ทำไมเธอถึงจูบฉันกลับละทั้งที่ไม่ใช่ผู้ชายในอุดมคติที่เธอชอบสักหน่อยหรือว่า..เธอตั้งใจ? แต่ถ้าเธอถามฉันกลับละก็..ไม่รู้สินะ(เพราะฉันมีความลับปิดอยู่)

ป่วนขบวนรักของยัยตัวเล็ก - ตอนที่ 14 จูบสุดท้ายเพื่อเปลี่ยนสถานะ (จบ) โดย XiaoHu @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ชาย-หญิง,วัยว้าวุ่น,ไทย,โรแมนติก,โรแมนซ์,พล็อตสร้างกระแส,มหาลัย,เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ,คู่กัด,รักตั้งแต่เด็ก,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ป่วนขบวนรักของยัยตัวเล็ก

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ชาย-หญิง,วัยว้าวุ่น,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

โรแมนติก,โรแมนซ์,พล็อตสร้างกระแส,มหาลัย,เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ,คู่กัด,รักตั้งแต่เด็ก

รายละเอียด

ป่วนขบวนรักของยัยตัวเล็ก โดย XiaoHu @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ทำไมเธอถึงจูบฉันกลับละทั้งที่ไม่ใช่ผู้ชายในอุดมคติที่เธอชอบสักหน่อยหรือว่า..เธอตั้งใจ? แต่ถ้าเธอถามฉันกลับละก็..ไม่รู้สินะ(เพราะฉันมีความลับปิดอยู่)

ผู้แต่ง

XiaoHu

เรื่องย่อ

เรื่อง ป่วนขบวนรักของยัยตัวเล็ก


แนะนำตัว


ธีรัตม์ เชาวกรกุล ชื่อเล่น ภาม อายุ21 ปี2 สาขาวิชาประติมากรรม คณะศิลปศาสตร์

กันยานา ชวัลดนย์ ชื่อเล่น รวงข้าว สั้นๆ ข้าว อายุ20 สาขาวิชาจิตรกรรม คณะศิลปศาสตร์


ติดตามกันได้


เธอแอบชอบรุ่นพี่ที่สุดแสนจะตรงสเปก แต่ไม่เคยรู้เลยว่าเขาคือเพื่อนที่กวนประสาทเธออยู่ทุกวันแถมเขายังเป็นคนที่เผลอจูบเธอบนรถไฟอีกด้วย

ข้าวที่ชื่นชอบในความอบอุ่น สุขุมและใจดีของรุ่นพี่ในอุดมคติที่ตรงสเปกชายในฝันของเธอสุดๆ โดยที่ใครจะคาดถึงว่าเขาจะเป็น เพื่อนสนิทสุดกวนประสาทของเธอ ที่แทบจะกัดกันทุกวัน

ฉันไม่ได้จูบเธอเพราะอารมณ์ชั่ววูบหรอกนะ

นายจะบอกว่า ตั้งใจ

แล้วเธอละจูบฉันกลับด้วยเหตุผลอะไร

ความลับที่ปิดมานานต้องมาถูกเปิดเผยออกพร้อมกับใบหน้าของเธอที่ตกใจราวกับโลกหยุดหมุนในทันที

ทำไม ทำไมนายต้องปลอมตัวด้วย อธิบายมา! 

เหตุผลก็เพราะว่า…เธอจำฉันไม่ได้จริงๆหรอ..

ความทรงจำที่เลือนลางของเธอในวัยเด็กคืออะไร…ทำไมถึงได้ปวดหัวขนาดนี้

นายต้องห้ามลืมฉันนะ

ได้ ฉันจะไม่ลืมเธอ

เพราะเธอคือคนที่ฉันรักตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอ


ขอฝากนิยายที่หนุบหนับหัวใจไว้ในกอดแขนและหัวใจห้องกว้างๆห้องใหม่ของคุณผู้อ่านด้วยนะคะ

แม้นางเอกจะขี้เหวี่ยงขี้วีนกับพระเอกที่ปากร้ายไปหน่อยแต่ก็จริงใจสุดๆ ยังไงผู้อ่านช่วยเอ็นดูด้วยนะคะ

อย่าเอ็นดูจนเอ็นขาด 

ขอให้สนุกกับการอ่านนิยายเรื่องนี้

สารบัญ

ป่วนขบวนรักของยัยตัวเล็ก-ตอนที่ 1 กัดตั้งแต่เปิดเทอม,ป่วนขบวนรักของยัยตัวเล็ก-ตอนที่ 2 คาบเช้าสุดโหด,ป่วนขบวนรักของยัยตัวเล็ก-ตอนที่ 3 นายแบบหูแมวสุดฮอต,ป่วนขบวนรักของยัยตัวเล็ก-ตอนที่ 4 ติดหนี้ต้องใช้คืนกับร้านไอศครีมแสนหวาน,ป่วนขบวนรักของยัยตัวเล็ก-ตอนที่ 5 งานคู่ที่ต้องทำร่วมกัน,ป่วนขบวนรักของยัยตัวเล็ก-ตอนที่ 6 ขบวนอุ่นจากสัมผัลที่อบอวล,ป่วนขบวนรักของยัยตัวเล็ก-ตอนที่ 7 ความลับของพี่ธี,ป่วนขบวนรักของยัยตัวเล็ก-ตอนที่ 8 ความลับของพี่ธีถูกเปิดเผย,ป่วนขบวนรักของยัยตัวเล็ก-ตอนที่ 9 เรื่องราวของเด็กสาวที่ถูกลบหายไป,ป่วนขบวนรักของยัยตัวเล็ก-ตอนที่ 10 เส้นทางของศิลปินวัยกระเต๊าะ,ป่วนขบวนรักของยัยตัวเล็ก-ตอนที่ 11 รับน้องหมัดเกือบทะลุ,ป่วนขบวนรักของยัยตัวเล็ก-ตอนที่ 12 ติวสอบภายในสิบนาที,ป่วนขบวนรักของยัยตัวเล็ก-ตอนที่ 13 โจรห้ามร้อยกับเฮือกสุดท้ายของหนุ่มตาคล้ำ,ป่วนขบวนรักของยัยตัวเล็ก-ตอนที่ 14 จูบสุดท้ายเพื่อเปลี่ยนสถานะ (จบ),ป่วนขบวนรักของยัยตัวเล็ก-ตอนที่ 15 ตอนพิเศษ 1 ปั้นนูดแบบแนบเนื้อ P1,ป่วนขบวนรักของยัยตัวเล็ก-ตอนที่ 16 ตอนพิเศษ1 ปั้นนู้ดแบบแนบเนื้อ P2,ป่วนขบวนรักของยัยตัวเล็ก-ตอนที่ 17 ตอนพิเศษ 2 วาเลนไทน์เหงื่อชุ่ม P1,ป่วนขบวนรักของยัยตัวเล็ก-ตอนที่ 18 ตอนพิเศษ 2 วาเลนไทน์เหงื่อชุ่ม P2

เนื้อหา

ตอนที่ 14 จูบสุดท้ายเพื่อเปลี่ยนสถานะ (จบ)

 วันสอบปลายภาค

บรรยากาศรอบมหาวิทยาลัยเต็มไปด้วยนักศึกษาที่เดินสวนกันไปมา บางคนเพิ่งสอบเสร็จ บางคนจับกลุ่มคุยถึงข้อสอบที่เพิ่งทำไปและบางคนก็เร่งรีบกลับบ้านทันที

ข้าวเดินออกจากอาคารสอบพร้อมกับเจน เธอที่ดูเหมือนกำลังครุ่นคิดบางอย่างมาตลอดทาง ตั้งแต่วันที่ภามช่วยเธอจากคืนนั้น เธอก็ไม่เคยได้เจอเขาอีกเลย

มากที่สุดก็แค่โอมกับขุนเท่านั้น และคำตอบที่เธอได้รับจากโอมก็มีเพียงแค่… “ภามดีขึ้นแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง”

เท่านั้น!! โทรศัพท์ไปก็ไม่ติด พยายามเดินหาก็ไม่เจอ

ทั้งที่เธอมีเรื่องอยากจะถามตั้งเยอะรวมทั้งอยากที่จะขอโทษเขาด้วย แต่เขากลับหายไปจากชีวิตเธอโดยสมบูรณ์

ก่อนที่ข้าวจะถอนหายใจออกมาเบาๆ ระหว่างเดินไปกับเจน “ข้าว แกจะไปไหนต่อเปล่า”

เจนถามขึ้นขณะที่พวกเธอกำลังจะเดินออกจากบริเวณคณะ “ก็ว่าจะกลับบ้านแหละ”

ยังไม่ทันที่ข้าวจะพูดจบ เสียงเครื่องยนต์ของมอเตอร์ไซต์ก็ดังขึ้นจากฝั่งประตูมหาวิทยาลัย

สายตาของเธอรีบหันไปมองทันที

รถมอเตอร์ไซต์สีดำแล่นออกไปด้วยความเร็วสูง ร่างสูงของคนที่สวมหมวกกันน็อกเต็มใบทำให้เธอมองหน้าไม่เห็น แต่ข้าวก็พอจะดูออกว่าเป็นใคร

หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นมาทันที มือที่กำโทรศัพท์แน่นขยับขึ้นมาทำท่าจะกดโทรออกอีกครั้ง แต่เธอก็ต้องชะงัก เพราะรู้ดีว่ามันไม่มีประโยชน์

เธอยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นมองตามแผ่นหลังของเขาที่ค่อยๆ หายไปกับถนนด้านหน้า

“มึงว่าไอ้ภามจะไปทันมั้ยวะ” เสียงของโอมดังขึ้นจากทางด้านข้าง ข้าวหันไปเห็นโอมกับขุนที่เพิ่งเดินกลับเข้ามา

“ทันแหละ” ขุนตอบ “ผลงานถูกนำไปก่อนแล้วด้วย”

ข้าวที่ได้ยินแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปไปหาพวกเขาทันที “พวกนาย..”

ข้าวเรียกชื่อโอมกับขุนไว้ แต่ก่อนที่เธอจะทันได้พูดอะไรต่อ

เสียงของเจนก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงของโทรศัพท์ที่เปิดถ่ายทอดสดงานมหกรรมศิลปะระดับโลกที่กำลังเปิดงานอยู่พอดี

“โอ้โห งานของศิลปินระดับโลก สวยๆ ทั้งนั้นเลยอะ” เจนร้องออกมาอย่างตื่นเต้น “ข้าวๆ มาดูสิ”

ข้าวชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะหันไปมองหน้าจอของเจน

เป็นภาพของเวทีขนาดใหญ่ที่จัดอยู่ภายในงานมหกรรมศิลปะระดับโลก แขกจากทั่วทุกมุมโลก ศิลปินระดับแนวหน้า นักวิจารณ์ศิลปะ รวมถึงนักข่าวและช่างภาพมากมายที่ยืนประจำจุด กดชัตเตอร์ไม่หยุดเพื่อบันทึกช่วงเวลาสำคัญ

ก่อนที่กล้องจะแพนไปยังพิธีกรหญิงที่ยืนอยู่ข้างรูปปั้นนั้น

“และนี่คือข่าวใหญ่ที่หลายคนรอคอยค่ะ หลังจากการหายตัวไปหนึ่งปีเต็มๆ และแล้ววันนี้ ผลงานของเขากลับมาแล้วค่ะ”

“ผลงานของศิลปินที่อายุน้อยที่สุดที่เคยสร้างปรากฏการณ์ในวงการศิลปะไปทั่วโลก วันนี้เราจะได้เห็นผลงานล่าสุดของเขาค่ะ”

ภาพบนจอแพนไปยังตรงกลางเวที มีผลงานประติมากรรมขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางแสงไฟที่ส่องลงมา

รูปปั้นที่อยู่ตรงกลางเวที แม้จะยังไม่ได้ถูกเปิดเผยชื่อศิลปินที่เป็นเจ้าของผลงาน แต่เธอกลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด

ภาพเด็กชายและเด็กหญิงตัวน้อยในรูปปั้นแกะสลักดินเหนียวที่กำลังจับมือวิ่งไปข้างหน้าด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความร่าเริง ความหวังและความสุข รายละเอียดของรูปปั้นถูกแกะสลักขึ้นอย่างประณีต แม้แต่รอยยิ้มเล็กๆ บนใบหน้าของพวกเขาก็ยังดูสมจริงราวกับว่าพวกเขามีชีวิต

ข้าวที่ยืนมองนิ่งค้างอยู่ที่เดิม จังหวะหัวใจของเธอเต้นแรงขึ้น ความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่างแล่นวาบขึ้นมาจนทำให้เธอแทบทรงตัวไม่อยู่

ทันใดนั้นเอง!

อาการปวดหัวแล่นเข้ามาอย่างรุนแรงจนข้าวต้องยกมือขึ้นมากุมหัวเอาไว้ สายตาของเธอพร่ามัวไปชั่วขณะเหมืองสมองกำลังบีบอัดทุกอย่างให้กลับเข้าที่ให้เร็วที่สุด

“ข้าว ข้าวเป็นไรเปล่า” เสียงของเจนดังขึ้นพร้อมกับมือที่แตะไหล่เธอเบาๆ สีหน้าของเพื่อนสาวเต็มไปด้วยความกังวล ขณะที่โอมกับขุนรีบเข้ามาอย่างร้อนรน

“ข้าว” โอมเรียกซ้ำ ขณะที่ขุนขยับเข้ามาประคองแขนเธอไว้ราวกับกลัวว่าเธอจะล้ม

ข้าวหลับตาแน่นพร้อมกับภาพความทรงจำที่หายไปทั้งหมดก็หลั่งไหลกลับมาราวกับสายน้ำที่ไหลทะลักเข้ามาในจิตใจ

เสียงหัวเราะของเด็กสองคนที่วิ่งเล่นกันในวัยเด็ก ภาพของเด็กชายที่เกี่ยวก้อยสัญญากับเธอ ว่าจะ ไม่ลืมเธอ และภาพของมือคู่นั้นที่คอยจับมือเธอไว้เสมอไม่ว่าจะเมื่อไหร่ก็ตาม

ก่อนที่เธอจะลืมตาขึ้นใหม่ ความปวดที่แล่นไปทั่วหัวค่อยๆ มลายหายไปเหมือนคลื่นที่ซัดเข้าฝั่งแล้วค่อยๆ จางหาย สติของเธอเริ่มกลับมาเป็นปกติ แต่คราวนี้กลับมาบางอย่างที่เปลี่ยนไป

จำได้แล้ว!

ฉันจำทุกอย่างได้แล้ว!

“ฉัน..ไม่เป็นไร” ข้าวพูดด้วยน้ำเสียงมั่นคง แม้หัวใจของเธอจะยังเต้นรัว “ฉันนึกออกหมดแล้ว”

โอมกับขุนสบตากัน ก่อนที่ขุนจะเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น “หมายความว่าไง”

ข้าวสูดลมหายใจลึกๆ สายตาของเธอกวาดไปมองเวทีอีกครั้ง ก่อนที่เจนจะร้องตัดหน้าเธอขึ้น

“โอ้โห นี่มันผลงานของ PHAM นี่น่า คนที่เคยกวาดรางวัลมาแล้วทั่วโลก”

ชื่อที่ขึ้นอยู่บนหน้าจอเป็นตัวอักษรสีขาวเด่นชัด

ก่อนที่ข้าวจะชะงักไปเล็กน้อย จนทำให้เธอนึกย้อนไปถึงคำพูดของพี่บีมในวันนั้น “ความลับที่เขาปิดเธอไว้ตลอด ถ้าเธอรู้ละก็เธอไม่เหมาะที่จะยืนข้างภามแน่นอน”

“ในวันนี้ทำให้เธอรู้แล้วว่ามันหมายถึงอะไร”

เธอมองหน้าจออีกครั้งโดยที่เธอไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกยังไง ดีใจ ตกใจ หรือเสียใจที่เขาปิดเรื่องนี้ไว้ตลอด

ก่อนที่ภาพบนหน้าจอจะแพนไปยังพิธีกรหญิงอีกครั้งที่ยังคงรายงานบรรยากาศของงานอย่างต่อเนื่อง “และในที่สุด ศิลปินหนุ่มที่ทุกท่านรอคอยก็ได้มาถึงแล้วค่ะ”

กล้องแพนไปที่ชายหนุ่มที่ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางฝูงชน ในชุดสูทสีดำเรียบหรูเข้ารูปที่เสริมบุคลิกให้ดูสง่างามและโดดเด่น ทรงผมของเขาถูกเซ็ตขึ้นเผยให้เห็นใบหน้าคมคายอย่างชัดเจน ทุกการเคลื่อนไหวของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจและคุ้นเคยกับบรรยากาศของงานระดับโลก

เสียงชัตเตอร์จากกล้องถ่ายภาพดังขึ้นเป็นระยะ ทุกสายตาจับจ้องมาที่เขาราวกับเขาคือศูนย์กลางของงาน

เมื่อเขาก้าวขึ้นไปบนเวที พิธีกรส่งยิ้มให้พร้อมกับยื่นไมโครโฟนให้กับเขา

“ขอต้อนรับกลับมาสู่เวทีศิลปะระดับโลกนะคะ รู้สึกอย่างไรบ้างคะ ที่ได้กลับมายืนอยู่ตรงนี้อีกครั้ง”

เสียงพิธีกรดังก้องไปทั่วฮอลล์ ทุกคนเงียบกริบรอฟังคำตอบของชายหนุ่ม

ชายหนุ่มรับไมโครโฟนไป เขาเว้นจังหวะเล็กน้อย ดวงตาคมเข้มมองไปรอบๆ ที่เต็มไปด้วยแขกผู้มีเกียรติ ศิลปินและนักข่าวจากทั่วโลก

จากนั้นเขาก็เอ่ยออกมาเป็นภาษาอิตาเลียนอย่างคล่องแคล่ว เสียงทุ้มต่ำของเขากังวานไปทั่วบริเวณ

“Sono grato per questa opportunità. Questo evento mi ha dato la possibilità di presentare il mio lavoro più prezioso e significativo.”

(“ผมรู้สึกขอบคุณสำหรับโอกาสนี้ งานนี้ทำให้ผมได้นำผลงานชิ้นที่ภาคภูมิใจที่สุดของผมมาจัดแสดง”)

เสียงพากย์แปลดังขึ้นเป็นภาษาอังกฤษและภาษาอื่นๆ ตามที่ถ่ายทอดสดไปทั่วโลก ผู้ชมบางส่วนพยักหน้าอย่างชื่นชม หลายคนกระซิบคุยกันถึงความสามารถทางภาษาของเขา

ภามยังคงพูดต่อ เสียงของเขานิ่งแต่เต็มไปด้วยอารมณ์

“Quest’ opera rappresenta un ricordo della mia infanzia, un momento che ho custodito nel mio cuore per lungo tempo.”

(“ผลงานชิ้นนี้เป็นตัวแทนของความทรงจำในวัยเด็กของผม เป็นช่วงเวลาที่ผมเก็บรักษาไว้ในใจมาเนิ่นนาน”)

“เฮ้ย ภาษาอิตาเลี่ยนเลยเหรอ ภามพูดภาษาอิตาเลี่ยนได้ตั้งแต่เมื่อไหร่” เจนถามด้วยความตกใจ

โดยที่ข้าวเองก็ถึงกับชะงักในสิ่งที่ภามพูดออกมาเช่นกัน

เขาเลื่อนสายตาขึ้นมามองกล้องนิ่งด้วยแววตาที่แน่วแน่และมั่งคงราวกับรู้ดีว่าใครบางคนกำลังดูเขาอยู่

“Spero che questo messaggio arrivi a lei.”

(“ผมหวังว่าสิ่งนี้จะไปถึงเธอ”)

ทันทีที่คำพูดสุดท้ายของเขาสิ้นสุดลง เสียงปรบมือก็ดังกึกก้องไปทั่วงาน


หลังจากภามตอบคำถามเสร็จ นักข่าวและสื่อต่างๆ รุมถามเขาเกี่ยวกับเส้นทางศิลปะของเขา หลังจากที่หายไปตลอดหนึ่งปีเต็มและอนาคตของเขาหลังจากนี้

แต่ทันใดนั้นเอง นักข่าวหลายที่กำลังจะไปสัมภาษณ์ ชายหนุ่มก็กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย ทั้งพิธีกรและทีมงานที่ต้องการคำตอบก็หันมองหากันไปทั่วงาน

โอมและขุนที่ยืนอยู่ข้างๆ ยิ้มเล็กน้อยก่อนที่ขุนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความคุ้นเคย

“ไอ้บ้านั้นก็หนีแบบนี้ทุกที” เสียงโอมดังขึ้นข้างๆ ขุนที่พยักหน้าเห็นด้วย

“ก็นะ” ทั้งสองคนต่างพากับหัวเราะเบาๆ ออกมาอย่างรู้กันว่าภามเป็นคนยังไง

ข้าวหันไปมองทั้งสองคนแล้วพูดขึ้นมาอย่างจริงจัง

“พวกนายพาฉันไปที่บ้านของภามที” น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความปรารถนาที่อยากเจอภามหลังจากที่เขาหายไปเลย

โอมเลิกคิ้วขึ้นด้วยท่าทางที่ตกใจเล็กน้อย “หา!” เขาทำหน้าสงสัยเพราะไม่คิดว่าเธอจะไปหาภามด้วยตัวเองในตอนนี้

“ขอร้องละ ฉันอยากเจอเขา” ข้าวตอบออกไปอย่างเด็ดขาดโดยไม่สามารถเก็บความรู้สึกนี้ไว้ได้

ขุนยังคงมองข้าวด้วยความสงสัย “แล้วเธอรู้เหรอว่ามันอยู่ไหน”

ข้าวยิ้มแห้งๆ ส่ายหัวเบาๆ ก่อนที่จะตอบออกไป ไม่รู้หรอก แค่ฉันอยากเจอ เสียงของเธอนุ่มนวลขึ้นและเต็มไปด้วยความมั่นใจ

โอมกับขุนมองหน้ากันนิ่งๆ ก่อนที่โอมจะพยักหน้าให้ขุน “โอเค พวกเราจะไปส่ง”

ในที่สุดทั้งสองคนก็ยอมที่จะพาข้าวไปหาเขา โดยพวกเขารู้ดีว่าภามมักจะไม่ยอมให้ใครหาตัวเจอในช่วงเวลาแบบนี้

แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็รู้ว่า ข้าวคงมีเหตุผลบางอย่างที่อยากเจอภามจริงๆ พวกเขาพากันขึ้นรถและมุ่งหน้าไปที่บ้านของชายหนุ่ม โดยที่ระหว่างทางไปโอมกับขุนก็ตัดสินใจตอบทุกคำถามที่ข้าวถามขึ้นเกี่ยวกับเขาตลอดทาง


เมื่อโอมกับขุนพาข้าวมาถึงบ้านของภาม พวกเขาก็พบว่ามอเตอร์ไซค์ของเขาจอดอยู่ที่หน้าบ้านอย่างเรียบร้อย โอมลงจากรถก่อนแล้วเดินถือกุญแจไปเปิดประตูบ้านให้กับข้าว

คลิก

เสียงปลดล็อกดังขึ้นพร้อมกับประตูที่ถูกเปิดออก

วินาทีที่ข้าวก้าวเข้าไปภายในบ้าน ก็รู้สึกถึงความเงียบสงัดที่แผ่ไปทั่วทุกมุม ทั้งบ้านดูเงียบสงบจนแปลกตาราวกับเหมือนไม่มีใครอยู่เลย ในใจของข้าวเริ่มรู้สึกไม่แน่ใจ

โอมสังเกตเห็นท่าทีของข้าวจึงเดินมาข้างๆ แล้วพูดเสียงเบา “เดินไปสุดทางเดิน ห้องทางซ้าย” เขาบอกข้าวด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนเป็นการบอกอย่างระมัดระวัง

ข้าวพยักหน้า “ขอบใจนะโอม ขุน” ก่อนที่จะเดินไปตามทางที่โอมบอก

ข้าวเดินไปตามทางเดินที่ยาวและเงียบไปจนสุดทาง ด้วยใจที่เต้นแรงจนเธอแทบจะได้ยินเสียงของมันเอง

เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามทำให้ตัวเองสงบลง แม้ว่าภายในใจของเธอจะเต็มไปด้วยความกังวลและความรู้สึกมากมายที่ตีกันไปหมด

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูดังขึ้นด้วยมือที่สั่นเล็กน้อย ท่ามกลางความเงียบที่เธอรอฟังเสียงตอบกลับ

สักพักเสียงทุ้มต่ำที่คุ้นเคยก็ดังออกมาจากในห้อง

“ไม่ได้ล็อก”

เมื่อเสียงตอบกลับดังขึ้นจากในห้อง เธอก็รู้ได้ทันทีว่าเขาอยู่ข้างในแน่ๆ

เธอค่อยๆ เอื้อมมือไปจับลูกบิดประตู แล้วเปิดมันออกอย่างช้าๆ


          ภายในห้องของภาม

ข้าวก้าวเข้ามาภายในห้อง กลิ่นน้ำหอมจางๆ ที่เธอคุ้นเคยลอยมาตามอากาศผสมกับกลิ่นดินที่คละคลุ้งทั่วห้อง

แลงไฟสลัวทำให้บรรยากาศดูเงียบเหงา แต่ในขณะเดียวกันมันก็ดูอบอุ่น

พร้อมกับร่างของชายหนุ่มสูงโปร่งที่กำลังเอนตัวนอนอยู่บนโซฟา

เขาเปลี่ยนจากชุดสูทเรียบหรูเป็นเสื้อยืดสีขาวธรรมดากับกางเกงสบายๆ ขาข้างหนึ่งพาดกับที่วางแขนของโซฟา ส่วนอีกข้างเหยียดออกบนพื้น

แขนทั้งสองข้างของเขากอดอกคลายๆ พร้อมกับถือโทรศัพท์ไว้หลวมๆ ราวกับว่าเขากำลังฟังอะไรสักอย่างผ่านหูฟัง ในขณะที่หลับตาอยู่

ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้สนใจว่าใครเดินเข้ามาหรือบางที เขาอาจจะคิดว่าเป็นคนที่เขาอยากเจอมากที่สุดก็ได้

ข้าวเดินเข้ามาใกล้เขาอย่างช้าๆ เสียงฝีเท้าของเธอแทบจะไม่มีเสียง

เธอหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขาและจ้องมองใบหน้าของคนที่เธอไม่ได้เจอมานาน

แม้ว่าท่าทางของเขาจะดูผ่อนคลาย แต่ข้าวกลับรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างในตัวเขาที่เปลี่ยนไป

ใบหน้าของเขาขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย ริมฝีปากที่เม้มเป็นเส้นตรงราวกับว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่แม้ในตอนที่หลับตา

ข้าวกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนที่จะจะตัดสินใจเรียกเขาออกมา

“ภาม…”

ไม่มีการตอบสนองกลับ ข้าวขมวดคิ้วก่อนจะก้มลงไปใกล้อีกนิด

“..ภาม”

คราวนี้เปลือกตาของเขากระตุกเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาช้าๆ พร้อมกับปิดบางทีที่กำลังฟังลง

และสิ่งแรกที่เขาเห็นคือ

ข้าวที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาด้วยใบหน้าใกล้จนแทบจะสัมผัสกันได้

ดวงตาของเขาสั่นไหวเล็กน้อยเพียงเสี้ยววินาทีก่อนที่จะกลับมาเรียบนิ่งเหมือนเดิม

แต่ข้าวเห็นมันทัน เห็นชัดเลยว่า เขาตกใจ

“เธอ..” เสียงของเขาแหบต่ำเล็กน้อย ก่อนที่จะขยับตัวเล็กน้อยเพื่อเปิดพื้นที่บนโซฟาแล้วตบเบาๆ เป็นเชิงให้เธอนั่งลงข้างๆ

ข้าวเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนที่จะค่อยๆ ทิ้งตัวลงบนโซฟาข้างๆ เขา

ความเงียบเข้าปกคลุมห้องชั่วขณะ มีเพียงเสียงลมหายใจของทั้งสองที่สลับกันไปมา

ก่อนที่ภามจะเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน

“ฉันอะนะ ชอบเธอมาตั้งแต่แรกแล้วละ”

เสียงทุ้มต่ำของเขาดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ทำให้ข้าวชะงักและหันไปมองเขาอย่างตั้งใจ

“ตอนนั้นที่ฉันเจอเธอครั้งแรก ฉันก็รู้เลยว่าเธอไม่เหมือนใคร เขาพูดต่อ น้ำเสียงราบเรียบแต่เต็มไปด้วยความจริงใจ แต่พอเธอบอกว่าเธอชอบผู้ชายแบบนั้น ฉันก็เลยพยายามที่เปลี่ยนตัวเองให้เป็นแบบที่เธอชอบ”

ข้าวเบิกตากว้างเล็กน้อย เธอจำได้ดีว่าเธอเคยพูดเล่นๆ ออกไปแบบนั้นว่าสเปกของเธอเป็นแบบไหน แต่เธอกลับไม่เคยรู้เลยว่ามันจะกลายสิ่งที่ฝังใจเขามากขนาดนี้

“จนสุดท้าย..ความก็แตกจนได้…ขอโทษนะ ที่หลอกเธอมาตลอด”

ข้าวที่ฟังเงียบๆ รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่เอ่อล้นมาที่อก

ทั้งความรู้สึกผิด ความซาบซึ้ง ความเจ็บปวดที่เธอเพิ่งรู้ตัวว่าเขาทำทั้งหมดนี้เพราะเธอ

เธอเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนที่น้ำตาของเธอจะเอ่อออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

“ขอโทษ” เสียงของเธอสั่นเครือ “ขอโทษที่ฉันไม่เคยสังเกต ไม่เคยเข้าใจ”

เธอสะอื้นเบาๆ ก่อนที่จะพูดต่อ “แต่ก็ขอบคุณนะ ขอบคุณจริงๆ”

ภามยังคงมองเธอ น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยอารมณ์ที่เขาสัมผัสได้

เขาเอื้อมมือไปช้าๆ ก่อนที่จะใช้นิ้วโป้งเช็ดน้ำตาให้เธออย่างเบามือ

ข้าวเงยหน้ามองเขาสัมผัสจากปลายนิ้วของเขาทำให้เธอรู้สึกถึงความอ่อนโยนที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง

ดวงตาของภามยังจับจ้องเธอเหมือนเดิม ตั้งใจฟังทุกคำที่เธอพูด

“ฉันจำนายได้ทั้งหมดแล้วนะ”

คำพูดของเธอทำให้ภามนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนที่รอยยิ้มเล็กๆ จะปรากฏขึ้นที่มุมปาก แม้ว่าเขาจะพยายามไม่แสดงออกมากเกินไป แต่ในใจเขา

ดีใจจนแทบจะกลั้นไว้ไม่อยู่ สุดท้ายแล้ว ผลงานของเขาก็สามารถสื่อไปถึงเธอได้จริงๆ

“แล้วที่เธอมาที่นี่ เพราะอะไร” เขาถามเสียงเรียบพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเอง

ข้าวมองเขาอย่างไม่หลบสายตา ก่อนที่จะตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจน

“ฉันอยากจะมาบอกกับนาย”

ภามเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย รอให้เธอพูดต่อ

เธอสูดลมหายใจลึกๆ ก่อนที่จะเอ่ยออกมา “ฉันชอบนาย”

ทันทีที่คำพูดนั้นหลุดออกจากปากของเธอ หัวใจของเขาก็เต้นแรงขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่

เขามองเธอด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์ที่เก็บซ่อนไว้มานาน ความรู้สึกทั้งหมดที่อัดแน่นอยู่ในใจของเขาเหมือนถูกปลดปล่อยออกมาในพริบตา

“…แล้วตอนนี้ฉันควรทำยังไงกับความรู้สึกของฉันในตอนนี้ดีละ” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่พร่าเล็กน้อย

ข้าวสบตากับเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เธอจะพูดออกมา

“จูบฉันอีกครั้งได้มั้ย”

เพียงแค่คำพูดสั้นๆ นั้น

ภามไม่รอช้าอีกต่อไป เขาขยับตัวเข้าหาเธอ ใช้มือข้างหนึ่งประคองใบหน้าของเธอไว้ก่อนที่ดวงตาของเขาจ้องเธอแน่วแน่ราวกับต้องการยืนยันว่าเธอพูดจริง ที่จะโน้มตัวลงไปช้าๆ

ปลายจมูกของเขาเฉียดกับปลายจมูกของเธอ ลมหายใจร้อนของทั้งสองคนสอดประสานกัน

และในที่สุดริมฝีปากของเขาก็แนบลงบนริมฝีปากของเธอ

สัมผัสนั้นอ่อนโยน แต่เต็มไปด้วยแรงอารมณ์ที่เก็บกดมานาน

ข้าวหลับตาลงอย่างตอบรับ ปล่อยให้ตัวเองจมอยู่ในความรู้สึกที่เอ่อล้น ก่อนที่เธอจะรู้สึกถึงมือของเขาอีกข้างที่ยกขึ้นมาโอบเอวเธอไว้ก่อนที่จะดึงตัวเธอให้เอนตัวลงนอนบนตัวเขา

จนกระทั่งภามค่อยๆ ละริมฝีปากออกมาช้าๆ แต่ยังไม่ผละไปไหน ใบหน้าของเขายังคงอยู่ใกล้เธอ

“ตอนนี้เธอเป็นของฉันแล้วนะ” เขาพูดเสียงแผ่ว แต่เต็มไปด้วยความจริงจัง

ข้าวยิ้มออกมาอย่างเขินอายด้วยใบหน้าที่ยังคงร้อนผ่าว เธอยกมือขึ้นแตะแก้มของเขาเบาๆ ก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ

“นายก็อย่าหายไปไหนอีกละ”

ภามมองเธอก่อนที่รอยยิ้มเบาๆ จะปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา

“งั้นจากนี้เธอก็ต้องรับมือฉันให้ดีๆ แล้วละ เพราะยังไงเธอก็น่ากินที่สุดแล้ว”