ทำไมเธอถึงจูบฉันกลับละทั้งที่ไม่ใช่ผู้ชายในอุดมคติที่เธอชอบสักหน่อยหรือว่า..เธอตั้งใจ? แต่ถ้าเธอถามฉันกลับละก็..ไม่รู้สินะ(เพราะฉันมีความลับปิดอยู่)
รัก,ชาย-หญิง,วัยว้าวุ่น,รั้วโรงเรียน,ไทย,มหาลัย,เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ,คู่กัด,รักตั้งแต่เด็ก,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ป่วนขบวนรักของยัยตัวเล็กทำไมเธอถึงจูบฉันกลับละทั้งที่ไม่ใช่ผู้ชายในอุดมคติที่เธอชอบสักหน่อยหรือว่า..เธอตั้งใจ? แต่ถ้าเธอถามฉันกลับละก็..ไม่รู้สินะ(เพราะฉันมีความลับปิดอยู่)
เรื่อง ป่วนขบวนรักของยัยตัวเล็ก
แนะนำตัว
ธีรัตม์ เชาวกรกุล ชื่อเล่น ภาม อายุ21 ปี2 สาขาวิชาประติมากรรม คณะศิลปศาสตร์
กันยานา ชวัลดนย์ ชื่อเล่น รวงข้าว สั้นๆ ข้าว อายุ20 สาขาวิชาจิตรกรรม คณะศิลปศาสตร์
ติดตามกันได้
เธอแอบชอบรุ่นพี่ที่สุดแสนจะตรงสเปก แต่ไม่เคยรู้เลยว่าเขาคือเพื่อนที่กวนประสาทเธออยู่ทุกวันแถมเขายังเป็นคนที่เผลอจูบเธอบนรถไฟอีกด้วย
ข้าวที่ชื่นชอบในความอบอุ่น สุขุมและใจดีของรุ่นพี่ในอุดมคติที่ตรงสเปกชายในฝันของเธอสุดๆ โดยที่ใครจะคาดถึงว่าเขาจะเป็น เพื่อนสนิทสุดกวนประสาทของเธอ ที่แทบจะกัดกันทุกวัน
ฉันไม่ได้จูบเธอเพราะอารมณ์ชั่ววูบหรอกนะ
นายจะบอกว่า ตั้งใจ
แล้วเธอละจูบฉันกลับด้วยเหตุผลอะไร
ความลับที่ปิดมานานต้องมาถูกเปิดเผยออกพร้อมกับใบหน้าของเธอที่ตกใจราวกับโลกหยุดหมุนในทันที
ทำไม ทำไมนายต้องปลอมตัวด้วย อธิบายมา!
เหตุผลก็เพราะว่า…เธอจำฉันไม่ได้จริงๆหรอ..
ความทรงจำที่เลือนลางของเธอในวัยเด็กคืออะไร…ทำไมถึงได้ปวดหัวขนาดนี้
นายต้องห้ามลืมฉันนะ
ได้ ฉันจะไม่ลืมเธอ
เพราะเธอคือคนที่ฉันรักตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอ
ขอฝากนิยายที่หนุบหนับหัวใจไว้ในกอดแขนและหัวใจห้องกว้างๆห้องใหม่ของคุณผู้อ่านด้วยนะคะ
แม้นางเอกจะขี้เหวี่ยงขี้วีนกับพระเอกที่ปากร้ายไปหน่อยแต่ก็จริงใจสุดๆ ยังไงผู้อ่านช่วยเอ็นดูด้วยนะคะ
อย่าเอ็นดูจนเอ็นขาด
ขอให้สนุกกับการอ่านนิยายเรื่องนี้
ร้านขายอุปกรณ์
เมื่อมาถึงทั้งสองก็เริ่มแยกย้ายกันไปในโซนของตัวเอง โดยที่ข้าวกำลังจดจ่ออยู่กับการเลือกสีและพู่กัน ส่วนภามนั้นก็เดินไปเลือกดินปั้น พอเขาเลือกเสร็จก็เดินมาหาเธอพร้อมกับเอาดินปั้นที่หยิบมาแกล้งยื่นไปตรงหน้า
“เธอลองจับดูสิ”
“ทำไม?” ข้าวตอบพร้อมกับรับมาอย่างงงๆ
“ลองบีบดู”
ข้าวบีบดินปั้นเบาๆ แล้วพยักหน้า “ก็นุ่มดีนะ น่าจะขึ้นรูปง่าย”
“ใช่มั้ยละ เหมือนแก้มเธอเลย” เขาตอบพลางอมยิ้ม
ข้าวชะงักไปก่อนจะเบิกตากว้างหันไปมองเขาอย่างทันที “หา!”
“อะไรละ ก็เธอจับอยู่ ฉันแค่บอกความรู้สึก” เขายิ้มพร้อมกับหัวเราะออกมา
“ฉันจะเอาพู่กันให้นายคาบเดี๋ยวนี้เลย”
“ใจเย็นๆ ไม่ใช่หมา” เขาหัวเราะต่อก่อนจะเดินไปจ่ายเงิน
ข้าวพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ พลางคิดในใจ “การที่ต้องทำงานร่วมกับภามตั้งสองอาทิตย์นี่มันจะรอดจริงๆ ใช่มั้ยนะ”
หลังซื้อของเสร็จภามก็เดินเคียงข้างข้าวออกมาจากร้าน ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำลงบรรยากาศรอบๆ เริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มของช่วงเย็น
“เสร็จแล้ว กลับกันเลยมั้ย?” ฉันถามพลางตรวจเช็กของในถุง
แต่เขากลับทำหน้าครุ่นคิดก่อนที่จะตอบออกไป “เดี๋ยวสิ!”
“อะไร?”
“ฉันหิว” เขาตอบกลับแบบหน้าตาเฉย “ไปกินข้าวกัน”
ข้าวที่ได้ยินแบบนั้นถึงกลับส่ายหน้า “ไม่เอาอะ มันจะมืดแล้ว บ้านฉันไม่ได้ใกล้เหมือนบ้านนายนะ”
“แป๊บเดียวเอง เดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง” เขาตอบกลับแบบไม่ละความพยายาม
“จงใจเอาเรื่องเลี้ยงข้าวมาอ้างสินะ” ฉันถามกลับพร้อมกับหรี่ตาลง
“รู้ทันอีก” เขาตอบออกมาก่อนที่จะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“กลับเถอะ” ฉันพยายามเมินเขาก่อนที่จะก้าวเดินต่อแต่ภามก็เดินตามมาติดๆ
“ใจร้ายจังนะ”
ข้าวที่ได้ยินแบบนั้นก็ถอนหายใจทันที “แล้วทำไมต้องกินกับฉัน?”
“ก็…” เขายักไหล่ก่อนจะพูดต่อ “กินกับเธอมันสนุกดี”
“กวนประสาท!”
“เอาน่า แป๊บเดียวจริงๆ ถือว่าเป็นรางวัลที่ฉันเสนอไอเดียดีๆ ให้ไง”
“เออๆ แป๊บเดียวนะ” ฉันตอบกลับอย่างยอมแพ้
“ดีมาก”
ทั้งคู่เลือกนั่งที่ร้านอาหารเล็กๆ ใกล้สถานีรถไฟ เป็นร้านอาหารแบบง่ายๆ บรรยากาศอุ่นๆ ที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย
“งานนี้ฉันว่ามันต้องออกมาดีแน่นอน” ข้าวพูดพลางตักข้าวเข้าปาก “ถ้าหากว่านายไม่มาช่วย ฉันคงคิดไม่ออก”
“เห!” เขายกยิ้มขึ้น “พูดแบบนี้หมายความว่าเธอยอมรับว่าฉันเก่ง”
ข้าวชะงักไปก่อนจะรีบกลบเกลื่อน “แค่ไอเดียดีเฉยๆ”
“โอเคๆ แล้วถ้าออกมาดีจริง เธอจะให้อะไรฉันเป็นรางวัล”
“รางวัลอะไร?” ข้าวหรี่ตาลง
“ก็ ให้ฉันขออะไรสักอย่างได้มั้ย?”
“อะไรของนายอีกเนี่ย!” ข้าวตอบพร้อมทำหน้าสงสัย
“เอาเป็นว่าเดี๋ยวฉันบอกทีหลังแล้วกัน”
ในระหว่างที่ข้าวกำลังตักข้าวเข้าปากอยู่นั้นความคิดแปลกๆ ก็ผุดขึ้นมาในหัว “คงไม่ใช่ให้เลี้ยงไอศครีมอะไรนั้นอีกนะ”
กว่าจะกินเสร็จและเดินมาจนถึงสถานี รถไฟก็ใกล้ที่จะออกจากชานชาลาพอดี
“คำว่าแป๊บเดียวของนายคือแบบนี้สินะ” ข้าวบ่นเบาๆ
“ก็ถือว่าได้ใช้เวลาด้วยกันเยอะขึ้นไง” ภามยักไหล่ก่อนจะเดินขึ้นรถไฟไปพร้อมเธอ
“นายถามฉันสักคำยังว่าอยากใช้เวลาด้วยกันมั้ย?”
บนรถไฟ
เสียงล้อรถไฟเสียดสีไปบนรางดังก้องในความเงียบ รถไฟที่เริ่มว่างเปล่าซึ่งต่างจากตอนขามาจนแทบไม่มีใครอยู่ นอกจากพวกเขาทั้งสองคน
ข้าวยืนจับราวตรงประตูรถไฟพร้อมมืออีกข้างที่กอดถุงของที่ซื้อมา ส่วนภามยืนโหนราวอยู่ข้างหลังเธอโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่สายตาก็ยังไม่ละไปจากเธอเลยสักนิดเดียว
หลังมื้ออาหารที่เขาเป็นคนเซ้าซี้ให้เธอไปกินด้วยกัน เวลาก็ล่วงเลยมาจนค่ำแบบไม่รู้ตัว แสงไฟในตู้ขบวนสลัวๆ กระจกสะท้อนภาพของเขาและเธอราวกับโลกอีกใบซ้อนทับกัน
ข้าวถอนหายใจเบาๆ แล้วหันมาคาดโทษเขา “ถ้านายไม่ตื้อให้ไปกินข้าวด้วยกัน ก็คงไม่ค่ำขนาดนี้อะ”
“แล้วกินข้าวกับฉันไม่ดีตรงไหน” ภามยักไหล่ขำๆ ในขณะที่มือยังโหนราวอยู่ตามเดิม “หรือว่า เธอกลัวจะอยู่กับฉันสองคนตอนกลางคืน”
“ไร้สาระ”
เขาอมยิ้มจากนั้นก็ขยับตัวเข้าไปใกล้เธออีกนิด ความเงียบในขบวนรถทำให้เสียงหัวใจของเขาดังจนตัวเขาเองยังได้ยิน
“แต่ก็ดีนะ ที่ได้ใช้เวลากับเธอได้นานขึ้น” เสียงของเขาเบาลงกว่าเดิมจนข้าวชะงักไปเล็กน้อย
เธอหันกลับไปมองเขาที่ยืนอยู่ด้านหลัง ดวงตาของภามดูนิ่งเงียบแต่แฝงไปด้วยอะไรบางอย่างที่ร้อนแรงและอันตราย
“ภาม..” ฉันเรียกเขาด้วยเสียงที่เบาๆ
เขาไม่ได้ตอบอะไร แต่ดึงเธอเข้ามาใกล้กว่าที่ควรจะเป็น ร่างกายทั้งคู่แทบจะสัมผัสกัน ลมหายใจที่อุ่นและร้อนแผ่วเบาอยู่ข้างแก้มของเธอ
ข้าวตั้งใจจะผลักเขาออก แต่ไม่รู้ทำไมมือกลับค้างอยู่กลางอากาศ
ดวงตาคมเข้มมองต่ำลงและจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ จังหวะการเคลื่อนไหวของตัวรถทำให้ทั้งสองคนเอนไปตามแรงสั่นไหวและเป็นข้าวเองที่สะดุดเข้าหาอกของเขา
“ข้าว…” ภามกระซิบเบาๆ ก่อนจะก้มลงจูบเธอ
เริ่มจากจูบที่สัมผัสอย่างแผ่วเบาราวกับหยั่งเชิงให้เธอปฏิเสธ แต่เธอกลับไม่ได้ผลักเขาออกก็กลายเป็นจูบที่ลึกซึ้งและร้อนแรงขึ้นจนเเธอแทบจะยืนไม่ไหว
ภามเอื้อมมือของเขามาประคองหลังของเธอไว้ ในขณะที่มือของเธอก็กำเสื้อเชิ้ตของเขาไว้แน่นราวกับกลัวว่าถ้าปล่อยไป เธอจะตกลงไปในบางอย่างที่อันตรายมากกว่านี้
“ภาม..” เธอพยายามเรียกสติของเขา แต่เขาไม่ได้ให้โอกาสพูดต่อ
ลิ้นร้อนๆ ของเขาไล่ต้อนเธอในแบบไม่เคยเจอมาก่อนและร่างกายของเขาก็แนบชิดกับเธอจนแทบจะหลอมรวมกันเป็นร่างเดียวผสมกับอุณหภูมิรอบตัวที่สูงขึ้นเรื่อยๆ
ข้าวรู้สึกได้ว่ามือของภามที่วางอยู่ตรงเอวของเธอเริ่มลูบไล้ขึ้นมาและนั่นทำให้เธอต้องรวบรวมสติทั้งหมดที่เหลืออยู่เพื่อดันเขาออก
“พะ..พอแล้ว!”
ภามหยุดชะงักหลังจากที่ได้ยินเสียงเธอร้องขึ้น แต่ยังคงใช้หน้าผากแนบกับเธอไว้ เสียงหายใจหอบเล็กน้อยเหมือนพยายามกดอารมณ์ที่กำลังเดือดพล่านอยู่
“ฉัน…ขอโทษนะ” เขาพึมพำออกมาก่อนจะหัวเราะเบาๆ กับตัวเอง “ดูเหมือนว่าฉันเริ่มจะควบคุมตัวเองไม่ได้ในตอนที่อยู่ใกล้กับเธอแล้วสิ”
ข้าวเม้มปากแน่นรู้สึกได้ถึงความร้อนบนใบหน้าก่อนที่จะผลักหน้าอกของเขาออกเบาๆ “อย่าทำแบบนี้บนรถไฟอีกนะ”
ภามหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ ดวงตาของเขายังคงเต็มไปด้วยความปรารถนา
“งั้น..แสดงว่าไปต่อที่ห้องเธอได้?”
“ไอ้ภาม!”
เขาหัวเราะออกมา ในขณะที่ข้าวหันหนีหน้าที่ร้อนจัด
รถไฟเคลื่อนตัวไปข้างหน้าต่อ แต่ใจของทั้งคู่กลับยังคงติดค้างอยู่กับสัมผัสเมื่อครู่ที่ไม่ยอมจางหายไปง่ายๆ
ข้าวยังยืนตัวแข็งอยู่ตรงประตูรถไฟกำถุงแน่นจนแทบจะขาดคามือ ใบหน้าของเธอร้อนผ่าว ใจที่เต้นแรงจนเหมือนจะหลุดออกมาเธอพยายามตั้งสติ แต่คำพูดของภามยังก้องอยู่ในหัว
“งั้น..แสดงว่าไปต่อที่ห้องเธอได้?”
“ไอ้บ้า!” ฉันหันกลับไปพร้อมจะฟาดถุงที่ถืออยู่ใส่เขาสักที แต่เขากลับจับมือของเธอไว้ทัน
“อย่าใช้ความรุนแรงสิ” เขาพูดในขณะที่นิ้วโป้งลูบไล้วนๆ บนหลังมือของเธอเหมือนปลอบ
ข้าวรีบสะบัดมือออกทันทีที่รู้ตัวว่าถูกแตะต้องอีกรอบและใบหน้ายังคงร้อนอยู่ แต่เธอพยายามทำเป็นไม่รู้สึกอะไร
“อย่าพูดอะไรบ้าๆ แบบนั้นอีกนะ” เธอข่มเสียงให้ดุที่สุดเท่าที่จะทำได้
“แล้วเธอคิดว่าฉันพูดเล่นเหรอ”
เสียงของภามต่ำลงจนเธอรู้สึกเหมือนพื้นรถไฟสั่นไหวไม่ใช่เพราะแรงสั่นสะเทือนของขบวนรถ แต่เพราะน้ำเสียงของเขามันชวนให้หัวใจของเธอเต้นผิดจังหวะ
ข้าวเงียบไปเพราะไม่รู้จะตอบอะไร เธอไม่ใช่คนซื่อขนาดที่จะไม่เข้าใจว่าภามคิดอะไรอยู่ แต่จริงๆ แล้วตั้งแต่กินข้าวด้วยกัน เธอก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศแปลกๆ ที่เกิดขึ้น มันไม่ใช่ความเงียบที่น่าอึดอัด แต่มันเป็นความเงียบที่เต็มไปด้วยอะไรบางอย่างที่อธิบายไม่ได้และจูบเมื่อกี้ก็ยิ่งทำให้ความรู้สึกของเธอปั่นป่วนกว่าเดิม
รถไฟยังคงเคลื่อนตัวไปข้างหน้า เสียงลมหายใจของทั้งสองคนแทบจะได้ยินชัดเจนมากขึ้น
ภามยังคงยืนอยู่ข้างหลังเธอใกล้ๆ ราวกับกำลังจงใจสร้างแรงกดดันให้เธอรับรู้ตัวตนของเขา
“ข้าว..” เขาเรียกชื่อเธอเบาๆ
เธอไม่ตอบอะไรแต่เงยหน้ามองเงาสะท้อนของเขาในกระจกแทน
ภามมองเธอผ่านเงานั้นด้วยดวงตาที่มีประกายบางอย่างที่ทำให้เธอรู้สึกเหมือนกำลังจะจมลงไปในวังวนที่เขาสร้างขึ้น
“เมื่อกี้…” ภามพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ยังคงแผ่วเบาแต่จริงจังกว่าเดิม “ฉันไม่ได้จูบเธอเพราะอารมณ์ชั่ววูบหรอกนะ”
ข้าวที่ได้ยินแบบนั้นก็ชะงักทันทีพร้อมกับใจที่เต้นแรงกว่าเดิม
“งั้นนายจะบอกว่าที่ทำไป…” เธอเว้นช่วงพลางกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก “..คือตั้งใจ?”
ภามไม่ได้ตอบในทันทีแต่เขากลับโน้มตัวลงมาใกล้เธออีกนิด
“แล้วเธอละ” เขาถามกลับ “เธอจูบฉันกลับเพราะอารมณ์ชั่ววูบหรือตั้งใจ?”
ข้าวเม้มปากแน่น สมองของเธอขาวโพลนไปหมดเพราะอารมณ์ชั่ววูบหรือตั้งใจ
“ฉันไม่รู้เลย…”
สิ่งเดียวที่เธอรู้แน่ชัดในตอนนี้คือหัวใจของเธอเต้นแรงมากเกินไปจนมือที่กำถุงไว้แน่นเริ่มมีเหงื่อซึมออกมา
ภามยังคงจ้องเธออยู่ราวกับรอคำตอบ
ก่อนที่เธอจะทันได้คิดอะไรต่อร่างอุ่นๆ ของภามก็ขยับเข้ามาใกล้เธอจากด้านหลังจนทำให้เธอสะดุ้ง เขาค่อยๆ สอดแขนเข้ามาโอบเอวของเธอแน่นจากด้านหลังก่อนที่จะดึงร่างเธอเข้าไปแนบชิดกับตัวเขาราวกับตั้งใจให้เธอรับรู้ถึงตัวตนของเขาอย่างลึกซึ้ง
“ภาม!” ข้าวสะดุ้งเฮือกเมื่อรู้สึกถึงความใกล้ชิดที่มากเกินไป ปลายนิ้วมือของเธอเกร็งแน่นกับสายถุงที่ถืออยู่
“ฉันรอคำตอบเธออยู่นะ” เขากระซิบข้างหูด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำ ลมหายใจอุ่นๆ ของเขาเป่ารดผิวของเธอจนขนลุกไปทั่วร่าง “ถ้าเธอยังไม่ตอบ ฉันจะคิดว่าเธอก็คิดเหมือนฉันละกันนะ”
ข้าวพยายามจะหันหน้าหนี แต่กลับทำให้ภามมีโอกาสกดริมฝีปากลงที่ข้างแก้มของเธอแทน
สัมผัสที่ร้อนจัดแนบลงมาที่แก้มอย่างกะทันหันทำให้ข้าวเผลอเม้มริมฝีปากแน่น ร่างกายของเธอแข็งทื่อเพราะไม่รู้ว่าควรจะผลักเขาออกหรือจะจมไปในสัมผัสนี้แทน
“ภาม..อื้ออ”
ยังไม่ทันที่เธอจะได้ตอบอะไร มือของภามก็เลื่อนขึ้นมาสัมผัสปลายคางของเธอไว้อย่างแผ่วเบาและพลิกใบหน้าของเธอขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่ริมฝีปากของเขาจะกดลงมาครอบครองอย่างจงใจ
จูบครั้งที่สองหลังห่างจากจูบแรกได้ไม่นานโดยเป็นจูบที่จู่โจมจากข้างหลังอย่างกะทันหันทำให้ข้าวเผลอปล่อยถุงที่ถือไว้หล่นลงกับพื้นโดยไม่รู้ตัว ลิ้นร้อนๆ ของภามที่เหมือนถูกเตาเผาไหม้กำลังกวาดเข้ามาชิมรสจากริมฝีปากของเธออีกครั้งอย่างไม่เปิดโอกาสให้ทันตั้งตัว
เธอพยายามจะขืนตัวออก แต่แรงของภามมีมากเกินไป ปลายลิ้นทั้งสองตวัดเกี่ยวไปมาและแรงดูดดึงจากริมฝีปากของเขาทำให้เธอแทบจะทรงตัวไม่อยู่
และสิ่งที่ทำให้ข้าวสะดุ้งหนักกว่าเดิม
มือของภามที่โอบกอดช่วงเอวของเธอนั้นกำลังค่อยๆ ลูบลงก่อนที่จะสอดมือเข้าไปใต้เสื้อของเธอแล้วลูบไล้ผิวที่เปลือยเปล่าอย่างแผ่วเบาๆ
“อื้ออ” ข้าวสะดุ้งพร้อมกับใจที่เต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาจากอก
ปลายนิ้วของภามไล้ขึ้นไปตามแนวลำตัวของเธออย่างช้าๆ ความอุ่นจากฝ่ามือทำให้เธอรู้สึกเหมือนร่างกายกำลังจะละลาย จนกระทั่งสัมผัสนั้นขยับขึ้นสูงกว่าที่ควรจะเป็น
“ภาม..อย่าจับนะ”
เธอหลุดเสียงออกมาอย่างตกใจ มือของเธอรีบตามเข้าไปคว้าข้อมือของเขาได้ทัน ร่างกายที่ร้อนวูบวาบจนไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะความตกใจหรือเพราะแรงดึงดูดที่ไม่อาจปฏิเสธได้
ภามหยุดชั่วครู่ แต่เขาก็ยังคงไม่คลายอ้อมแขนออกจากเธอ ลมหายใจหนักๆ ของเขาเป่ารดต้นคอก่อนที่ริมฝีปากของเขาจะกดจูบลงมาอีกครั้งที่ต้นคอ
“เธอรู้ตัวมั้ยข้าว?” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วและต่ำลง “ว่าเธอน่ากินขนาดไหน”
ข้าวเม้นริมฝีปากแน่น พยายามบังคับตัวเองให้หายใจให้เป็นจังหวะ
สถานีต่อไป…
เสียงประกาศจากรถไฟดังขึ้นบอกว่าสถานีที่เธอต้องลงกำลังจะถึงในอีกไม่กี่วินาที
ข้าวสะดุ้งสุดตัวรีบดันมือของภามออกจากร่างกายของเธออย่างรวดเร็วด้วยใบหน้าที่แดงก่ำและหัวใจที่เต้นแรงจนแทบยืนไม่อยู่
เมื่อประตูรถเปิดออก เธอรีบก้าวออกจากขบวนรถทันที
แม้เธอจะเดินออกมาจากพื้นที่ตรงนั้นแล้วแต่สัมผัสของเขาก็ยังหลงเหลืออยู่บนร่างกายเธอราวกับว่าไม่มีวันที่เธอจะหนีพ้นจากเขาได้จริงๆ
ร้านขายอุปกรณ์
เมื่อมาถึงทั้งสองก็เริ่มแยกย้ายกันไปในโซนของตัวเอง โดยที่ข้าวกำลังจดจ่ออยู่กับการเลือกสีและพู่กัน ส่วนภามนั้นก็เดินไปเลือกดินปั้น พอเขาเลือกเสร็จก็เดินมาหาเธอพร้อมกับเอาดินปั้นที่หยิบมาแกล้งยื่นไปตรงหน้า
“เธอลองจับดูสิ”
“ทำไม?” ข้าวตอบพร้อมกับรับมาอย่างงงๆ
“ลองบีบดู”
ข้าวบีบดินปั้นเบาๆ แล้วพยักหน้า “ก็นุ่มดีนะ น่าจะขึ้นรูปง่าย”
“ใช่มั้ยละ เหมือนแก้มเธอเลย” เขาตอบพลางอมยิ้ม
ข้าวชะงักไปก่อนจะเบิกตากว้างหันไปมองเขาอย่างทันที “หา!”
“อะไรละ ก็เธอจับอยู่ ฉันแค่บอกความรู้สึก” เขายิ้มพร้อมกับหัวเราะออกมา
“ฉันจะเอาพู่กันให้นายคาบเดี๋ยวนี้เลย”
“ใจเย็นๆ ไม่ใช่หมา” เขาหัวเราะต่อก่อนจะเดินไปจ่ายเงิน
ข้าวพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ พลางคิดในใจ “การที่ต้องทำงานร่วมกับภามตั้งสองอาทิตย์นี่มันจะรอดจริงๆ ใช่มั้ยนะ”
หลังซื้อของเสร็จภามก็เดินเคียงข้างข้าวออกมาจากร้าน ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำลงบรรยากาศรอบๆ เริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มของช่วงเย็น
“เสร็จแล้ว กลับกันเลยมั้ย?” ฉันถามพลางตรวจเช็กของในถุง
แต่เขากลับทำหน้าครุ่นคิดก่อนที่จะตอบออกไป “เดี๋ยวสิ!”
“อะไร?”
“ฉันหิว” เขาตอบกลับแบบหน้าตาเฉย “ไปกินข้าวกัน”
ข้าวที่ได้ยินแบบนั้นถึงกลับส่ายหน้า “ไม่เอาอะ มันจะมืดแล้ว บ้านฉันไม่ได้ใกล้เหมือนบ้านนายนะ”
“แป๊บเดียวเอง เดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง” เขาตอบกลับแบบไม่ละความพยายาม
“จงใจเอาเรื่องเลี้ยงข้าวมาอ้างสินะ” ฉันถามกลับพร้อมกับหรี่ตาลง
“รู้ทันอีก” เขาตอบออกมาก่อนที่จะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“กลับเถอะ” ฉันพยายามเมินเขาก่อนที่จะก้าวเดินต่อแต่ภามก็เดินตามมาติดๆ
“ใจร้ายจังนะ”
ข้าวที่ได้ยินแบบนั้นก็ถอนหายใจทันที “แล้วทำไมต้องกินกับฉัน?”
“ก็…” เขายักไหล่ก่อนจะพูดต่อ “กินกับเธอมันสนุกดี”
“กวนประสาท!”
“เอาน่า แป๊บเดียวจริงๆ ถือว่าเป็นรางวัลที่ฉันเสนอไอเดียดีๆ ให้ไง”
“เออๆ แป๊บเดียวนะ” ฉันตอบกลับอย่างยอมแพ้
“ดีมาก”
ทั้งคู่เลือกนั่งที่ร้านอาหารเล็กๆ ใกล้สถานีรถไฟ เป็นร้านอาหารแบบง่ายๆ บรรยากาศอุ่นๆ ที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย
“งานนี้ฉันว่ามันต้องออกมาดีแน่นอน” ข้าวพูดพลางตักข้าวเข้าปาก “ถ้าหากว่านายไม่มาช่วย ฉันคงคิดไม่ออก”
“เห!” เขายกยิ้มขึ้น “พูดแบบนี้หมายความว่าเธอยอมรับว่าฉันเก่ง”
ข้าวชะงักไปก่อนจะรีบกลบเกลื่อน “แค่ไอเดียดีเฉยๆ”
“โอเคๆ แล้วถ้าออกมาดีจริง เธอจะให้อะไรฉันเป็นรางวัล”
“รางวัลอะไร?” ข้าวหรี่ตาลง
“ก็ ให้ฉันขออะไรสักอย่างได้มั้ย?”
“อะไรของนายอีกเนี่ย!” ข้าวตอบพร้อมทำหน้าสงสัย
“เอาเป็นว่าเดี๋ยวฉันบอกทีหลังแล้วกัน”
ในระหว่างที่ข้าวกำลังตักข้าวเข้าปากอยู่นั้นความคิดแปลกๆ ก็ผุดขึ้นมาในหัว “คงไม่ใช่ให้เลี้ยงไอศครีมอะไรนั้นอีกนะ”
กว่าจะกินเสร็จและเดินมาจนถึงสถานี รถไฟเที่ยวค่ำก็ใกล้ที่จะออกจากชานชาลาพอดี
“คำว่าแป๊บเดียวของนายคือแบบนี้สินะ” ข้าวบ่นเบาๆ
“ก็ถือว่าได้ใช้เวลาด้วยกันเยอะขึ้นไง” ภามยักไหล่ก่อนจะเดินขึ้นรถไฟไปพร้อมเธอ
“นายถามฉันสักคำยังว่าอยากใช้เวลาด้วยกันมั้ย?”
บนรถไฟ
เสียงล้อรถไฟเสียดสีไปบนรางดังก้องในความเงียบ รถไฟที่เริ่มว่างเปล่าซึ่งต่างจากตอนขามาจนแทบไม่มีใครอยู่ นอกจากพวกเขาทั้งสองคน
ข้าวยืนจับราวตรงประตูรถไฟพร้อมมืออีกข้างที่กอดถุงของที่ซื้อมา ส่วนภามยืนโหนราวอยู่ข้างหลังเธอโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่สายตาก็ยังไม่ละไปจากเธอเลยสักนิดเดียว
หลังมื้ออาหารที่เขาเป็นคนเซ้าซี้ให้เธอไปกินด้วยกัน เวลาก็ล่วงเลยมาจนค่ำแบบไม่รู้ตัว แสงไฟในตู้ขบวนสลัวๆ กระจกสะท้อนภาพของเขาและเธอราวกับโลกอีกใบซ้อนทับกัน
ข้าวถอนหายใจเบาๆ แล้วหันมาคาดโทษเขา “ถ้านายไม่ตื้อให้ไปกินข้าวด้วยกัน ก็คงไม่ค่ำขนาดนี้อะ”
“แล้วกินข้าวกับฉันไม่ดีตรงไหน” ภามยักไหล่ขำๆ ในขณะที่มือยังโหนราวอยู่ตามเดิม “หรือว่า เธอกลัวจะอยู่กับฉันสองคนตอนกลางคืน”
“ไร้สาระ”
เขาอมยิ้มจากนั้นก็ขยับตัวเข้าไปใกล้เธออีกนิด ความเงียบในขบวนรถทำให้เสียงหัวใจของเขาดังจนตัวเขาเองยังได้ยิน
“แต่ก็ดีนะ ที่ได้ใช้เวลากับเธอได้นานขึ้น” เสียงของเขาเบาลงกว่าเดิมจนข้าวชะงักไปเล็กน้อย
เธอหันกลับไปมองเขาที่ยืนอยู่ด้านหลัง ดวงตาของภามดูนิ่งเงียบแต่แฝงไปด้วยอะไรบางอย่างที่ร้อนแรงและอันตราย
“ภาม..” ฉันเรียกเขาด้วยเสียงที่เบาๆ
เขาไม่ได้ตอบอะไร แต่ดึงเธอเข้ามาใกล้กว่าที่ควรจะเป็น ร่างกายทั้งคู่แทบจะสัมผัสกัน ลมหายใจที่อุ่นและร้อนแผ่วเบาอยู่ข้างแก้มของเธอ
ข้าวตั้งใจจะผลักเขาออก แต่ไม่รู้ทำไมมือกลับค้างอยู่กลางอากาศ
ดวงตาคมๆ มองต่ำลงและจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ จังหวะการเคลื่อนไหวของตัวรถทำให้ทั้งสองคนเอนไปตามแรงสั่นไหวและเป็นข้าวเองที่สะดุดเข้าหาอกของเขา
“ข้าว…” ภามกระซิบเบาๆ ก่อนจะก้มลงจูบเธอ
เริ่มจากจูบที่สัมผัสอย่างแผ่วเบาราวกับหยั่งเชิงให้เธอปฏิเสธ แต่เธอกลับไม่ได้ผลักเขาออกก็กลายเป็นจูบที่ลึกซึ้งและร้อนแรงขึ้นจนเเธอแทบจะยืนไม่ไหว
ภามเอื้อมมือของเขามาประคองหลังของเธอไว้ ในขณะที่มือของเธอก็กำเสื้อเชิ้ตของเขาไว้แน่นราวกับกลัวว่าถ้าปล่อยไป เธอจะตกลงไปในบางอย่างที่อันตรายมากกว่านี้
“ภาม..” เธอพยายามเรียกสติของเขา แต่เขาไม่ได้ให้โอกาสพูดต่อ
ลิ้นร้อนๆ ของเขาไล่ต้อนเธอในแบบไม่เคยเจอมาก่อนและร่างกายของเขาก็แนบชิดกับเธอจนแทบจะหลอมรวมกันเป็นร่างเดียวผสมกับอุณหภูมิรอบตัวที่สูงขึ้นเรื่อยๆ
ข้าวรู้สึกได้ว่ามือของภามที่วางอยู่ตรงเอวของเธอเริ่มลูบไล้ขึ้นมาและนั่นทำให้เธอต้องรวบรวมสติทั้งหมดที่เหลืออยู่เพื่อดันเขาออก
“พะ..พอแล้ว!”
ภามหยุดชะงักหลังจากที่ได้ยินเสียงเธอร้องขึ้น แต่ยังคงใช้หน้าผากแนบกับเธอไว้ เสียงหายใจหอบเล็กน้อยเหมือนพยายามกดอารมณ์ที่กำลังเดือดพล่านอยู่
“ฉัน…ขอโทษนะ” เขาพึมพำออกมาก่อนจะหัวเราะเบาๆ กับตัวเอง “ดูเหมือนว่าฉันเริ่มจะควบคุมตัวเองไม่ได้ในตอนที่อยู่ใกล้กับเธอแล้วสิ”
ข้าวเม้มปากแน่นรู้สึกได้ถึงความร้อนบนใบหน้าก่อนที่จะผลักหน้าอกของเขาออกเบาๆ “อย่าทำแบบนี้บนรถไฟอีกนะ”
ภามหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ ดวงตาของเขายังคงเต็มไปด้วยความปรารถนา
“งั้น..แสดงว่าไปต่อที่ห้องเธอได้?”
“ไอ้ภาม!”
เขาหัวเราะออกมา ในขณะที่ข้าวหันหนีหน้าที่ร้อนจัด
รถไฟเคลื่อนตัวไปข้างหน้าต่อ แต่ใจของทั้งคู่กลับยังคงติดค้างอยู่กับสัมผัสเมื่อครู่ที่ไม่ยอมจางหายไปง่ายๆ
ข้าวยังยืนตัวแข็งอยู่ตรงประตูรถไฟกำถุงแน่นจนแทบจะขาดคามือ ใบหน้าของเธอร้อนผ่าว ใจที่เต้นแรงจนเหมือนจะหลุดออกมาเธอพยายามตั้งสติ แต่คำพูดของภามยังก้องอยู่ในหัว
“งั้น..แสดงว่าไปต่อที่ห้องเธอได้?”
“ไอ้บ้า!” ฉันหันกลับไปพร้อมจะฟาดถุงที่ถืออยู่ใส่เขาสักที แต่ภามกลับจับมือของเธอไว้ทัน
“อย่าใช้ความรุนแรงสิ” เขาพูดในขณะที่นิ้วโป้งลูบไล้วนๆ บนหลังมือของเธอเหมือนปลอบ
ข้าวรีบสะบัดมือออกทันทีที่รู้ตัวว่าถูกแตะต้องอีกรอบและใบหน้ายังคงร้อนอยู่ แต่เธอพยายามทำเป็นไม่รู้สึกอะไร
“อย่าพูดอะไรบ้าๆ แบบนั้นอีกนะ” เธอข่มเสียงให้ดุที่สุดเท่าที่จะทำได้
“แล้วเธอคิดว่าฉันพูดเล่นเหรอ”
เสียวของภามต่ำลงจนเธอรู้สึกเหมือนพื้นรถไฟสั่นไหวไม่ใช่เพราะแรงสั่นสะเทือนของขบวนรถ แต่เพราะน้ำเสียงของเขามันชวนให้หัวใจของเธอเต้นผิดจังหวะ
ข้าวเงียบไปเพราะไม่รู้จะตอบอะไร เธอไม่ใช่คนซื่อขนาดที่จะไม่เข้าใจว่าภามคิดอะไรอยู่ แต่จริงๆ แล้วตั้งแต่กินข้าวด้วยกัน เธอก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศแปลกๆ ที่เกิดขึ้น มันไม่ใช่ความเงียบที่น่าอึดอัด แต่มันเป็นความเงียบที่เต็มไปด้วยอะไรบางอย่างที่อธิบายไม่ได้และจูบเมื่อกี้ก็ยิ่งทำให้ความรู้สึกของเธอปั่นป่วนกว่าเดิม
รถไฟยังคงเคลื่อนตัวไปข้างหน้า เสียงลมหายใจของทั้งสองคนแทบจะได้ยินชัดเจนมากขึ้น
ภามยังคงยืนอยู่ข้างหลังเธอใกล้ๆ ราวกับกำลังจงใจสร้างแรงกดดันให้เธอรับรู้ตัวตนของเขา
“ข้าว..” เขาเรียกชื่อเธอเบาๆ
เธอไม่ตอบอะไรแต่เงยหน้ามองเงาสะท้อนของเขาในกระจกแทน
ภามมองเธอผ่านเงานั้นด้วยดวงตาที่มีประกายบางอย่างที่ทำให้เธอรู้สึกเหมือนกำลังจะจมลงไปในวังวนที่เขาสร้างขึ้น
“เมื่อกี้…” ภามพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ยังคงแผ่วเบาแต่จริงจังกว่าเดิม “ฉันไม่ได้จูบเธอเพราะอารมณ์ชั่ววูบหรอกนะ”
ข้าวที่ได้ยินแบบนั้นก็ชะงักทันทีพร้อมกับใจที่เต้นแรงกว่าเดิม
“งั้นนายจะบอกว่าที่ทำไป…” เธอเว้นช่วงพลางกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก “..คือตั้งใจ?”
ภามไม่ได้ตอบในทันทีแต่เขากลับโน้มตัวลงมาใกล้เธออีกนิด
“แล้วเธอละ” เขาถามกลับ “เธอจูบฉันกลับเพราะอารมณ์ชั่ววูบหรือตั้งใจ?”
ข้าวเม้มปากแน่น สมองของเธอขาวโพลนไปหมดเพราะอารมณ์ชั่ววูบหรือตั้งใจ
“ฉันไม่รู้เลย…”
สิ่งเดียวที่เธอรู้แน่ชัดในตอนนี้คือหัวใจของเธอเต้นแรงมากเกินไปจนมือที่กำถุงไว้แน่นเริ่มมีเหงื่อซึมออกมา
ภามยังคงจ้องเธออยู่ราวกับรอคำตอบ
ก่อนที่เธอจะทันได้คิดอะไรต่อร่างอุ่นๆ ของภามก็ขยับเข้ามาใกล้เธอจากด้านหลังจนทำให้เธอสะดุ้ง เขาค่อยๆ สอดแขนเข้ามาโอบเอวของเธอแน่นจากด้านหลังก่อนที่จะดึงร่างเธอเข้าไปแนบชิดกับตัวเขาราวกับตั้งใจให้เธอรับรู้ถึงตัวตนของเขาอย่างลึกซึ้ง
“ภาม!” ข้าวสะดุ้งเฮือกเมื่อรู้สึกถึงความใกล้ชิดที่มากเกินไป ปลายนิ้วมือของเธอเกร็งแน่นกับสายถุงที่ถืออยู่
“ฉันรอคำตอบเธออยู่นะ” เขากระซิบข้างหูด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำ ลมหายใจอุ่นๆ ของเขาเป่ารดผิวของเธอจนขนลุกไปทั่วร่าง “ถ้าเธอยังไม่ตอบ ฉันจะคิดว่าเธอก็คิดเหมือนฉันละกันนะ”
ข้าวพยายามจะหันหน้าหนี แต่กลับทำให้ภามมีโอกาสกดริมฝีปากลงที่ข้างแก้มของเธอแทน
สัมผัสที่ร้อนจัดแนบลงมาที่แก้มอย่างกะทันหันทำให้ข้าวเผลอเม้มริมฝีปากแน่น ร่างกายของเธอแข็งทื่อเพราะไม่รู้ว่าควรจะผลักเขาออกหรือจะจมไปในสัมผัสนี้แทน
“ภาม..อื้ออ”
ยังไม่ทันที่เธอจะได้ตอบอะไร มือของภามก็เลื่อนขึ้นมาสัมผัสปลายคางของเธอไว้อย่างแผ่วเบาและพลิกใบหน้าของเธอขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่ริมฝีปากของเขาจะกดลงมาครอบครองอย่างจงใจ
จูบครั้งที่สองหลังห่างจากจูบแรกได้ไม่นานโดยเป็นจูบที่จู่โจมจากข้างหลังอย่างกะทันหันทำให้ข้าวเผลอปล่อยถุงที่ถือไว้หล่นลงกับพื้นโดยไม่รู้ตัว ลิ้นร้อนๆ ของภามที่เหมือนถูกเตาเผาไหม้กำลังกวาดเข้ามาชิมรสจากริมฝีปากของเธออีกครั้งอย่างไม่เปิดโอกาสให้ทันตั้งตัว
เธอพยายามจะขืนตัวออก แต่แรงของภามมีมากเกินไป ปลายลิ้นทั้งสองตวัดเกี่ยวไปมาและแรงดูดดึงจากริมฝีปากของเขาทำให้เธอแทบจะทรงตัวไม่อยู่
และสิ่งที่ทำให้ข้าวสะดุ้งหนักกว่าเดิม
มือของภามที่โอบกอดช่วงเอวของเธอนั้นกำลังค่อยๆ ลูบลงก่อนที่จะสอดมือเข้าไปใต้เสื้อของเธอแล้วลูบไล้ผิวที่เปลือยเปล่าอย่างแผ่วเบาๆ
“อื้ออ” ข้าวสะดุ้งพร้อมกับใจที่เต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาจากอก
ปลายนิ้วของภามไล้ขึ้นไปตามแนวลำตัวของเธออย่างช้าๆ ความอุ่นจากฝ่ามือทำให้เธอรู้สึกเหมือนร่างกายกำลังจะละลาย จนกระทั่งสัมผัสนั้นขยับขึ้นสูงกว่าที่ควรจะเป็น
“ภาม..อย่าจับนะ”
เธอหลุดเสียงออกมาอย่างตกใจ มือของเธอรีบตามเข้าไปคว้าข้อมือของเขาได้ทัน ร่างกายที่ร้อนวูบวาบจนไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะความตกใจหรือเพราะแรงดึงดูดที่ไม่อาจปฏิเสธได้
ภามหยุดชั่วครู่ แต่เขาก็ยังคงไม่คลายอ้อมแขนออกจากเธอ ลมหายใจหนักๆ ของเขาเป่ารดต้นคอก่อนที่ริมฝีปากของเขาจะกดจูบลงมาอีกครั้งที่ต้นคอ
“เธอรู้ตัวมั้ยข้าว?” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วและต่ำลง “ว่าเธอน่ากินขนาดไหน”
ข้าวเม้นริมฝีปากแน่น พยายามบังคับตัวเองให้หายใจให้เป็นจังหวะ
สถานีต่อไป…
เสียงประกาศจากรถไฟดังขึ้นบอกว่าสถานีที่เธอต้องลงกำลังจะถึงในอีกไม่กี่วินาที
ข้าวสะดุ้งสุดตัวรีบดันมือของภามออกจากร่างกายของเธออย่างรวดเร็วด้วยใบหน้าที่แดงก่ำและหัวใจที่เต้นแรงจนแทบยืนไม่อยู่
เมื่อประตูรถเปิดออก เธอรีบก้าวออกจากขบวนรถทันที
แม้เธอจะเดินออกมาจากพื้นที่ตรงนั้นแล้วแต่สัมผัสของเขาก็ยังหลงเหลืออยู่บนร่างกายเธอราวกับว่าไม่มีวันที่เธอจะหนีพ้นจากเขาได้จริงๆ