ทำไมเธอถึงจูบฉันกลับละทั้งที่ไม่ใช่ผู้ชายในอุดมคติที่เธอชอบสักหน่อยหรือว่า..เธอตั้งใจ? แต่ถ้าเธอถามฉันกลับละก็..ไม่รู้สินะ(เพราะฉันมีความลับปิดอยู่)
รัก,ชาย-หญิง,วัยว้าวุ่น,รั้วโรงเรียน,ไทย,มหาลัย,เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ,คู่กัด,รักตั้งแต่เด็ก,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ป่วนขบวนรักของยัยตัวเล็กทำไมเธอถึงจูบฉันกลับละทั้งที่ไม่ใช่ผู้ชายในอุดมคติที่เธอชอบสักหน่อยหรือว่า..เธอตั้งใจ? แต่ถ้าเธอถามฉันกลับละก็..ไม่รู้สินะ(เพราะฉันมีความลับปิดอยู่)
เรื่อง ป่วนขบวนรักของยัยตัวเล็ก
แนะนำตัว
ธีรัตม์ เชาวกรกุล ชื่อเล่น ภาม อายุ21 ปี2 สาขาวิชาประติมากรรม คณะศิลปศาสตร์
กันยานา ชวัลดนย์ ชื่อเล่น รวงข้าว สั้นๆ ข้าว อายุ20 สาขาวิชาจิตรกรรม คณะศิลปศาสตร์
ติดตามกันได้
เธอแอบชอบรุ่นพี่ที่สุดแสนจะตรงสเปก แต่ไม่เคยรู้เลยว่าเขาคือเพื่อนที่กวนประสาทเธออยู่ทุกวันแถมเขายังเป็นคนที่เผลอจูบเธอบนรถไฟอีกด้วย
ข้าวที่ชื่นชอบในความอบอุ่น สุขุมและใจดีของรุ่นพี่ในอุดมคติที่ตรงสเปกชายในฝันของเธอสุดๆ โดยที่ใครจะคาดถึงว่าเขาจะเป็น เพื่อนสนิทสุดกวนประสาทของเธอ ที่แทบจะกัดกันทุกวัน
ฉันไม่ได้จูบเธอเพราะอารมณ์ชั่ววูบหรอกนะ
นายจะบอกว่า ตั้งใจ
แล้วเธอละจูบฉันกลับด้วยเหตุผลอะไร
ความลับที่ปิดมานานต้องมาถูกเปิดเผยออกพร้อมกับใบหน้าของเธอที่ตกใจราวกับโลกหยุดหมุนในทันที
ทำไม ทำไมนายต้องปลอมตัวด้วย อธิบายมา!
เหตุผลก็เพราะว่า…เธอจำฉันไม่ได้จริงๆหรอ..
ความทรงจำที่เลือนลางของเธอในวัยเด็กคืออะไร…ทำไมถึงได้ปวดหัวขนาดนี้
นายต้องห้ามลืมฉันนะ
ได้ ฉันจะไม่ลืมเธอ
เพราะเธอคือคนที่ฉันรักตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอ
ขอฝากนิยายที่หนุบหนับหัวใจไว้ในกอดแขนและหัวใจห้องกว้างๆห้องใหม่ของคุณผู้อ่านด้วยนะคะ
แม้นางเอกจะขี้เหวี่ยงขี้วีนกับพระเอกที่ปากร้ายไปหน่อยแต่ก็จริงใจสุดๆ ยังไงผู้อ่านช่วยเอ็นดูด้วยนะคะ
อย่าเอ็นดูจนเอ็นขาด
ขอให้สนุกกับการอ่านนิยายเรื่องนี้
สถานีรถไฟ
ข้าวขึ้นรถไฟขบวนเดิมตามปกติเช้าวันนี้ก็เช่นกัน เธอเจอพี่ธีนั่งอยู่ที่เดิมใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวเรียบร้อยเหมือนเดิมทุกวัน เธอทิ้งตัวลงไปนั่งข้างๆ และไม่นานนักพี่ธีก็ถามขึ้น
“วันนี้มีเรียนอะไรบ้างครับ?”
“วันนี้มีเรียนเรื่องความตื้นลึกของภาพค่ะ เพื่อที่จะสร้างมิติให้ภาพดูสมจริงขึ้น”
พี่ธีที่ได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อย “ความตื้นลึกของภาพไม่ได้ใช้แค่การวาดเส้นหรือแสงเงานะ ถ้าลองมองในงานประติมากรรมมาผสมด้วยก็ช่วยให้มิติของภาพดูสมจริงและสมบูรณ์มากขึ้นได้เหมือนกัน”
ข้าวกระพริบตามองพี่ธีอย่างสนใจ “ยังไงหรอคะ?”
“เช่น งานนูนต่ำกับงานนูนสูง เวลาทำประติมากรรมถ้าปั้นให้บางส่วนที่ยื่นออกมามากกว่าส่วนอื่น เงาที่ตกกระทบก็จะต่างกัน ทำให้เกิดมิติที่ชัดขึ้น เหมือนในภาพวาดที่ใช้เส้นหนา-บางหรือแสงแสงเงามาสร้างระยะไง”
ข้าวเริ่มเข้าใจมากขึ้น เธอนึกถึงภาพประติมากรรมที่เคยเห็นในห้องปั้นที่ภามเรียนอยู่ “แบบพวกงานแกะสลักที่ดูมีความลึกในตัวเองใช่มั้ยคะ?”
“ใช่ แม้แต่ Relief Sculpture บนผนังก็ใช้เทคนิคเดียวกัน พี่ธีกล่าวขึ้นเพิ่ม เวลาที่ศิลปินวาดภาพก็สามารถดึงแนวคิดจากประติมากรรมมาใช้ได้ เช่น การจัดองค์ประกอบให้มี Foreground , Middle ground , Background เหมือนการจัดระยะของวัตถุในงานปั้น”
ข้าวพยักหน้าเข้าใจในขณะที่ฟังคำอธิบาย แต่ก็ทำให้รู้สึกว่าบทสนทนาบนรถไฟในเช้านี้ช่วยให้เธอเห็นภาพการเรียนในวันนี้ชัดขึ้นกว่าการอ่านชีสเรียนเองเสียอีก
“พี่ธีอธิบายเก่งจังค่ะ” ข้าวเผลอพูดออกไป
พี่ธีที่ได้ยินแบบนั้นก็ดันแว่นขึ้นเล็กน้อยก่อนหัวเราะเบาๆ “แค่เคยเรียนมาก่อนก็เท่านั้น มีอะไรก็ถามพี่เพิ่มเติมได้ทุกเมื่อนะ”
ฉันแอบยิ้มกับตัวเอง เช้านี้เป็นวันที่เริ่มต้นด้วยเรื่องที่น่าสนใจและเธอเริ่มรู้สึกว่าการได้นั่งคุยกับพี่ธีทุกวันเป็นเรื่องที่เธออยากให้เกิดขึ้นไปเรื่อยๆ ก่อนที่อีกความคิดหนึ่งจะผุดขึ้นมาตีในหัวอีกครั้ง “ทำไมฉันถึงเห็นภาพพี่ธีตอนที่กำลังอธิบายเป็นไอ้บ้าภามด้วยเนี่ย หยุดคิดเลยสมองฉัน!”
ข้าวเดินผ่านลานหน้าคณะอย่างรวดเร็วและไม่สนใจฉากที่เห็นประจำจนชิน ภามที่ถูกกลุ่มสาวๆ ล้อมรอบด้วยเสียงหัวเราะคิกคัก เธอไม่จำเป็นต้องหันไปมองก็รู้ว่าภามคงกำลังเบื่อแต่ก็ต้องแสดงสีหน้าเจ้าเสน่ห์ให้พวกเธอ
เมื่อมาถึงห้องเรียน เจนก็ทักขึ้นทันที “ฮัลโหลซิส วันนี้มาเร็วนะเนี่ย ฮั่นแน่มียิ้มมาด้วย เล่ามาสาว”
ข้าวหัวเราะเบาๆ “ก็แค่ได้ความรู้ดีๆ มาเท่านั้นเอง”
“ยังไงซิ?”
ข้าวเล่าเรื่องที่พี่ธีอธิบายเกี่ยวกับความตื้นลึกของภาพให้ฟังแต่ไม่ได้ลงรายละเอียดลึกมากนัก
ไม่นานนักอาจารย์ก็ส่งข้อความเข้ากลุ่มแชท
“วันนี้ให้สาขาจิตรกรรมไปรวมที่ห้องปั้นของสาขาประติมากรรมด้วยค่ะ”
เสียงฮือฮาดังขึ้นทันทีโดยเฉพาะจากกลุ่มผู้หญิงบางคนรีบซุบซิบกัน “ไปห้องปั้นเหรอ” พร้อมกับเสียงกริ๊ดออกมา “ได้เจอภามแน่นอน”
ข้าวถอนหายใจเบาๆ หลังจากได้ยินเสียงกริ๊ดทะลุแก้วหูไป
เมื่อเดินมาถึงห้องปั้นก็พบว่าอาจารย์กำลังพูดเกี่ยวกับเนื้อหาอะไรสักอย่างพร้อมกับเด็กประติมากรรมที่กำลังตั้งใจฟังอยู่
“นักศึกษาได้ผ่านการสร้างผลงานทั้งแกะสลักและการปั้นขึ้นรูปมาหมดแล้ว เพราะฉะนั้น…” อาจารย์ก็หยุดพูดพร้อมกับให้นักศึกษาที่ยืนรออยู่หน้าห้องเข้ามารวมข้างใน
ทันทีที่ก้าวเดินเข้าไปในห้องข้าวก็เห็นภามที่นั่งอยู่ด้านหลังของห้องพร้อมกับกลุ่มเพื่อนของเขาที่นั่งสบายๆ กันอยู่และแน่นอนว่าเขาหันไปมองเธอตั้งแต่ที่เธอเข้ามาในห้อง
“ข้าว มานั่งนี่” ภามกวักมือเรียก
ข้าวไม่ตอบอะไรเธอเดินผ่านไปแล้วเลือกนั่งที่แถวหน้าของเขาแทนที่จะไปนั่งข้างๆ
เสียงเพื่อนของภามแซวกันขึ้น “โอ้โห! โดนเมินวะเพื่อน” แต่ก็ไม่ใช่เสียงใครที่ไหนก็คือเสียงของโอมที่เป็นเพื่อนสนิทของภามพูดขึ้นนั้นเอง “พูดมากวะ” ภามรีบหันไปตอบกลับทันที
อาจารย์เริ่มพูดขึ้นและอธิบายบทเรียนของวันนี้และเนื้อหาก็แทบไม่ต่างจากสิ่งที่พี่ธีอธิบายให้เธอฟังเมื่อเช้า ข้าวฟังอย่างเข้าใจพร้อมกับนึกย้อนบทสนทนาในรถไฟ เธอรู้สึกว่าตัวเองเข้าใจเนื้อหากว่าที่คิด แม้ว่าเบื้องหลังเธอจะมีภามนั่งจ้องมาทางเธออยู่ตลอดก็ตาม
ภามสะกิดเธอจากข้างหลังเป็นระยะ แต่ข้าวก็ยังคงนั่งนิ่งๆ ทำเป็นไม่ได้ยิน
“พี่ภามของพวกเรา โดนเมินวะ!” คราวนี้เป็นเสียงขุนที่แซวขึ้นมาแทน “ไม่ชินเลยนะที่ภามโดนเมินแบบนี้”
“ไอขุน!” ภามหันไปมองอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นอาจารย์ก็พูดต่อหลังจากที่ค้างไว้ก่อนหน้า “เพราะฉะนั้นจะให้ทั้งสองสาขานี้จับคู่และช่วยกันสร้างสรรค์ผลงานชิ้นใหญ่ขึ้นมาหนึ่งชิ้นเป็นภาพสามมิติโดยที่อาจารย์ต้องการจะดึงจุดแข็งของทั้งสองสาขานี้มาผสมเข้าด้วยกันแล้วจะรอดูผลลัพธ์ว่าจะออกมาได้ดีแค่ไหน”
เสียงฮือฮาดังขึ้นอีกครั้งทันที หลายคนหันมามองภามแทบจะพร้อมกันและแน่นอนว่าทุกคนอยากจับคู่กับเขา
ข้าวมองบรรยากาศตรงหน้าแล้วก็รู้ได้ทันทีว่าคงเกิดการแย่งชิงกันแน่ๆ และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะกลุ่มผู้หญิงเริ่มขยับตัวเข้าหาภาม จนกระทั่งอาจารย์ดูเหมือนจะหมดความอดทน
“พอๆ พวกเธอพอเลย นายธีรัตน์!”
“ครับ?!”
“คู่กับกันยนา”
หลังสิ้นสุดเสียงของอาจารย์ทั้งห้องก็เงียบลงชั่วขณะก่อนที่เสียงซุบซิบจะดังขึ้นมาแทน
ข้าวชะงักไปเล็กน้อยแล้วค่อยๆ หันไปมองภาม
เขาก็ดูไม่ได้ตกใจอะไรมากเพียงยักไหล่ให้เล็กน้อยก่อนที่จะส่งยิ้มให้เธอ “ฝากตัวด้วยละ”
ข้าวถอนหายใจเบาๆ หลังจากที่อาจารย์ประกาศชื่อทั้งคู่เสียงกระซิบก็ยังคงดังไม่หยุด บางคนแอบส่งสายตาอิจฉามาทางเธอ ในขณะที่กลุ่มของภามก็มีแอบหัวเราะกันเบาๆ จนมีผู้หญิงในห้องทักอาจารย์ขึ้นมา
“อาจารย์คะ ทำไมถึงให้พวกเขาคู่กันละคะ” พอผู้หญิงในห้องที่เหลือได้ยินต่างส่งเสียงถามกันเป็นเสียงเดียวกัน
“ที่พวกเธอไม่พอใจกันนี่เพราะเหตุผลที่ไม่ได้คู่กับคนที่พวกเธอต้องการ?”
“ใช่สิคะอาจารย์ เล่นจับให้แบบนี้ พวกหนูก็ขอฟังเหตุผลด้วยค่ะ”
“พวกเธอก็โตกันแล้วนะ ยังจะมาแย่งผู้ชายกันแม้เวลาแบบนี้เลยเหรอ ถ้าอาจารย์ให้พวกเธอจับกับเขาแล้วงานไม่เสร็จ พวกเธอติดเอฟแน่”
ผู้หญิงทั้งหมดที่ถามอาจารย์ต่างเงียบกันหมด จนอาจารย์พูดต่อขึ้นมา
“และสาเหตุหลักๆ ที่จับให้คู่กัน นายธีรัตน์เขามีผลงานที่โดดเด่นจนได้นำถูกไปแสดงหลายครั้งต่อหลายครั้ง ส่วนกันยนาก็มีฝีมือไม่แพ้กับธีรัตน์เลย แล้วงานที่ส่ังครั้งนี้มันสำคัญมากๆ เพราะผลงานที่ถูกคัดเลือกจะถูกนำแสดงในงานที่กำลังจะมาขึ้นในครั้งต่อไป ถ้าของพวกเธอทำออกมาได้ดีก็จะถูกนำไปแสดงเหมือนกัน หวังว่าพวกเธอคงเข้าใจ” หลังอาจารย์พูดจบทั้งห้องต่างเงียบกันหมดผู้หญิงพวกนั้นก็ต่างกลับไปที่โต๊ะและคู่ของพวกเธอ
“จาร สุดยอด” เสียงโอมดังขึ้นหลังจากที่ห้องเงียบไปสักพัก
“ว่าแต่นายจะรอดมั้ยเนี่ย?” ขุนพูดขึ้น “ดูเหมือนข้าวไม่อยากคู่กับนายนะ”
“ก็ท้าทายดี” ภามยิ้มตอบกวนๆ “นายควรสนใจคู่นายเองดีกว่านะ” ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนแล้วไปหยุดอยู่ข้างข้าว
เดี๋ยวพวกเธอไปเลือกหัวข้อกันเอง แต่ต้องมาเสนอแนวคิดให้อาจารย์ดูก่อนเริ่มงาน
ข้าวพยักหน้าหลังจากที่ได้ยินรายละเอียด เธอหยิบสมุดโน้ตขึ้นมาเตรียมจด แต่จู่ๆ ภามก็เอียงหน้าเข้ามาใกล้ๆ พูดเสียงเบาๆ ที่ข้างหู
“ทำงานกับฉัน คงไม่แย่ใช่มั้ย?”
ข้าวสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะขยับตัวออกห่างจากเขา “ถ้านายตั้งใจก็ไม่แย่”
ภามหัวเราะออกมาเบาๆ “งั้นพวกเรามาคุยเรื่องหัวข้อกันเถอะ” เขาเปลี่ยนเรื่องหน้าตาเฉยก่อนที่จะทิ้งตัวนั่งลงข้างเธอ “เธอมีไอเดียอะไรมั้ย?”
ข้าวนั่งคิดก่อนที่จะพลิกสมุดแล้วเขียนคำว่า Perspective of Emotion ลงไป “ถ้าทำภาพเป็นสามมิติที่แสดงความรู้สึกผ่านการใช้ระยะตื้นลึกของภาพกับองค์ประกอบของงานปั้นได้อย่างสมบูรณ์ มันก็น่าจะเป็น Concept ที่น่าสนใจ”
ภามมองตัวหนังสือที่ข้าวเขียนก่อนจะยิ้มบางๆ “ก็น่าสนใจดี แต่เธอแน่ใจหรอว่าจะร่วมมือกับฉันได้โดยไม่หงุดหงิดก่อน”
ข้าวเงยหน้าขึ้นมามองเขานิ่งๆ “ขอแค่นายไม่กวนประสาทฉันก็พอ”
ภามหัวเราะเบาๆ ก่อนจะยื่นมือมาแตะแขนเธอเบาๆ “งั้นพวกเรามาทำงานกันดีๆ ละกันนะ”
ข้าวมองมือเขาแวบหนึ่งก่อนจะปัดออกเบาๆ แล้วก็กลับไปสนใจสมุดโน้ตต่อ
ในขณะที่กำลังนึกไอเดียอยู่นั้น ภามก็เอนตัวเข้ามาใกล้ทำท่าครุ่นคิดก่อนจะพูดขึ้น
“ฉันก็มีไอเดียเหมือนกันนะ”
“ว่ามา” ข้าวเงยหน้ามองเขาเล็กน้อย
“ลองนึกถึงภาพใต้น้ำสิ ถ้าฉันเป็นปลาหรือแมงกะพรุนให้ลอยอยู่กลางอากาศแล้วให้ฉากหลังเป็นภาพวาดที่มีแสงอาทิตย์ลอดผ่านน้ำลงมา มันจะน่าช่วยสร้างความตื้นลึกได้ดีนะ ซึ่งฉากหลังทั้งหมดเธอต้องเป็นคนจัดการ”
ข้าวลองนึกภาพตามก็พบว่ามันน่าสนใจดีและเธอก็ค่อยๆ ขยับปากกาขีดเส้นลงไปในสมุด “มันเข้ากับแนวคิดที่อาจารย์สอนไปเมื่อกี้ด้วยนี่ ถ้าเกิดควบคุมการใช้สีให้ถูก มันก็น่าจะออกมาดี”
“หมายความว่าเห็นด้วย?” ภามยิ้มกว้างขึ้น
“ก็..” ข้าวกำลังจะตอบแต่จู่ๆ ภามก็ยื่นมือมาลูบหัวเธอเบาๆ ราวกับเด็กน้อย
“ทำอะไรของนายเนี่ย” ข้าวรีบปัดมือเดี๋ยวเพื่อนนายก็แซวอีก
“ไม่เหลือ” เพื่อนภามทั้งสามคนหันมาพูดพร้อมกัน
“ก็เธอนะ ทำหน้าเครียดเวลาใช้สมาธิ ฉันเลยช่วยให้ผ่อนคลาย”
“ไม่ต้องมายุ่ง!”
ก่อนที่ข้าวจะได้เริ่มจดอะไรต่อ จู่ๆ ก็มีเสียงผู้หญิงดังขึ้นข้างๆ
“ข้าว เธอสนใจสลับคู่มั้ย?”
ข้าวเงยหน้าขึ้นมาเห็นกลุ่มสาวๆ สองสามคนมายืนล้อมรอบเธออยู่ พวกเธอยิ้มหวานแต่สายตากลับแฝงไปด้วยความคาดหวัง
“เอ่อ… พวกเธอไม่ได้ฟังที่อาจารย์พูดเมื่อกี้หรอ?”
“ฟัง แต่ถ้าสลับเธอจะบอกอาจารย์ทำไม”
“ข้าว ฉันอยากทำงานกับภามจริงๆนะ” อีกคนพูดตรงๆ ก่อนจะหันไปส่งยิ้มให้ภาม
ภาทที่นั่งอยู่ข้างๆ ยังไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบอะไร เขาเอนตัวพิเก้าอี้แล้วมองสถานการณ์อย่างเงียบๆ
“พวกเธอควร…” ก่อนที่จะข้าวจะพูดจบก็มีเสียงหนึ่งพูดแทรกขึ้นมา
“ไม่เปลี่ยนและเปลี่ยนไม่ได้” ภามพูดขึ้นด้วยเสียงเรียบๆ แต่สายตากลับมองไปทางคนอื่นที่กำลังยืนล้อมข้าวอยู่ราวกับประกาศอาณาเขต
กลุ่มสาวๆ ที่มาขอสลับคู่มองหน้ากันอย่างเลิ่กลั่ก ก่อนจะพากันถอยกลับไปอย่างเสียดาย
“โอ้โห! เดือดสุดพี่ภามของเรา” เสียงโอมดังขึ้นจากข้างหลังหลังจากที่กลุ่มสาวๆ แยกย้ายไป
“ภามเล่นประกาศตัวขนาดนี้ ข้าวไม่รู้สึกอะไรหน่อยหรอ?”
“ใช่ๆ แบบนี้ต้องเรียกว่าหวงคู่”
“หรือว่า..พวกนายมีอะไรกันแล้วไม่ยอมบอกพวกเรา” ว่าไงภาม
“พวกนายจะคิดไรก็คิดไป” ภามยักไหล่ “ฉันแค่ทำตามที่อาจารย์บอก”
“นายเนี่ยนะ ทำไมต้องพูดแบบนั้น”
ภามที่ได้ยินแบบนั้นก็เอนตัวเข้ามาใกล้จนเธอแทบได้กลิ่นน้ำหอมจางๆ ของเขา “หรือเธออยากคู่กับคนอื่น”
“ฉันแค่…” ข้าวยังพูดไม่ทันจบ ภามก็แทรกขึ้น
“ไม่ต้องคิดมากหรอกน่า แค่ทำงานคู่ไม่ใช่ว่าฉันจะขอคบกับเธอซะหน่อย” เขายิ้มมุมปากเหมือนจงใจจะแกล้ง
ข้าวเบ้ปากใส่เขา ก่อนจะหันไปจดในสมุดต่อ
“เอาละ! เราไปเสนอไอเดียกัน” ภามพูดพร้อมกับเอื้อมมือมาหยิบของเธอ
“เอาคืนมาเลย”
“เดี๋ยวสิ! ฉันเป็นคนเสนอไอเดียนะ ขออ่านหน่อยไม่ได้หรอ?”
“นายจำได้อยู่แล้วนี่”
“ก็ใช่ แต่ฉันอยากให้เธอเป็นคนไปพูดกับอาจารย์ไง” ภามยักคิ้ว
“หา! ทำไมนายไม่พูดเองละ”
“เธออธิบายเก่งกว่านี่หรือเขินเวลายืนข้างฉัน”
“ไม่มีทาง” ข้าวรีบลุกขึ้นยืนทันทีทำให้เพื่อนของภามพากันหัวเราะกันอีกรอบ
“ไปเถอะ ก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนใจสลับคู่จริงๆ” ข้าวพูดด้วยเสียงที่หงุดหงิดแล้วเดินนำไปห้องอาจารย์
ในระหว่างที่กำลังรอคู่ก่อนหน้านี้เข้าไปเสนอแนวคิดกับอาจารย์ข้าวที่กำลังทำหน้าเครียดและกดดัน ภามที่เห็นเข้าจึงคว้าสมุดจากข้าวมาพร้อมกับคู่ก่อนหน้าที่ออกมาด้วยสีหน้าผิดหวัง
“นาย!”
“จัดการเอง ไม่ต้องห่วง” เขาตอบพลางจับแขนข้าวดึงเข้าไปในห้องอาจารย์พร้อมกัน
อาจารย์ฟังแนวคิดของพวกเขาอย่างตั้งใจ ขณะที่ภามอธิบายด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“พวกเราอยากจะใช้เทคนิคของจิตรกรรมเพื่อสร้างบรรยายกาศและใช้ประติมากรรมเป็นจุดโฟกัสเพื่อสร้างภาพที่มีมิติความตื้นลึก โดยที่จะเลือกใช้วาฬมาเป็นจุดศูนย์กลางและจุดรวมสายตาของภาพอีกทั้งยังเป็นตัวแทนขององค์ประกอบหลัก ซึ่งจะทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนเรากำลังมองลงไปใต้น้ำอีกทั้งอาจจะมีเสริมแมงกระพรุนเข้ามาให้ภาพดูมีการเคลื่อนไหวเพื่อทำให้ดูมีชีวิตชีวามากขึ้นครับ”
ในขณะที่ข้าวกำลังฟังในสิ่งที่ภามกำลังพูดอยู่ก็รู้สึกแปลกใจขึ้นมา เพราะน้ำเสียงและวิธีการอธิบายของภาม มันเหมือนกับตอนที่พี่ธีกำลังอธิบายให้เธอฟังเมื่อเช้าไม่มีผิด
ทันทีที่ข้าวหลุดออกจากความคิดก็พยักหน้าตามขณะที่ภามกำลังอธิบายอยู่ก่อนที่จะพูดเสริมขึ้นมา “ส่วนการเล่นแสง หนูมีไอเดียใช้สีที่สะท้อนเงาเพื่อให้ภาพดูสมจริงขึ้น หนูว่ามันจะช่วยเพิ่มมิติได้ดี”
อาจารย์นิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนที่จะพยักหน้า “เป็นไอเดียที่ดีมาก ใช้ได้เลย”
ข้าวมองอาจารย์ตาโต “จริงหรอคะ?!”
“แน่นอน มันมีศักยภาพมากถ้าทำออกมาได้ดี ลองเริ่มร่างแบบแล้วส่งให้อาจารย์ดูก่อนสัปดาห์หน้า”
“ค่ะ/ครับ” ข้าวกับภามตอบพร้อมกันก่อนที่จะเดินออกจากห้องอาจารย์
เมื่อเดินกลับมาที่โต๊ะ ข้าวถอนหายใจอย่างโล่งอกอย่างน้อยก็ผ่านขั้นแรกไปได้แล้ว
ภามหัวเราะเบาๆ “บอกแล้วว่าไอเดียฉันดี”
ข้าวหันไปมองเขาก่อนจะพยักหน้าตอบ “ขอบใจนะ”
“อะไรนะ”
“ฉันบอกว่าขอบใจ” ข้าวทำหน้าตึงแล้วรีบพูดเร็วๆ ก่อนจะหันหน้าหนี
“โห อยู่ดีๆ ก็น่ารักขึ้นมา”
“เงียบไปเลย”
“เธอขอบใจฉันแบบนี้ วันนี้เป็นวันที่ดีจริงๆ”
“ถ้ายังพูดมากอยู่ ฉันจะเอาดินที่วางอยู่หลังห้องปาใส่นาย”
ภามหัวเราะเบาๆ แล้วเอนตัวเข้ามาใกล้ “กล้าก็ลองสิ”
ข้าวรีบเอาสมุดฟาดแขนเบาๆ ทันที “หยุดเลย!” ถึงจะรู้สึกหงุดหงิดแต่ก็เผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
“สองอาทิตย์!”
เสียงของนักศึกษาหลายคนดังขึ้นพร้อมกันหลังจากที่อาจารย์ประกาศกำหนดเวลา
“ใช่ สองอาทิตย์ ทุกคู่ต้องทำให้เสร็จภายในเวลาที่กำหนด อาจารย์ย้ำ และงานนี้จะถูกนำไปจัดแสดงในงานOpen house เดือนหน้า เพราะฉะนั้นต้องตั้งใจทำให้ดีที่สุด ส่งช้าเอฟทันที”
ทุกคนเริ่มฮือฮากันยกใหญ่ บางคนดูตื่นเต้น บางคนก็แอบเครียด ส่วนข้าวนั้นแอบถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหันไปมองภามที่นั่งอยู่ข้างๆ
“นายไหว?”
“เธอเป็นห่วงฉันหรอ”
“แค่ถามเฉยๆ”
“ฉันโอเคอยู่ เธออะจะไหวมั้ย? อยู่กับฉันตั้งสองอาทิตย์นะ”
ข้าวรีบหรี่ตาใส่ทันที “ถ้านายไม่กวน ฉันก็โอเค”
ภามหัวเราะเบาๆ “งั้นคงยากหน่อย เพราะฉันชอบที่เธอทำหน้าหงุดหงิดใส่”
ข้าวถอนหายใจแรงๆ ใส่ทีหนึ่ง ก่อนที่จะอาจารย์จะพูดต่อ
“วันพรุ่งนี้ให้แต่ละคู่ทยอยมารับกรอบรูปของตัวเองไป แล้วก็เริ่มลงมือทำงานได้เลย”
หลังจากนั้นทุกคนก็เริ่มแยกย้ายออกไป บ้างก็ไปซื้ออุปกรณ์ บ้างก็นัดคุยแผนงาน ส่วนข้าวกับภามนั้นก็เดินออกมาด้วยกัน
“พวกเราต้องซื้ออะไรบ้าง?” ข้าวถามพลางหยิบสมุดขึ้นมาเตรียดจดรายการ
“ฉันต้องซื้อดินเพิ่มที่มีอยู่มันไม่น่าพอ ส่วนเธอต้องซื้อสีใช่มั้ย?”
“ใช่ แล้วก็พู่กันน่าจะต้องใช้เบอร์ใหญ่สุดกับผ้าใบสำหรับลองวาดแสงเงาก่อนลงงานจริง”
“แล้วพวกเราจะเอางานไปทำที่ไหนดี”
“ยังไงพวกเราก็มีเรียนแทบทุกวัน ก็แบ่งมาทำหลังเลิกเรียนก็ได้ ไม่ก็วันหยุด ถ้าไม่ไหวจริงก็บ้านใครสักคน”
“เห บ้านใครสักคนเธอคิดอะไรแปลกๆ อยู่เปล่า?” ภามอมยิ้มพลางเอาศอกสะกิดไหล่ข้าวเบาๆ
“สมองนายมีแต่เรื่องแบบนั้นหรือไง? จริงจังหน่อย” ฉันคว้าสมุดในมือหันไปฟาดที่แขนเขาเบาๆ อีกครั้ง
“อะๆ โอเค แต่ถ้าฉันมีเรียนจนเย็น เธอก็รออยู่ใต้ตึกก็ได้”
“แบบนั้นก็ได้”
ภามพยักหน้าก่อนจะถามขึ้น “ถ้างั้นพวกเราไปซื้อของกันเลยมั้ย”
“ได้”
ข้าวกำลังจะเดินนำหน้า แต่ภามกลับยื่นมือมาหยุดเธอไว้ก่อน
“เดี๋ยวๆ เป็นเด็กจะเดินนำผู้ใหญ่แบบนี้ไม่ได้”
“อะไรของนาย?”
“เด็กควรเดินข้างผู้ใหญ่เดี๋ยวหลงทางไปจะได้รู้ทัน”
“ไร้สาระ!”
แต่ภามกลับยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะเดินขนาบข้างเธอเอง “งั้นฉันเดินข้างๆ เธอเอง”
ข้าวพ่นลมหายใจแรงๆ อีกที แล้วรีบเปลี่ยนเรื่อง “รีบไปเถอะ ไม่อยากเสียเวลา”
หลังจากที่ทั้งสองจดรายการของกันเสร็จก็เดินมาถึงที่สถานีรถไฟเพื่อที่จะขึ้นไปยังอีกสถานทีที่อยู่ห่างกันไม่มากเนื่องจากมีร้านที่ขายเกี่ยวกับอุปกรณ์ศิลปะโดยเฉพาะที่ขึ้นชื่อและเป็นที่นิยมมากๆ เมื่อทั้งสองมาถึงเสียงประกาศแจ้งเตือนก็ดังขึ้นก่อนที่ประตูรถจะปิด จึงทำให้ต้องเร่งฝีเท้าก่อนที่ภามจะคว้าแขนของข้าวเข้ามาในตัวรถไฟได้ทันท่วงที
“ฉันบอกนายแล้วว่าให้รอคันถัดไป” เธอบ่นทันที หลังยืนในพื้นที่ที่แทบจะไม่มีอากาศหายใจเพราะคนแน่นจนเป็นปลากระป๋อง
“ถ้าแบบนั้น ส่งงานไม่ทันอย่ามาโทษฉันนะ” ภามยืนอยู่ตรงหน้าของข้าวก่อนจะหันไปสบตาด้วยท่าทางกวนประสาท
“ก็ยังดีกว่าเบียดจนฉันต้องมายืนแบบนี้” ข้าวบ่นอีกครั้ง
ข้าวจ้องมองภามอย่างไม่พอใจก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นไปมองที่มือใหญ่ๆของเขาที่กำลังโหนราวอยู่เหนือหัวของเธอ ส่วนสูงของเธอพอมายืนเทียบแบบนี้พอดีกับแค่ช่วงอกของเขาเท่านั้น ยิ่งยืนใกล้กันในระยะประชิดแบบนี้กลับยิ่งรู้สึกอึดอัดขึ้นมาจนเผลอขยับตัวถอยหลังไปด้านหลังจนแผ่นหลังของเธอติดกับประตูรถอย่างแนบสนิท แต่ภามกลับขยับตามมาใกล้จนระยะห่างเพียงไม่กี่คืบ
“แล้วนายจะมายืนชิดฉันขนาดนี้ทำไม” ข้าวโวยวายขึ้นมาพร้อมกับพยายามหันหน้าหนีเพื่อลดความใกล้ชิด
“แล้วจะให้ไปยืนตรงไหนละ? หรืออยากให้ฉันเหาะขึ้นไปยืนบนหลังคา” เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงยียวน
ข้าวจ้องหน้าเขาอย่างไม่พอใจ “อย่ากวนได้มั้ย นายยิ่งทำให้ฉันอารมณ์เสียเข้าไปอีก” เธอหันหน้าหนีอย่างไม่อยากสนทนาต่อ
แต่ยังไม่ทันที่ภามจะเถียงกลับ รถไฟก็เกิดเบรกขึ้นมาอย่างกะทันหันอย่างแรง!
แรงสั่นสะเทือนทำให้ข้าวเกิดเสียหลักในทันที เธอรีบยื่นมือออกไปคว้าสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดและนั่นก็คือเสื้อของภามนั้นเอง
“โอ๊ย! เธอจะดึงฉันไปด้วยหรือไง” ภามร้องพร้อมกับเซเล็กน้อยเพราะแรงกระชาก
ข้าวที่ในตอนนี้ยืนทรงตัวไม่มั่งคงเงยหน้าขึ้นมามองเขาด้วยสีหน้าที่ตื่นตระหนก มือเล็กๆ ของเธอยังกำเสื้อของเขาไว้แน่นโดยไม่รู้ตัว
“ฉะ…ฉันไม่ได้ตั้งใจ ขอโทษ รถมันเบรคแรงนี่!” ฉันรีบพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเล็กน้อยเพราะความตกใจ
ภามก้มลงมองมือของเธอที่ยังจับเสื้อของเขาอยู่ก่อนจะยิ้มมุมปากขึ้นและหัวเราะออกมา “จับแน่นขนาดนี้ เธอคิดจะดึงฉันไปเป็นหมอนรองล้มหรือไงฉัน”
“เวลานี้นายยังจะกวนฉันอีกหรอ” ฉันรีบปล่อยมือออกจากเสื้อของเขากลับในทันทีพร้อมกับใบหน้าที่ขึ้นสีอย่างห้ามไม่ได้
ภามยังคงหัวเราะเบาๆ ก่อนจะขยับตัวมายืนบังเธอจากผู้คนที่เบียดเสียด “เอาเถอะ ถ้ากลัวล้มอีกก็บอกนะ คราวนี้ฉันจะคว้ามือเธอมาจับให้ทันเอง”
“ไม่ต้องพูดเลย ยิ่งพูดยิ่งทำให้รู้สึกอายกว่าเดิม” ฉันแยกเขี้ยวใส่เขา แต่ด้วยใบหน้าของเธอที่แดงขึ้นทำให้ดูน่ารักมากกว่าน่ากลัว
“ฉันยืนใกล้เธอขนาดนี้ เธอคงไม่ล้มไปไหนแล้วละ”
แม้คำพูดของเขาจะฟังดูยั่วโมโห แต่ทำให้หัวใจของฉันเต้นแรงจนแทบไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกแล้ว…
เกร็ดความรู้
Relief sculpture : ประติมากรรมที่เป็นภาพนูนต่ำและสูงซึ่งผสมผสานภาพสองมิติกับสามมิติเข้าด้วยกัน
Foreground : ส่วนของภาพที่อยู่ใกล้ที่สุด
Middle ground : จุดที่อยู่ตรงกลางระหว่างforegroundและbackground เป็นส่วนที่ให้ภาพสมดุล
Background : ส่วนหลังของภาพ
Perspective of emotion: การมองในมุมของอารมณ์
Concept : แนวคิด