เหยื่อพยายามวิ่งหนีเสือ...เเต่ใครเล่าจะไปรู้ว่าปลายทางมีราชสีห์ดักรออยู่

ลูกไก่ในมือราชสีห์ In the palm of one hand - บทที่ 1 ชีวิตหอยทากปรสิต โดย กระจ้อยร่อย @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ชาย-ชาย,ผู้ใหญ่,ดราม่า,ยุคปัจจุบัน,โรแมนติก,โรแมนซ์,โรแมนติก ,มาเฟียโหด,มาเฟีย,รักมาเฟีย,รักวัยรุ่น,รักลับมาเฟียร้าย,รักมหาลัย,โรมานซ์,18+,รักดุเดือด,รักต้องห้าม,รักดราม่า,รัก,ดรามา,yaoi ,yaoi,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ลูกไก่ในมือราชสีห์ In the palm of one hand

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ชาย-ชาย,ผู้ใหญ่,ดราม่า,ยุคปัจจุบัน

แท็คที่เกี่ยวข้อง

โรแมนติก,โรแมนซ์,โรแมนติก ,มาเฟียโหด,มาเฟีย,รักมาเฟีย,รักวัยรุ่น,รักลับมาเฟียร้าย,รักมหาลัย,โรมานซ์,18+,รักดุเดือด,รักต้องห้าม,รักดราม่า,รัก,ดรามา,yaoi ,yaoi,ดราม่า

รายละเอียด

ลูกไก่ในมือราชสีห์ In the palm of one hand โดย กระจ้อยร่อย @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

เหยื่อพยายามวิ่งหนีเสือ...เเต่ใครเล่าจะไปรู้ว่าปลายทางมีราชสีห์ดักรออยู่

ผู้แต่ง

กระจ้อยร่อย

เรื่องย่อ

สารบัญ

ลูกไก่ในมือราชสีห์ In the palm of one hand-0 บทนำ,ลูกไก่ในมือราชสีห์ In the palm of one hand-บทที่ 1 ชีวิตหอยทากปรสิต

เนื้อหา

บทที่ 1 ชีวิตหอยทากปรสิต

ตอนที่ 1


ชีวิตหอยทากปรสิต




“ถ้าอยากย้ายมาเมื่อไหร่บอกได้เสมอเลยนะ...มหาลัยที่นี่เดินทางสะดวกแถมค่าเทอมก็ไม่สูงมากด้วย”


“....ครับ...มีเวลาผมจะโทรไปใหม่นะครับ”


ข้อเสนอยืดยาวจากปลายสายถูกตอบกลับด้วยคำพูดสั้นๆ เพียงไม่กี่พยางค์ น้ำเสียงราบเรียบเลือกที่จะตัดจบบทสนทนาด้วยคำพูดเรียบง่ายแต่อิงความหมายเชิงกล่าวลา ปลายสายเงียบหายไปสักพักไม่ฝืนพูดต่อเปิดโอกาสให้ปลายนิ้วเลื่อนปัดหน้าจอทิ้งแล้วคว่ำโทรศัพท์ราบกับพื้นกระเบื้องเย็นชืดข้างตัว ไม่นานนักแสงสว่างจากหน้าจอโทรศัพท์ก็ดับหายไป ทิ้งเหลือเพียงความมืดมิดปกคลุมทั่วทั้งห้อง


สองแขนโอบรัดกอดรอบขาที่ยกขึ้นตั้งเสมอปลายคาง โน้มตัวลงเล็กน้อยก้มพิงหน้าผากกว้างเหนือหัวเข่าขณะค่อยๆ เคลื่อนเปลือกตาปิดลงทีละน้อย บรรยากาศรอบกายโอบล้อมด้วยความเงียบเหงาวังเวงและอากาศเย็นยะเยือกทั้งที่เครื่องปรับอากาศตัวเก่าก็หยุดทำงานถาวรตั้งแต่เมื่อหลายเดือนก่อนหน้าแล้ว


แสงสลัวจากภายนอกเล็ดลอดผ่านช่องว่างใต้ประตูไม้ผุพัง แสงสว่างเลือนรางสาดส่องกระทบใบหน้าเผยให้เห็นรอยเนินเขียวช้ำอมม่วงตามบริเวณกรอบหน้าและใต้ดวงตา ท่อนแขนเรียวยาวดุจไม้ไผ่กลายเป็นแท่นประดับรอยฟกช้ำและแผลเก่าจำนวนมาก ทั้งรอยขีดข่วนขนาดเล็กซึ่งอาจเกิดจากปลายเล็บคมและรอยบอบช้ำจากการถูกฟาดด้วยสิ่งของบางอย่าง ร่องรอยอันน่าหม่นหมองเหล่านี้ล้วนกระจายอยู่ทั่วทุกพื้นที่บนเนื้อผิวเนียนขาวไม่เว้นแม้ช่วงลำคอหรือส่วนใต้ร่มผ้า


เอนกายผอมแห้งนอนราบกับพื้นกระเบื้องภายในห้องพักแคบๆ หลายครั้งที่กล้ามเนื้อขาและแขนกระตุกเกร็งเพราะถูกอาการปวดระบมเล่นงาน ปวดร้าวราวกระดูกกำลังถูกบดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่ถึงอย่างนั้นกลับทำได้เพียงกัดฟันทนต่อไป ยิ่งนอนบิดนอนดิ้นอาการปวดเหล่านั้นก็มีแต่จะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น จิกปลายเล็บลงบนผิวเนื้อช่วงขาปล่อยหยดเลือดใสไหลซึมกลั้นใจข่มความเจ็บปวดทั้งหมดเอาไว้ด้วยน้ำตา


เฝ้าภาวนาขอให้ช่วงเวลาอันแสนระทมนี้ผ่านไปเสียที ทุกวินาทีของลมหายใจดำเนินไปพร้อมกับบาดแผลที่คอยย้ำเตือนถึงฝันร้ายที่ยังคงตามหลอกหลอน ราวกับม้วนหนังที่เคลื่อนผ่านไปอย่างไร้ที่สิ้นสุด




ภายใต้แสงแดดยามบ่ายร้อนอบอ้าวชายหญิงแปลกหน้าในคราบชุดนักศึกษาหลายคนเดินสวนทางกันอยู่ใต้ตึกคณะสร้างบรรยากาศแสนวุ่นวายพร้อมเสียงพูดคุยจอแจ ไม่ว่าจะกวาดสายตามองทางไหนก็มีแต่นักศึกษาจับกลุ่มเดินอยู่เต็มไปหมดพาลทำให้รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูกราวกับหายใจหายคอไม่ค่อยสะดวกนักแม้รอบข้างจะเป็นพื้นที่เปิดโล่งก็ตาม


พอก้าวเข้าสู่เขตตึกเรียนประจำจำนวนผู้คนรอบข้างก็ลดลง ส่วนใหญ่จะมีแค่กลุ่มนักศึกษาที่กำลังนั่งอ่านหนังสือหรือไม่ก็จับกลุ่มทำงานตรงโต๊ะไม้สีน้ำตาลที่ถูกตั้งเรียงเอาไว้อย่างเป็นระเบียบใต้ตึกคณะ


เส้นทางลาดยาวตรงหน้าไร้ซึ่งสิ่งกีดขวางแต่ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มกลับลังเลที่จะยกเท้าก้าวต่อไป สายตาร้อนรนเหลือบมองรอบข้างด้วยความหวาดระแวง แทนที่บรรยากาศเงียบสงบจะสร้างความสบายใจกลับทำให้หัวใจเต้นระรัวราวกับสามารถระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ เพราะรู้ดีว่าหากตัดสินใจก้าวเท้าต่อไปสายตาผู้คนในที่นี่จะหันมามองด้วยความสงสัย นั่นคือปัจจัยที่ทำให้เขาประหม่าจนแทบเป็นบ้า ท่ามกลางความสนใจนั้นเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่ามีใครประสงค์ร้ายแอบแฝงอยู่บ้างหรือเปล่า


ลมหายใจเริ่มติดขัด สองมือกำสายกระเป๋าสะพายแน่นราวกับจะบีบให้มันขาดคามือ เม็ดเหงื่อผุดขึ้นตามกรอบหน้าและลำคอ เสียงหัวใจเต้นกระทบผนักอกดังก้องอยู่ในหัว พยายามนับหนึ่งถึงสิบเพื่อเรียกสติ แต่หลายครั้งก็ล้มเหลว กว่าจะกลั้นใจกล้าเดินหน้าต่อได้ก็ต้องเสียเวลาให้กับการยืนทำใจนานร่วมห้านาที หากไม่กลัวว่าจะเข้าเรียนสายก็คงฝืนยืนจิตตกต่อไปได้อีกเป็นชั่วโมง


เมื่อแน่ใจว่าไม่ได้รู้สึกคุ้นหน้าค่าตาใครในทีนี้ก็รีบเร่งฝีเท้าเดินผ่านฝูงชนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้แม้จะต้องแลกมาด้วยอาการเหนื่อยหอบที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นก็ตาม หลังจากพ้นเขตสายตาก็รีบวิ่งหลบเข้าหลังกำแพง ยืนตั้งสติสูดลมหายใจขับไล่อาการเหนื่อยล้าแล้วรีบก้าวขึ้นบันไดก่อนจะเสียเวลาไปมากกว่านี้


ตอนนี้ภายในห้องเรียนเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยของเหล่านักศึกษานับสิบชีวิต ทั้งที่ตอนแรกพยายามทำเวลาหวังจะมาถึงห้องเรียนเป็นคนแรกเพื่อหลีกเลี่ยงการกลายเป็นจุดสนใจของเพื่อนร่วมชั้นยามผลักประตูเข้าไปในฐานะคนมาสายคนสุดท้าย บรรจงเปิดประตูอย่างช้าๆ สร้างเสียงเสียดสีให้น้อยที่สุดแต่ถึงอย่างนั้นก็ห้ามสายตาสงสัยของหลายๆ คนในห้องไม่ได้อยู่ดี


ส่ายตามองรอบข้างด้วยความประหม่ารอจนสายตาเคลือบแคลงหันหนี จึงเดินตัวเกร็งแข็งทื่อกลับไปนั่งโต๊ะเรียนประจำของตัวเอง ซึ่งเวลานั้นก็ไม่มีใครสละเวลาพูดคุยมาสนใจเขาแล้ว


“แสงเหนือ! ช้าอีกห้านาทีนายมาสายแล้วนะ”


เจ้าของน้ำเสียงใสกังวานแฝงนิสัยขี้เล่นโน้มตัวข้ามโต๊ะเข้ามากระซิบกระซาบข้างหู แผ่นหลังชายหนุ่มสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจเมื่อถูกทักกระทันหัน แต่ก็ยังฝืนหันไปมองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม


“ทุกทีเคยแหกตาตื่นมาแต่เช้า จะสละตำแหน่งแชมป์คนขยันประจำคลาสหรือไง”


ไม่มีใครคิดสละเวลามาสนใจสังเกตการณ์กิจวัตรของคนอื่นนอกเสียจากเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวในห้องอย่างดินสอที่มักหาฉายาประหลาดหูมาขนานนามให้แสงเหนืออยู่เป็นประจำ นั่นก็เพราะแสงเหนือมักเป็นคนแรกที่มานั่งเฝ้าห้องเรียนอยู่เสมอ


“ไม่สบายหรือเปล่า วันนี้สีหน้าดูไม่ค่อยดีเลย มีอะไรหรือเปล่า…”


“งะ งั้นหรอ…” แสงเหนือรีบยกมือขึ้นเช็ดสองข้างแก้มทำราวกับสีหน้าแย่ๆ เป็นแค่รอยเปื้อนเท่านั้น


“แต่ก็ช่างเถอะ...นายทำหน้าแบบนี้ทุกวันอยู่แล้วนี่นา”


เปลือกตาที่เหมือนเปิดไม่เต็มที่ ริมฝีปากซีดจางเหมือนคนขาดสารอาหาร ขอบตาลึกคล้ำชัดเจน แม้กระทั่งตอนยิ้มก็ยังดูหดหู่ไม่ต่างจากสีหน้าปกติ เพียงแค่ยกมุมปากทั้งสองข้างขึ้นแต่ตายังเศร้าสร้อยแบบนั้นก็ไม่อาจเรียกว่ารอยยิ้มได้เต็มปากหรอก เหมือนถูกสถานการณ์บีบบังคับให้ฝืนยิ้มออกมาเสียมากกว่า


โทนเสียงสนุกสนานของเหล่านักศึกษาเงียบหายไปแทบจะในทันทีที่อาจารย์ประจำวิชาเปิดประตูเดินเข้ามาในห้อง รอยยิ้มบนใบหน้าหุบหายไปอัตโนมัติ ไม่นานห้องทั้งห้องก็ปกคลุมไปด้วยความเงียบงันจนกระทั่งเสียงคอมพิวเตอร์และเครื่องฉายประกอบการสอนดังขึ้นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าการเรียนการสอนกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้วหลังจากนี้




“ไม่เห็นจะเข้าใจเลย...อ่านหนังสือตาเหลือกแต่ก็ยังสอบไม่ผ่านอยู่ดี”


“ได้ยินว่าอาจารย์วิชานี้เข้มงวดน่าดู อย่างน้อยก็ได้เยอะกว่าเดิมตั้งสามคะแนนนี่นา”


“พูดได้สิ...เนิร์ดประจำห้องจะมาเข้าใจคนคะแนนต่ำสุดในห้องยังไงล่ะ”


ทุกครั้งที่อาจารย์ประกาศคะแนนสอบแสงเหนือก็มักจะตกเป็นผู้ฟังที่ดีอยู่เสมอ เสียงถอนหายใจและสีหน้าผิดหวังไม่ค่อยต่างจากตอนต้นเทอมสักเท่าไหร่นัก ไม่รู้ว่าจะโทษความพยายามที่สูญเปล่าหรือสาปแช่งโชคชะตาที่ลืมบัลดาลให้ดินสอเดาข้อสอบไม่ถูกดี คนที่สามารถชิงคะแนนเต็มมาได้แทบทุกวิชาอย่างแสงเหนือจึงตกเป็นเหยื่ออารมณ์ไปโดยปริยาย


แต่ถึงแม้จะสามารถเนรมิตคะแนนสอบได้อย่างไร้ที่ติก็ยังไม่เคยเห็นเจ้าตัวยิ้มแย้มแสดงสีหน้าดีอกดีใจออกมาเลยสักครั้ง


“เอาล่ะ สงสัยคงต้องกลับไปอ่านหนังสือเพิ่มแล้ว ถ้างั้นไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ”


“กะ....กลับ จะกลับแล้วงั้นหรอ” แทบจะในทันทีที่สายตานิ่งสนิทตวัดหันกลับไปมองดินสอพร้อมอาการตื่นตูม


“อืม...มีอะไรหรือเปล่า อยู่ดีๆ ก็หน้าซีดขึ้นมาซะอย่างนั้น”


“ปะ...เปล่า จะกลับแล้วเหมือนกัน” ริมฝีปากสั่นระรัวพาลทำให้น้ำเสียงสั่นไหวไปด้วย


“อืม...แล้วไว้เจอกัน”


เพียงคำบอกลาที่ได้ยินจนชินหู ทว่ากลับทำเอาหัวใจกลับมาโหมระรัวอีกครั้ง ตาลีตาเหลือกก้มหน้าก้มตาพยายามโกยข้าวของทุกอย่างลงกระเป็นด้วยความเร็วทั้งหมดที่มี ทว่าพอเงยหน้าขึ้นมาดินสอก็หายไปจากสายตาเเล้ว


กริ่งเตือนภัยในหัวกำลังจะกลับมาทำงานอีกครั้ง ลมพัดจากรอบข้างไม่อาจเอาชนะเสียงหัวใจที่กระเเทกอยู่ในอกได้ พอคว้ากระเป๋าสะพายได้ก็เตรียมพร้อมจะเดินออกไป ทว่าเพียงไม่กี่ก้าวหลังจากนั้นเท้าก็พลันต้องหยุดชะงักลงเมื่อมีน้ำหนักปริศนาหล่นลงมากระทบบนไหล่จนร่างกายเสียสมดุลเอียงไปแถบหนึ่ง


ปลายรองเท้าผ้าใบสามคู่ปรากฏแก่สายตาอยู่เบื้องหน้าในมุมมองก้มต่ำ ปลายรองเท้าทุกคู่ล้วนหันตรงมายังจุดยืนของเขา หากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับคนอื่นก็คงจบลงด้วยการผลักอีกฝ่ายให้พ้นทาง ทว่าแสงเหนือกลับต่างออกไป วินาทีนี้เขาทำได้เพียงยืนนิ่งตัวแข็งทื่อ หัวใจเริ่มบีบรัดเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ ใบหน้าแดงก่ำอาบด้วยหยาดเหงื่อ มือเริ่มสั่นสะท้าน กริ่งเตือนภัยในหัวทำงานอย่างเต็มรูปแบบ


“ทำไมวันนี้รีบกลับจังล่ะ...ช่วยเสียเวลาอยู่เล่นเป็นเพื่อนกันก่อนสิ”


ไม่จำเป็นต้องเงยหน้าขึ้นมองเพียงแค่ได้ยินน้ำเสียงอันคุ้นเคยบาดหูก็พอเดาได้แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นใครมาจากไหน น้ำเสียงเจ้าเล่ห์ก้มลงกระซิบบางอย่างข้างหูในขณะมือออกแรงกดไหล่เกร็งของแสงเหนือให้ลดต่ำลง


เสียงลมหายใจนั้นเคล้าคลออยู่ข้างแก้ม อีกฝ่ายเลื่อนปลายจมูกหยอกเย้าแก้มขาวด้วยความชอบใจโดยไม่สนว่าจะได้รับความยินยอมหรือไม่ แสงเหนือไม่แสดงท่าทีต่อต้านเพียงแค่ยืนนิ่งยอมตกเป็นเหยื่อแต่โดยดี


“ไม่เจอกันนาน…คิดถึงแทบแย่เเล้ว อย่าลืมนัดของเราล่ะ”


มือแข็งทื่อจิกปลายเล็บลงบนกางเกงสแล็คสีดำระบายความอัดอั้นภายในใจ เส้นเลือดนูนปรากฏขึ้นบริเวณหลังมือและลำคอ หยาดเหงื่อชโลมทั่วใบหน้าจนเปียกชุ่ม ร่างกายสั่นระริกราวกับลูกไก่ที่รู้ชะตากรรมของตนเอง


รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเยาะเย้ยแทนการบอกลาก่อนไหล่ข้างซ้ายจะถูกตบเบาๆ จากนั้นแรงกดก็พลันหายไปพร้อมกับปลายรองเท้าที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปอย่างช้าๆ


แสงเหนือยังคงยืนตัวแข็งทื่อจ้องพื้นอยู่เช่นเดิมก่อนจะทรุดตัวนั่งลงไปกับพื้นขณะที่ดวงตายังคงเบิกกว้างเพราะความตื่นกลัว เขาไม่อาจควบคุมอาการหวาดกลัวของตัวเองได้ แม้เจ้าของเสียงนั้นจะเคลื่อนตัวผ่านไปแล้ว แต่ร่างกายก็ยังคงสั่นสะท้านไม่หาย มือที่เคยอุ่นกลับเย็นเยือกไม่ต่างจากผิวหนังยามสัมผัสน้ำแข็ง ลงแรงจิกเล็บไปบนแขนข้างซ้ายเพื่อหยุดยั้งความกลัวเอาไว้โดยไม่สนว่าตัวเองจะได้รับความเจ็บปวดจากการกระทำไร้เหตุผลนั้นหรือไม่


ต้องกำจัด ต้องกำจัดความกลัวนี้ออกไป ต้องกำจัดมันออกไป


การปรากฏตัวของชายปริศนากินเวลาเพียงไม่กี่วินาทีทว่ากลับฝากภาพหลอนเอาไว้ในจิตใจ พายุลูกใหญ่พัดผ่านไปแต่เหลือเศษซากน่าเวทนาเอาไว้ลับหลัง ความหวาดกลัวยังคงท่วมท้นอยู่ภายในจิตใจ เป็นอีกครั้งที่ถูกความหวาดระแวงเล่นงานจนสติแตก


ลมหายใจนี้ไม่ต่างจากชีวิตหอยทากที่กำลังถูกปรสิตกัดกินไปทีละนิดและค่อยๆ ตายลงอย่างช้าๆ


+++++