ทำไมเธอถึงจูบฉันกลับละทั้งที่ไม่ใช่ผู้ชายในอุดมคติที่เธอชอบสักหน่อยหรือว่า..เธอตั้งใจ? แต่ถ้าเธอถามฉันกลับละก็..ไม่รู้สินะ(เพราะฉันมีความลับปิดอยู่)
รัก,ชาย-หญิง,วัยว้าวุ่น,ไทย,โรแมนติก,โรแมนซ์,พล็อตสร้างกระแส,มหาลัย,เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ,คู่กัด,รักตั้งแต่เด็ก,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ป่วนขบวนรักของยัยตัวเล็กทำไมเธอถึงจูบฉันกลับละทั้งที่ไม่ใช่ผู้ชายในอุดมคติที่เธอชอบสักหน่อยหรือว่า..เธอตั้งใจ? แต่ถ้าเธอถามฉันกลับละก็..ไม่รู้สินะ(เพราะฉันมีความลับปิดอยู่)
เรื่อง ป่วนขบวนรักของยัยตัวเล็ก
แนะนำตัว
ธีรัตม์ เชาวกรกุล ชื่อเล่น ภาม อายุ21 ปี2 สาขาวิชาประติมากรรม คณะศิลปศาสตร์
กันยานา ชวัลดนย์ ชื่อเล่น รวงข้าว สั้นๆ ข้าว อายุ20 สาขาวิชาจิตรกรรม คณะศิลปศาสตร์
ติดตามกันได้
เธอแอบชอบรุ่นพี่ที่สุดแสนจะตรงสเปก แต่ไม่เคยรู้เลยว่าเขาคือเพื่อนที่กวนประสาทเธออยู่ทุกวันแถมเขายังเป็นคนที่เผลอจูบเธอบนรถไฟอีกด้วย
ข้าวที่ชื่นชอบในความอบอุ่น สุขุมและใจดีของรุ่นพี่ในอุดมคติที่ตรงสเปกชายในฝันของเธอสุดๆ โดยที่ใครจะคาดถึงว่าเขาจะเป็น เพื่อนสนิทสุดกวนประสาทของเธอ ที่แทบจะกัดกันทุกวัน
ฉันไม่ได้จูบเธอเพราะอารมณ์ชั่ววูบหรอกนะ
นายจะบอกว่า ตั้งใจ
แล้วเธอละจูบฉันกลับด้วยเหตุผลอะไร
ความลับที่ปิดมานานต้องมาถูกเปิดเผยออกพร้อมกับใบหน้าของเธอที่ตกใจราวกับโลกหยุดหมุนในทันที
ทำไม ทำไมนายต้องปลอมตัวด้วย อธิบายมา!
เหตุผลก็เพราะว่า…เธอจำฉันไม่ได้จริงๆหรอ..
ความทรงจำที่เลือนลางของเธอในวัยเด็กคืออะไร…ทำไมถึงได้ปวดหัวขนาดนี้
นายต้องห้ามลืมฉันนะ
ได้ ฉันจะไม่ลืมเธอ
เพราะเธอคือคนที่ฉันรักตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอ
ขอฝากนิยายที่หนุบหนับหัวใจไว้ในกอดแขนและหัวใจห้องกว้างๆห้องใหม่ของคุณผู้อ่านด้วยนะคะ
แม้นางเอกจะขี้เหวี่ยงขี้วีนกับพระเอกที่ปากร้ายไปหน่อยแต่ก็จริงใจสุดๆ ยังไงผู้อ่านช่วยเอ็นดูด้วยนะคะ
อย่าเอ็นดูจนเอ็นขาด
ขอให้สนุกกับการอ่านนิยายเรื่องนี้
เสียงพูดคุยจอแจของนักศึกษากลุ่มจิตรกรรมที่กำลังเดินย้ายห้องเรียนดังไปทั่วทางเดิน ก่อนจะชะงักลงเมื่อพวกเขาเดินผ่านห้องเรียนของสาขาประติมากรรมที่ประตูห้องแง้มเปิดไว้อยู่เล็กน้อย
“ซึ่งผลงานนี้ถูกปั้นขึ้นเพื่อที่จะนำเสนอร่างกายมนุษย์ในลักษณะเปลือยกายโดยอาจจะเน้นความงามเป็นหลัก ไม่ใช่เน้นเรื่องความวาบหวาม ขอให้เข้าใจตรงกันในส่วนนี้ ถ้าไม่งั้นนักศึกษาจะไม่สามารถทำงานนี้ได้เสร็จเลย ยังไงก็ช่วยระงับอารมณ์ที่ไม่เกี่ยวข้องด้วย”
หลังสิ้นสุดเสียงของอาจารย์ กลุ่มนักศึกษาที่อยู่ด้านนอกก็ต่างพากันซุบซิบกันอย่างตื่นเต้นโดยที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิมเพื่อที่จะรอฟังในสิ่งที่อาจารย์กำลังจะพูดต่อ
“เดี๋ยวบ่ายนี้ กรุณาเตรียมตัวให้พร้อม อาจารย์เตรียมแบบไว้แล้ว ประติมากรที่ดีควรเห็นทุกสิ่งเป็นศิลปะนะคะ”
แค่ประโยคนี้ประโยคเดียวบรรยากาศหน้าห้องก็ดูจะวุ่นวายขึ้นมาทันที
“ทำไมฉันไม่ลงเรียนสาขานี้”
“คือ แบบที่เป็นคนจริงๆ จริงดิ” เสียงกระซิบกระซาบอย่างอาลัยอาวรณ์ดังขึ้นพร้อมกับการขยับเข้ามายืนมุงหน้าห้องมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนที่เคยตั้งใจจะย้ายห้องเรียนกันเงียบๆ ตอนนี้ต่างพากกันพุ่งตรงเข้ามาที่หน้าประตูเพื่อแอบฟัง
ข้าวเองก็มองเข้าไปในห้องด้วยความสนใจปนประหม่า นัยต์ตาโตสวยเบิกขึ้นเล็กน้อย รู้สึกได้ว่าหัวใจเต้นแรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ขณะที่เธอกำลังมองเข้าไป โอมที่เห็นเธอเข้าก็พลางไปสะกิดภามที่กำลังนั่งกอดอกอย่างเบื่อหน่ายให้หันไปมองในสิ่งที่เขาเห็น
“เฮ้ย! มึง ข้าวมองอยู่” เขากระซิบพลางพยักพเยิดไปทางข้าว
ภามที่ก่อนหน้ากำลังตั้งใจฟังในสิ่งที่อาจารย์พูดอยู่ก็ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะปรายตาหันไปมองตามคำบอกของเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ
สายตาของชายหนุ่มจับจ้องไปยังหญิงสาวที่ยืนปะปนอยู่กับกลุ่มเพื่อนในสาขา
เธอเม้มปากแน่นราวกับพยายามกลั้นอารมณ์บางอย่าง ดวงตากลมโตมีแววตกใจปนสนใจ ขณะที่พยายามจะมองเข้าไปทางอื่นแทน
เขามองเธออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์จะผุดขึ้นบนใบหน้า ปลายลิ้นร้อนแตะที่ริมฝีปากของตัวเองอย่างตั้งใจ ขณะที่สายตาของภามยังคงตรึงอยู่ที่ข้าว
ลิ้นร้อนเลียรอบปากใส่เธออย่างช้าเสมือนจงใจเย้ายวน
ทันทีที่ข้าวเห็นภาพนั้น เธอกลับรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างแล่นผ่านสันหลังวาบ
หญิงสาวเบิกตากว้างเล็กน้อยเผลอกลืนน้ำลายลงคอโดยไม่รู้ตัวใจที่เต้นแรงขึ้นจนต้องรีบเบือนหน้าหนี พยายามทำเป็นไม่สนใจ แต่สัมผัสได้ถึงความร้อนผ่าวที่เริ่มก่อตัวขึ้นบนแก้มจนออกสี
ชายหนุ่มเห็นท่าทางนั้นแล้วก็ยิ่งรู้สึกขบขัน มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มขี้เล่น ก่อนที่จะหันกลับไปสนใจบทเรียนของตัวเองต่อราวกับว่าเมื่อครู่นี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่ในขณะที่ภามหันกลับไปแล้ว ข้าวยังคงรู้สึกถึงแรงสายตาที่เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อครู่ก่อนที่เพื่อนในสาขาของเธอจะวิ่งมาอย่างหน้าตาตื่นพร้อมเสียงตะโกนดังขึ้นอย่างเป็นสัญญาณให้ทุกคนต้องแยกย้ายจากหน้าห้องนี้
“อาจารย์บอกว่าถ้าใครไปไม่ถึงห้องเรียนภายในสิบนาที ติดเอฟ”
ช่วงบ่าย
บรรยากาศทางเดินหน้าห้องเรียนประติมากรรมก็กลับมาคึกคักจากนักศึกษาจากหลากหลายสาขาที่พากันมามุงดูอย่างตื่นเต้น โดยเฉพาะกลุ่มสาขาจิตรกรรมที่ตั้งแต่ช่วงสายก็เอาแต่พูดถึงคลาสปั้นของประติมากรรมกันไม่หยุด
เสียงกระซิบกระซาบยังคงดังไปทั่วถึงแบบที่จะมาเป็นก่อนที่บทสนทนาจะเริ่มเปลี่ยนไป
“คิดว่าใครจะเป็นแบบ”
“ไม่รู้สิ อาจจะผู้ชาย หรือ ผู้หญิง”
“เป็นใครไม่รู้ แต่ฉันอยากให้เป็นภามมาก”
“นั่นสิ ฉันอยากให้ภามเขาปั้นตอนที่ฉันเปลือยมาก”
“เดี๋ยวนะ เห็นหมดเลยเหรอ”
“เฮ้ยย!”
เสียงฮือฮาดังเพิ่มเป็นเท่าตัวทันทีที่ประตูห้องเปิดออก เผยให้เห็นร่างของนางแบบที่ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางสายตาของทุกคน
ซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก พี่บีม หญิงสาวผู้เป็นที่หมายปองของชายแทบทุกคนในคณะ ด้วยรูปร่างที่สวยสง่า ผิวขาวเนียน ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเสน่ห์เย้ายวน
เธอเดินเข้ามาในห้องอย่างมั่นใจ ก่อนที่จะถอดเสื้อคลุมออก เผยให้เห็นเรือนร่างที่เหลือเพียงแค่แผ่นแปะยอดอกบางๆ กับแพตตี้ลูกไม้สีดำเท่านั้น
บรรยากาศรอบข้างชะงักไปชั่วขณะ ก่อนที่เสียงพูดคุยระเบิดขึ้นอีกครั้งพร้อมสายตาที่จ้องมองแบบไม่ละ
“แม่เจ้า”
“พี่บีมงานนี้เอาจริงวะ”
“กูอิจฉาโว้ย!”
ท่ามกลางความตื่นตะลึงและความสนใจของทุกคน ข้าวกลับยืนนิ่งอยู่ที่หน้าห้อง สายตาของเธอกวาดมองไปรอบๆ ทำให้เธอเห็นแต่สายตาที่หิวกระหายในตัวหญิงสาวของเหล่าผู้ชายหลายคน
ทว่ากลับมีสายตาคู่หนึ่งที่มองเธออยู่
เธอสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อสบตากับเขา ดวงตาคมเข้มนั้นจับจ้องเธอแน่วแน่ราวกับไม่ได้สนใจเรือนร่างของหญิงสาวแม้แต่น้อย
“เอาละทุกคน” เสียงอาจารย์ดังขึ้น เรียกทุกคนในห้องให้กลับมาโฟกัสที่งานตรงหน้า
“วันนี้เราไม่ได้ปั้นทั้งตัว เนื่องจากเวลามีไม่มาก แต่ขอให้เลือกปั้นแบบครึ่งต่อครึ่งซึ่งเลือกกันได้ตามอัธยาศัย เช่น หัวถึงไหล่หรือไหล่ถึงสะดือ ลงมือได้เลย”
เสียงอุปกรณ์สำหรับปั้นเริ่มขยับ เสียงเก้าอี้ถูกเลื่อนและ..
เมื่อทุกคนภายในห้องเริ่มจดจ่อการชิ้นงานที่อยู่ตรงหน้าสายตาจากหิวกระหายกลับเลือนหายไปหมดเหลือเพียงแค่สายตาที่ตั้งใจเท่านั้น
ภายในห้องประติมากรรมเงียบลงสนิทแต่ด้านนอกห้องนั้นยังคงมีเสียงพูดคุย ข้าวและเพื่อนจากสาขายังคงมุงดูอยู่ตรงหน้าต่าง ไม่ต่างจากพวกนักศึกษาชายที่ยังตื่นเต้นกับนางแบบ
โอมที่กำลังปั้นอยู่ด้านในเหลือบตาเห็นกลุ่มคนที่ยืนมองอยู่นานเกินไป จึงโพล่งขึ้น
“เฮ้ย ไม่มีเรียนกันเหรอวะ” เสียงของเขาดังขึ้นจนคนรอบข้างเริ่มหันมาสนใจก่อนที่เบ้ปากใส่อย่างไม่ชอบใจ
ขุนที่นั่งข้างๆ เสริมขึ้นมาอย่างขำๆ “มุงกันแบบนี้กดดันมากเลยนะ นี่เรียนวิชาเสือกเรื่องชาวบ้านกันอยู่หรือไง”
เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นจากบางคนในห้อง ขณะที่ข้าวยังคงยืนนิ่ง จ้องเข้าไปด้านในโดยไม่ละสายตา
ขุนกับโอมเหลือบไปมองภามที่นั่งอยู่ใกล้พวกเขาก่อนจะสะกิดกันแล้วแอบมองสีหน้าของเพื่อนสนิทที่ยังคงทำหน้าเรียบนิ่ง
แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่าคือสายตาของเขาที่เหลือบมองข้าวเป็นระยะๆ
ขุนแกล้งกระแซะภามเบาๆ ก่อนจะพูดอย่างรู้ทัน “ตั้งใจเชียวนะ”
ภามยังคงไม่เงยหน้าจากงานที่กำลังขึ้นรูปด้วยมือตัวเอง ก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“อยากรีบทำให้เสร็จ มองนานเสียสายตา”
“โอ้ว!” ขุนกับโอมโห่ร้องพร้อมกันแบบรู้ทันก่อนจะหัวเราะเบาๆ แต่ก็ต้องหยุดเพราะอาจารย์เดินเข้ามาตรวจงานพอดี
ภามไม่ได้สนใจทั้งสองคนอีกต่อไป แต่ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเหลือบไปมองเธอเป็นระยะๆ ราวกับส่งสัญญาณบางอย่าง
ไม่ใช่การมองด้วยความสงสัย ไม่ใช่มองเพราะข้าวกำลังทำตัวแปลกๆ
แต่มันเป็นสายตาที่สื่อถึงอารมณ์ที่เต็มไปด้วยความต้องการที่จะให้เธอมาเป็นแบบให้กับเขา
ข้าวยังคงจ้องเข้าไปในห้องอย่างไม่รู้ตัว รู้สึกเหมือนโดนแรงดึงดูดบางอย่างจากสายตาของภามมันทำให้เธอรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนบางอย่างในอกของตัวเอง
เมื่ออาจารย์เดินมาตรวจดูความคืบหน้าของงานก็พบว่าภาม โอมและขุนต่างปั้นไปได้เกือบครึ่งทางแล้วทำให้ต้องหยุดมองอย่างพึงพอใจ
“ดีมาก ฝีมือใช้ได้เลย” อาจารย์พยักหน้าก่อนจะเดินต่อไป
ขณะที่ทุกคนกำลังตั้งใจ กัน ที่มาสายที่สุดของวันก็เดินเข้ามาในห้องอย่างชิลๆ
โอมเหลือบไปเห็นก่อนเป็นคนแรก แล้วก็อดแซวไม่ได้ “พึ่งนึกได้ว่ามีเรียนเหรอวะ?”
ขุนที่ได้ยินก็ขำตาม ก่อนจะเสริมขึ้น “นี่มันเลยไปเกือบชั่วโมงแล้วนะเว้ย”
กันยักไหล่แล้วเดินเข้ามานั่งที่ของตัวเองพร้อมกับมองไปรอบๆ ก่อนจะหรี่ตาอย่างสงสัย
“ทำไมคนมุงเยอะวะ?”
โอมยกนิ้วชี้ไปที่หน้าห้องโดยไม่พูดอะไร กันหันไปมองแล้วก็เบิกตากว้างทันที
“โห เจอแบบนี้มีของขึ้นนะ” เขาพูดขึ้นพลางหันกลับมามองเพื่อน
โอมที่ได้ยินแบบนั้นก็สวนกลับทันที “มีขึ้นแน่ ถ้างานไม่เสร็จ”
เสียงหัวเราะดังขึ้นเบาๆ ก่อนที่กันจะถอนหายใจแรงแล้วลงมือปั้นแบบเร่งสปีดสุดตัว
แต่แล้วเสียงอาจารย์ก็ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ทำให้ทุกคนต้องหยุดมือแล้วเงยหน้าขึ้นไปฟัง
“งานนี้อาจารย์จะให้ทำเพิ่มและต้องส่งภายในวันมะรืนนี้ คืองานที่นักศึกษากำลังทำกันอยู่นี่แหละ”
เสียงฮือฮาดังขึ้นทั่วห้อง ก่อนที่จะมีคนยกมือถาม “หมายความว่ายังไงครับ?“
“หมายความว่าพวกเธอต้องปั้น ปั้นใครก็ได้ ในแบบที่เผยให้เห็นความเป็นธรรมชาติของร่างกาย โดยไม่ต้องจำเป็นต้องเปลือย อธิเช่น กล้ามแขนของคนที่ออกกำลังกายจนเผยให้เห็นเส้นเลือดที่นูนขึ้น หรือ แผ่นหลังของหญิงสาว โดยที่ต้องดึงเสน่ห์ของร่างกายมนุษย์ออกมาให้ได้”
เสียงพูดคุยเริ่มดังขึ้นรอบห้อง ทุกคนเริ่มคิดว่าพวกเขาจะเลือกใครเป็นแบบดี
แต่ท่ามกลางเสียงพูดคุยนั้น ภามกลับไม่พูดอะไร เพียงแค่หันมาสบตากับข้าวที่กำลังมองอยู่ก่อนที่จะยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย ราวกับว่าเขาได้ในสิ่งที่เขาต้องการภายในใจแล้ว
เสียงโห่ร้องจากกลุ่มนักศึกษาด้านนอกดังขึ้นเรื่อยๆ
“อยากปั้นภามอะ”
“โอ้ย แค่นี้ใจก็ละลายแล้ว”
“อยากให้เขาโชว์ซิกแพ็คเลยงี้”
“เดี๋ยวๆ ถ้าแกเห็นแบบนั้น แกจะมีสมาธิปั้นใช่มั้ย?”
“ฉันจะมีสมาธิทำอย่างอื่นมากๆ เลยละแก”
เสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้น ทำให้ข้าวทำได้แต่กลอกตาไปมาอย่างระอา ก่อนที่เจนจะสะกิดเธอเบาๆ
“แกๆ ภามเดินเข้าไปมองพี่บีมแบบใกล้ๆ เลยอะ”
เธอที่ได้ยินแบบนั้นก็รีบหันไปมองทันที แล้วหัวใจของเธอก็เหมือนถูกบีบแน่น
เขาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของหญิงสาวที่ห่างกันเพียงไม่กี่คืบ จนแทบจะชิดตัวกันเลยทีเดียว
ข้าวแทบจะกลั้นหายใจเมื่อเห็นภาพนั้น
ภามยืนจ้องร่างของพี่บีมอยู่นานเกือบสองนาทีก่อนที่เขาจะค่อยๆ เอื้อมมือไปสัมผัสที่ช่วงไหล่ของพี่เขาอย่างเบาๆ
สัมผัสนั้นทำให้หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะเผยรอยยิ้มเจ้าเสน่ห์ออกมาแล้วโน้มตัวเข้าไปกระซิบเสียงแผ่ว
“แหม น้องภาม อย่ามองกับสัมผัสพี่แบบนี้สิ มันไม่ดีนะ ถ้าจะทำแบบนี้ พี่ว่ารออยู่ด้วยกันสองต่อสองดีกว่านะคะ”
เสียงหัวเราะแผ่วเบาของหญิงสาวทำให้กลุ่มที่มุงดูอยู่ข้างนอกกลับซุบซิบกันขึ้นไปอีก
แต่เขากลับไม่มีท่าทีสนใจคำพูดของเธอเลย เขาเพียงแค่เอียงคอมองผิวของหญิงสาวตรงหน้าอย่างพิจารณาแล้วพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“มองไกลๆ ผิวเนียนนะ” คำพูดนั้นทำให้พี่บีมยิ้มกริ่มออกมาเหมือนรอให้ชายหนุ่มชมต่อ
แต่คำพูดถัดไปของเขากลับทำให้รอยยิ้มนั้นค้างไปทันที
“แต่มองใกล้ๆ ทำไมแห้งจัง”
เสียงรอบห้องเงียบไปแวบหนึ่ง ก่อนที่เขาจะพูดต่อ “สงสัยตรงนี้ต้องขัดให้หยาบแล้วละมั้ง”
“อะไรนะ!” พี่บีมอุทานออกมาทันที ดวงตาเบิกกว้างออกเล็กน้อยด้วยความตกใจ
แต่ภามก็ไม่สนใจท่าทีของเธอแม้แต่น้อย เขาเพียงแค่ลดมือลง แล้วเดินออกจากตรงนั้นไปโดยไม่พูดอะไรอีก
โอม ขุนและกันที่นั่งปั้นอยู่แอบส่งสัญญาณให้เขารู้ตัวเบาๆ
“มึง มีสายตาคู่หนึ่งมองมึงแบบอาฆาตอยู่ครับ” ขุนกระซิบพลางพยักพเยิดไปทางหน้าต่าง
ภามหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนจะเหลือบไปมอง
สายตาของข้าวที่จ้องมองมาที่เขา ด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด ริมฝีปากของเธอเม้มแน่น คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
ภามยกยิ้มมุมปากขึ้นบางๆ อย่างรู้ทัน ก่อนที่จะหันกลับไปสนใจงานของตัวเองต่อ
โดยที่เธอนั้นยังคงจ้องมองไปยังเขาด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก แต่แล้วภามก็เดินตรงมาหยุดตรงที่เธอยืนอยู่พลางปลดล็อกและเลื่อนหน้าต่างออก
เธอเผลอชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นสายตาของเขาที่จ้องกลับมาทางเธอโดยตรง ในขณะที่มือของเขากำลังนวดดินส่วนสุดท้ายของงานไปด้วย
ข้าวขยับปากจะพูด แต่ภามชิงพูดขึ้นมาก่อน
“ทำไมเหรอ?” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความยียวน
ข้าวกอดอกเล็กน้อยแล้วเอียงคอถามกลับ “นายจะมามองฉันทำไม”
ภามกระตุกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบ “เธอมีติดป้ายห้ามมองหรือไง”
เธอในตอนนี้ที่รู้สึกเหมือนใบหน้าของตัวเองร้อนขึ้นโดยไม่รู้ตัวจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “นายไม่ไปมองพี่บีมต่อละ”
เขาหัวเราะในลำคอเล็กน้อยแล้วโน้มตัวลงใกล้เธอพร้อมกับพูดเสียงแผ่ว “อย่าบอกนะ ว่าเธอหึง?”
“ใครหึงนาย” เธอรีบตอบพร้อมส่ายหน้าแรงๆ
เขามองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความขบขัน ก่อนจะยิ้มมุมปากออกมาอย่างเจ้าเล่ห์
จากนั้นชายหนุ่มก็หันหลังกลับไปปั้นงานต่อราวกับว่าคำตอบของเธอเมื่อครู่ไม่ได้ทำให้เขาไขว้เขวเลยแม้แต่น้อย
เจนที่ยืนอยู่ข้างๆ อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมา เขาปั้นเร็วมากเลยนะ อย่างกับมืออาชีพเลย
ไม่นานนัก ภามก็เดินกลับมาหาข้าวอีกครั้ง ก่อนที่จะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“คืนนี้ว่างมั้ย?”
“ห้ะ” เธอถึงกับอ้าปากค้าง มองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยความตกใจ
เสียงของเธอดังพอให้เพื่อนๆ ในสาขาได้ยินและดูเหมือนว่าคำถามของเขาจะทำให้ทุกคนหยุดมือลงแล้วหันมามอง
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบเพียงชั่วอึดใจ ก่อนที่เพื่อนๆ ของข้าวจะรีบแทรกและเบียดตัวเธอทันที
“ว่างค่ะๆ” เพื่อนคนอื่นเริ่มส่งเสียงแซว ขณะที่บางคนรีบเสนอตัวแทนแทนเธอ “ฉันว่างนะภาม”
เสียงเพื่อนๆ แย่งกันตอบแทนดังเป็นระลอกพร้อมกับเสียงหัวเราะคิกคัก
ข้าวที่ยังตั้งตัวไม่ทันหันไปมองเพื่อนๆ ของเธออย่างเหลือเชื่อ ก่อนจะหันกลับมามองภามที่ยังคงยืนอยู่ตรงหน้าเธอ
เขายิ้มบางๆ อย่างรู้อยู่แล้วว่าต้องเกิดเหตุการณ์แบบนี้ และเอียงคอเล็กน้อย
“ฉันหมายถึงเธอ ข้าว”
เสียงรอบตัวเงียบลงทันที พร้อมกับสายตาของเพื่อนที่หันมามองเธออย่างคาดหวัง ซึ่งบางคนก็หวังให้เธอปฏิเสธจะได้เสียบแทนหรือบางคนก็หวังจะให้เธอมาเล่าว่าเจอของดีมั้ย
ข้าวกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดๆ พลางรู้สึกว่าหัวใจตัวเองเต้นแรงขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ ก่อนที่จะรีบตั้งสติกลับไปจ้องหน้าภามที่ยังคงรอคำตอบของเธออยู่ ดวงตาของเขามีแววขี้เล่นปนคาดหวังนิดๆ จนเธอรู้สึกเหมือนถูกไล่ต้อน
“ว่างมั้ย?” เขาถามย้ำอีกครั้ง คราวนี้เสียงเบาลงเล็กน้อยเหมือนจะให้เป็นเรื่องของพวกเขาสองคน แต่คนรอบข้างกลับยังคงจับจ้องสถานการณ์ตรงหน้าอย่างสนอกสนใจ
ข้าวเหลือบตามองเจนที่ยืนข้างๆ เห็นเพื่อนสาวพยักหน้าหงึกๆ เหมือนจะบอกให้ตอบตกลงไปเลย ขณะที่เพื่อนคนอื่นเริ่มซุบซิบกันเบาๆ อย่างตื่นเต้น
“เอ่ออ..” คำถามของภามไม่ใช่แค่ทำให้เธอประหลาดใจ แต่มันเหมือนโยนเธอเข้าไปอยู่กลางเวทีที่มีคนดูเต็มไปหมด
“สรุปว่างรึเปล่า?” น้ำเสียงของภามยังคงติดเล่น ทว่าคราวนี้สายตาของเขากลับจริงจังกว่าปกติ
ข้าวสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ “วะ..ว่าง”
ทันทีที่เธอพูดจบ เสียงอื้ออึงรอบข้างดังขึ้นเหมือนสนามแข่งที่เพิ่งได้ผลสรุป เจนยกมือขึ้นปิดปากตื่นเต้น ขณะที่เพื่อนอีกสองสามคนแอบกระซิบกันเบาๆ
ชายหนุ่มยิ้มมุมปากอย่างพอใจ “งั้นเจอกันตอนหกโมงเย็นนะ” เขาพูดง่ายๆ ก่อนจะเดินกลับไปเก็บอุปกรณ์ของตัวเอง ทิ้งให้ข้าวยืนอยู่ที่เดิมพร้อมกับหัวใจที่เต้นแรงกว่าเดิมหลายเท่า
เพื่อนๆ ของเธอรีบกระโดดเข้ามารุมเธอทันที บางคนเขย่าตัวข้าวอย่างตื่นเต้น บางคนทำหน้าหมั่นไส้ บางคนถึงกับบ่นเสียดายที่ไม่ใช่ตัวเอง
“ฉันละอิจฉาเธอจริงๆ”
“เธอต้องแอบถ่ายซิกแพคเขามาด้วยนะ” เพื่อนคนหนึ่งเสนอความคิดให้กับเธอ “อย่าลืมมาเล่าให้ฟังด้วยนะ”
ข้าวรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกลากเข้าไปอยู่ในมรสุมคำถามและเสียงแซวจากทุกทิศทาง ขณะที่เธอยังตั้งสติไม่ทัน อยู่ๆ ก็มีเพื่อนผู้ชายในสาขาคนหนึ่งเดินฝ่ากลุ่มคนเข้ามาแล้วยื่นบางสิ่งให้เธอ
“อะไร?” ข้าวมองเขาอย่างงงๆ
“อะ เผื่อคืนนี้เธอต้องใช้” เขายิ้มมุมปากและเดินออกไป
ข้าวขมวดคิ้วก่อนจะค่อยๆ แบมือขึ้นดูสิ่งที่อยู่ในนั้นแล้วทันใดนั้นเธอก็เบิกตากว้างขึ้น
“ถุงยาง!”
“เฮ้ย!” ข้าวตะโกนลั่น รีบปามันทิ้งแทบจะทันที “ไอ้บ้า!”
เสียงหัวเราะและเสียงโห่แซงดังขึ้นหนักกว่าเดิม บางคนถึงกับหัวเราะตัวงอ
“ข้าว คืนนี้เธออาจจะไม่รอดนะ”
“โชคดีนะเพื่อน”
“ข้าว เธอปาทิ้งแบบนี้คิดดีแล้วใช่เปล่า”
“ยังอีกนะ!” ข้าวหันไปแหวใส่เพื่อนๆ ที่แซวไม่หยุดแล้วชี้ไปที่ภามที่ยืนอยู่ไม่ไกล “ฉันกับไอ้บ้านั้นเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้น”
“แค่เพื่อน แต่ถามว่าคืนนี้ว่างมั้ยอะนะ”
ข้าวกัดฟันกรอดก่อนจะพูดเสียงดังลั่น “ถ้าไอ้บ้านั้นกล้าทำอะไรฉันละก็..ฉันจะหักตรงนั้นให้ใช้การไม่ได้อีกเลย” เสียงฮือฮายิ่งดังขึ้นกว่าเดิม แต่แล้วทุกคนก็เงียบลงแทบจะทันที เมื่อมีเสียงทุ้มดังขึ้นจากด้านหลัง
“เสียงดังอะไรกัน?”
ข้าวหันขวับไปมองเห็นโอม ขุน กันและภาม เดินมาทางที่เธอยืนอยู่ สายตาของพวกเขามองมาทางกลุ่มของเธอที่ยังคงมีคิกคักกันอยู่
“พวกเราไม่มีสมาธิกันหมดแล้วนะ” โอมพูดเสียงนิ่ง
ข้าวสะดุ้งรีบยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเอง ขณะที่เพื่อนๆ รอบตัวเริ่มสงบลงทันที แต่ก็ยังคงมีเสียงหัวเราะแผ่วๆ จากบางคน
ภามมองเธอก่อนจะเลิกคิ้วนิดๆ “เกิดอะไรขึ้น?”
ข้าวที่ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี พวกเขาทั้งสามคนเหลือบมองไปที่ถุงยางที่เธอปาทิ้งไปก่อนหน้านี้ แล้วขุนก็หัวเราะออกมาเบาๆ
“อ๋อ เรื่องนี้เอง”
เธอถลึงตาใส่เพื่อนตัวดีที่ยื่นของประหลาดใส่เธอพลางถอนหายใจแรงๆ ก่อนที่พวกเขาทั้งสี่คนจะหันหลังไป
“แหม วางแผนอะไรอยู่เปล่าเพื่อน” โอมเอ่ยขึ้นพลางมองภามด้วยสายตาจับผิด
ภามถึงกับชะงักไปเล็กน้อย แต่ไม่ได้ตอบอะไรแค่ถอนหายใจนิดๆ
“นายน่าจะไปเก็บนะ เผื่อที่บ้านหมด” ขุนพูดขึ้นเสียงเรียบ แต่สีหน้าเต็มไปด้วยแววขบขัน
กันที่ยืนอยู่ข้างๆ ยิ่งได้โอกาสแซวหนักขึ้น “สดไปเลยเพื่อน! กูเชียร์”
ภามเหลือบมองเพื่อนด้วยสายตาเอือมระอาก่อนขมวดคิ้วแล้วพูดเสียงเข้ม “พวกมึงหยุดเลย กูไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น”
“เหรอ” โอมเลิกคิ้ว
“ที่ถามข้าวแบบนั้นเพราะจะไปปั้นงานตามที่อาจารย์สั่งต่างหาก” ภามรีบแก้ตัวหวังให้ทุกคนเลิกแซว
กันหัวเราะออกมาพลางตบบ่าภาม “มึง มีใครเรียกไปเป็นแบบให้ตอนกลางคืนบ้าง กลางวันก็มีครับ”
“ก็…กูรีบทำ ไม่อยากงานค้าง”
“มึงหยุดแก้ตัวเถอะ ยิ่งพูดสีข้างยิ่งถลอก” ขุนแทรกขึ้นทันที
โอมที่ฟังอยู่นั้นพลางทำหน้าครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “อุปกรณ์ไม่พอ โทรบอกกูได้ทันทีนะเพื่อน”
“ไอ้เพื่อนชั่ว” ภามแทบจะเขวี้ยงก้อนดินใส่หน้าโอม ขณะที่เพื่อนคนอื่นหัวเราะลั่นกันไปหมด