ดิ้นรน ดึงรั้ง ดันทุรัง
ระทึกขวัญ,ดาร์ค,ญี่ปุ่น,เรื่องสั้น,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ขับกล่อมผู้กลืนกินข้าพเจ้ามองเห็นแสงเล็ก ๆ ลิบตาวันละหนึ่งหน ก่อนเฝ้าฉงนท่ามกลางกระแสแห่งชีวิตที่พัดพาข้าพเจ้า ไปทางนั้นทีทางนี้ทีจนหมดวัน เมื่อสิ้นแสงนั้นนั่นคือสัญญาณการเปลี่ยนผ่าน
ยามเช้าข้าพเจ้าดิ้นรน ยามค่ำข้าพเจ้ามิอาจข่มตา ชีวิตของข้าพเจ้าเป็นเช่นนั้น เหมือนกันทุกวัน ไม่มีผิดพลาด ไม่มีเปลี่ยนแปลง ข้าพเจ้าถูกเหวี่ยงไปตามแรงที่มองไม่เห็น อัดกระแทก กัดแทะ ลอยคว้าง จมดิ่ง แล้วก็ดิ้นรนขึ้นมาใหม่ วนซ้ำเช่นนี้ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ทุกอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่จะตั้งหลัก ทว่าก็เชื่องช้าจนแทบสำลักความว่างเปล่า ในการต่อสู้นั้นมีความเจ็บปวดเป็นของขวัญเพียงหนึ่งเดียวที่ข้าพเจ้าได้รับ มันซึมลึกอยู่ในร่างกายคล้ายเศษแก้วที่ฝังอยู่ใต้ผิวหนัง กรีดเฉือนทุกการเคลื่อนไหวให้กลายเป็นความทรมานที่ไม่อาจบรรยาย และไม่อาจดิ้นหนีออกไปได้
บางวันข้าพเจ้ายอมแลกความเจ็บปวดเพื่อให้มองเห็นแสงนั้นได้นานขึ้น แขนขาของข้าพเจ้าถูกดึง ถูกรั้ง ในหูได้ยินเสียงพวกนั้นอึงอัน แสดงปรารถนาในการเหยียบย่ำข้าพเจ้าซ้ำไปมา
บางวันข้าพเจ้าคิดว่าตนเองกำลังปีนขึ้นที่สูง ฝ่าฟันขึ้นไปด้วยความเหนื่อยล้า แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นกลับพบว่าไม่มีจุดหมายปลายทาง ฟากฟ้าเป็นสีดำสนิทมีจุดแสงจุดเดียวที่เล็กเกินกว่าจะเบียดกายออกไป ริบหรี่เกินจะคิดว่านั่นคือจุดแสงแห่งหวัง
สุดท้ายข้าพเจ้าก็ได้แต่เพียงปล่อยให้ตนเองไหลล่องไปตามทิศทางที่เขาพัดพา หมดสิ้นความหวังจะไขว่คว้า หมดสิ้นเรี่ยวแรงจะต้านทาน ข้าพเจ้ามองไม่เห็นประโยชน์อะไรเมื่อปลายทางของทุกชีวิตล้วนมีจุดจบแห่งเดียวกัน
ข้าพเจ้าจึงทิ้งตัวลงสู่ก้นหุบเหว แหงนหน้ามองเหล่าผู้มีหวังเหยียบย่ำและกัดกินกัน
ดวงตานับร้อยคู่เหลือบมองข้าพเจ้า เวทนา สมเพช เดียดฉันท์ ข้าพเจ้าเพียงแต่มองดวงตาเหล่านั้นค่อย ๆ ดับวูบไปทีละข้าง ทีละคู่ ถูกกัดกิน ถูกทิ่มแทง พวกมันปลิดชีพกันและกันเพื่อนำเอาชีวิตเหล่านั้นก่อเป็นอิฐ หวังจะไต่ขึ้นสู่แสงสว่าง หวังจะรอดออกไป แต่ยิ่งบันไดสูงชันมากเพียงใด ความโหดร้ายของผู้แย่งชิงยิ่งทวีคูณ
วันแล้ว วันเล่า
แต่ข้าพเจ้ายังมีชีวิตอยู่ น่าขัน - ยังมีชีวิตอยู่!
ข้าพเจ้าหัวเราะ หัวเราะทั้งที่ลำคอแห้งผาก หัวเราะทั้งที่ร่างกายพรุนไปด้วยบาดแผล พวกมันปีนขึ้นไป ใช้ร่างของกันและกันเป็นฐานเหยียบย่ำ พวกมันผลัก พวกมันฉีก พวกมันกรีดร้อง ทั้งความหวาดกลัวและความคลุ้มคลั่งปะปนกันจนไม่อาจแยกแยะได้
เลือดสีดำข้นไหลรินลงมาจากข้างบน หยาดหยดลงบนดวงตาของข้าพเจ้า ร้อนผ่าวราวกับเปลวเพลิงเผาผลาญ ข้าพเจ้าเงยหน้าขึ้น เห็นร่างไร้วิญญาณถูกผลักตกลงมาสู่ความเวิ้งว้างเบื้องล่าง เป็นเพียงเศษซากอันไร้ค่า ไม่มีแม้เสียงอาลัยเมื่อร่างกระแทกพื้น ข้าพเจ้ามองดูบันไดแห่งซากศพนั้นค่อย ๆ ก่อตัวขึ้น ร่างที่เคยดิ้นรนกลับแน่นิ่งจมกองเลือด บ้างขาดครึ่งท่อน บ้างถูกฉีกแขนขาทั้งแปดจนสิ้น บ้างมีพิษก็สิ้นฤทธิ์เพราะการต่อสู้อันยาวนาน ข้าพเจ้าเห็นมือข้างหนึ่งยื่นออกมาเพื่อคว้าหลักยึด แต่ถูกกระชากร่วงลงไปสู่ความมืดเบื้องล่าง พวกมันปีนขึ้นไปอย่างบ้าคลั่ง เคลื่อนตัวเป็นเกลียวคลื่นแห่งความสิ้นหวังที่ดูจะไม่มีวันสงบลง
แต่ข้าพเจ้าเองเล่า
ข้าพเจ้ายืนอยู่เบื้องล่าง มองดูวงจรแห่งการทำลายล้างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดวงตาที่เคยเหลือบมองข้าพเจ้าอย่างเดียดฉันท์ ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความหวาดกลัวเมื่อข้าพเจ้าเคลื่อนไหว แขนขาของข้าพเจ้ากรีดตัดผ่านความมืด กรงเล็บฝังลงบนเนื้ออ่อนของผู้ที่อยู่เหนือกว่า ข้าพเจ้ากระชากมันลงมา ปล่อยให้ร่างของมันถูกกลืนหายไปในความมืดเบื้องล่าง ฟันของข้าพเจ้าฝังลึกลงไปในเนื้อหนังของสิ่งที่อยู่ใกล้ที่สุด ความขมขื่นของเลือดและเนื้อแทรกซึมลงไปในลำคอ แต่ข้าพเจ้ากลับไม่สำลัก ไม่ขย้อนออก มันคือรสชาติของชีวิต! ข้าพเจ้ากัด กัดซ้ำ กัดจนเสียงร้องเงียบหายไป
ข้าพเจ้าปีนขึ้นไป เหยียบย่ำลงบนร่างของผู้ที่เคยเหยียบย่ำข้าพเจ้า กัดแทะผู้ที่เคยกัดแทะข้าพเจ้า ข้าพเจ้าหัวเราะ หัวเราะให้กับความตื่นตระหนก หัวเราะให้กับร่างที่ดิ้นรน หัวเราะให้กับตัวเอง – ผู้ที่เคยคิดจะยอมแพ้ เสียงรอบตัวเริ่มเปลี่ยนไป เสียงอึงอันที่พร้อมจะโถมใส่ข้าพเจ้าเปลี่ยนเป็นกรีดร้องอย่างหวาดกลัว เสียงหัวเราะของข้าพเจ้าดังสลับการฉีกกระชาก สรรพเสียงที่ดังก้องในโลกแคบ ๆ ใบนี้สดับฟังแล้วราวกับบทเพลงแห่งความตายที่ขับกล่อมผู้กลืนกิน
จุดแสงเล็ก ๆ ใกล้ข้าพเจ้ามากขึ้น เมื่อข้าพเจ้าปีนขึ้นไป ใกล้เข้าไป ใกล้เข้าไปอีก
ร่างกายของข้าพเจ้าสั่นสะท้าน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความหฤหรรษ์แห่งชัยชนะ หรือเพราะพิษแห่งความสิ้นหวังที่แทรกซึมอยู่ในอากาศ ลมหายใจของข้าพเจ้าเป็นเสียงครืดคราด ขณะสูดเอาละอองความแค้นที่ลอยกรุ่นจากศพเข้าปอด
แสงนั้นอยู่ใกล้ขึ้นทุกที
มันอยู่ที่นั่น ดวงตาของข้าพเจ้าเบิกโพลงสะท้อนประกายของมัน แสงที่ข้าพเจ้าติดตามมาโดยตลอด แสงที่ข้าพเจ้ายอมถูกกัดกิน ยอมถูกเหยียบย่ำเพื่อให้ได้เห็นมันอีกเพียงวันหนึ่ง
แสงนั้นอยู่ใกล้ขึ้นทุกที ข้าพเจ้าจะไปถึงมัน ข้าพเจ้าจะเป็นหนึ่งเดียวกับมัน ข้าพเจ้าจะมีตัวตน จะมีความหมาย จะอยู่เหนือทุกสิ่ง จะเป็นผู้เดียวที่เบียดกายออกไปได้
แต่แล้วเงามืดก็ตกลงมาทับร่างข้าพเจ้า ผลักข้าพเจ้าให้ร่วงหล่นจากความหวังอันสูงลิ่ว ข้าพเจ้าอ้าปากกรีดร้อง แต่ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา ทุกสิ่งรอบตัวกลับกลายเป็นความเงียบงัน
ข้าพเจ้าร่วงหล่น
บนซากศพนับร้อย ร่างกายของข้าพเจ้ายังคงอยู่ แต่ไม่อาจขยับเขยื้อน คมเขี้ยวแหลมคมอ่อนแรงลง หางที่เป็นดังง้าวเคลือบพิษหักค้ำกับพื้น เหนียวหนืดและเย็นเยียบ
ข้าพเจ้ามองกลับขึ้นไป ฟากฟ้าดำสนิทต่างเพดานครานี้ปราศจากจุดแสง ดวงตาของข้าพเจ้าพร่ามัวเพราะสีขาวเจิดจ้าที่สาดส่องเต็มตา เหมือนขอบเขตที่เราต่างใฝ่หาถูกทลายเสียสิ้น
ในซอกหลืบของความทรงจำ ข้าพเจ้าจำได้ว่าเคยได้ยินเรื่องราวคล้ายกันนี้มาก่อน เป็นเหมือนตำนานที่ไม่มีผู้ใดรู้ว่าจริงเท็จเพียงใด ทว่าขณะนี้ข้าพเจ้าพิสูจน์ได้ด้วยตัวเองเสียแล้ว
ข้าพเจ้าเข้าใจแล้ว
ข้าพเจ้าเป็นตัวสุดท้าย
ข้าพเจ้าคือผู้ชนะ
แต่ในโศกนาฏกรรมนี้ไม่มีรางวัลใดรอคอย
เสียงฝีเท้าหนักแน่นดังก้องเหนือศีรษะ เงาร่างสูงใหญ่เคลื่อนเข้ามา ชะโงกมองดูข้าพเจ้าจากฝ้าเพดานสีขาวเจิดจ้า ครู่ต่อมาข้าพเจ้าถูกแรงบีบรัดบดไว้ระหว่างบางสิ่งที่แข็งกระด้าง
ร่างของข้าพเจ้าถูกยกขึ้นสูง ถูกตรึงไว้ สายลมแผ่วเบาสัมผัสผิวดำเป็นเงามัน โลกภายนอกขวดโหลปิดทึบสะท้อนวาวในดวงตา ข้าพเจ้ามองเห็นทุ่งดอกไม้สีแดงฉานเป็นอย่างสุดท้าย
"วันนี้ครบรอบปีพอดีสินะ" เสียงหนึ่งดังขึ้นเหนือหัว นุ่มนวลแต่ปราศจากความอาลัย "ปีนี้ได้ตัวใหญ่กว่าปีที่แล้วเสียอีก"
เสียงหัวเราะเบา ๆ ตามมา ก่อนที่ทุกสิ่งจะจบสิ้นลง
บดขยี้
…
ข้าพเจ้าเป็นตัวสุดท้าย
ข้าพเจ้าเป็นผู้ชนะ
แต่ข้าพเจ้าไม่มีตัวตนอีกต่อไป