ช่วยเลิกสนใจหน้าปกเสียที แล้วช่วยดูเนื้อหาที่ผมเขียนหน่อย!
รัก,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,เล่าประสบการณ์,ตลก,พล็อตสร้างกระแส,Y2K,ย้อนยุค,พระเอกเก่ง,เจ้าแผนการ,นักธุรกิจ,คนในฝัน,รวยตั้งแต่ยังเด็ก,สร้างตัว,สายเปย์,มาเฟีย,ตัวพ่อ,โรงเรียน,พล็อตไม่ซ้ำใคร,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เสือเจ้าพระยา | ภาคที่ 1 จับเสือมือเปล่า (อ่านฟรี!)ช่วยเลิกสนใจหน้าปกเสียที แล้วช่วยดูเนื้อหาที่ผมเขียนหน่อย!
เสือเจ้าพระยา ภาคที่ 1 | จับเสือมือเปล่า!
- ที่มาของชื่อเรื่อง -
ซ้ายเด่นสง่าเสือเจ้าพระยา ขวาดาราประดับฟ้าเพริศแพร้ว
สองเพชรงามน้ำหนึ่งเมืองบัวแก้ว ผู้ผ่องแผ้วคู่แคว้นแดนประทุม
………
นิยายเรื่องนี้จะเป็น ‘แนวสร้างตัว’ ซึ่งตลอดทั้งเรื่องผสมผสานไปด้วยมุกตลก และสอดแทรกไว้ด้วยสาระ โดยที่ได้อิงจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงบนโลก ในภาคนี้จะมุ่งเน้นไปที่การปูพื้นฐานตัวละคร และก็โครงเรื่องเสียเป็นส่วนใหญ่
โดยนิยายจะเล่าย้อนกลับไปในช่วงปี พ.ศ. 2548 เป็นเรื่องราวของพระเอกที่มีชื่อว่า “เสือน้อย” นับตั้งแต่เจ้าตัวได้เข้ามัธยมต้นในภาคที่ 1 จนกระทั่งเรียนจบมหาลัย ในภาคที่ 5
ผู้เขียนเชื่อว่าท่านนักอ่านนั้น ‘มีลิมิต’ ในการยอมรับนิยายสักเรื่องหนึ่ง ดังนั้นในตอนที่ 24 “คนขี่ควาย” ก็อาจช่วยให้ท่านตัดสินใจง่ายขึ้น แน่นอนหากว่าท่านอ่านเต็มภาคได้ย่อมจะดีที่สุด
“ใครจะไปคิดว่าควายจะเปลี่ยนชีวิตคนได้?” ทองสุขเจ้าควายตัวแสบ ถูกพ่อหยิบยกขึ้นมาเปรียบเปรยให้ลูกชายได้ฉุดคิดถึงสิ่งที่ทำอยู่ และมันได้จุดประกายความคิดของเด็กหนุ่ม ทำให้ชีวิตเขาพลิกผันไปตลอดกาล
♪
บทเพลงที่ใช้เปิดนิยายเรื่องนี้ คือ ‘เพลงบ้าหอบฟาง’ ของวงอัสนี-วสันต์
หอบฟางหอบฟางไปไหน ทำไมถึงต้องหอบฟาง
หอบกันจริงๆจังๆ หอบกันรุงรังหอบฟาง
♪
#พล็อตไม่ซ้ำใคร #นักธุรกิจร้อยล้าน #นักรักตัวพ่อ #มาเฟีย
นิยาย 5 ภาค/เล่ม(จบ) | จำนวน ≈643,202 คำ - [มี E-Book]
[--- อ่านฟรีรวม 150 ตอน! ---]
ภาคที่ 1 จับเสือมือเปล่า
(อ่านฟรีทั้งภาค!)
ภาคที่ 2 เสือไว้ลาย
(ฟรีตอนที่ 57-87)
ภาคที่ 3 หน้าเนื้อใจเสือ
(ฟรีตอนที่ 116-131)
ภาคที่ 4 ชาติเสือจับเนื้อกินเอง
(ฟรีตอนที่ 186-207)
ภาคที่ 5 เสือหมอบ
(ฟรีตอนที่ 251-275)
(จบบริบูรณ์)
คำโปรย
เด็กหนุ่มผู้แผ้วถางป่าดงอันรกเรื้อ...
“ใช้สองมือกวาดพงสร้างทางฝัน สองเท้าย่างก้าวพลันสู่จุดหมาย
ขีดเขียนโชคชะตาด้วยใจกายยืนหยัดอย่างผึ่งผายด้วยคุณธรรม”
อุปสรรคนานัปการ…จะหล่อหลอมให้เขา กลายเป็นคนแกร่ง!
คำเตือน
นิยายเรื่องนี้ ผู้เขียนแต่งขึ้นมาเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ชื่อตัวละคร เหตุการณ์ และสถานที่ต่าง ๆ ในเรื่อง อาจปรากฏอยู่ในความเป็นจริง “ทั้งนี้ผู้เขียนมิได้มีเจตนามุ่งทำร้ายให้เกิดความเสื่อมเสียต่อบุคคลวิชาชีพ หรือองค์กรใดทั้งสิ้น” หากแต่ใช้อ้างอิงเพื่อเพิ่มอรรถรสในการอ่านเท่านั้น…
เนื้อหาในนิยายอาจมีเนื้อเรื่องที่ไม่เหมาะสมปรากฏอยู่บ้าง โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน และผู้อ่านที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีควรได้รับคำแนะนำจากผู้ปกครอง …หากมีความผิดพลาดประการใด ผู้เขียนต้องกราบขออภัยไว้ ณ ที่นี้
ตอนที่ 8 ยุคนี้ต้องตีดอท
พอกลับถึงบ้านพ่อผันก็อธิบายให้ฟังคร่าว ๆ ว่าตัวเองใช้แผนการอะไร เริ่มแรกใช้เงินเป็นเหยื่อล่อให้ครูที่อยู่ในที่เกิดเหตุช่วยหาข้อมูล
“ปกติแล้วคนทำผิด มักมือไม่สะอาด คนรอบข้างต้องพบพิรุธบ้างไม่มากก็น้อย ยิ่งกับคนที่ทำงานเห็นหน้ากันบ่อย ๆ แล้ว มักมีความหมั่นไส้ อิจฉาไม่พอใจอยู่เนือง ๆ ที่ไหนมีคนที่นั่นย่อมมีปัญหา นี่เรียกว่าการใช้เงินอย่างชาญฉลาด!”
พ่อผันก็สาธยาย “ตีงูต้องตีให้ตาย รู้ใช่มั้ย? ไม่เช่นนั้นมันจะกลายมาเป็นภัย และหากนำสุภาษิตนี้มาเปรียบเทียบกับสถานการณ์ นั่นก็คือต้องดำเนินการให้ถึงที่สุดกับคนประเภทนี้ อย่าได้ยอมอ่อนข้อให้ง่าย ๆ”
จากนั้นเขาอธิบายหลักการ เหตุผลต่าง ๆ มากมายให้ลูกชายสุดที่รักได้ฟัง…ในขณะที่มือก็เล่นกีตาร์ไปพลาง ๆ
พอแม่ชบากลับบ้านมา และได้ฟังเรื่องราวเธอโกรธจนถึงขั้นควันออกหู “พร้อมพูดจา ด่าสาดเสียเทเสียใส่ไอ้ครูสุพลนั่นอย่างไม่พอใจ…”
ด้วยความร้อนรนทนไม่ไหว เธอจึงโทรไปหาเพื่อนแม่ค้าขาเมาท์ที่ตลาด ให้ช่วยพากันประโคมข่าว เพื่อกระจายชื่อเสีย(ง)ของครูสุพล…
เธอกัดฟันกรอด “กล้าดียังไงถึงมาตัดชื่อของลูกชายฉันออก แถมยังเอาเด็กเส้นของตัวเองมาแทรกใส่ดื้อ ๆ”
ก่อนจะหันไปหาสามีตัวเอง “พ่อแล้วครูที่เอาข่าวมาบอกเราจัดการไปหรือยัง? อย่าให้เสียชื่อเด็ดขาดนะ เอ่อ…ว่าแต่แม่รู้จักมั้ยคุณครูคนนี้!?”
“จัดการเรียบร้อยแล้วจ้ะที่รัก...ส่วนครูที่บอกข้อมูลน่ะ ก็คือครูน้อยหน่าไงที่สอนวิชาวิทยาศาสตร์ ชอบมาซื้อกับข้าวของแม่บ่อย ๆ พ่อจำได้”
แม่ทำหน้าครุ่นคิดอยู่แป๊บหนึ่ง ก็นึกหน้าครูน้อยหน่าออก “อ๋อ…จำได้แล้ว ประเดี๋ยววันหลังแม่จะแถมให้เยอะ ๆ หน่อย!”
……
ย้อนกลับมาที่ปัจจุบันที่เสือน้อยกำลังเล่าเรื่องให้เพื่อน ๆ ฟัง
“นั่นแหละบทสรุป ก็คือปกติคนอื่นเขามีสามตัวเลือก ถ้านับว่าหนึ่งสอบผ่าน สองได้จับฉลาก สามเด็กเส้นเด็กฝาก ทว่าส่วนข้าน่ะ…ใช้วิธีที่สี่นั่นก็คือข่มขู่” เสือน้อยเล่าเรื่องให้เพื่อน ๆ ฟัง
เพราะตัวเขาเอง สอบผ่านก็เหมือนไม่ผ่าน จับฉลากก็ไม่ได้อีก แถมยังไม่ได้ฝาก หรือยัดอีกต่างหาก เขาคงเป็นกรณีเดียวที่หาได้ยากในรอบหลายปีของโรงเรียนเลยทีเดียว
บรรดาเพื่อนที่นั่งฟังอยู่รอบ ๆ ก็อดด่าสาปส่งไอ้ครูคนนั้นไม่ได้ พวกเขาคิดอย่างกับว่าตัวเองอยู่ในเหตุการณ์ เวลาล่วงเลยตั้งแต่ประกาศผลจวบจนถึงตอนนี้ คงถูกย้ายออกพักงานชั่วคราว หมดสิทธิ์สอนที่นี่ มีคดีขึ้นโรงขึ้นศาลมาอีกเพียบ
“พวกเอ็งรู้มั้ย ไอ้ครูคนนั้นมันพูดสารภาพว่าไง... มันบอกว่าก็เห็นถามข้อมูลส่วนตัวดูโง่ดี พอเหลือบไปมองพ่อข้าก็เห็นแต่งตัวปอน ๆ เลยเลือกข้าเป็นเป้าหมาย”
เสือน้อยตบหน้าผากตัวเอง “จะให้ใส่สูตรเต็มยศ แดดร้อนเปรี้ยง ๆ แบบนี้พ่อข้าคงไม่บ้าจี้ทำหรอก แค่แต่งตัวสุภาพให้เกียรติสถานที่โรงเรียนก็พอ”
“สำคัญนักเชียวไอ้อดีตครูสุพล ที่มองว่ามัดถุงแกงข้าปัญญาอ่อนนี่สิ ทำเอากูปี๊ดเลย!” พอถึงช่วงหลัง ๆ เขาเริ่มเก็บอารมณ์ไม่อยู่ จึงเผลอหลุดพูดมึงกูขึ้นมา
หลังจากนั้น…ทั้งกลุ่มก็นั่งคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ใครฝากเข้าบ้าง จับฉลากบ้าง เมื่อเห็นเสือน้อยเปิดใจเล่าให้ฟัง ทุกคนที่เหลือก็ไม่มีกั๊กไว้เลย เหมือนเทน้ำออกจากขวด ไหลออกมาจนหมด
จากนั้นก็ถึงตอนบ่ายโมงเศษ ๆ หมดเวลาของคาบว่างแล้ว ซึ่งทั้งกลุ่มก็พากันเดินขึ้นไปเรียนกันตามปกติ ยังนัดแนะกันด้วยว่าพรุ่งนี้จะเจอกันตรงไหน
ช่วงเวลาที่ครูออกแวะไปนอกห้อง เพื่อนผู้ชายในห้องก็หันมาชวนกันไปเล่นเกม โดยมีไอ้สมชายเป็นตัวตั้งตัวตี มีคนเสนอท้าตีดอทเอ หรือไม่ก็เกมออนไลน์อื่น ๆ ที่กำลังเป็นที่นิยม ใครที่จับคู่ถูกโฉลกเล่นเกมเดียวกันก็นัดแนะไปด้วยกัน
และแล้วคาบวิชานี้ก็ผ่านพ้นไป…จนถึงเวลาเลิกเรียน
แต่ในโรงเรียนมีกฎแปลกประหลาดอยู่ว่า ก่อนออกจากโรงเรียน ต้องเอาเศษขยะในโรงเรียนมาทิ้ง ไม่ว่าจะเป็นเศษเล็กน้อยแค่ไหนก็ตามแต่ คงเพื่อชักชวนให้นักเรียนรักความสะอาด หรือไม่ก็ขี้เกียจจ้างภารโรงล่ะมั้ง? เสือน้อยลูบคางบ่นพึมพำ
สำหรับเด็ก ม.1 ที่พึ่งเข้ามาย่อมไม่รู้เรื่องราวเช่นนี้มาก่อน ส่วนพวกรุ่นพี่ ก็ไม่เคยบอก คงเห็นว่ามันเป็นเรื่องหยุมหยิม เขาจึงต้องขวนขวายไปขุดคุ้ย เอาเศษขยะตามซอกหลืบมาจนได้ เป็นเปลือกลูกอมชิ้นกระจิ๋วหลิว
ทุกคนต่างเข้าแถวเป็นระเบียบ แบ่งออกเป็นสองฟากฝั่ง แถวยาวเป็นหางว่าว ในมือถือขยะคนละชิ้นสองชิ้น ขาดก็รอแต่ยามเปิดประตูเท่านั้นถึงจะได้ออกจากโรงเรียน เสียงตามสายประกาศเป็นระลอก ๆ พูดเรื่องราวจิปาถะ…
พอเปิดประตูออกทุกคนที่ทิ้งขยะเสร็จ ก็ก้าวออกไป ทว่าเด็กผู้ชายส่วนใหญ่ เริ่มวิ่งหน้าตั้ง คล้ายกับหมาโซ่ขาด พวกเขาตรงดิ่งไปยังร้านเกมที่อยู่รอบ ๆ โรงเรียน ซึ่งมีเป็นสิบ ๆ ร้าน ถึงขนาดว่าต้องแย่งเก้าอี้กันเลยก็มี
เสือน้อยพึ่งเห็นภาพนี้กับตาตัวเองเป็นครั้งแรก ได้แต่พึมพำในใจ “พวกมึงจะรีบไปไหนกันวะ!” วิ่งกรูเป็นฝูงห่าผีคลั่งกันทีเดียว
ในอีกมุมหนึ่งก็คล้ายฝูงม้าที่ถูกปล่อยออกจากไม้กั้น ต่างคนต่างวิ่งแข่งขันกันเพื่อไปให้ถึงจุดหมายหรือก็คือร้านเกมก่อน เป็นทำนองว่าถ้าใครไปถึงก่อนเจ๋งกว่าอะไรแบบนี้
ส่วนตัวเขาไม่ได้รีบร้อนวิ่งเป็นหมาบ้าเหมือนไอ้พวกนั้น หากแต่ยืนสุขุมอยู่หน้าโรงเรียนพร้อมกับเพื่อนทั้งสามคน ซึ่งก็คือกลุ่มที่ไปกินข้าวกลางวันด้วยกัน
สิงหา : เอาไง พวกเราไปร้านไหนกันดีวะ?
ต่าย : ร้านไหนก็ได้หมดแหละ เอาที่นั่งติดกันก็พอข้าขี้เกียจตะโกนข้าม
เอส : เออเห็นด้วย! แล้วเอ็งล่ะเอาไงไอ้เสือน้อย ไปกับพวกข้ามั้ย?
สิงหา : ข้าว่านะมันรอแม่ยอดดวงใจของมันอยู่เสียมากกว่า…
ทั้งกลุ่มพากันหัวเราะ ทำเอาเสือน้อยใบหน้าแดงก่ำ จึงได้แต่ตอบตกลงแก้เขิน “เออ...ไปก็ไป ส่วนร้านไหนนั่งติดกันได้ก็ร้านนั้นแหละ แต่ว่าเล่นดอทนะ…”
จากนั้นทั้งกลุ่มก็เดินตระเวนหาร้านเกม ที่มี 4 ที่นั่งติดกัน ผ่านไป 7-8 ร้านก็ยังหาไม่ได้ เสือน้อยพอจะเข้าใจแล้ว ว่าทำไมพวกมันวิ่งเป็นหมาโซ่ขาดกันได้ขนาดนั้น
เพราะถ้าช้าหมดอดเล่น ไม่มีแม้แต่ที่นั่งให้ได้พักเมื่อย จนทั้งกลุ่มยอมที่จะไม่นั่งติดกันถึงได้เล่นเกมด้วยกันได้...
เวลาผันผ่านเล่นไปแป๊บเดียวก็เกือบ 6 โมงเย็นแล้ว ดีที่ว่ารถเมล์แถวนี้วิ่งกันยัน 4 ทุ่มกว่า ๆ ส่วนบางสายแค่สองทุ่มก็หมดแล้ว
เสือน้อยพูดขึ้น “ไอ้สิงหาเดี๋ยวข้าเพิ่มเพื่อนไปนะ แต่เอ็งอย่าลืมเมล์ของเหมือนฝันนะโว้ย” เขากอดคอเพื่อนที่ตัวเตี้ยกว่า และพูดย้ำอีกครั้ง
สิงหาตอบแบบไม่ลังเล “เออ…ไม่ลืมหรอกน่า…ถ้าลืมเอ็งก็โทรมาหาข้าก็สิ้นเรื่อง!”
เอส : พวกเอ็งอยู่ได้ถึงกี่โมงวะ?
เสือน้อย : ข้า...ได้ยันร้านปิด
เนื่องจากวันนี้เป็นวันแรกเขาไม่ได้เตรียมไปช่วยแม่อยู่แล้ว
ต่าย : ของข้าสักหกโมงครึ่งก็คงต้องกลับแล้ว
สิงหา : เออข้าก็หกโมงครึ่งเส้นตาย
......
หลังจากได้เวลาแยกย้ายทั้งสี่ก็กลับบ้านกันไปตามทาง ส่วนเสือน้อยเดินไปตลาดดูว่าแม่เก็บร้านแล้วหรือยัง เพราะนี่ก็เกือบจะทุ่มหนึ่งแล้ว
เมื่อถึงตลาดก็พบว่าแผงของแม่เก็บจนเรียบร้อยแล้ว ดูท่าวันนี้จะขายดี เสือน้อยจึงเดินตัวเบากลับบ้านที่อยู่ห่างไปไม่กี่ร้อยเมตร
ไม่นานเมื่อถึงบ้านก็ได้ยินเสียงดัง “ป๊าบ ป๊าบ” ออกมาจากค่ายมวย ตรงข้ามบ้านเขา
พ่อเคยเล่าให้ฟังว่า ขายที่ดินแปลงนี้ก่อนที่จะให้ปู่กับย่าไปเที่ยวรอบโลกตามใจฝัน และนาน ๆ ทีจึงจะกลับมาให้เห็นหน้า
สำหรับค่ายมวยนั้น เสือน้อยเรียกได้ว่าวิ่งเล่นมาตั้งแต่เด็ก เจ้าของค่ายมวยเป็นอดีตนักมวยไทยรุ่นเก๋า คว้าแชมป์ลุมพินี มวยแชมป์ต่าง ๆ แกกวาดรางวัลมาแทบจะหมดแล้ว พอสังขารร่วงโรยจึงผันตัวเองมาปลุกปั้นนักมวยหน้าใหม่
โล่รางวัลพร้อมภาพถ่ายเป็นเครื่องการันตีความสามารถ ซึ่งประดับประดาอยู่เด่นชัดบนป้ายไวนิลตามผนัง ในตอนเด็ก ๆ เสือน้อยฟังมาว่าชื่อฉายาของลุงแกคือ ‘ศอกทอง ศิษย์เมืองปทุม’
ซึ่งดังกระฉ่อนไปทั่วทั้งจังหวัด ถือเป็นหน้าเป็นตาให้กับจังหวัดปทุมธานี ณ ตอนนั้นเป็นอย่างมาก
จวบจนวันนี้ก็ปั้นเยาวชนรุ่นใหม่ ขึ้นไปชกตามเวทีต่าง ๆ กวาดรางวัลมาได้ไม่น้อย…ถือเป็นค่ายที่มีชื่อเสียงที่สุดในจังหวัด เสือน้อยเองก็สนิทสนมกับพวกนักมวยทั้งรุ่นเยาว์รุ่นใหญ่ ก็เพราะพวกเขาเป็นเพื่อนเล่นหัว วิ่งแก้ผ้ากันมาตั้งแต่เด็ก
เด็กหนุ่มหันไปมองเพื่อนในค่ายก่อนตะโกนทักทายสองสามคำ ก่อนจะหันหน้าเดินเข้าบ้านของตัวเอง
บนบ้านทรงไทยหลังใหญ่ ที่มีการปรับปรุงไปตามวิถีสมัย จากบ้านไม้ใต้ถุนสูงชั้นเดียว ตอนนี้กลายเป็นบ้านไม้สามชั้น สูงเด่นเป็นสง่าในละแวกนี้เป็นอย่างมาก เคยมีกองละครมาหยิบยืมสถานที่ขอถ่ายทำอยู่เป็นช่วง ๆ
ที่เปลี่ยนบ้านเป็นแบบนี้สาเหตุก็มาจากพ่อของเขานั่นเอง หลังจากขายภาพให้ เศรษฐีเมืองคอนได้ พ่อผันผู้มีอารมณ์ศิลปินเป็นเลิศ ทักษะด้านการเข้าสังคมก็มิใช่เบา จึงมีเพื่อนสนิทมิตรสหายอยู่ไปทั่ว
เขาจึงได้ไอเดียขยายบ้านใหม่ด้วยแนวความคิดของตัวเอง และเพื่อนที่เป็นสถาปนิก ช่วยกันร่วมออกแบบ จนกลายเป็นโครงร่างในท้ายที่สุด
หน้าบ้านหันหน้าไปทางทิศใต้ แต่มีทางเข้าได้สามทาง หนึ่งจากทางฝั่งถนนหลวงที่เขากำลังยืนอยู่ อีกหนึ่งก็จากซอยถนนลูกรังที่ห่างจากตัวเขาไปสองสามก้าว สุดท้ายก็คือท่าเทียบเรือ ไว้ใช้เดินทางหรือต้อนรับแขกเหรื่อ
ซอยด้านข้างเป็นที่ดินของครอบครัวเขา แต่เว้นว่างไว้เพื่อเป็นที่จอดรถเวลามีเพื่อนฝูงมาสังสรรค์หรืองานรวมญาติ
ส่วนแปลงที่ดินที่ติดกับบ้านของเขา ตอนนี้เป็นที่ดินกว้างหลายไร่ปลูกพืชผักสวนครัว พร้อมขุนวัวควายไว้ขาย และที่ดินตรงนี้ก็เป็นที่เก่าของปู่ตน ซึ่งปล่อยขายไปนานแล้วเช่นกัน
แม่ของเขาไปมาหาสู่กับลุงป้าเจ้าของสวน ตอนเด็ก ๆ เขาก็วิ่งเล่นกับเพื่อน ๆ ในสวนของลุงป้าแกเป็นประจำ
ส่วนทางทิศเหนือ คือด้านหลังบ้าน เป็นชุมชนแออัดที่เสือน้อย ชอบไปนั่งดูคนตบตีกัน ครั้นเมื่อยามเด็ก มีทั้งตึกแถวและห้องเช่าเสียเป็นส่วนใหญ่
ที่ดินหลายแปลงนี้ ก็เคยเป็นของปู่ทวดของเขา และได้ขายให้กับนายหน้าค้าที่ สมัยยังหนุ่ม ๆ ส่วนบรรยากาศก็ค่อนข้างวุ่นวายเป็นธรรมดา เพราะมีคนอาศัยอยู่ไม่ขาดสาย ห้องเต็มแน่น บางห้องก็นอนกันหกเจ็ดคนก็มี
เสือน้อยมีเพื่อน ๆ อาศัยอยู่ในชุมชนเหล่านี้มากมาย
พอเดินเข้าไปด้านในบ้าน ก็มีไม้ประดับนานาพรรณ ทั้งไม้มงคลที่ชื่อความหมายดี ๆ เช่น ต้นขนุน ต้นมะยม ต้นคูน …ตามแต่สารพัดการจัดสวนของพ่อ แน่นอนว่าเขาก็ได้ความช่วยเหลือจากเพื่อน ๆ ในวงการต้นไม้ ที่แม้แต่เสือน้อยก็ไม่รู้ว่าไปรู้จักกันตอนไหน!
เสือน้อยถอดรองเท้า เตรียมจะขึ้นบันไดไม้ไปยังชั้นสองโดยตรง แต่กลับเหลือบไปเห็นแสงไฟยังส่องสว่างออกมาจากห้องซ้อมดนตรี ที่ชั้นหนึ่งหรือชั้นใต้ถุนเดิม…นอกจากห้องซ้อม ที่เหลือส่วนใหญ่เป็นห้องนอนรับแขก และห้องเก็บของจุกจิก
จำต้องยอมรับจริง ๆ ว่าพวกงานเกี่ยวกับศิลปะ พ่อของตัวเองมีพรสวรรค์ด้านนี้จริง ๆ ส่วนตัวเขาเองก็ได้รับถ่ายทอดมาบ้างเล็กน้อย