ผมลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตัวเองย้อนเวลากลับมาในช่วงแรกของวันสิ้นโลก มิหนำซ้ำยังถูกระบบที่ไม่มีประโยชน์อะไรเกาะติดแถมบังคับให้ไปช่วยชีวิตพระเอกอีก!

ผมเป็นผู้ช่วยของพระเอกในวันสิ้นโลก - ตอนที่ 2 ผมไม่ใช่สไปเดอร์แมน แต่ก็ต้องเป็นเพราะสถานการณ์บังคับ โดย Ferylin79 @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,ผจญภัย,แฟนตาซี,ไซไฟ,ข้ามเวลา,ซอมบี้,วันสิ้นโลก,แฟนตาซี,ผจญภัย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ผมเป็นผู้ช่วยของพระเอกในวันสิ้นโลก

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,ผจญภัย,แฟนตาซี,ไซไฟ,ข้ามเวลา

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ซอมบี้,วันสิ้นโลก,แฟนตาซี,ผจญภัย

รายละเอียด

ผมเป็นผู้ช่วยของพระเอกในวันสิ้นโลก โดย Ferylin79 @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ผมลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตัวเองย้อนเวลากลับมาในช่วงแรกของวันสิ้นโลก มิหนำซ้ำยังถูกระบบที่ไม่มีประโยชน์อะไรเกาะติดแถมบังคับให้ไปช่วยชีวิตพระเอกอีก!

ผู้แต่ง

Ferylin79

เรื่องย่อ

ใช้ชีวิตหนีซอมบี้มาห้าปี หลังจากพลาดท่าโดนซอมบี้รุมทึ้ง จู่ ๆ ผมก็ดันย้อนเวลา ตื่นขึ้นมาในช่วงแรกของวันสิ้นโลก ทว่าหนนี้ไม่ได้ตัวคนเดียวแต่กลับพ่วงระบบที่แสนจะพูดมากมาอีกด้วย 

จากนั้นผมก็ได้รับรู้ว่าโลกใบนี้เป็นเพียงนิยายเรื่องหนึ่ง หลังจากพระเอกในนิยายตายไป พระเจ้าจึงทำการรีเซตโลกใบนี้ใหม่อีกครั้ง และผมก็คือตัวประกอบดวงซวยที่ถูกเลือกนั่นเอง! 

 

"ถ้าจะย้อนเวลาก็ช่วยย้อนไปไกลกว่านี้อีกสักสองสามปีได้ปะ อย่างน้อยก็ขอเตรียมข้าวของตุนเสบียงก่อนเหอะ"

[ระบบ : ขอโทษทีน้า เพราะนี่คือนิยายวันสิ้นโลกยังไงล่ะ ถ้าย้อนไปไกลกว่านั้นมันก็ไม่สนุกน่ะสิ อิอิ]

“...” อิอิพ่xx

 

แต่ใครจะไปคิดว่าไอ้คุณพระเอกคนนั้นดันเป็นหมอนั่น คนที่ผมเคยต่อยหน้ามันไปเมื่อปีก่อน! 

 

[ระบบ : นี่นายกล้าทำร้ายเขาเลยเหรอ นั่นพระเอกเลยนะ นายทำได้ไง!!] 

"ก็กำลังรู้สึกผิดอยู่นี่ไง" 

--------

       พระเอก : ทำไมไม่คุยกันดี ๆ แบบเมื่อก่อน
       นายเอก : มึงต่อยกูหน่อย ขอเน้น ๆ"
       พระเอก : (ง้างมือ)
       นายเอก : (นี่มันจะต่อยจริง ๆ เหรอวะ!)

---------

✨รุ่นพี่ปากหมา vs ไอ้ลูกหมาหน้าบึ้ง

 

🧟🧟🧟🧟🧟🧟 

เปิดเรื่องใหม่แล้วค่า มาในตีมวันสิ้นโลก เขียนมันทุกแนวไปเลยแล้วแต่อารมณ์ของแท้ 5555 

ถ้าชอบก็ช่วยกันอ่าน+เม้นต์เป็นกำลังใจให้พี่พันไมล์กับหมาเด็กของเขาด้วยนะคะ 

 

สารบัญ

ผมเป็นผู้ช่วยของพระเอกในวันสิ้นโลก-ตอนที่ 1 วันสิ้นโลกอีกครั้ง นั่นแปลว่าผมต้องเหนื่อยอีกแล้ว!,ผมเป็นผู้ช่วยของพระเอกในวันสิ้นโลก-ตอนที่ 2 ผมไม่ใช่สไปเดอร์แมน แต่ก็ต้องเป็นเพราะสถานการณ์บังคับ,ผมเป็นผู้ช่วยของพระเอกในวันสิ้นโลก-ตอนที่ 3 ความซวยกับผมคือของคู่กัน,ผมเป็นผู้ช่วยของพระเอกในวันสิ้นโลก-ตอนที่ 4 คนเรามันก็ต้องมีเรื่องที่ทำแล้วรู้สึกละอายทีหลังบ้างนั่นแหละ,ผมเป็นผู้ช่วยของพระเอกในวันสิ้นโลก-ตอนที่ 5 จู่ ๆ คุณพระเอกก็เป็นโรครักความสะอาดเฉยเลย,ผมเป็นผู้ช่วยของพระเอกในวันสิ้นโลก-ตอนที่ 6 แค่รู้ว่าตัวเองหน้าตาดีก็พอใจแล้ว,ผมเป็นผู้ช่วยของพระเอกในวันสิ้นโลก-ตอนที่ 7 เสียดายจริง ๆ ที่ไม่มีซอมบี้,ผมเป็นผู้ช่วยของพระเอกในวันสิ้นโลก-ตอนที่ 8 ทำไมพระเอกในนิยายวันสิ้นโลกถึงไม่ตรงปกแบบนี้,ผมเป็นผู้ช่วยของพระเอกในวันสิ้นโลก-ตอนที่ 9 มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เห็นแก่ตัวกันทั้งนั้น,ผมเป็นผู้ช่วยของพระเอกในวันสิ้นโลก-ตอนที่ 10 ปากเก่งแบบนี้อยู่ให้รอดนาน ๆ แล้วกัน,ผมเป็นผู้ช่วยของพระเอกในวันสิ้นโลก-ตอนที่ 11 เหมือนว่าสาวน้อยคนนั้นจะอยากสร้างฮาเร็ม,ผมเป็นผู้ช่วยของพระเอกในวันสิ้นโลก-ตอนที่ 12 คุยกับพระเอกก็เหมือนสีซอ เพราะมันไม่ฟังอะไรเลย,ผมเป็นผู้ช่วยของพระเอกในวันสิ้นโลก-ตอนที่ 13 คนมันจะเลว ต่อให้ย้อนเวลาอีกกี่ครั้งก็ยังเลวไม่เปลี่ยน,ผมเป็นผู้ช่วยของพระเอกในวันสิ้นโลก-ตอนที่ 14 เรื่องที่เราคิดว่าไม่สำคัญบางทีมันอาจจำเป็นสำหรับคนอื่นก็ได้,ผมเป็นผู้ช่วยของพระเอกในวันสิ้นโลก-ตอนที่ 15 ตัวประกอบแบบผมดันมารับเคราะห์แทนพระเอกซะแล้วล่ะ,ผมเป็นผู้ช่วยของพระเอกในวันสิ้นโลก-ตอนที่ 16 เหมือนว่าผมจะเปลี่ยนเส้นเรื่องอีกแล้วล่ะ,ผมเป็นผู้ช่วยของพระเอกในวันสิ้นโลก-ตอนที่ 17 การปฏิบัติจริงคือการเรียนรู้ที่ดีที่สุด,ผมเป็นผู้ช่วยของพระเอกในวันสิ้นโลก-ตอนที่ 18 เป็นผู้ชายก็ต้องชมว่าหล่อดิ,ผมเป็นผู้ช่วยของพระเอกในวันสิ้นโลก-ตอนที่ 19 คนเก่งก็ยังมีวันพลาดได้,ผมเป็นผู้ช่วยของพระเอกในวันสิ้นโลก-ตอนที่ 20 นายช่วยทำให้เขาสบายใจบ้างเหอะ

เนื้อหา

ตอนที่ 2 ผมไม่ใช่สไปเดอร์แมน แต่ก็ต้องเป็นเพราะสถานการณ์บังคับ

 

“แฮร่!”

“เชี่ย!”

ผมตะโกนเสียงดังลั่นอย่างตกใจเมื่อจู่ ๆ ก็มีซอมบี้หน้าโชกเลือดตัวหนึ่งโผล่พรวดมาตรงหน้า กลิ่นคาวปะทะเข้าจมูกจนแทบสลบ ค้อนในมือเหวี่ยงไปฟาดเข้ากับศีรษะของซอมบี้อย่างรวดเร็ว

สมองของซอมบี้แตกโผละราวกับแตงโม ลำตัวล้มหงายไปด้านหลังเสียงดัง เรียกซอมบี้ที่ยังอยู่บนชั้นนี้มาอีกหลายตัว

“ฉิบ” ผมสบถ จากนั้นก็รีบปิดประตูอย่างรวดเร็ว

ประตูหอพักที่นี่บางมาก ไม่มีทางกันพวกซอมบี้ที่กรูมาได้แน่นอน ผมหันซ้ายหันขวามองไปรอบห้อง ก่อนจะรีบวิ่งไปเลื่อนตู้เสื้อผ้ามาขวางประตูเอาไว้

ปัง ปัง ปัง

เสียงกระแทกนี้บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าพวกมันเจออาหารอันโอชะชิ้นใหม่แล้ว ประตูห้องถูกกระแทกจนไม้เริ่มปริแตก แม้แต่ตู้เสื้อผ้าก็สั่นสะเทือนทำท่าจะล้มไปด้วย

ระบบที่ดูอยู่ด้านข้างถึงกับส่งเสียงด้วยความผวา

[พันไมล์ ทำไงดี มันจะเข้ามาแล้ว นายจะมาตายที่นี่ไม่ได้นะ!]

“เงียบก่อน” ผมสูดหายใจเข้าลึกเพื่อข่มอาการใจสั่นลง ถึงผมจะเคยผ่านวันสิ้นโลกมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ไม่ว่ายังไงก็ไม่เคยชินกับมันเสียที

[ฮือ ออกไปไม่ได้แล้ว ทำไงดี แงงง] 

ทว่าเจ้าระบบยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ เอาแต่โหวกเหวกโวยวายไม่เลิกจนผมรู้สึกปวดหัวตุบ ๆ

แกรก แกรก

ในที่สุดประตูไม้ก็แตกจนได้ มือมากมายซึ่งเต็มไปด้วยเลือดยื่นเข้ามาหมายไขว่คว้าเหยื่อ โชคดีที่ยังมีตู้เสื้อผ้ากั้นเอาไว้พวกมันจึงเข้ามาไม่ได้ แต่ถ้ายังอยู่ในห้องนี้ต่อไปอีกไม่นานคงได้กลายเป็นซาชิมิให้ซอมบี้แน่นอน

“กรร!”

[อ๊าก! พันไมล์ ทำไงดี มันจะเข้ามาแล้ว!]

“โอ๊ย เวรเอ๊ย” ผมขยุ้มศีรษะด้วยอาการเครียด ดวงตาเหลือบมองไปทางระเบียง จากนั้นก็รีบวิ่งไปทันที

ห้องที่ผมอยู่คือชั้นสาม ด้วยความสูงระดับนี้ถ้ากระโดดลงไปคงได้ไปเฝ้าพระเจ้าแน่นอน ผมรีบหยิบเชือกออกมามัดเข้ากับระเบียงด้วยอาการมือสั่น ยิ่งรีบก็ยิ่งลนลาน มัดผิด ๆ ถูก ๆ กว่าจะได้

โครม

ผมหันไปมองทางหน้าประตู ทันทีที่เห็นว่าตู้เสื้อผ้าล้มลง ซอมบี้เกือบสิบตัวพากันกรูเข้ามาก็สะดุ้งโหยง “ฉิบหายล่ะ ช่างแม่งแล้วกัน”

ว่าแล้วผมก็ยึดเชือกเอาไว้แน่นก่อนกระโดดออกนอกระเบียงทันที หนีพ้นกรงเล็บมัจจุราชได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปด ทว่ายังไม่ทันได้หายใจหายคอ จู่ ๆ ระบบก็กรี๊ดออกมาจนหูแทบดับ

[พันไมล์!! ชั้นสอง ชั้นสองมีซอมบี้]

ผมชะงักมือที่กำลังไต่ลงด้านล่างก่อนจะก้มลงมอง เห็นซอมบี้สาวกำลังยืนอ้าปากกางแขนอยู่ตรงระเบียงเสมือนแม่รอต้อนรับลูกน้อย หัวใจก็พลันเย็นวาบ และเมื่อเงยหน้ามองด้านบนก็เห็นซอมบี้เป็นสิบตัวยืนอัดเต็มระเบียงจนกลัวว่าพวกมันจะหล่นลงมาใส่

“หมดกัน ว่าจะหนีแบบคูล ๆ ซะหน่อย”

ผมหลับตาลงเพื่อตั้งสติ จากนั้นสไลด์ตัวลงไปอย่างรวดเร็ว และในจังหวะที่ผ่านระเบียงชั้นสองก็ตวัดขาฟาดเข้าไปที่หัวของซอมบี้สาวอย่างแรง แรงปะทะทำให้ซอมบี้พลัดตกลงไปจากระเบียงหัวฟาดพื้นดับอนาถคาที่ทันที

[โอ้... โอ้ว! พันไมล์เก่งมาก เก๊งเก่ง โชคดีจังที่เลือกนาย]

“แต่ฉันโคตรโชคร้ายเลยว่ะที่มีตัวกวนประสาทมาส่งเสียงโหวกเหวกอยู่ข้างหูเนี่ย”

เมื่อทางสะดวกแล้ว ผมก็สไลด์ตัวรวดเดียวลงมายืนที่พื้นโดยสวัสดิภาพ โชคดีอย่างหนึ่งคือด้านหลังหอพักอยู่ติดกับทะเลสาบ บริเวณโดยรอบมีต้นไม้อยู่เต็ม มันค่อนข้างอับและชื้นผู้คนเลยไม่นิยมมากันเท่าไหร่ ในตอนนี้จึงมีแค่ผมกับศพซอมบี้สาวเท่านั้น

แต่จะให้อยู่ที่เดิมนาน ๆ ก็ไม่ดี ผมเอ่ยถามระบบ “แล้วตอนนี้พ่อพระเอกของแกอยู่ที่ไหนล่ะ”

[ที่มหาลัยxx]

“นี่มันมหาลัยฉันนี่” ผมเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ อะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้น

[อ๊ะ แน่นอนสิ ที่ระบบเลือกนายมาเป็นผู้ช่วยก็เพราะว่านายเรียนที่เดียวกับเขานี่แหละ อยู่ใกล้กันจะได้หากันเจอไว ๆ ยังไงล้า~]

“...”

ไอ้ระบบนี่ถึงจะดูเปิ่น ๆ แต่แผนสูงใช่เล่นเลยแฮะ

[ที่เงียบนี่แอบชมระบบในใจใช่ปะ]

“ด่า”

ผมเบ้ปากก่อนจะเริ่มออกเดินไปยังทิศทางของมหาลัยด้วยความเคยชิน นี่ถือว่าเป็นโชคดีที่เป้าหมายอยู่ที่มหาลัย เพราะถ้าอยู่ไกลกว่านี้หรือเป็นในสถานที่ที่ผมไม่รู้จักมันคงจะยุ่งยากแน่นอน

หอพักที่ผมอาศัย ตั้งอยู่ไม่ไกลจากมหาลัยมากนัก ผมจึงอาศัยการลัดเลาะผ่านแนวต้นไม้ไปเรื่อย ๆ เสียงโหวกเหวกกรีดร้องยังคงดังมาไม่หยุด เนื่องด้วยวันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ คนที่อยู่ในหอจึงเยอะเป็นพิเศษ และแน่นอนว่าหลังจากนี้ที่นี่ก็จะมีซอมบี้เยอะเป็นพิเศษเช่นกัน

“นี่ แล้วทำไมพ่อพระเอกของแกถึงไปอยู่มหาลัยในวันหยุดอะ” ผมเอ่ยถามเพื่อทำลายความเงียบ

[ก็ต้องไปติวหนังสืออยู่แล้วสิ ‘เขา’ น่ะ เป็นตัวท็อปของวิศวะเลยนะ]

“...!” ผมเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ นี่แม้แต่คณะก็ยังเป็นคณะเดียวกันอีก “หมอนั่นอยู่ปีอะไร”

ถ้าพูดถึงตัวท็อปของแต่ละชั้นปีก็มีอยู่ไม่กี่คนเท่านั้น ซึ่งหนึ่งในนั้นยังมีคนที่ผมรู้จักอีกด้วย

ขอแค่ไม่ใช่มันก็พอ จะเป็นใครก็ได้ทั้งนั้น

[อยู่ปี— กรี๊ด ซอมบี้ ข้างหลัง!] 

ระบบยังพูดไม่ทันจบก็กรี๊ดออกมา ผมรีบหันหลังแล้วเหวี่ยงค้อนด้วยความรวดเร็ว ซอมบี้ยังไม่ทันได้อ้าปากก็ถูกผมส่งลงไปนอนกับรากมะม่วงทันที

“แฮก” ผมก้มลงหอบด้วยอาการใจสั่นเล็กน้อย

ถึงจะเคยผ่านวันสิ้นโลกมาแล้ว แต่ผมไม่ใช่คนเก่งอย่างที่ระบบมันชมหรอก ที่รอดมาได้จนตอนนี้เป็นเพราะสัญชาตญาณการเอาตัวรอดที่ติดตัวมาล้วน ๆ

อีกอย่างความรู้สึกของการโดนซอมบี้ฉีกกระชากร่างยังคงฝังลึกและทำให้ผมหวาดกลัวพวกมันยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

[รีบไปหา ‘เขา’ กันเหอะ ฉันกลัวอะ]

“แกจะกลัวอะไร คนที่จะโดนกัดมันฉันนี่”

ถึงจะพูดอย่างงั้นแต่ผมก็ไม่คิดชักช้าอีกต่อไป รีบวิ่งไปยังมหาลัยด้วยเส้นทางลัดที่คุ้นเคยทันที ระหว่างทางเต็มไปด้วยเลือดเนื้อและควันไฟ ผู้คนวิ่งผ่านหน้าไปมา บางคนนอนชักกระตุกอยู่ที่พื้นจากนั้นไม่นานก็ลุกขึ้นมากระโจนใส่มนุษย์คนอื่น

สถานการณ์ตอนนี้ค่อนข้างอันตราย ไม่ว่าจะเป็นคนหรือซอมบี้ ใครที่เข้ามาใกล้ ผมก็พร้อมจะเหวี่ยงอาวุธเพื่อปลิดชีพพวกมันทันที

บอกแล้วว่าวันสิ้นโลกไม่มีคนดีหรอกนะ ทุกคนก็อยากรอดกันทั้งนั้น

“ชะ...ช่วยด้วย โอ๊ย”

เสียงอันคุ้นเคยนี้ทำให้ผมต้องหันไปมองอย่างอดไม่ได้ ชายหนุ่มตัวเล็กคนหนึ่งสะดุดจนล้มลงไปนั่งอยู่บนพื้น จากนั้นซอมบี้ก็พุ่งเข้าใส่เขาอย่างรวดเร็ว

“เกื้อ!” ผมตะโกนก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปถีบซอมบี้ออก แล้วใช้ค้อนฟาดเข้าไปที่ศีรษะของมันจนแตกกระจาย

เกื้อเงยหน้ามองผมด้วยสายตาตกตะลึง จากนั้นก็ร้องไห้โฮ กอดขาผมเหมือนเด็กน้อย น้ำหูน้ำตาไหลจนเปียกชุ่มขากางเกง “พันไมล์ เรากลัว ช่วยด้วย”

“รีบลุกก่อนเถอะ อย่ามานั่งอยู่ตรงนี้เลย” ผมพูดพลางพยุงเพื่อนร่วมคณะขึ้นมา เมื่อกี้เพิ่งจะบอกไปหยก ๆ ว่าตัวเองไม่ใช่คนดี ไม่ทันถึงห้านาทีก็กลืนน้ำลายตัวเองซะแล้ว เฮ้อ

“อะ...อืม” เกื้อรีบลุกขึ้นยืนด้วยขาสั่นเทา มือทั้งสองข้างกำแขนเสื้อผมแน่นอย่างคนหาที่พึ่ง “พันไมล์อย่าทิ้งเรานะ”

“เออ--” ผมกำลังจะพูดว่าไม่ทิ้ง แต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นแผลเล็ก ๆ ตรงต้นคอของเกื้อ

หมอนี่โดนกัดแล้วนี่หว่า!