ทำไมเธอถึงจูบฉันกลับละทั้งที่ไม่ใช่ผู้ชายในอุดมคติที่เธอชอบสักหน่อยหรือว่า..เธอตั้งใจ? แต่ถ้าเธอถามฉันกลับละก็..ไม่รู้สินะ(เพราะฉันมีความลับปิดอยู่)
รัก,ชาย-หญิง,วัยว้าวุ่น,ไทย,โรแมนติก,โรแมนซ์,พล็อตสร้างกระแส,มหาลัย,เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ,คู่กัด,รักตั้งแต่เด็ก,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ป่วนขบวนรักของยัยตัวเล็กทำไมเธอถึงจูบฉันกลับละทั้งที่ไม่ใช่ผู้ชายในอุดมคติที่เธอชอบสักหน่อยหรือว่า..เธอตั้งใจ? แต่ถ้าเธอถามฉันกลับละก็..ไม่รู้สินะ(เพราะฉันมีความลับปิดอยู่)
เรื่อง ป่วนขบวนรักของยัยตัวเล็ก
แนะนำตัว
ธีรัตม์ เชาวกรกุล ชื่อเล่น ภาม อายุ21 ปี2 สาขาวิชาประติมากรรม คณะศิลปศาสตร์
กันยานา ชวัลดนย์ ชื่อเล่น รวงข้าว สั้นๆ ข้าว อายุ20 สาขาวิชาจิตรกรรม คณะศิลปศาสตร์
ติดตามกันได้
เธอแอบชอบรุ่นพี่ที่สุดแสนจะตรงสเปก แต่ไม่เคยรู้เลยว่าเขาคือเพื่อนที่กวนประสาทเธออยู่ทุกวันแถมเขายังเป็นคนที่เผลอจูบเธอบนรถไฟอีกด้วย
ข้าวที่ชื่นชอบในความอบอุ่น สุขุมและใจดีของรุ่นพี่ในอุดมคติที่ตรงสเปกชายในฝันของเธอสุดๆ โดยที่ใครจะคาดถึงว่าเขาจะเป็น เพื่อนสนิทสุดกวนประสาทของเธอ ที่แทบจะกัดกันทุกวัน
ฉันไม่ได้จูบเธอเพราะอารมณ์ชั่ววูบหรอกนะ
นายจะบอกว่า ตั้งใจ
แล้วเธอละจูบฉันกลับด้วยเหตุผลอะไร
ความลับที่ปิดมานานต้องมาถูกเปิดเผยออกพร้อมกับใบหน้าของเธอที่ตกใจราวกับโลกหยุดหมุนในทันที
ทำไม ทำไมนายต้องปลอมตัวด้วย อธิบายมา!
เหตุผลก็เพราะว่า…เธอจำฉันไม่ได้จริงๆหรอ..
ความทรงจำที่เลือนลางของเธอในวัยเด็กคืออะไร…ทำไมถึงได้ปวดหัวขนาดนี้
นายต้องห้ามลืมฉันนะ
ได้ ฉันจะไม่ลืมเธอ
เพราะเธอคือคนที่ฉันรักตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอ
ขอฝากนิยายที่หนุบหนับหัวใจไว้ในกอดแขนและหัวใจห้องกว้างๆห้องใหม่ของคุณผู้อ่านด้วยนะคะ
แม้นางเอกจะขี้เหวี่ยงขี้วีนกับพระเอกที่ปากร้ายไปหน่อยแต่ก็จริงใจสุดๆ ยังไงผู้อ่านช่วยเอ็นดูด้วยนะคะ
อย่าเอ็นดูจนเอ็นขาด
ขอให้สนุกกับการอ่านนิยายเรื่องนี้
กลับมาในปัจจุบัน
หลังจากที่ข้าวรู้ถึงความจริงของภามที่ต้องปลอมตัวเป็นพี่ธี เธอก็รู้สึกราวกับหัวใจที่แตกสลายไปพร้อมกับความรู้สึกที่เธอมี ความโกรธและเสียใจที่อยู่ภายในใจต่างทะลักออกมาเป็นเสียงตะโกนที่ดังก้องไปทั่วตรงนั้น
ข้าวที่วิ่งออกมาพร้อมกับน้ำตาที่กลั้นเอาไว้ไม่อยู่ เธอไม่เคยรู้สึกสับสนและเจ็บปวดขนาดนี้มาก่อน ทั้งที่เธอกำลังจะสารภาพรักกับผู้ชายคนที่เธอชอบแท้ๆ แต่กลายเป็นว่าคนคนที่เธอชอบไม่เคยมีอยู่จริง
หลังจากวันนั้น ข้าวก็แทบจะไม่ได้เจอภามอีกเลยเธอหลีกเลี่ยงทุกทางที่อาจจะทำให้ต้องพบกับเขา ทุกเช้าที่เคยนั่งรถไฟฟ้ามาเรียนก็เปลี่ยนมาเป็นรถเมล์แทน เธอเลือกที่เดินทางอ้อมไกลขึ้น โดยเพียงขอแค่ไม่ต้องเจอเขา
ข้าวที่นั่งอยู่เงียบๆ แต่เธอกลับติดอยู่ในความคิดที่ไม่อาจหนีออกมาได้ “เธอจำฉันไม่ได้เลยเหรอ”
คำพูดของภามที่ถามออกมายังคงก้องอยู่ในหัวเธอ เธอพยายามนึกว่าหมายถึงอะไร ทำไมเขาถึงพูดแบบนั้นออกมา คำถามนั้นกลายเป็นสิ่งที่ติดอยู่ในใจเธอไม่ไปไหนและยิ่งเธอพยายามคิดภาพบางอย่างในอดีตก็เริ่มผุดขึ้นมาเป็น เงาดำของเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่เคยเล่นกับเธอในทุกวันๆ แต่พอเธอยิ่งนึกออกมามากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งปวดหัวจากการนึกมากเท่านั้นพร้อมกับความรู้สึกที่ว่างเปล่าที่บีบอยู่กลางอกเหมือนตัวเองลืมบางสิ่งที่สำคัญไป
ในฝั่งของภาม
ในตอนนี้ตัวเขาเองก็ไม่ต่างจากข้าวมากนัก คำพูดของข้าวที่ยังก้องอยู่ในหัวของเขามันเป็นคำที่เหมือนมีดกรีดลงกลางอก เขาคิดมาตลอดแม้จะโกหกและหลอกให้เธอเชื่อว่าพี่ธีมีจริงๆ แต่ทั้งหมดที่เขาทำไปนั้นเพียงเพราะอยากที่จะเข้าใกล้เธอและอยากเป็นคนที่เธอชอบ
แต่สุดท้ายทุกอย่างที่เขาพยายามและตั้งใจมาโดยตลอดเพื่อคนที่เธอรักกลับต้องพังทลายลงไปตรงหน้า
เขานั่งอยู่ในห้องเรียนโดยที่ไม่ได้ตั้งใจฟังในสิ่งที่อาจารย์สอนเลยแม้แต่คำเดียว ความรู้สึกผิดและความเสียใจปะปนกันไปหมดจนรู้สึกหนังอึ้งอยู่ในใจที่สลัดออกไปไม่ได้ เขาคิดแต่ว่า เขาจะทำยังไงต่อดี เขาควรจะปล่อยเธอไปหรือควรจะหาทางแก้ในสิ่งที่เกิดขึ้น
จู่ๆ โทรศัพท์ของภามก็สั่นขึ้นมา เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาพร้อมกับเห็นสายที่ไม่โชว์เบอร์ แต่เขาก็รู้ได้ทันทีว่าปลายสายเป็นใคร เขาถอนหายใจก่อนที่จะลุกขึ้นแล้วเดินออกไปรับสายแบบเงียบๆ
โอมกับขุนที่เห็นท่าทีของภามในตอนที่กดรับสาย ก็รีบพากันลุกตามออกไป
“ฮัลโหลครับ” (ภาษาอิตาเลี่ยน) ภามพูดเสียงเรียบ
ปลายสายคือศิลปินระดับโลกอีกท่านที่เป็นเจ้าของงานมหกรรมนานาชาติ งานที่รวบรวมผลงานศิลปะจากศิลปินทั่วโลกและกำลังจะจัดขึ้นที่เมืองไทยเป็นครั้งแรก
“ฉันอยากให้เธอนำผลงานของเธอมาแสดงในงานด้วย สนใจมั้ย?” ปลายทางพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “งานนี้เป็นโอกาสดีนะ อีกอย่างพวกเราก็ไม่ได้เจอกันนานแล้ว”
ภามถึงกลับนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะถามกลับ “แล้วงานจัดขึ้นวันไหนครับ?”
เมื่อปลายสายระบุวันและเวลามา เขาถึงกับตกใจและเบิกตากว้างขึ้น “อะไรนะครับ” เขารีบทวนคำราวกับไม่อยากเชื่อหูตัวเองโดยที่วันและเวลาที่ระบุบมานั้น คือ วันหลังจากสอบปลายภาคเสร็จเพียงแค่หนึ่งวันเท่านั้น
โอมกับขุนที่ยืนฟังต่างหันมามองหน้ากันทันที ก่อนที่ภามจะเงียบไปพักหนึ่งและตอบกลับเพียงแค่ “ครับ ผมจะคิดดูอีกที” ก่อนที่วางสายลง
“มึงจะเอาไง?”
ภามยังคงมองโทรในมือก่อนจะตอบเสียงเรียบ “ไม่รู้สิ แต่คงต้องไป”
“แล้วจะเอางานไรไปโชว์ อีกอย่างเวลามันก็ไม่ได้มีเยอะแล้วนะ” ขุนถามขึ้นทันที
“ไม่รู้”
“สอบก็ใกล้เข้ามาแล้วด้วย ถ้าแบบนี้จะเอาเวลาไหนอ่านหนังสือ” โอมทักขึ้นมา
ภามเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะเดินแทรกระหว่างทั้งสองคนออกไป แต่พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็หยุดชะงักแล้วพูดออกมาเสียงเบาๆ “งานนี้กูขอทำคนเดียว พวกมึงอ่านหนังสือสอบกันเถอะ”
เมื่อทั้งสองคนที่ได้ยินแบบนั้นก็รีบหันหน้ามาอย่างเร็ว “เฮ้ย!…” แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้พูดอะไรต่อ ภามก็พูดต่อขึ้นมา “เดี๋ยวกูกลับละ”
“ไอ้ภาม….”
ในฝั่งของเจน
เจนที่เห็นอาการของข้าวที่ซึมลงในทุกๆ วันก็เริ่มทนไม่ไหว เธอรู้ว่าถ้าปล่อยไว้แบบนี้ข้าวคงไม่มีสมาธิที่จะทำอะไรต่อแน่ๆ เธอจึงตัดสินใจเดินไปหาภามที่ห้องเรียนประติมากรรม แต่กลับพบว่าเขาไม่อยู่
โดยที่โอมเห็นเธอยืนอยู่ตรงหน้าห้องก่อนที่จะชวนขุนให้ออกไปทักเธอเป็นเพื่อน
“ภามไม่อยู่เหรอ?” เจนถามขึ้นด้วยน้ำเสียงผิดหวัง
“ใช่” โอมตอบพลางยืนพิงกรอบประตู “มีอะไรเปล่า ฝากไปบอกได้นะ”
“ช่วยให้พวกเขากันมาคุยกันที”
โอมกับขุนต่างหันมามองหน้ากัน ก่อนที่ขุนจะเสนอไอเดียขึ้นมา “ใกล้สอบแล้วใช่มั้ย? มาติวด้วยกันมั้ยละ”
“ไอเดียดี ใช้วิธีนี้ให้ภามมาเจอข้าวเองซะเลย”
“ว่าแต่..” โอมยิ้มเล็กๆ ก่อนจะหันไปบอกเจน “จริงๆ แล้วคนที่ภามมันชอบ..คือข้าว”
“เรื่องนั้นฉันรู้อยู่แล้วละ แล้วฉันก็รู้ด้วยว่าจริงๆ แล้วข้าวชอบภาม แต่ติดตรงที่ข้าวไม่รู้ใจตัวเองต่างหาก”
“ถ้างั้นเริ่มปฏิบัติการติวสอบเพื่อคืนดี”
สามวันแล้วที่ข้าวกับภามไม่ได้เจอกันเลย แต่งานคู่ที่อาจารย์สั่งก็ยังต้องดำเนินการทำต่อไปโดยที่เพื่อนของทั้งสองฝ่ายต้องกลายมาเป็นตัวกลางรับส่งงานแทน เจนที่เป็นฝ่ายรับงานจากข้าวแล้วเอาไปส่งต่อให้กับโอมเพื่อให้ภามทำต่อ แม้ว่าทั้งคู่จะไม่ได้เจอกัน แต่งานของพวกเขาก็ยังถูกส่งไปมาเสมือนบทสนทนาที่เงียบงัน
เย็นวันหนึ่งหลังจากที่เมื่อวันก่อนตกลงแผนการกันได้ พวกเขาก็มารวมตัวกันที่โต๊ะม้าหินใต้ตึก โดยที่ขุนกับกันมาถึงก่อนกำลังช่วยกันเปิดชีทหาแนวที่อาจารย์เน้นไว้ ขณะที่เจนพาข้าวเดินมาสมทบ ข้าวที่ดูเหนื่อยล้า เธอแทบไม่ได้พูดอะไรเลยตั้งแต่มาถึง แม้ว่าเจนจะชวนคุยเรื่องทั่วไปกับแนวสอบก็ตาม
“มานั่งนี่เลย เดี๋ยวช่วยฉันติวด้วยนะแก” เจนดึงแขนข้าวให้มานั่งข้างๆ
กันเหลือบมองขุนที่กำลังเปิดชีทพลางกระซิบถามเบาๆ “แล้วภามละ?” เขาตั้งใจถามให้เงาที่สุดเพื่อไม่ให้ข้าวที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงข้ามได้ยิน
ขุนละสายตาจากชีทก่อนจะตอบกลับด้วยเสียงที่เบาไม่แพ้กัน “โอมไปตามอยู่”
กันพยักหน้าเล็กน้อยโดยไม่พูดอะไร พวกเขาทั้งคู่รู้ดีว่าสถานการณ์ในตอนนี้ตึงเครียดแค่ไหนและการที่ข้าวมานั่งตรงนี้ได้โดยไม่ถามหาภามเหมือนทุกที ก็เป็นสัญญาณชัดเจนว่าเธอยังไม่พร้อมที่จะเจอหน้าเขา
ในขณะเดียวกัน โอมที่กำลังยืนอยู่หน้าบ้านของภาม เขาเคาะประตูอยู่สองสามครั้งก่อนที่จะตัดสินใจถือวิสาสะเปิดเข้าไปเอง เขาเดินตามหาภามทั่วบ้านก่อนที่จะเดินตรงไปยังห้องทำงานของภามที่มักจะอยู่เป็นประจำ และทันทีที่เปิดประตูเข้าไปภาพที่โอมเห็นก็ทำให้เขาถอนหายใจออกมาอย่างหนัก
ภามที่นั่งก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ในห้อง มีเพียงแค่แสงไฟสลัวๆ ฉายงานที่เขากำลังทำอยู่ตรงหน้า ก่อนที่โอมจะเดินเข้าไปใกล้ๆ พร้อมกับเห็นใต้ตาที่ดำคล้ำอย่างชัดเจน รวมถึงร่องรอยความอ่อนล้าที่อยู่บนใบหน้าของเขาและรอยแผลจากสิ่วแกะสลักที่ปรากฏเต็มนิ้วมือ ก่อนที่โอมจะเลื่อนสายตาไปเห็นงานที่ถูกปั้นขึ้นรูปและกำลังแกะรายละเอียดอยู่ โดยที่เป็นภาพของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่มีเค้าโครงคล้ายกับข้าวและเด็กผู้ชายอีกคนกำลังจับมือพาเธอวิ่งไปข้างหน้าด้วยสีหน้าที่ร่าเริง
“มีอะไร?” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้น
“มึงนั่งอยู่ตรงนี้กี่คืนแล้ววะเนี่ย?”
ภามยังคงเงียบแต่มือของเขายังคงลงมือแกะสลักภาพต่อไป
“ไอ้ภาม! เฮ้ย!” โอมทักขึ้นอีกครั้งก่อนที่จะเอื้อมมือไปจับมือของภามเอาไว้
“จะถามอีกครั้ง! มีอะไร?”
โอมทำได้แค่ถอนหายใจพร้อมกับพูดขึ้น “เดี๋ยวพวกกูจะติวหนังสือสอบกันที่ใต้ตึกคณะ…”
ก่อนที่เขาจะพูดจบภามก็พูดสวนขึ้นทันที “ไม่ไป” โดยที่เขาไม่เงยหน้าขึ้นมามองเพื่อนที่อยู่ข้างๆ เลย
“กูไม่ได้จะบังคับมึง แต่แค่อยากให้มึงลุกออกไปจากตรงนี้บ้าง” ก่อนที่โอมจะแกล้งถามถึงสิ่งที่เขารู้อยู่แล้ว “นี่งานที่จะเอาไปโชว์เหรอ? คือภาพไร?”
ภามเงียบไปชั่วครู่ก่อนที่จะตอบเบาๆ “ไม่รู้สิ มือมันไปเอง”
“เลิกจมอยู่กับตัวเองเถอะวะ! แค่ออกไปอ่านหนังสือกับพวกกูนี่มันยากขนาดนี้เลย”
“แล้วถ้ากูไป..”
“ไม่มีข้าว” โอมพูดขัดขึ้นทันที “ข้าวไม่มา เพราะงั้นรีบไปลุกไปล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อซะ”
ภามที่ได้ยินแบบนั้นก็ลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะลุกขึ้นแล้วเดินไปในห้องน้ำ
โอมถอนหายใจเบาๆ ก่อนที่จะขอโทษภามในใจ “แต่บางครั้งมึงก็ต้องเผชิญหน้ากับความจริงบ้างนะเพื่อน”
ใต้ตึกคณะ
ข้าวที่กำลังนั่งอยู่ตรงมุมหนึ่งของโต๊ะ มือที่พลิกหน้าชีทไปมาเธอพยายามตั้งสมาธิกับสิ่งที่เจนกำลังพูด
หลังจากนั้นไม่นาน โอมกับภามก็เดินมาถึงใต้ตึกคณะ
เจนที่เห็นโอมนำหน้าเข้ามาก่อนก็ทักขึ้นทันที “มาแล้วเหรอ นั่งเลย” เสียงของเจนทำให้ข้าวเงยหน้าขึ้นมองเล็กน้อยก่อนที่จะพบว่าภามกำลังเดินตามหลังโอมมาติดๆ เขาดูต่างจากปกติไปมาก ใบหน้าที่ดูเคร่งเครียดและอ่อนล้าพร้อมกับใต้ตาที่ดำคล้ำแต่ก็ยังกลบออร่าความหล่อของเขาไม่มิด
ภามถึงกลับชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นข้าวที่นั่งอยู่ ก่อนที่โอมจะกดไหล่เขาให้นั่งลงตรงข้ามกับเธอ
บรรยากาศเริ่มตึงเครียดไม่มีใครพูดอะไร ไม่มีแม้แต่เสียงที่ออกมา ทุกคนต่างรับรู้ถึงแรงกดดันอย่างมาก
ข้าวพยายามทำตัวให้ยุ่งโดยที่เธอเอาแต่ก้มหน้าก้มตาจดโน้ตในสมุด โดยไม่แม้แต่จะเงยหน้ามองเขาเลยสักครั้ง
ส่วนภามก็เหลือบมองเธอบ่อยครั้งจนทำให้เขารู้สึกอึดอัดกับความเงียบที่คอยตอกย้ำ ก่อนที่เขาจะปิดหนังสือที่แทบไม่ได้อ่านเลยพร้อมกับลุกขึ้นยืน “กูกลับก่อนละ”
เจนที่นั่งข้างข้าวเงยหน้าขึ้นมามอง “อ้าว! เพิ่งสิบนาทีเองนะ นายยังไม่ทันได้…”
“พอดีมีธุระ ขอโทษด้วย” เขาพูดขัดเสียงแข็ง ก่อนที่เขาจะมองเธอที่นั่งอย่างเงียบๆ อีกครั้งก่อนที่จะหันหลังเดินออกไป
ข้าวรีบเงยหน้าขึ้นมามองตามแผ่นหลังของเขาที่เดินหายไปพร้อมกับกำมือแน่นที่เต็มไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ติดอยู่ในใจ
แม้ว่าเธอจะบอกว่าตัวเองไม่อยากเจอเขาแล้ว แต่ทำไมการที่เห็นเขาเดินจากไปมันถึงเจ็บขนาดนี้
บรรยากาศหลังจากที่ภามเดินจากไปก็เงียบลงทันที ไม่มีใครพูดอะไรต่อ ทุกคนมองหน้ากันอย่างชั่งใจว่าจะเริ่มพูดยังไงดี
ข้าวที่ยังคงนั่งนิ่ง ดวงตาของเธอจับจ้องไปยังสมุดตรงหน้า แต่แล้วโอมก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบ เขาถอนหายใจก่อนที่จะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าว เราถามตรงๆ เลยนะ เธอชอบภามมั้ย?”
ทุกคนที่นั่งอยู่ถึงกับเบิกตากว้าง เจนรีบหันมามองโอมและขุนที่ทำหน้าเลิ่กลั่กไปตามๆ กัน โดยทิ้งให้กันยังคงนั่งงงพร้อมกับฟังเรื่องราวต่อ
ข้าวเงยหน้าขึ้นมามองโอมอย่างตกใจ ก่อนที่จะเธอจะหลบสายตาลงเหมือนกำลังคิดหนัก “ไม่รู้สิ”
น้ำเสียงของเธอแผ่วเบาเหมือนกับว่าเธอเองนั้นก็ยังไม่แน่ใจในคำตอบนี้
“แล้วข้าวรู้มั้ย? ว่าภามชอบข้าว”
ข้าวถึงกับชะงักไปทันที เธอรีบเงยหน้าขึ้นมามองโอมอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “นายว่าไงนะ!”
เขามองเธออย่างจริงจัง ไม่มีวี่แววว่าจะล้อเล่นอยู่ในดวงตาของเขา
ขุนถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะพูดเสริมขึ้นมาบ้าง “ข้าว เธอไม่รู้จริงๆ เหรอ? ไอ้ภามอะนะไม่ว่ามันจะเป็นพี่ธีหรือตัวมันเอง สุดท้ายแล้วสิ่งที่มันทำลงไปทั้งหมดเพราะเธอทั้งนั้นเลยนะ”
เจนเองก็พยักหน้าเห็นด้วย ก่อนที่จะพูดขึ้นมา “ข้าว ฉันรู้นะว่าฉันไม่ควรล้ำเส้นแก แต่อย่างที่ฉันเคยบอกแกไป แกควรฟังหัวใจแกบ้างนะ” ก่อนที่จะจับไหล่ของข้าวเบาๆ
ข้าวที่ได้ฟังคำพูดของเพื่อนที่พูดออกมาก็ยิ่งทำให้หัวใจของเธอปั่นป่วน และเธอก็คิดถึงทุกอย่างที่ภามทำให้เธอ ไม่ว่าจะเป็นคนที่เขาช่วยเหลือเธอ คอยแกล้งแหย่เธอหรือแม้ตอนที่เขาปลอบเธอ
โอมกับขุนสบตากัน ก่อนที่โอมจะเป็นฝ่ายพูดขึ้น “จริงๆ แล้วเรื่องที่ภามมันปลอมตัว มันเป็นไอเดียของพวกเราเอง”
“อะไรนะ?” ข้าวเบิกตากว้างพร้อมกับมองอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“แต่สิ่งที่มันทำทั้งหมดก็เพื่อเธอนะข้าว” ขุนพูดต่อ “มันตั้งใจมากเลยนะ ตั้งใจขนาดที่ว่าไม่ว่ายังไงมันก็อยากเข้าใกล้เธอมากๆ”
โอมพยักหน้าเสริม “พวกเราขอโทษด้วยนะที่ต้องให้มันมาหลอกเธอ”
ข้าวได้แต่เงียบกับสิ่งที่พวกเขาพูดออกมา เธอไม่รู้ว่าควรจะโกรธ หรือเสียใจ แต่ทำไมลึกๆ แล้วกลับมีความรู้สึกอื่นแทรกขึ้นมาแทน มันเป็นความรู้สึกที่เธอไม่แน่ใจเลยว่าควรจะเรียกว่าอะไร…