภัยงั้นหรอ? เหมือนคนในปาร์ตี้จะโดนฆ่าไปคนนึงสินะ..แถมอีกสองคนก็กลัวตนจนสั่น อีกสองคนก็เสียเลือดเยอะแถมยังเป็นพวกมนุษย์..." เด็กชายกล่าวกับตัวเองภายในความคิดขณะที่กำลังหลบอยู่หลังกำแพงคอยสังเกตเหตุการณ์อยู่ห่างๆ
“บัดซบเอ้ย! ชั้นผิดเองหล่ะที่ลากพวกนายเข้ามาที่นี่ด้วยแค่เพื่อนคนเดียวชั้นยังปกป้องไว้ไม่ได้เลย! แฮรๆ ขอโทษด้วยนะทุกคน”
“เฮ้ย อาเรน! จะมาดราม่าก็ไว้ทีหลังสิฟ่ะ ทางนี้จะยันไว้ไม่ไหวแล้วนะ! ไม่ว่ายังไงพวกเราก็ต้องรอดไปด้วยกันให้ได้!”
ตรงหน้าพวกเขา ก็อบลินฮันเตอร์ และ ก็อบลินบรูท ยืนตระหง่าน, ผู้นำของเหล่าก็อบลินที่สูงใหญ่กว่าพวกเดียวกันหลายเท่า ก็อบลินฮันเตอร์ถือดาบสั้นคู่ พลิ้วไหวดุจนักล่า, สายตาคมกริบของมันสะท้อนแววเจ้าเล่ห์และคำนวณการเคลื่อนไหวของเหยื่ออย่างแม่นยำ ส่วนก็อบลินบรูท—นักรบกระหายเลือดผู้ใช้ขวานหนัก กรีดร้องเสียงดัง ขณะที่เตรียมพุ่งเข้าขย้ำเหยื่อ
“มันกำลังจะมาอีกแล้ว!” แทงค์หนุ่ม ไคลน์ ตะโกนออกมา ขณะใช้โล่ต้านการโจมตีจากก็อบลินหลายตัวรอบด้าน
“ชั้นจะยันพวกมันไว้ไม่ไหวแล้ว อาเรน!” ชายหนุ่มที่ถือโล่ตั้งรับและป้องกันการโจมตีของพวกก็อบลิน แต่ตอนนี้เริ่มอ่อนล้าเต็มทีแล้ว
“ชั้นช่วยเสริมให้นะไคลน์ ฮึบ ตายซะเจ้าพวกก็อบลิน!” ชายหนุ่มอีกคนวิ่งไปป้องกันด้านข้างให้ชายที่ถือโล่ที่คอยป้องกันด้านหน้าให้
นักธนูเอลฟ์สาวถอยหลังจนเกือบชนกับกำแพงถ้ำคันธนูในมือสั่นระริกลูกศรที่เธอง้างไว้เต็มไปด้วยความลังเลแววตาสั่นระริกอย่างไม่มั่นใจสหายของเธอเพิ่งถูกฆ่าต่อหน้าต่อตาไม่กี่นาทีก่อนพวกเขายังมีโอกาสชนะแต่ตอนนี้—
“...ชั้น..สู้ต่อไม่ไหวแล้ว..แบบนี้หน่ะ..มัน..โหยร้ายเกินไปแล้วนะ..” เสียงของอัลเธียนักธนูเอลฟ์สาวที่ยืนหลังชิดกำแพงไร้ที่หนีกำลังจับแขนของตนที่บาดเจ็บพร้อมสีหน้าและแววตาที่สิ้นหวังเลยอมแพ้กับสถานการณ์ตรงหน้าเเละน้ำเสียงที่เยือกเย็นเเละสิ้นหวัง
นักเวทย์สาวฟีเรียที่อยู่ด้านหลังสะดุ้งเฮือก ดวงตาเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัวคทาในมือสั่นระริกเวทย์มนตร์ที่เธอร่ายเตรียมไว้แทบควบคุมไม่อยู่
“ทำยังไงดี..เราร่ายเวทย์รักษาให้พวกไม่ได้เลย พลังเวทย์ในตัวของเรากำลังปั่นป่วน..ทำยังไงดีล่ะ”
“พวกเธอสองคนหน่ะ หนีไปซะ! ฟีเรีย อัลเทีย อย่างน้อยแค่พวกเธอก็ยังดี! เดี๋ยวชั้นสองคนจะฝ่าพวกมันออกไปเพื่อเปิดทางหนีให้พวกเธอเอง!” อาเรนตะโกนด้วยรอยยิ้มฝืนๆมือที่จับดาบแน่นขึ้นแม้ว่าแขนจะสั่นจนแทบไม่มีเรี่ยวแรง
“แต่ว่า—!” ฟีเรียอ้าปากค้านน้ำตาคลอ
“ไม่มีเวลาเเล้ว ตอนนี้หล่ะ ไปซะ!! ฟีเรีย เอเลน!” ไคลน์คำราม พร้อมกับกระแทกโล่เข้าใส่ก็อบลินที่พุ่งเข้าโจมตีเสียงกระดูกแตกร้าวสะท้อนก้องทั่วถ้ำ
เอลเลนเม้มปากแน่น ขณะที่ฟีเรียกำคทาในมือแน่นขึ้น ก่อนจะกัดฟันร่ายเวทย์สุดท้ายเพื่อเปิดทาง ทว่า—
ฉัวะ!
“อ๊ากกก!” ฟีเรียนักเวทย์สาวกรีดร้อง เมื่อรู้สึกถึงแรงตัดถากผ่านข้างลำตัว ก่อนที่ร่างของเธอจะล้มลงไปกระแทกพื้นอย่างแรง หางตาของเธอเห็นเงาดำสามสายพุ่งออกมาจากความมืด
“เกี๊ยววววว!!”
เสียงคำรามต่ำของก็อบลินบรูทดังขึ้นก้องในถ้ำมืด มันยกขวานหนักขึ้นเหนือหัว เส้นเลือดปูดโปนไปทั่วแขนก่อนจะฟาดลงมาด้วยแรงมหาศาล
ตูม!!
ฟีเรียรีบพลิกตัวหลบสุดแรงเกิด ขวานขนาดใหญ่ฟาดลงบนพื้นถ้ำจนเกิดรอยแตกร้าว ฝุ่นตลบอบอวลเธอพยายามจะยันตัวลุกขึ้น—แต่ไม่ทัน!
“อึก…!”
แขนหยาบกร้านของก็อบลินตัวหนึ่งกระชากแขนของเธอเอาไว้ อีกสองตัวกรูกันเข้ามา มือสกปรกของพวกมันพยายามจะกดร่างเธอลงกับพื้นแววตาของพวกมันเต็มไปด้วยความหื่นกระหาย
“ไม่นะ… ปล่อยฉันนะ!” เธอดิ้นสุดแรง ทว่าเรี่ยวแรงของนักเวทย์สาวไม่อาจสู้แรงของพวกมันได้—
ขณะเดียวกันนั้นเอง…
“อ๊ากกก!!”
เสียงร้องของ อัลเธีย ดังมาจากอีกด้านหนึ่งของถ้ำ นักธนูสาวเอลฟ์ถูกก็อบลินมากกว่าสิบตัวล้อมไว้จากทุกทิศทาง เธอยิงศรออกไปอย่างต่อเนื่อง แต่ลูกศรของเธอก็เริ่มหมดลงเรื่อยๆ พร้อมทั้งแผลที่แขนทำให้ธนูที่ถืออยู่หลุดมือ
"ถอยไปนะ! ถอยออกไปเดี๋ยวนี้นะ! ชั้นยังไม่อยากจะตายในมี่เเบบนี้นะ!" เธอพยายามถอยแต่แผ่นหลังของเธอกระแทกเข้ากับผนังหินเยือกเย็นวิ่งขึ้นมาเกาะแน่นในใจของเธอ
“เกี๊ยวววว!” ก็อบลินตัวหนึ่งคำราม ก่อนจะกระโจนเข้าใส่เธอจากด้านหน้า—
พวกมันกำลังจะลงมือ! ก็อบลินสามตัว … มันฉวยโอกาสเข้ามาโจมตีจากมุมอับสายตา!
ขณะที่สองสาวตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤติสุดขีด—
เด็กสาวนักเวทย์ที่โดนจับตัวกล่าวกับตัวเองในความคิด “นี่เรา..จะมาตาย…โดยที่ยังไม่ทำประโยชน์อะไรเลยหรอ…ตัวเรา…กำลังจะตาย..อย่างนั้นหรือ..”
"ผู้ที่อ่อนแอ..จะต้องตาย มีเพียงผู้แข็งแกร่งที่จะเอาตัวรอดในโลกใบนี้ได้..เพราะงั้น..ขอโทษด้วยนะชั้นไม่มีเวลาพอจะมาช่วยพวกนายหรอกนะ ขอโทษจริงๆนะ" เด็กชายกล่าวกับตัวเองภายในความคิดขณะที่กำลังหลบอยู่หลังผนัง คอยสังเกตเหตุการณ์อยู่ห่างๆ ก่อนจะค่อยๆ เดินออกไป แต่ในพลิบตานั้น พลางนึงถึงภาพในอดีตที่ผ่านมาของตนเอง…
“ขอร้องหล่ะอย่างฆ่าชั้นเลยนะ! ชั้นมีภรรยาลูกสาวคนโตและลูกสาวที่กำลังจะลืมตาดูโลกอีกคนนึง ได้โปรดไว้ชีวิตชั้นด้วยเถอะนะ ถ้าชั้นไม่รอดกลับไป ครอบครัวชั้นจะอยู่กันยังไงกันเล่า”
“แกหน่ะ..รู้ตัวบ้างหรือเปล่า แกกำลังต่อรองกับอะไรอยู่..คิดจะลืมชีวิตนับสิ่งที่แกฆ่าไปเพื่อปล้นชิงเอาไปเลี้ยงดูครอบครัวแก..อย่างนั้นหรือ..ชั้นไม่เห็นความสมเหตุสมผลอะไรในคำพูดของคนที่เอาชีวิตคนอื่นแล้วยังใช้ชีวิตได้มีความสุขนะ” น้ำเสียงที่เย็นยะเยือด เเววตาที่เย็นชา ไร้จิตใจและความเมตตาของเด็กชายในอดีตได้ยกดาบขึ้น ก่อนจะฟาดฟันสะบั้นชายผู้นั้นจนชิ้นส่วนกระจัดกระจายพร้อมทั้งเลือดกระเซ็นไปทั่วบริเวณนั้น
“ชีวิตแกแค่คนเดียว มันเทียบไม่ได้กับชีวิตที่แกพึ่งฆ่าไปหรอกนะ..เรื่องครอบครัวของแกหน่ะชั้นจะหาทางช่วย” เด็กชายในอดีตได้ถือถุงย่ามขนาดใหญ่ที่ตุ่งและดูหนักมากเดินไปยังบ้านหลังหนึ่ง เขาได้เคาะประตูและวางถุงนั้นไว้หน้าบ้านหลังนั้น ก่อนจะมีหญิงสาวท้องโตเดินออกมาหญิงสาว ล้วงมือไปในถุงที่รู้สึกได้ว่าเป็นเหรียญเงินและเหรียญทองปะปนกันในถุงนั้น และหยิบแผ่นกระดาบขึ้นอ่าน ก่อนจะยิ้มเดินกลับเข้าไปในบ้าน เด็กชายที่ยืนหลบมุมดูสถานการณ์อยู่ในความมืดได้มองมายังจุดนั้นและเดินจากไป “ชั้นหน่ะ…ช่วยแกได้แค่นี้หล่ะนะ”
ภาพตัดกลับมายังปัจจุบัน…
“ใครจะไปยอมกันละฟ่ะ!” แทงค์หนุ่มตะโกนออกมาก่อนจะตั้งโล่แล้ววิ่งฝ่าฝูงก็อบลินเข้าไปช่วยทั้งสองสาวที่โดนจับตัว แต่…
“อึก … บัดซบเอ้ย!” แทงค์หนุ่มกล่าวก่อนจะล้มลงไปเพราะโดนก็อบลินบรูทฟาดขวานลงมาโจมตีจากด้านหลังที่ไร้การป้องกัน
“อ่ะ ไคลน์” ชายสวมเกราะอีกคนกล่าวขึ้นก่อนจะมีก็อบลินฮันเตอร์สองตัวกระโดดเข้ามาโจมตี
ทันใดนั้นเอง เสียงกัลปนาท ดังขึ้นทั่วบริเวณ ก่อนจะปรากฎร่างของก็อบลินฮันเตอร์ทั้งสองตัวที่ล่วงหล่นโดยที่หัวถูกบางอย่างเจาะทะลวง
“ให้มันได้งี้สิน่า! คุณมนุษย์เเละพี่สาวเอลฟ์!” เสียงที่กล่าวขึ้นอย่างเบาๆ ก่อนจะปรากฎเป็นร่างที่เป็นเงา พุ่งเข้าไปแต่ที่จริงแล้วคือร่างของเด็กชายที่กำลังจะเดินออกไปจากตรงนั้น เเต่กลับวิ่งเข้าไปจุดนั้นด้วยความเร็ว จนเห็นเป็นเงาดำพุ่งผ่าน พร้อมทั้งเสียงปืนกัมปนาทดังขึ้นไม่หยุด
“เก็บพวกตัวสั่งการก่อนละกัน..เเกก่อนเลยเจ้าคิง!”
ปั้ง!
ร่างของก็อบลินคิงที่คอยสั่งการก็อบลินฮันเตอร์และก็อบลินบรูท ได้ล้มหงายลงไปที่พื้นอย่างไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นขณะนั้นเหล่าก็อบลินจำนวนมากต่างหันมามองในจุดเดียวกัน ซึ่งก็คือจุดที่ก็อบลินคิงถูกสังหารนั่นเอง
“เอาหล่ะ ชั้นให้ตัวเลือกพวกแก 2 ข้อ เจ้าพวกก็อบลิน”
“1. พวกแกไสหัวหนีไปแบบกระเจิงแล้วไม่กลับมาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น!”
“2. ตายยันโคตรของพวกแก! เลือกมาซะ!” แต่สิ่งที่ตอบรับกลับมาคือเสียงของอาวุธที่เสียดสีกันและเสียงของเหล่าก็อบลินที่แสดงถึงความโกรธและไม่พอใจกับการกระทำของเด็กหนุ่ม
“เลือกข้อ 2 กันหล่ะสินะ”
“งั้นก็ตายยันโคตรของพวกเเกนั่นล่ะ !!” สิ้นคำพูดของเด็กหนุ่มได้คว้าปืนเวทย์มนตร์ธาตุไฟและลมออกมาจากใต้เสื้อโค้ทสีแดงนั้นแล้วยิงใส่พวกก็อบลินทุกตัวที่เล็งปืนไป และยังยิงใส่พวกก็อบลินที่กำลังจะสังหารชายทั้งสองคน รวมถึงก็อบลินกลุ่มนึงที่จับตัวสาวทั้งสองกดลงกับพื้นจนก็อบลินพวกนั้นสิ้นชีพกันนับไม่ถ้วน เสียงกรีดร้องและเสียงโวยวาย ของพวกก็อบลินรวมถึงเสียงปืนทั้งสองกระบอกของเด็กชายที่สาดใส่พวกก็อบลินอย่างไม่ปราณีจนได้สังหารพวกก็อบลินจนหมดสิ้นก่อน…เสียงสะท้อนจากการต่อสู้เงียบสงัดลงเมื่อศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดล้มลงไปกับพื้น..
[หน้าต่าง UI – รายการดรอปไอเทม]
[ศัตรู: ก็อบลินคิง – Lv. 45 (แรงค์ B)]
มงกุฎก็อบลินคิง – เครื่องประดับของราชาก็อบลิน เพิ่มพลังเวทมนตร์สายมืด
ดาบเงารัตติกาล – อาวุธประจำตัวของก็อบลินคิง เพิ่มพลังโจมตีธาตุความมืด
เกราะก็อบลินคิง – เกราะที่ลดดาเมจทางกายภาพ
แก่นพลังราชาเงา – วัตถุดิบหายาก ใช้เสริมพลังอาวุธและเวทมนตร์
__________________________________________________
[ศัตรู: ก็อบลินฮันเตอร์ – Lv. 28 (แรงค์ D)]
มีดนักล่าเงา – มีดสั้นที่เพิ่มอัตราคริติคอล
เสื้อคลุมเงาก็อบลิน – เพิ่มค่าหลบหลีกเมื่ออยู่ในที่มืด
ลูกธนูเงาก็อบลิน – ลูกธนูอาบพิษ ใช้โจมตีศัตรู
__________________________________________________
[ศัตรู: ก็อบลินบรูท – Lv. 32 (แรงค์ C)]
ค้อนกระดูกก็อบลิน – อาวุธหนักที่เพิ่มพลังโจมตีแบบกระแทก
แก่นพลังนักรบเถื่อน – ใช้เสริมพลังให้กับอาชีพสายกายภาพ
กระดูกก็อบลินยักษ์ – วัสดุสำหรับสร้างอาวุธหรือเครื่องป้องกัน
_________________________________________________
เด็กหนุ่มยืนอยู่กลางเหล่าซากก๊อบลิน ลมหายใจหนักหน่วง หัวใจเต้นแรงหลังจากการต่อสู้ที่กินเวบาระดับนึง ขณะมองไปยังร่างไร้วิญญาณของก็อบลินคิงที่นอนจมกองเลือด ท่ามกลางบรรยากาศที่นิ่งเงียบราวกับทุกสิ่งทุกอย่างถูกหยุดลงไปในชั่วขณะหนึ่ง...ก่อนจะเดินเข้าไปดูอาการนักเวทย์ของกลุ่มปาร์ตี้นั้น
“เธอโอเครนะ คุณนักเวทย์? ดื่มโพชั่นรักษากับล้างพิษนี่ก่อน อย่าขยับมากล่ะ! อาวุธของพวกก็อบลินมันมีพิษเคลือบไว้อยู่ ถ้ายิ่งขยับพิษจะยิ่งไหลเร็วขึ้น พวกนายรวมถึงเธอคุณเอลฟ์ตรงนั้นด้วยนะครับ!”
“ขอบคุณ..ที่ช่วยชั้นไว้น่ะค่ะ, คุณ..?”
“รีบไปช่วยกันรักษาเพื่อนของเธอก่อนเถอะ โดยเฉพาะสองคนนั้นหน่ะ”
“คะ- ค่ะ!”
“นี่ๆ แล้วชั้นหล่ะ? พ่อหนุ่ม ชั้นเองก็บาดเจ็บนะ!”
“แผลของคุณเอลฟ์ไม่ได้รุนแรงมากครับ ไกลหัวใจ...แต่ถ้าไม่ยอมอยู่เฉยๆ ผมว่าคงได้สู่ขิตในไม่ช้าครับ” เด็กชายตอบกลับเอลฟ์สาวนักธนูคนนั้นด้วยท่าทางที่เย็นชาก่อนจะโดยนขวดโพชั่นให้
"ขะ ขอบใจนะเจ้าหนู” สาวเอลฟ์นักธนูคนนั้นกล่าวตอบก่อนจะดื่มโพชั่นเเละนั่งพักอยู่ตรงนั้น
เด็กหนุ่มเดินเข้าไปหาชายโล่ที่ตอนนี้นอนนิ่งขยับตัวไม่ได้ สายตาพล่ามัว สติกำลังกระเจิงไปเรื่อยๆ จนเกือบจะสิ้นลม “แข็งใจไว้ก่อนนะครับ ผมจะรีบช่วยเดี๋ยวนี้ล่ะครับ”
เด็กหนุ่มมองสังเกตอาการของชายคนนี้นก่อนจะกล่าวขึ้นมาอย่างใจเย็น "บาดเเผลสาหัสเกินไป โพสชั่นเอาไม่อยู่เเน่ต้องใช้เวทย์รักษา" เด็กหนุ่มยกมือหันไปทางร่างของชาโล่ก่อนจะทำการร่ายเวทย์
"โอแสงแห่งศักดิ์สิทธิ์ จงขจัดมลทินและเยียวยาร่างกายแก่ผู้ศรัทธา— Purifying Radiance!"
เสียงประกาศ
“ใช้งาน Advanced Spell: Purifying Radiance (แสงศักดิ์สิทธิ์ชำระล้าง)
ทำการฟื้นฟูบาดแผลระดับปานกลางถึงรุนแรง และขจัดพิษจากอาวุธต้องคำสาปให้
ชายโล่ที่นอนหายใจโรยรินที่อาการเริ่มดีขึ้นเเละเด็กสาวนักเวทย์ที่กำลังช่วยชีวิตเพื่อนที่สวมเกราะของเธอได้แล้ว ตอนนี้ได้ร้องไห้ดีใจที่เพื่อนๆของเธอรอดชีวิตมาได้พลันเธอหันมามองเด็กหนุ่มที่กำลังช่วยชีวิตเพื่อนของเธออีกคนที่นอนแน่นิ่งอยู่ที่ตอนนี้อาการค่อยๆดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “เวทย์นั่นมัน เวทย์ศักดิ์สิทธิ์ระดับกลาง แต่เป็นเวทย์ที่ใช้ได้เฉพาะนักเวทย์ระดับสูงเท่านั้น เด็กคนนั้นเป็นใครกันนะ?” เด็กสาวมองแล้วนึกกล่าวตั้งคำถามภายในจิตใจ
“ขอบคุณมากนะที่ช่วย นายคือ…?”
ชายโล่ที่ฟื้นคืนสภาพและกำลังกายกล่าวก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง โดยมีเด็กหนุ่มช่วยพยุงให้อยู่ เด็กหนุ่มนั่งยองๆ ลงใกล้ตัวของชายโล่ที่นั่ง ดังหมดแรง “อย่าพึ่งฝืนเป็นไปหล่ะครับ ถึงผมจะรักษาล้างพิษจนมีกำลังกลับมาเเล้ว แต่มันก็ยังมีระบมอยู่ เพราะงั้นอย่าฝืนหล่ะครับ” เด็กหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หวังดี
“ชิ... ไม่อยากใช้ก็เพราะเงี้ยแหล่ะ... ไอเวทย์รักษานี่หน่ะ” เด็กหนุ่มที่กำลังนั่งยองๆบ่นเบาๆพร้อมยกมือข้างที่ร่ายเวทย์รักษาไว้ถกถุงมือออกนิดหน่อยทำให้เห็นว่าตอนนี้มีควันและรอยไหม้ออกมาจากมือข้างนั้น เนื่องจากคนใช้อย่างเด็กหนุ่มที่เป็นปีศาจไม่สามารถแตะต้องหรือโดนแสงหรือพลังศักดิ์สิทธิ์ได้
“นี่ นายเป็นปีศาจอย่างนั้นหรือ?” ชายหนุ่มถามเด็กหนุ่ม
“ใช่ครับ... จะกลัวก็ได้นะครับ”“เปล่าๆๆ ไม่ได้กลัวหรอก ก็นายช่วยชีวิตพวกเราไว้นินา”
“แต่ก็..ต้องขอโทษด้วยนะครับ เรื่องเพื่อนของคุณอีกคนที่ตายไป ผมมาช้าไป.ต้องโขโทษด้วยจริงๆครับ..”
“ไม่เป็นไรๆนายไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอกนะ พวกชั้นต่างหากหล่ะที่ต้องขอบคุณนาย.”
“จริงสิ ชั้นชื่อว่า ไคลน์ ออร์เทก้า, ตำแหน่งแทงค์ของปาร์ตี้นี้.”
“ส่วนผม โอมิกะ อากิระ ยินดีที่ได้รู้จักครับ นักดาบสายโซ่โล่”
“อากิระคุงหรอ? ชื่อนายเพราะดีนะ.”
ก่อนจะได้พูดคุยกันต่อ, อีกคนสามคนที่เดินเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วยได้กล่าวขอบคุณ หนุ่มที่มีหูและหางเป็นแมว ใส่เสื้อโค้ทสีแดงที่นั่งยองๆ คุยกับเพื่อนของพวกเขาอยู่ก่อน หัวหน้าในปาร์ตี้ที่สวมเกราะ จะเดินเข้ามาพูดด้วยเสียงที่ดังว่า
“ชั้นขอขอบคุณนายมากๆ ที่ช่วยชีวิตพวกเราเอาไว้ ถ้ามีโอกาส, ขอให้พวกเราตอบแทนบุญคุณครั้งนี้ด้วยเถอะนะ ว่าแต่นาย.. ชื่อว่าอะไรล่ะ?”
“โอมิกะ อากิระครับ, เป็นเผ่าปีศาจหน่ะครับ.”
“งั้นหรอก, ดูน่าเกร็งขามมากเลยนะ,นายจัดการพวกก๊อบลินทั้งเผ่านี้ได้ด้วยตัวคนเดียวเลยนะ”
“ใช่ๆ ถ้าไม่ได้ นายช่วยไว้ ไม่รู้พวกชั้นจะโดนอะไรบ้างนะ. ต้องขอขอบคุณจริงๆ โอมิกะคุงงั้นสินะ” สาวเอลฟ์นักธนูกล่าวเสริมอย่างเต็มใจ
เด็กชายไม่ได้ตอบอะไร ได้ลุกแล้วเดินไปยังร่างของเพื่อนในปาร์ตี้นั้นโดยที่เด็กสาวนักเวทย์นั่งทุลักทุเลลงกับพื้นข้างๆร่างของเพื่อนพลางโทษว่าเป็นความผิดของเธอและกำลังร้องไห้
“ชีิวิตที่ดับสูญไปเเล้ว เสียใจไปก็ไม่กลับมาหรอกครับ..คิดในเเง่ดีนะครับเพื่อนคุณอีกสามคนยังรอดชีวิตนะครับ..” เด็กชายพยายามพูดปลอบโยนเด็กสาวนักเวทย์
เด็กชายเดินไปนั่งยองๆข้างร่างของเพื่อนเธอเงยหน้ามองหน้าเด็กสาวที่ตอนนี้กำลังสิ้นหวังกวาดกลัวเเละกำลังช๊อคมาก ก่อนเด็กชายจะเอามือช่วยปิดตาเเละปากให้กับร่างนั้นพร้อมทั้งเอาอาวุธของเขามาวางไว้บนร่างเเละจัดท่าด้วยความเคารพต่อร่างตรงหน้า
“อย่างคุณจะไปเข้าใจอะไรกันละ…คุณไม่ได้เป็นคนสูญเสียนิ!…” เสียงของเด็กสาวตะหวาดออกมาด้วยความโกรธและเจ็บปวด ตาเธอเปล่งประกายด้วยความเศร้า ขณะที่มือสั่นระริกจากความเจ็บปวดที่ไม่สามารถควบคุมได้เเต่ว่าเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมามองที่เด็กหนุ่มทำให้เธอต้องหยุดชะงัก
เด็กหนุ่มที่นั่งย่อตัวอยู่ฝั่งตรงข้าม มองเธอด้วยสายตาที่นิ่งสงบและยิ้มบางๆที่ไม่มีความตกใจเขามองเด็กสาวที่กำลังสูญเสียการควบคุมเขาจับมือเธอเบาๆก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่นิ่งและแฝงไปด้วยความรู้สึก
“ผมเข้าใจ… ผมเองก็สูญเสียทุกสิ่งไปหมดเหมือนกัน... รู้สึกทรมานจนแทบอยากจะตาย... แต่ตอนนี้... ผมเหมือนสูญเสียไปหมดแล้วครับ... ราคาที่ต้องจ่ายสำหรับชีวิตคือการสูญเสียสิ่งสำคัญทั้งหมด...” น้ำเสียงของเด็กหนุ่มสงบ แต่มีความรู้สึกที่ลึกซึ้ง เขาพยายามให้กำลังใจเธอในแบบที่เธอไม่คาดคิด สายตาของเขาสื่อถึงการเข้าใจความเจ็บปวดที่เธอไม่สามารถบอกออกมาเป็นคำพูดได้
“ไม่มีใครอยากให้เกิดการสูญเสียหรอกครับ คุณนักเวทย์..อย่างน้อยเราก็มาช่วยกันทำพิธีศพให้เขากันเถอะครับ” เด็กสายที่ได้ยินดังนั้นไม่ได้ตอบอะไรทำเพียงเเค่หยักหน้าตอบเบาๆ
“พวกคุณ ไคลน์ เองก็ด้วยนะครับ” เด็กหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบเเละเผยรอยยิ้มที่อ่อนโยนเพื่อให้กำลังใจกลุ่มนักผจญภัยเหล่านั้น
“ได้สิโอมิกะคุง ยังไง เรนท์ มอร์เทม นั่นก็เป็นเพื่อนในปาร์ตี้ที่ดีที่สุดตั้งเเต่ชั้นได้เข้าปาร์ตี้เลยหล่ะนะ” สาวเอลฟ์นักธนูตอบกลับเด็กหนุ่มที่กำลังร่ายเวทย์อะไรสักอย่างอยู่
“อากิระคุงนี่มัน..?”
"จงเบ่งบาน... สายลมอ่อนโยนโอบอุ้มสรรพสิ่ง มวลบุปผาจงผลิบานสู่ห้วงนิรันดร!"
ใช้งาน Basic Skill: Eternal Blossom – บุปผาแห่งนิรันดร์
ปลดปล่อยพลังแห่งธรรมชาติ ทำให้พื้นที่รอบตัวผู้ใช้เกิด ทุ่งดอกไม้ขนาดย่อม ที่ผลิบานขึ้นจากพื้นดินในพริบตา ดอกไม้เหล่านี้เปล่งแสงอ่อนๆ และมีกลิ่นหอมที่ช่วยฟื้นฟูพลังชีวิตเล็กน้อยให้กับพันธมิตรที่อยู่ภายในอาณาเขตเด็กหนุ่มร่ายพร้อมวางมือลงกับพื้นที่มีหลุมเล็กๆก่อนจะปรากฎทุ่งดอกลิลลี่ขาว(White Lily)ขนาดย่อมตรงจุดที่เด็กหนุ่มวางมือลงไป
เด็กหนุ่มยื่นมือไปเด็ดดอกไม้จากตรงนั้นเเล้วนำมาวางไว้บนอาวุธที่อยู่บนร่างของเพื่อนนักผจญภัยกลุ่มนั้นอย่างอ่อนโยนสายตาเเละการเเสดงออกให้เห็นถึงการเคารพต่อร่างตรหน้าถึงเเม้ว่าจะไม่ได้รู้จักกันก็ตามสิ่งนั้นก่อนจะเดินลุกออกมา ทำให้อีกทั้งสามคน ไคลน์ เอเลน เเละอาเรน เข้ามาทำเเบบเดียวกันกับเด็กชายรวมถึงได้กล่าวคำสั่งเสียเเละระบายความในใจบรรยากาศเป็นไปด้วยความโศกเศร้า ก่อนเฮเลนจะเดินไปจับไหล่ ฟีเรียเพื่อเรียกให้เธอร่วมส่งเพื่อนเป็นครั้งสุดท้ายเธอได้ใช้เวทย์สร้างกองฟอนไว้ใต้ร่างเพื่อนของเธอ
"กิ่งก้านแห่งวสันต์ จงเรียงร้อยเป็นอัฐฐานแห่งนิรันดร์"
เสียงประกาศ
ใช้งาน Basic Skill : Verdant Rest – อัฐฐานแห่งวสันต์
ปรากฎกองไม้ที่จัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ ใต้ร่างของผู้ล่วงลับราวกับเป็นแท่นบูชาธรรมชาติที่ถูกจัดวางโดยมือแห่งสรรพชีวิต ไม้ที่ปรากฏขึ้นจะมีลวดลายอ่อนโยนคล้ายผ่านกาลเวลามาอย่างสงบพร้อมเป็นสถานที่สุดท้ายแห่งการพักพิง
“ชั้นใช้เวทย์เตรียมที่ไว้ให้เเล้วนะ..ขอรบกวนนายทีนะคุณนักดาบ.. ” เด็กสาวกล่าวก่อนจะเดินไปยืนข้างๆกลุ่มเพื่อนของเธอ
“เข้าใจเเล้วหล่ะครับ สั่งเสียกันกันเรียบร้อยเเล้วนะครับ..” น้ำเสียงที่อ่อนโยนเเละสงบนิ่งของเด็กชายกล่าวขึ้นก่อนเด็กหนุ่มยื่นมือออกไปพร้อมร่ายเวทย์ "เปลวอัคคีคือห้วงลมหายใจแห่งดวงวิญญาณ ควันทมิฬคือการปลดปล่อยจากพันธนาการสิ้นเเล้ว ธุลีสู่ปฐพี วิญญาณของเจ้าจง…กลับคืนสู่เปลวเพลิงแห่งนิรันดร์"
เสียงประกาศ
“ใช้งาน Advanced Skill: Eternal Flame (เปลวเพลิงนิรันดร์)”
เมื่อคำร่ายเสร็จสิ้น, ไฟจะลุกลามจากมือของผู้ใช้เวทย์และกลายเป็นเปลวเพลิงร้อนแรงที่สามารถเผาผลาญสิ่งที่อยู่ในเส้นทางของมัน. เปลวเพลิงนี้ยังมีความสามารถในการปลดปล่อยวิญญาณที่ตกอยู่ในพันธนาการและทำให้วิญญาณเหล่านั้นกลับคืนสู่สภาพธุลีดิน
มือของเด็กหนุ่มที่ติดไฟเเต่ตัวเขากลับไม่รู้สึกเจ็บปวดหรือทรมานจากเปลวเพลิงนั่นเลยสักนิด ก่อนจะเดินไปจับที่มือของร่างไร้วิญญาณนั่นอย่างให้ความเคารพเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อนั้นปรากฎเปลวเพลิงเเผดเผาร่างนั้นอย่างสมเกียรติเเสดงจากเปลวเพลิงส่องสว่างไปทั่วบริเวณ
“ยังไงก็มานั่งพักทานข้าวกลางวันกันก่อนเถอะครับ ระหว่างรอไฟที่เผาร่างนั่นมอดแล้วไปเก็บอัฐิ จากนั้น…พวกคุณก็กลับออกไปกันเถอะครับคุณไคลน์ รวมถึงทุกคนด้วยนะครับ”
ทุกคนหยิบเสบียงอาหารและน้ำที่เตรียมมาทานอย่างหิวโหย ขณะเดียวกันก็กระตือรือร้นที่จะพูดคุยกันระหว่างทานอาหาร
“ถ้าไฟที่เผาร่างนั้นมอดแล้วไปเก็บอัฐิกันจากนั้น…พวกคุณก็กลับออกไปกันเถอะครับคุณไคลน์ รวมถึงทุกคนด้วยนะครับ”
“แล้วตัวนายหล่ะโอมิกะคุง?” สาวเอลฟ์นักธนูถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“ผมจะลุยต่อหน่ะครับ เพราะผมมีเหตุผลที่ต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ครับ..ว่าแต่ พี่สาวเอลฟ์ คุณนักเวทย์ และพี่ชายสวมเกราะชื่ออะไรกันบ้างหรอครับ?” เด็กหนุ่มตอบพร้อมกินอาหารไปด้วย หางของเขาไหวไปมาอย่างเป็นมิตร
“อืม...ชั้นเป็นหัวหน้าของปาร์ตี้นี้ ชื่อว่า อาเรน เฟลไฮม์ ตำแหน่งไฟต์เตอร์แนวหน้า!” อาเรนยิ้มตอบ
“ส่วนชั้นชื่อ อัลเธีย สตาร์ฟอลล์ เอลฟ์สายธนู ตำแหน่งดาเมจหลักจากแนวหลัง”
“ทางชั้นชื่อ ฟีเรีย เอเวริสค่ะ นักเวทย์ระดับกลาง ตำแหน่งซัพพอร์ตและฮีลเลอร์ค่ะ”
“แล้วก็ชั้น ไคลน์ ออร์เทก้า ตำแหน่งแท็งค์และโล่ของปาร์ตี้นี้ครับ”
“ฝั่งผมก็ โอมิกะ อากิระครับ เป็นปีศาจจากเผ่าอาคุมะครับ”
ทุกคนตกใจเมื่อได้ยินว่าเด็กหนุ่มมาจากเผ่าอาคุมะ ซึ่งเคยเป็นตำนานในสงครามบรรพกาล ทำให้พวกเขารู้สึกช็อคกับภาพตรงหน้า
“เดี๋ยวนะโอมิกะคุง! นายมาจาก...ผะ...เผ่าอาคุมะในตำนานนั่นหรอ!?” อัลเธียถามเสียงสั่นเล็กน้อย
“จริงหรอโอมิกะคุง!?” อีกสามคนถามขึ้นพร้อมกัน
“ใช่ครับ 100เปอร์เซ็นต์เลยครับทุกคน!” เด็กหนุ่มยิ้มด้วยท่าทางมั่นใจ
ทุกคนมองไปที่ท่าทางของเขาที่นั่งเหมือนแมวน้อย หางของเขากระดิกไปมา หูขยับไปมา ดวงตาสีฟ้าเป็นประกายน่ารัก จนไม่สามารถต้านทานได้
ทันใดนั้น ทุกคนก็เข้าไปโอบกอดเด็กหนุ่ม จับหางและหูของเขาด้วยความตื่นเต้น
อาเรน นักดาบใหญ่ร่างกำยำในชุดเกราะหนักเป็นคนแรกที่โถมเข้าไปกอดจากด้านหลังอย่างแน่นหนา แม้จะรู้สึกเขินอายจากความรักที่ไม่อาจควบคุมได้ แต่เขาก็ยิ้มให้กับความน่ารักของอีกฝ่าย “ทำไมถึง…น่ารักขนาดนี้นะกิระคุง!”
“อ่ะคุณอาเรน ทำอะไรครับเนี่ย!?” เด็กหนุ่มดิ้นเล็กน้อย
ฟีเรีย นักเวทย์ขี้กลัว แม้จะเครียดและขี้อาย แต่ก็ไม่อาจต้านทานความน่ารักของเด็กหนุ่มได้ เธอยื่นมือไปสัมผัสหูขนฟูนุ่มๆ อย่างระมัดระวัง ก่อนจะหลุดเสียงอุทาน “อ๊า…มันขยับได้จริงๆด้วย น่ารักกก!” เธอจมหน้าลงกับหูด้วยความตื่นเต้น
“หา! คะ คุณฟีเรียมันเจ็บนะครับ!”
ไคลน์ นักถึก (แท็งค์) ผู้ปกป้องทีม ลูบหางนุ่มๆ ของเด็กหนุ่มด้วยรอยยิ้ม “เห้ยๆ กิระคุง…นุ่มเกินไปแล้ว!” เขาหัวเราะเสียงดัง ขณะที่หางของเด็กหนุ่มถูกลูบไปมา
“คุณไคลน์ด้วยหรอ!?” เด็กหนุ่มตาโตด้วยความตกใจ
อัลเธีย เอลฟ์สาวนักธนูที่มักสงบและใจเย็นไม่สามารถหักห้ามตัวเองได้ เธอลูบหูและหางของเขาอย่างนุ่มนวล รอยยิ้มเล็กๆ บนใบหน้าบ่งบอกถึงความพอใจที่ไม่อาจปกปิดได้ “นุ่มนิ่มน่ารักน่าฟัด”
“คุณอัลเธียก็ใจเย็นเกินไปแล้วน่ะครับ!”
ทุกคนล้อมรอบเด็กหนุ่มด้วยความหลงใหล ความน่ารักของเขาทำให้พวกเขาลืมไปว่ากำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ตึงเครียด ขณะที่พวกเขารวมตัวกันอย่างอบอุ่นและเต็มไปด้วยความรู้สึกดีๆ
“ไม่อยากใช้เจ้านั้นเลยนะ!”
“ใช้งานสกิลติดตัว BasicSkill: Akauma’s Beast Form (ร่างอสูรแห่งอาคุมะ)”
จบประโยคนั้นเด็กถูกจัดไว้จนขยับไม่ได้เลยเเปลงร่างเป็นเเมวสีต้ำตาลตาสีฟ้าครามเเละหนีหลุดออกมาก่อนจะกล่าวขึ้นมมาในร่างนั้นว่า
“เดี๋ยวสิครับทุกคนใจเย็นๆก่อนนะครับ! ”
“กิระคุงนายเปลี่ยนร่างได้ด้วยอย่างงั้นหรอ?” อัลเธียกล่าวอย่างใจเย็น
“ขอโทษทีนะที่พวกเราล่วงเกินนายหน่ะโอมิกะคุง เพราะว่าเจอเรื่องเเบบนั้นกันมาก็เลยอยากให้ทุกคนร่าเริงกันหน่อยหน่ะ” อาเรนผู้เป็นหัวหน้ากล่าวขอโทษอย่างเกรงใจกิระเเต่ในทางกลับกันฝั่งความคิดของเด็กหนุุ่มร่างเเมว
“เอ้า!เฮ้ยไหงเราเป็นคนผิดซะนิ! ช่วยไม่ได้ละนะ..” เด็กชายอุทานออกมาภายในความคิด
สุดท้ายก็จบด้วยเด็กชายที่อยู่มนร่างเเมวตัวเล็กได้นอนตักเด็กสาวนักเวทย์โดยมีสาวเอลฟ์คอยลูตัวไปมาเเละเล่นกับหัวหน้าปาร์ตี้กับเเทงค์ของปาร์ตี้พร้อมกับอารมอายมาก
“อายโคตรๆเลยวุ้ย! ไม่คิดว่าตัวเราจะต้องมาอยู่ในสถานะการณ์บีบบังคับเช่นนี้!” เด็กหนุ่มกล่าวกับตัวเองในความคิดก่อนจะถึงเวลาเเยกย้ายกัน..
เมื่อกองไฟที่เเผดเผ่าร่างนั้นจนมอดสิ้นเหลือเพียงเศษซากการเผาร่างนี้เหล่าสมาชิในปาร์ตี้ต่างยังกับเก็บอัฐิในถุงคนละชิ้นสองชิ้นจนเสร็จ
“ถึงเวลาต้องลากันเเล้วสินะ กิระคุง”
“ครับ เหมือนจะเป็นเเบบนั้นนะครับคุณ อัลเธีย”
“นี่ๆจะว่าไป เเอดเพื่อนกันไว้ไหมโอมิกะคุงไว้ว่างๆมาคุยกันอีกหรือไม่ก็ตั้งปาร์ตี้ไปตะลุยดันเจี้ยนอื่นกัน”
“มันก็ได้อยู่นะครับคุณ อาเรน ” เด็กหนุ่มกล่าวจะหยิบมือถือของตัวเองออกมาจากหน้าต่างuiของตัวเองเเละยื่นออกไปเเบบลุกลี้ลุกลน
ก่อนที่หัวหน้าอย่าง อาเรนจะยื่นมือถือของตัวเองมาเเตะกับมือถือของเด็กหนุ่มพร้อมทั้งขึ้นข้อความในมือถือว่าได้เพิ่มเพื่อนกันไว้เเล้ว
“เรียบร้อยทีนี้ก็คุยด้วยกันได้ตลอดนะละกิระคุง ฮ่าๆ”
“ขี้โกงนิหัวหน้า!”
“ขี้โกงสุดๆเลยละค่ะคุณ อาเรน”
“ใจร้าจะชัดอาเรนคุง”
ทั้งสามคนที่เหลือต่างเดินมาเอามือถือของตัวเองเเตะเบาๆกับมือถือของเด็กหนุ่มก่นจะขึ้นข้อความอีกสามเเถบขึ้นมาว่าได้เพิ่มเพื่อนเเล้ว
“อะ จริงสิเจ้าพวกนี้ผมให้เลยนะครับคุณอาเรน ”
“นี่มันอ่ะ พวกไอเท็มดรอปจากตอนนั้นนิทำไมถึงให้พวกเราหล่ะ”
“ดูจากรูปการณ์เเล้วน่าจะขาดทุนเยอะเลยหล่ะครับพวกคุณอาเรนหน่ะเพราะงั้นช่วยรับไว้เถอะนะครับ”
“ถ้านายว่าเเบบนั้นงั้นพวกเราก็ขอไม่เกรงใจหล่ะนะ” ก่อนจะออกเดินทางกับกันโดยค่อยๆห่างออกไปจากตัวเด็กชาย
“ถ้างั้นก็ จากนี้โชคดีนะ โอมิกะ กิระคุงไว้เจอครั้งหน้าเเล้วมาให้พวกเราอุ้มร่างนั้นของนายอีกนะ”
“ไม่มีทางเด็ดขาดเลยครับคุณอาเรน เว้นคุณอัลเธียไว้คนนึงละกันนะครับคนที่เหลือจับซะผมตัวระบมไปหมดเลยหล่ะครับ” เด็กชายกล่าวทิ้งท้ายไว้อย่างขบขันเล็กน้อย
“เห๋ ใจร้ายจังนะโอมิกะคุง ” เสียงที่ดังก้องค่อยๆห่างออกไปจากจุดที่เด็กหนุ่มยืนอยู่เเละพร้อมเเสงไฟที่ค่อยๆหายไปตามเสียงของเหล่านักผจญภัยทั้งปาร์ตี้นั่น
เด็กหนุ่มที่แยกตัวออกจากปาร์ตี้นักผจญภัย เดินทางสำรวจดันเจี้ยนเพียงลำพัง ท่ามกลางเส้นทางที่เต็มไปด้วยมอนสเตอร์ เขาฟันฝ่ามาอย่างกระตือรือร้นจนความมั่นใจเพิ่มขึ้นทุกขณะ
"เป็นปาร์ตี้ที่ดีมากเลยนะ..." เขาพึมพำกับตัวเอง พลางหยุดเดินแล้วมองไปยังเบื้องหน้า
"นี่มัน... ห้องบอส?" ดวงตาของเขาฉายแววคาดหวังเล็กน้อย ก่อนจะเผยรอยยิ้มบาง
" ถ้าจัดการบอสได้ ดันเจี้ยนนี้ก็เคลียร์แล้ว... คอยดูแผนการต่อสู้ให้ดี แค่จับตาแพทเทิร์น โจมตีแล้วถอยจังหวะให้เหมาะ... น่าจะไหวละนะ"
เขาสูดหายใจลึก ก่อนออกแรงผลักบานประตูขนาดมหึมา ประตูเปิดออกพร้อมเสียงก้องสะท้อนไปทั่วห้อง เขาก้าวเข้าไปช้าๆ พร้อมเรียกดาบธาตุลมออกมาจากแหวนที่นิ้ว
ทันทีที่ประตูปิดลง ความมืดกลืนกินทุกสิ่ง ก่อนที่เปลวไฟสีม่วงจะลุกไหม้ขึ้นจากขอบพื้นและผนังห้อง แสงไฟสะท้อนเงาร่างสูงใหญ่ที่ขยับอยู่ในมุมมืด ก่อนที่—
ฟุ่บ!
ดาบที่เร็วเสียยิ่งกว่าเสียงพุ่งตรงเข้าหาเขา!
"อะไ—!!"
เขาหมอบลงตามสัญชาตญาณ... แต่ไม่ทัน! คมดาบเฉือนผ่านไหล่ของเขา ความเจ็บแล่นริ้วไปทั่วร่าง
"การโจมตีมันมาจากไหนกัน!? มองไม่เห็นเลย แค่พริบตาเดียว! ถ้าเมื่อกี้เราขยับช้ากว่านี้อีกเสี้ยววินาทีละก็..."
เขากัดฟัน ตั้งหลักใหม่ แต่แล้วเงายักษ์สูงกว่า 3.5 เมตรก็พุ่งเข้ามาพร้อมแรงกดมหาศาลจากดาบศักดิ์สิทธิ์อีกรอบด้วยความเร็วสูงสุด
เคร้ง!! — เสียงดาบฟาดเข้าหากันอย่างรุนแรง ก่อประกายไฟกระจายออกเป็นวงกว้าง
แกร๊ง! — หนึ่งในดาบถูกปัดออกไปก่อนที่อีกคมหนึ่งจะพุ่งสวนกลับมาอย่างเฉียบคม!
เคร้ง! เคร้ง! ฉัวะ! — คมดาบเสียดสีกันในจังหวะที่ต่างฝ่ายต่างออกแรงกดดันอีกฝ่าย เสียงโลหะกระทบกันดังกึกก้อง
"หนักชะมัด! แรงบ้าอะไรกันเนี่ย!?"
เขาออกแรงต้าน แต่พละกำลังมหาศาลของศัตรูทำให้แขนสั่นสะท้าน ก่อนที่เขาจะดีดตัวออกห่าง
"ดาบศักดิ์สิทธิ์เสริมธาตุไฟ... งานเข้าแล้วไง! เราดันถนัดธาตุลม แต่ต้องมาเจอกับธาตุไฟ ไม่ต่างอะไรจากบัฟความเสียหายให้ศัตรูเลย!" เขาตั้งท่าใหม่ พร้อมดึงปืนเวทย์มนตร์จากใต้เสื้อโค้ทสีแดง
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะหยิบออกมา—
แสงสีแดงคู่หนึ่ง... ปรากฏขึ้นจากความมืดด้านหลัง! ทันใดนั้น เส้นบางอย่างถูกวาดขึ้นกลางอากาศ ก่อนที่ลมคมกริบราวใบมีดจะพุ่งตรงมาหาเขา
"ห๊ะ!? นี่มัน... หลบไม่ทันแล้ว!!"
ตู้ม!!
เสียงระเบิดดังก้อง ฝุ่นตลบไปทั่วบริเวณ เมื่อควันจางลง เศษฟางหล่นลงมาจากอากาศเขาหอบหายใจหนัก มองไปที่ไอเท็มที่ช่วยชีวิตเขาไว้ก่อนจะสลายไป
[Scarecrow of Aegis] (ตุ๊กตาหุ่นฟางแห่งโล่เทพ) - สามารถรับดาเมจแทนผู้ใช้ได้หนึ่งครั้งก่อนจะถูกทำลาย
"เสียไปหนึ่งอันจนได้... แต่ถ้าไม่ใช้ เราคงจบเห่จริงๆไปเเล้ว..."
แต่แล้ว...
"เดี๋ยวนะ... เมื่อกี้มันโจมตีด้วยธาตุลม!?" สายตาของเขาตวัดกลับไปมองบอสที่ยืนอยู่เบื้องหน้า
"เป็นไปไม่ได้... บอสใช้ธาตุไฟก็ยืนอยู่ตรงหน้าเรานิ หรือว่า...!?"
บอสสองตัว!?
การโจมตีจากมุมอับของบอสที่ใช้ดาบคาตานะพุ่งฟาดเข้าใส่เด็กหนุ่มในพริบตานั้น เด็กหนุ่มที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศบิดตัวหลบได้ทันพอดี แม้จะได้แผลถากๆ ก็ยังไม่จบแค่นั้น
ขณะที่เขาหันมองขึ้นไปบนเพดานของห้อง ก็เห็นแสงจ้าบนเพดานภายใจดวงตาปรากฏเงาร่างของบอสที่ใช้ธาตุไฟ ยกดาบปักลงมาที่เขา มีเพียงแค่เสี้ยววินาทีในการเคลื่อนไหว ก่อนที่ร่างของบอสจะพุ่งลง ปักดาบทะลุท้องของเขา ปักดาบตรึงเขาไว้กับพื้น
"เสร็จกัน—!"
ฉึก!!
"อ๊ากกกก!!"
ดาบศักดิ์สิทธิ์พุ่งทะลุร่างของเขา ตรึงร่างลงกับพื้น ก่อนที่ดาบคาตานะอีกเล่มจะปักซ้ำเข้าที่ตำแหน่งใกล้กัน
"อึก...อ๊าก แค่ก! แค่ก!!"
เลือดสีแดงสดไหลผ่านริมฝีปาก หยดลงบนพื้นหินที่แตกร้าวเสียงโลหะเสียดสีกันดังขึ้น เมื่อดาบทั้งสองเริ่มบิดไปมาในร่างของเขาพร้อมทั้งดาบในมือที่หลุดมือ
"อึก...!"
เขาฝืนเงยหน้าขึ้น มองไปที่เงาร่างสองร่างที่ยืนอยู่เหนือเขา...และในวินาทีนั้นเอง หัวใจของเขาแทบหยุดเต้นดั่งรอบห้วงเวลาที่หยุดลงชั่วคราว
"ทำไม... ทั้งสองคน... ถึงมาอยู่ที่นี่ได้..." เสียงของเขาสั่นไหว น้ำตาเอ่อคลอ
"ท่านพ่อ... ท่านแม่..."
ร่างของพ่อและแม่... ที่สละชีวิตเพื่อปกป้องเขาไว้ในอดีต ปรากฏขึ้นตรงหน้าในฐานะบอส!ร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผลถูกดัดแปลงอย่างโหดร้าย ปรากฎชื่อของบอสทั้งสองอยู่เหนือศีรษะของพวกเขา...พร้อมกับเสียงคำรามดังก้องไปทั่วบริเวณ
[Chronoseverial, The Behemoth of Flame and Wind]
โครโนเซเวอเรียล, สัตว์ร้ายแห่งอัคคีและวายุ
HP รวม: 24,000 (แบ่งเป็น 6 หลอด, 4,000 ต่อหลอด)
______________________________
**โปรดติดตามตอนต่อไป**