ทำไมเธอถึงจูบฉันกลับละทั้งที่ไม่ใช่ผู้ชายในอุดมคติที่เธอชอบสักหน่อยหรือว่า..เธอตั้งใจ? แต่ถ้าเธอถามฉันกลับละก็..ไม่รู้สินะ(เพราะฉันมีความลับปิดอยู่)
รัก,ชาย-หญิง,วัยว้าวุ่น,ไทย,โรแมนติก,โรแมนซ์,พล็อตสร้างกระแส,มหาลัย,เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ,คู่กัด,รักตั้งแต่เด็ก,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ป่วนขบวนรักของยัยตัวเล็กทำไมเธอถึงจูบฉันกลับละทั้งที่ไม่ใช่ผู้ชายในอุดมคติที่เธอชอบสักหน่อยหรือว่า..เธอตั้งใจ? แต่ถ้าเธอถามฉันกลับละก็..ไม่รู้สินะ(เพราะฉันมีความลับปิดอยู่)
เรื่อง ป่วนขบวนรักของยัยตัวเล็ก
แนะนำตัว
ธีรัตม์ เชาวกรกุล ชื่อเล่น ภาม อายุ21 ปี2 สาขาวิชาประติมากรรม คณะศิลปศาสตร์
กันยานา ชวัลดนย์ ชื่อเล่น รวงข้าว สั้นๆ ข้าว อายุ20 สาขาวิชาจิตรกรรม คณะศิลปศาสตร์
ติดตามกันได้
เธอแอบชอบรุ่นพี่ที่สุดแสนจะตรงสเปก แต่ไม่เคยรู้เลยว่าเขาคือเพื่อนที่กวนประสาทเธออยู่ทุกวันแถมเขายังเป็นคนที่เผลอจูบเธอบนรถไฟอีกด้วย
ข้าวที่ชื่นชอบในความอบอุ่น สุขุมและใจดีของรุ่นพี่ในอุดมคติที่ตรงสเปกชายในฝันของเธอสุดๆ โดยที่ใครจะคาดถึงว่าเขาจะเป็น เพื่อนสนิทสุดกวนประสาทของเธอ ที่แทบจะกัดกันทุกวัน
ฉันไม่ได้จูบเธอเพราะอารมณ์ชั่ววูบหรอกนะ
นายจะบอกว่า ตั้งใจ
แล้วเธอละจูบฉันกลับด้วยเหตุผลอะไร
ความลับที่ปิดมานานต้องมาถูกเปิดเผยออกพร้อมกับใบหน้าของเธอที่ตกใจราวกับโลกหยุดหมุนในทันที
ทำไม ทำไมนายต้องปลอมตัวด้วย อธิบายมา!
เหตุผลก็เพราะว่า…เธอจำฉันไม่ได้จริงๆหรอ..
ความทรงจำที่เลือนลางของเธอในวัยเด็กคืออะไร…ทำไมถึงได้ปวดหัวขนาดนี้
นายต้องห้ามลืมฉันนะ
ได้ ฉันจะไม่ลืมเธอ
เพราะเธอคือคนที่ฉันรักตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอ
ขอฝากนิยายที่หนุบหนับหัวใจไว้ในกอดแขนและหัวใจห้องกว้างๆห้องใหม่ของคุณผู้อ่านด้วยนะคะ
แม้นางเอกจะขี้เหวี่ยงขี้วีนกับพระเอกที่ปากร้ายไปหน่อยแต่ก็จริงใจสุดๆ ยังไงผู้อ่านช่วยเอ็นดูด้วยนะคะ
อย่าเอ็นดูจนเอ็นขาด
ขอให้สนุกกับการอ่านนิยายเรื่องนี้
บรรยากาศรอบโต๊ะตกอยู่ในความเงียบหลังจากที่โอมและขุนสารภาพความจริงออกมา ก่อนที่ข้าวจะได้พูดอะไรออกมา โอมก็พูดขึ้นอีกครั้ง ภามมันรักเธอมากเลยนะ เสียงของเขาเต็มไปด้วยความหนักแน่น ทุกคนที่อยู่รอบโต๊ะต่างจับจ้องไปที่ข้าว
“ตั้งแต่ที่พวกเรารู้จักกับมันมา มันคิดถึงเธอตลอดเลยนะ”
คำพูดนั้นทำให้ข้าวเงยหน้าขึ้นมองโอมในทันทีด้วยดวงตาที่สั่นไหว ข้าวอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรออกมาสักอย่าง แต่สุดท้ายเธอกลับกลืนคำพูดทั้งหมดลงไป ก่อนที่จะเปลี่ยนคำถามที่ต่างออกไป
“แล้วพวกนายไปสนิทกับภามได้ยังไง?”
ขุนกับโอมมองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนที่ขุนจะตอบขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “เจอตอนที่มันย้ายไปอยู่ต่างประเทศ” คำตอบนั้นสั้นและไม่ได้ลงรายละเอียดอะไรมากนักเหมือนกับว่าพวกเขาตั้งใจจะปิดบังอะไรบางอย่าง
เธอถึงกับขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำตอบ เธอรู้สึกว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านั้นแต่ก่อนที่เธอจะได้ถามอะไรต่อ เจนก็พูดแทรกขึ้นมา “ที่ภามถามเธอไปแบบนั้น เธอจำเขาไม่ได้สินะ”
ข้าวถึงกับชะงักไปเล็กน้อย เธอเงียบไปพักหนึ่งก่อนที่จะส่ายหน้าช้าๆ “ไม่ได้”
เสียงตอบของเธอเบาหวิว ในหัวของฉันตอนนี้ ฉันเห็นแค่เงาดำๆ ที่อยู่รอบๆ เท่านั้น
โอมกับขุนถึงกลับเงียบไป ทั้งสองสบตากันเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็เลือกที่จะไม่พูดมันออกมา
ข้าวที่รู้สึกได้ว่าตัวเองพยายามนึกถึงอะไรบางอย่าง แต่ยิ่งเธอพยายามนึก มันกลับยิ่งเลือนราง
ความเงียบกินเวลานานจนในที่สุดโอมก็เป็นฝ่ายพูดขึ้น
“แยกย้ายกันกลับบ้านเถอะ ก่อนที่มันจะมืดไปมากกว่านี้”
ทุกคนต่างพยักหน้าเห็นด้วย แม้ว่าจะสงสัยและความรู้สึกที่ยังค้างคาอยู่ในใจที่ยังไม่ถูกคลี่คลาย แต่คืนนี้คงไม่มีใครมีแรงพอที่จะพูดอะไรต่อแล้ว
ข้าวลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าที่ยังคงเต็มไปด้วยความสับสนและไม่แน่ใจพร้อมกับก้าวเดินออกไปช้าๆ เจนที่เห็นแบบนั้นก็ตัดสินใจเดินตามข้าวไป ตามด้วยกันที่เดินตามออกไป โดยเหลือเพียงแค่โอมและขุนที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
โอมถอนหายใจเบาๆ “มึงคิดว่าข้าวจะยอมรับความจริงได้มั้ยวะ?”
แต่ก่อนที่ขุนจะพูดอะไรต่อ เจนที่เดินไปได้ไม่ไกลก็ตัดสินใจหันกลับมา เธอเดินตรงมาหาโอมและขุนด้วยสีหน้าจริงจัง ก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยที่เสียงเบาแต่หนักแน่น
“ฉันมีเรื่องที่ต้องบอกพวกนายให้รู้เกี่ยวกับข้าว”
โอมกับขุนต่างพากันขมวดคิ้วอย่างสงสัย เรื่องไร
เจนลังเลอยู่เล็กน้อยก่อนที่จะเล่าออกมา “ข้าวเคยตกบันได ในตอนที่ข้าวยังเป็นเด็ก หัวของเธอกระแทกพื้นอย่างแรง หมอบอกว่าเธอเป็นอัลไซเมอร์ชั่วคราว ทำให้เธอจำเรื่องบางอย่างในวัยเด็กไม่ได้โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับภาม”
ขุนกับโอมชะงักไปทันที “เธอรู้เรื่องนี้ได้ไง โอมถามสวนขึ้นทันที”
“ตอนที่ฉันไปบ้านข้าว ในห้องนอนของข้าวมีรูปของภามตอนเด็กเต็มไปหมดเลย โดยที่เธอกลับจำไม่ได้ว่าคือใคร โดยที่แม่ของข้าวเคยบอกกับฉันว่า ตอนเด็กในทุกๆ วันเธอดีใจมากที่ได้เจอภาม แต่พอวันที่ภามย้ายไปกะทันหัน ทำให้ข้าวเสียใจหนักมาก คิดถึงแต่เขาตลอด จนทำให้วันหนึ่งเธอพลัดตกบันไดลงมา คาดว่าน่าจะเป็นช่วงเวลาที่เธอดาวน์มากๆ เพราะคิดถึงภามมากที่สุด”
โอมกับขุนสบตากัน ก่อนที่โอมจะบ่นพึมพำออกมา “เธอบอกภามเรื่องนี้ยัง?”
เจนส่ายหน้า “ก็วันนั้นฉันตั้งใจจะไปหาเขา แต่เขาดันไม่อยู่ แถมวันนี้แทบไม่มีโอกาสด้วย”
โอมรีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะกดโทรหาภามในทันที
“มันจะรับสายหรอวะ?” ขุนถามเสียงเครียด
โอมกัดฟันก่อนจะตอบ “มันรับน่า แต่มันจะหาโทรศัพท์เจอมั้ยก่อน?”
เสียงสัญญาณดังอยู่หลายนาทีไม่มีใครพูดอะไรออกมา ได้แต่รอฟังเสียงกดรับจากปลายสาย จนกระทั่งหลังจากที่พยายามโทรหาอยู่นานเกือบสามถึงสี่สาย ในที่สุดสายก็ถูกกดรับพร้อมกับเสียงของภามที่แหบพร่าฟังดูเหนื่อยล้าเต็มที
“มีอะไร?” ภามที่รับสายด้วยความเคยชินและไม่ได้ดูสายที่โทรเข้าว่าคือใครเลยเผลอพูดภาษาอิตาเลี่ยนใส่
“ไอ้ภาม กูมีเรื่องต้องบอกมึง!” เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความจริงจัง ก่อนที่ขุนจะพูดแทรกเบาๆ “พวกมึงคุยอิตาเลี่ยนกันเลยหรอ”
แต่ก่อนที่โอมจะทันได้บอกอะไรต่อ เจนก็ตะโกนขึ้นมาด้วยความตกใจ
“ข้าว เธอจะกลับรถไฟเวลานี้หรอ มันอันตรายนะแถมตรงนั้นไฟมันก็ติดๆ ดับๆ อยู่”
ภามที่ได้ยินเสียงตะโกนลอดเข้ามาในสายก็ถึงกับชะงักไปก่อนที่จะรีบถามขึ้นทันที
“เกิดไรขึ้น”
แต่โอมกลับไม่ได้ตอบคำถามอะไร “ไว้คุยกัน” ก่อนที่จะตัดสายไป
ปลายสายเงียบลงทิ้งให้ภามยืนตัวแข็งไปชั่ววินาทีก่อนที่เขาจะพยายามรีบควบคุมสติและรีบหันไปคว้ากุญแจรถพร้อมกับก้าวออกจากบ้านอย่างรวดเร็ว ขาที่ไม่มั่นคงจากความเหนื่อยล้าถูกบังคับให้เร่งฝีเท้าไปยังรถมอเตอร์ไซค์
หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ ราวกับถูกเร่งความเร็วตามจังหวะเครื่องยนต์ เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่แค่ได้ยินชื่อข้าวกับคำว่าอันตราย เขาก็กลับอยู่เฉยไม่ได้
หลังจากที่เจนเห็นข้าวหยุดชะงักไปชั่วขณะเพราะคำพูดของเธอ เธอก็นึกว่าข้าวจะเสียใจ แต่สุดท้าย ข้าวก็ยังคงเดินหน้าต่อไปยังสถานี
“ข้าว!” เจนเรียกชื่อเธออีกครั้ง แต่ข้าวก็ไม่ได้หันกลับมาแล้ว
เขนเม้มปากแน่น เธอรู้สึกเป็นห่วง แต่ก็ทำได้เพียงแค่ยืนมองแผ่นหลังของเพื่อนที่เดินจากไปโดยที่ไม่รู้เลยว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นจากนี้
ขณะเดียวกัน โอมกับขุนที่กำลังจะเดินไปขึ้นรถกลับบ้านก็ต้องหยุดชะงักเมื่อมีมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งขับพุ่งผ่านพวกเขาไปด้วยความเร็วสูง ทำให้ทั้งคู่หันขวับไปมองตามทันที
“เมื่อกี้ รถไอ้ภามปะวะ?” โอมรีบหันไปมองขุนทันที
ขุนหรี่ตาลงพยายามมองตามแสงไฟท้ายของมอเตอร์ไซค์คันนั้นที่กำลังแล่นไปอย่างเร่งรีบ ท่ามกลางความมืดของท้องถนนที่เริ่มเงียบเหงา ขณะที่รถค่อยๆ หายลับไป เขาก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนที่จะพูดขึ้น
“สภาพมันตอนนี้ จะขับไปถึงมั้ยละนั่น?”
โอมชะงักไปครู่หนึ่งก่อนที่จะหันไปมองขุนอย่างเห็นด้วย ภามในตอนนี้อยู่ในสภาพที่ไม่ควรที่จะขับรถด้วยความเร็วขนาดนั้นแม้แต่นิดเดียว
“กูว่ามันไม่ได้คิดถึงตัวมันเองเลยวะ”
ขุนส่ายตัวเบาๆ “มันบ้า”
“มันคงเป็นห่วงข้าวนั่นแหละ” โอมถอนหายใจออกมา
“มันน่าจะได้ตายก่อนไปช่วย” ขุนสวนขึ้นทันทีโดยที่แทบไม่ต้องคิดอะไรเลย ก่อนที่จะนึกบางอย่างขึ้นได้ “สงสัยพวกเราคงต้องรับหน้าตอนสื่อสัมภาษณ์แล้วละ”
“ตอนนี้สื่อกำลังตามหาตัวมันอยู่ด้วยนี่” โอมที่ได้ยินที่ขุนพูดขึ้นมาก็ทำให้นึกขึ้นได้เหมือนกัน “ศิลปินคนนั้นเล่นประกาศไปทั่วโลกเลยนี่ มันก็ช่วยไม่ได้” ก่อนที่เขาจะขึ้นรถไป
“หวังว่านักข่าวจะตามมาไม่ถึงที่นี่นะ” ขุนพูดพลางถอนหายใจออกมาก่อนที่จะขึ้นรถตามหลังโอมไป
ข้าวเดินตามฟุตบาทที่ค่อนข้างมืด มีเพียงไฟข้างทางที่ติดๆ ดับๆ เป็นระยะ เธอกำสายกระเป๋าไว้แน่นขณะที่เดินลัดเลาะไปยังทางเดิน
รอบตัวเธอเงียบจนน่าขนลุก มีเพียงเสียงรองเท้าของเธอที่กระทบกับพื้นเป็นจังหวะ
แต่แล้ว..
เธอก็ได้ยินเสียงฝีเท้าอีกคู่หนึ่งเดินตามเธอมา ก็ถึงกับขมวดคิ้วนิดๆ นึกว่าเจนเดินตามมา
“ไม่ต้องตามมา ฉันกลับเองได้” หญิงสาวพูดขึ้นโดยไม่หันกลับไปมอง
แต่เสียงฝีเท้านั้นยังคงดังต่อไป
เธอถึงกับชะงักความรู้สึกหนาวเยือกแล่นผ่านแนวกระดูกสันหลัง ใจที่เต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มเร่งฝีเท้าให้เดินเร็วขึ้นกว่าเดิม
ทว่า…
เสียงฝีเท้านั้นกลับเร่งความเร็วขึ้นเช่นกัน
ข้าวเริ่มหายใจแรงขึ้นพร้อมกับหัวใจที่เต้นรัวด้วยความหวาดระแวง เธอพยายามไม่หันกลับไป แต่ยิ่งเดินเร็วเท่าไหร่ ความรู้สึกกลัวยิ่งเพิ่มขึ้น
จนกระทั่ง…
แรงกระชากมหาศาลคว้าดึงกระเป๋าของเธอจากทางด้านหลัง
กริ๊ด—!!
ร่างเล็กๆ ของเธอเสียหลักล้มกระแทกกับพื้นอย่างแรง ฝ่ามือถลอกจนรู้สึกถึงความแสบ
เธอเงยหน้าขึ้นด้วยอาการที่สั่นกลัวและได้เห็นใบหน้าของคนที่ดึงกระเป๋าของเธอไป
ชายรูปร่างอวบอ้วน หน้าตาน่ากลัว ผิวคล้ำ หนวดเครารก ใส่หมวกปิดบังใบหน้าส่วนหนึ่งไว้และที่น่ากลัวที่สุด
เขาถือมืดปลายแหลมจ่อมาทางเธอ
“อย่าร้อง ถ้าไม่อยากเจ็บตัว” เสียงของเขาต่ำลึกและเย็นเยียบ
ข้าวตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ เธอหอบหายใจอย่างหนักด้วยความกลัว ไม่กล้าขยับตัวแม้แต่น้อย
แต่ก่อนที่เธอจะทันได้คิดอะไรออก
เสียงฝีเท้าหนักที่วิ่งมาด้วยความเร็วดังขึ้นมาจากความมืด เสียงนั้นดังก้องจนชายร่างอ้วนต้องชะงักและหันไปมอง
“ข้าว!!” เสียงคุ้นเคยตะโกนดังขึ้น
ข้าวมองตามเสียงนั้นและก่อนที่จะเธอจะทันได้ตั้งตัว ชายร่างสูงโปร่งก็พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
เขาพุ่งเข้าหาชายร่างอวบตรงหน้าเธออย่างไม่ลังเล
ร่างของภามกระแทกเข้ากับมันจนร่างเซถอยหลัง มีดในมือหวือผ่านอากาศเฉียดใบหน้าของภามไปเพียงนิดเดียว แต่แทนที่ชายหนุ่มจะถอยแต่กลับเข้าประชิดตัวมันทันที หมัดหนักๆ ซัดเข้าไปที่ใบหน้าของมันเต็มแรง
เสียงกระแทกดังสนั่น
ชายร่างอวบเซถอยหลังไปสองสามก้าวก่อนจะคำรามอย่างเดือดดาล
“ไอ้เวรเอ้ย!” ก่อนที่จะตั้งหลักและพุ่งเข้าใส่อีกครั้ง
ภามเบี่ยงตัวหลบอย่างฉิวเฉียด แต่ร่างกายของเขาก็เริ่มประท้วงจากความเหนื่อยล้าที่สะสมมาทำให้ขาเขาอ่อนลงแรงไปชั่วขณะ
ฉัวะ!
คมมีดกรีดผ่านเสื้อของภามจนเกิดรอยขาดขึ้น
แต่แทนที่จะถอย เขากลับพุ่งเข้าใส่อีกครั้ง หมัดหนักๆ ซัดเข้ากลางหน้าท้องของมันอย่างเต็มแรง
เสียงอึกดังขึ้นจนมันถอยหลังด้วยความจุก แต่ยังไม่ยอมแพ้ มันคว้ามีดแทงสวนกลับมา
ภามเบี่ยงตัวไปด้านข้าง กัดฟันอดกลั้นความเจ็บปวดก่อนที่จะคว้าสิ่วแกะสลักออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วแทงสวนเข้าไปที่แขนของมันพร้อมกับยกเข่ากระแทกเข้าที่กลางหน้าท้องอีกรอบและกดมันลงไปกับพื้นเต็มแรง
ชายร่างอวบพยายามดิ้นรนหนี แต่เขาจับคอเสื้อของมันไว้พร้อมกับยกมือที่กำสิ่วขึ้นจ่อหน้ามันด้วยสายตาวาวโรจน์
“มึงอยากตายนักใช่มั้ย?”
มันมองหน้าของชายหนุ่มก่อนที่จะแสยะยิ้มและสารภาพออกมา “มีคนจ้างกูมา เป็นหญิงสาวที่สวยเอาเรื่อง”
“พี่บีม!”
เพียงไม่กี่นาทีต่อมา เสียงไซเรนของรถตำรวจดังขึ้นในความเงียบของรัตติกาล
ภามที่ยังคงเหนื่อยหอบ แววตาของเขากลับมาเป็นปกติก่อนที่จะล้มตัวนั่งกับพื้นข้างๆ ข้าว พยายามปรับลมหายใจของตัวเองลง แต่เมื่อหันมามองข้าวที่ยังตัวสั่นเทา เขากลับยกมือขึ้นลูบหัวเธอเบาๆ
“ไม่เป็นไรแล้วนะ” เสียงทุ้มพูดขึ้น “ลุกไหวมั้ย..เดี๋ยวไปส่งนะ” ก่อนที่เสียงจะเปลี่ยนเป็นแหบพร่า ชายหนุ่มพยายามฝืนตัวเองเฮือกสุดท้ายเพื่อที่จะได้ไปส่งเธอให้ถึงบ้านอย่างปลอดภัย
“ไม่ต้องหรอก…” แต่ยังไม่ทันพูดจบ เขาก็จับข้อมือของเธอเบาๆ แล้วเดินนำไปที่มอเตอร์ไซต์
“ขึ้นมา!”
ข้าวลังเลชั่วครู่ก่อนที่จะตัดสินใจขึ้นซ้อนท้ายไปกับภาม เธอไม่กล้ากอดเขาแน่น แต่ก็แอบจับชายเสื้อของเขาไว้เพื่อให้รู้สึกใจ
หลังจากที่เขามาส่งเธอถึงหน้าบ้านได้สำเร็จ ภามก็จอดรถสนิทแล้วปล่อยให้ตัวเองพิงแฮนด์รถเงียบๆ ข้าวก้าวลงจากรถก่อนที่จะหันไปมองเขาอย่างเป็นห่วง
“ขอบคุณมาก…”
แต่ยังไม่ทันที่เธอจะพูดจบ ร่างของภามก็เริ่มโงนเงนและทรุดตัวลงไปข้างๆ มอเตอร์ไซต์
“ภาม!” ข้าวตกใจขีดสุด รีบพุ่งตัวเข้าไปรับตัวเขาไว้ ร่างของเขาหนักมากจนเธอแทบประคองไว้ไม่ไหว เธอพยายามเขย่าตัวเขาเบาๆ “ภาม! ภาม! นายได้ยินฉันมั้ย?”
ชายหนุ่มหมดสติไปโดยสมบูรณ์ ไม่มีเสียงตอบกลับอะไร มีเพียงแค่ลมหายใจแผ่วๆ เท่านั้น
ขณะที่ข้าวกำลังลนลานว่าจะทำยังไงต่อ ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ของภามก็ดังขึ้น
เธอสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะรีบควานหาจากกระเป๋ากางเกงของเขา กดรับโดยไม่ทันดูเบอร์
“ฮัลโหล ไอ้ภาม อยู่ไหน เป็นอะไรหรือเปล่าวะ” เสียงของโอมดังขึ้นมาตามสายอย่างเร่งร้อน
ข้าวกลืนน้ำลาย ก่อนที่จะตอบออกไป “เอ่อ..โอม นี่ข้าวเองนะ”
“ข้าว…” ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่ถามขึ้นอีกครั้ง “แล้วไอ้ภามละ?”
“ตอนนี้เขาสลบไปแล้ว”
“อะไรนะ!” โอมแทบจะตะโกนออกมา “ให้ตายเถอะ! ไอ้บ้านั้น!”
หญิงสาวกำโทรศัพท์แน่นขึ้นอย่างรู้สึกผิด “เขามาส่งฉันหลังจากที่ฉันโดนคนกระชากกระเป๋า..แล้วก็ล้มไปเลย”
ปลายสายที่ได้ยินแบบนั้นก็เงียบลงอีกครั้งก่อนที่จะพึมพำออกมาเบาๆ “ยังมีแรงไปช่วยคนอื่นอีกนะ ทั้งที่ตัวมึงเองก็แทบจะไม่รอดแล้ว”
ก่อนที่เสียงปลายสายจะถูกเปลี่ยนเป็นอีกคนแทน “ข้าว ตอนนี้เธออยู่ที่บ้านใช่มั้ย? เดี๋ยวพวกเราจะไปรับมันเอง ยังไงส่งโลเคชั่นมาให้ที”
“ดะ…ได้”
หลังจากสายถูกวางไป ข้าวมองภามด้วยใบหน้าที่นิ่ง คำพูดของโอมที่พึมพำออกมายังวนเวียนอยู่ในหัว ตัวเองยังแทบจะไม่รอด
เธอค่อยๆ เอื้อมมือไปแตะที่ใบหน้าของเขาอย่างแผ่วเบา ปลายนิ้วของเธอไล้ไปตามขอบคิ้วของเขา ผ่านริมฝีปาก ก่อนที่จะหยุดที่รอยแผลที่นิ้วมือที่มีรอยถลอกอยู่หลายจุด รวมถึงใต้ตาที่คล้ำเพราะการอดนอนและใบหน้าที่ดูโทรม
ข้าวพึมพำออกมาอย่างไม่รู้ตัว “ถ้าไม่มีนาย ฉันก็ไม่รู้ว่าควรจะทำไงดี ขอบคุณมากนะ..” พร้อมกับน้ำตาที่เริ่มคลอเบ้าออกมาเล็กน้อย
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
เสียงรถยนต์จอดสนิทอยู่หน้าบ้าน ก่อนที่โอมกับขุนจะรีบก้าวลงจากรถ และเมื่อพวกเขาเดินเข้ามาก็ต้องชะงักกับภาพตรงหน้า
ภามที่กำลังนอนหนุนตักข้าวอยู่
ขุนถึงกับกะพริบตาปริบๆ ก่อนที่จะกระซิบกับโอม “พวกเรามาเร็วเกินไปปะวะ?”
โอมปรายตามองขุนแบบไม่สบอารมณ์ ก่อนที่จะกระแอมเบาๆ “ข้าว เป็นไงบ้าง?”
ข้าวเงยหน้าขึ้นมามองพวกเขา ก่อนจะยิ้มเจื่อนๆ “พอดี ย้ายไปไม่ไหว เลยอยู่ในท่านี้แทน”
ขุนพยักหน้าช้าๆ ก่อนที่จะพูดลอยๆ “ก็ถือว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ดี”
โอมถอนหายใจยาว “ยังไงก็ขอบคุณมากนะข้าว”
ข้าวพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนที่จะก้มมองภามที่ยังคงหลับสนิท เธออดไม่ได้ที่จะกระชับแขนที่โอบประคองเขาไว้เบาๆ
โอมมองไปที่มอเตอร์ไซต์ของภามก่อนที่จะพูดขึ้น “เดี๋ยวมอเตอร์ไซต์ฝากไว้ก่อนนะ เดี๋ยวเรียกรถมาเอาไป”
“อืม” ข้าวตอบกลับเบาๆ
โอมเดินเข้าไปใกล้ภามที่นอนหนุนตักข้าวอยู่ ก่อนที่จะถอนหายใจออกมาเบาๆ
สภาพนี้แม่งไม่ต่างจากศพเลย เขาพึมพำออกมาก่อนที่จะนั่งยองๆ ลงข้างๆ “ไอ้ขุน มาช่วยยกหน่อย”
ขุนพยักหน้ารับ แต่ข้าวกลับเอื้อมมือมาจับแขนโอมไว้ “เดี๋ยวฉันช่วยพยุงได้”
เขาส่ายหน้าเล็กน้อย “ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
ด้วยความที่โอมตัวสูงไล่เลี่ยกับภามและมีกล้ามเนื้อที่ใกล้เคียงกัน ทำให้เขาสามารถช้อนตัวภามขึ้นมาอุ้มไว้ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก แม้ว่าจะหนักพอสมควร แต่เขาก็สามารถแบกร่างไร้สติของเพื่อนได้โดยไม่เสียสมดุล
ขุนรีบเปิดประตูรถให้โอมจัดการวางภามลงบนเบาะหลังอย่างระมัดระวัง โอมเช็ดเหงื่อออกจากหน้าผากตัวเองเล็กน้อยก่อนจะหันไปพูดกับข้าว “ขอบใจอีกครั้งนะ”
ข้าวมองภามที่นอนหมดสติอยู่ในรถ สีหน้าของเธอดูเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด แต่สุดท้ายเธอก็ทำได้แค่พยักหน้ารับเบาๆ
“ฝากดูแลเขาด้วยนะ”
โอมมองหญิงสาวที่แสดงสีหน้าออกมากังวลออกมาก่อนที่จะพยักหน้าให้เป็นเชิงรับรู้ ก่อนที่รถได้เคลื่อนตัวออกไป
สองวันต่อมา
ภามรู้สึกเหมือนถูกกดทับอยู่ในความมืด ร่างกายของเขาหนักอึ้งราวกับมีโซ่ตรวนพันธนาการไว้ เสียงรอบตัวเงียบสงัด มีเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบาของเขาที่ดังก้องอยู่ในห้วงความคิด
เปลือกตาของเขาค่อยๆ กระตุก ก่อนที่ดวงตาสีเข้มจะค่อยๆ เปิดขึ้นอย่างช้าๆ ภาพตรงหน้ามืดสลัวไปชั่วครู่ก่อนที่สายตาจะเริ่มปรับโฟกัสได้
เพดานสีขาว..
กลิ่นอากาศที่คุ้นเคย….
และความเงียบ…
ภามกะพริบตาสองสามทีก่อนจะพึมพำออกมาด้วยเสียงที่แหบพร่า
“นี่.เรานอนไปกี่วันกันเนี่ย”
เขาขยับตัวอย่างเชื่องช้า ความรู้สึกหนักอึ้งยังคงติดค้างอยู่ในร่างกาย หัวของเขามึนเบลอราวกับเพิ่งฟื้นจากอาการป่วยหนัก
เขาหันไปมองรอบๆ ก็พบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียงนอนในห้องตัวเอง ผ้าห่มที่ถูกคลุมไว้อย่างดีและมีขวดน้ำวางอยู่ข้างๆ เตียงพร้อมกับถุงยาที่มีฉลากชื่อเขาติดอยู่
ชายหนุ่มนิ่วหน้าก่อนจะค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นนั่ง เขารู้สึกเหมือนร่างกายกำลังประท้วงกับทุกการเคลื่อนไหวแต่ถึงอย่างนั้น เขาก็พยายามลากตัวเองให้พ้นจากอาการอ่อนเพลีย
แค่ก..แค่ก…
เขายกมือขึ้นจับหน้าผากตัวเอง พลางนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ล่าสุดที่จำได้
“ข้าว..”
ภาพใบหน้าของเธอผุดขึ้นมาในความทรงจำ ตอนที่เขาช่วยเธอจากชายคนนั้น ตอนที่เธอมองเขาด้วยสายตาเป็นห่วง…
แล้วหลังจากนั้นละ…
เขาขมวดคิ้วก่อนที่จะพยายามเรียบเรียงเหตุการณ์ แต่สมองของเขายังมึนเกินกว่าจะคิดอะไรออก
ทันใดนั้น เสียงประตูเปิดออก
“อ้าว ฟื้นแล้วเหรอ”
โอมเดินเข้ามาพร้อมกับขุน ทั้งคู่ดูเหมือนเพิ่งกลับมาจากข้างนอก เสื้อยืดที่ใส่ยังคงมีร่องรอยของเหงื่อจากอาอากาศที่ร้อน
“พวกมึง”
ขุนยักไหล่ก่อนที่จะเดินไปหยิบขวดน้ำแล้วยื่นให้ “มึงสลบไปสองวันเต็มๆ”
เขารับขวดน้ำมาก่อนจะมองทั้งคู่ด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ “สองวัน?”
“เออ สองวัน” โอมตอบ ก่อนที่จะทิ้งตัวลงนั่งปลายเตียง “มึงนี่นะ ตัวเองยังแทบไม่รอด ยังมีหน้าไปช่วยคนอื่นอีก” ก่อนที่จะมองอย่างเอือมระอา
“มึงไม่กลัวหัวใจโอเวอร์จนตายหรือไง” ขุนเสริมพลางถอนหายใจ
จริงๆ แล้วเขารู้ตัวดีว่าตัวเองอยู่ในสภาพไหนตอนนั้น ถ้าพลาดไปสักจังหวะ เขาอาจไม่ได้นอนอยู่ตรงนี้แล้วก็ได้
แต่ถึงอย่างนั้น…
“แล้วข้าวละ” เขาถามขึ้นทันที
โอมกับขุนมองหน้ากัน ก่อนที่โอมจะตอบ “ปลอดภัยดี”
คำตอบนั้นทำให้เขาโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไรต่อ โอมก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าเดิม
“กูมีเรื่องต้องบอกมึงเรื่องข้าว” คำพูดของโอมทำให้ชายหนุ่มชะงักไปเล็กน้อย
เขาขมวดคิ้ว มองสีหน้าของโอมที่ดูไม่เหมือนกำลังล้อเล่น
“เรื่องอะไร”
โอมสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะเล่าเรื่องของข้าวออกมาทั้งหมด
ภามฟังจบพร้อมกับสีหน้าที่นิ่งสนิท ดวงตาสีน้ำตาลเข้มสะท้อนความรู้สึกที่ปะปนกันไปหมด “เพราะแบบนี้เองสินะ ถึงจำกูไม่ได้” เขาไม่ได้พูดด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด แต่กลับเป็นน้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนเข้าใจ..
เข้าใจที่ทำไมเธอถึงมองเขาเหมือนเป็นคนแปลกหน้า
เขาเอนตัวพิงหัวเตียง ถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนที่จะค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้น
“มึงจะไปไหน?” ขุนถามขึ้นทันที
“ไปทำงานต่อ” เขาตอบเสียงเรียบ
แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวออกจากเตียง มือของโอมกับขุนยื่นมากดไหล่ห้ามเขาไว้ทันที
“เฮ้ย ใจเย็น มึงเพิ่งฟื้นนะเว้ย!”
“มึงนอนสลบไปสองวันเต็มๆ ยังคิดจะไปทำงานอีก มึงเป็นซอมบี้หรือไง” ขุนพูดเสริมขึ้น
“แต่กู…”
“งานมึงรอได้ แต่ร่างกายมึงรอไม่ได้เว้ย” โอมสวนกลับทันที
“พักก่อนเถอะมึง มึงไม่ได้มีแค่วันนี้วันเดียวนะ” ขุนพูดด้วยเสียงที่อ่อนลง
ภามเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนที่จะยอมทิ้งตัวลงบนเตียงอีกครั้ง
ถึงเขาจะดื้อยังไง แต่ก็คงปฏิเสธความจริงไม่ได้ว่าร่างกายของเขายังไม่พร้อมจริงๆ
“แบบนี้ค่อยคุยรู้เรื่องกันหน่อย”
“แต่เอาจริงๆ มึงควรดีใจนะที่ยังมีแรงเถียงพวกกูกลับได้แบบนี้” ขุนพูดปิดท้ายด้วยรอยยิ้มมุมปาก
ในวันรุ่งขึ้น
แม้ว่าจะถูกบังคับให้นอนพักต่อไปหนึ่งวันเต็มๆ แต่ในเช้าวันรุ่งขึ้น ภามก็ตื่นขึ้นมาและกลับเข้าห้องทำงานของเขาตามเดิม
กลิ่นดินเหนียวอ่อนๆ คละคลุ้งไปทั่วภายในห้องที่เต็มไปด้วยเศษดินที่ติดตามโต๊ะและพื้น เครื่องมือแกะสลักถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบใกล้กับผลงานที่ยังค้างคาอยู่
ชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าชิ้นงาน แม้ว่าเขาจะเพิ่งฟื้นตัวจากอาการที่เหนื่อยล้า แต่ดวงตาของเขากลับเต็มไปด้วยสมาธิ
มือข้างหนึ่งจับเครื่องมือแกะสลัก อีกข้างค่อยๆ ประคองดินที่ปั้นขึ้นรูปอย่างบรรจง เขาไล้มือลงไปตามพื้นผิวของงาน ก่อนที่เสียงประตูเปิดออกดังขึ้นจากด้านหลัง
“โอ้โห กูก็นึกว่ามึงจะยังนอนอบู่บนเตียง มึงนี่นะ”
เสียงของโอมดังขึ้นที่เดินเข้ามาพร้อมกับขุนที่ตามมาติดๆ ในมือถือขนมปังกับกาแฟสองแก้ว
ภามไม่ได้เงยหน้าขึ้นจากงาน แค่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“โทษที แต่เวลามันใกล้เข้ามาแล้ว”
เขาพูดไปพลาง มือก็ยังคงแกสลักต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่หยุด
“แล้วมึงไม่คิดจะอ่านหนังสือสอบเหรอวะ ไอ้ภาม” ขุนถามขึ้นพลางส่งแก้วกาแฟให้โอมก่อนที่จะเดินเข้ามายืนข้างๆ
“เดี๋ยวค่อยอ่าน”
“มึงก็เอาแต่พูดแบบนี้” โอมบ่นก่อนที่จะเดินเข้าไปมานั่งลงเก้าอี้ใกล้ๆ
ก่อนที่ภามจะพูดอะไรต่อ โอมกับขุนก็วางของที่ถือในมือลงแล้วหยิบอุปกรณ์ขึ้นมาช่วย
“พวกมึงจะทำไรวะ”
“ก็ช่วยมึงไง”
“แต่…กูบอกพวกมึงไปแล้วนี่” เขายังคงพูดขัดเพราะเขาอยากให้เพื่อนเขาทั้งสองไปอ่านหนังสือ
“ยังไงพวกกูก็เป็นผู้ช่วยของมึงเสมออยู่แล้วเพื่อน”
ภามมองเพื่อนทั้งสองของเขาก่อนที่จะหลุดยิ้มบางๆ ออกมา ไม่ว่าเมื่อไหร่พวกนี้ก็ยังอยู่ข้างเขาเสมอจริงๆ