ทำไมเธอถึงจูบฉันกลับละทั้งที่ไม่ใช่ผู้ชายในอุดมคติที่เธอชอบสักหน่อยหรือว่า..เธอตั้งใจ? แต่ถ้าเธอถามฉันกลับละก็..ไม่รู้สินะ(เพราะฉันมีความลับปิดอยู่)
รัก,ชาย-หญิง,วัยว้าวุ่น,ไทย,โรแมนติก,โรแมนซ์,พล็อตสร้างกระแส,มหาลัย,เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ,คู่กัด,รักตั้งแต่เด็ก,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ป่วนขบวนรักของยัยตัวเล็กทำไมเธอถึงจูบฉันกลับละทั้งที่ไม่ใช่ผู้ชายในอุดมคติที่เธอชอบสักหน่อยหรือว่า..เธอตั้งใจ? แต่ถ้าเธอถามฉันกลับละก็..ไม่รู้สินะ(เพราะฉันมีความลับปิดอยู่)
เรื่อง ป่วนขบวนรักของยัยตัวเล็ก
แนะนำตัว
ธีรัตม์ เชาวกรกุล ชื่อเล่น ภาม อายุ21 ปี2 สาขาวิชาประติมากรรม คณะศิลปศาสตร์
กันยานา ชวัลดนย์ ชื่อเล่น รวงข้าว สั้นๆ ข้าว อายุ20 สาขาวิชาจิตรกรรม คณะศิลปศาสตร์
ติดตามกันได้
เธอแอบชอบรุ่นพี่ที่สุดแสนจะตรงสเปก แต่ไม่เคยรู้เลยว่าเขาคือเพื่อนที่กวนประสาทเธออยู่ทุกวันแถมเขายังเป็นคนที่เผลอจูบเธอบนรถไฟอีกด้วย
ข้าวที่ชื่นชอบในความอบอุ่น สุขุมและใจดีของรุ่นพี่ในอุดมคติที่ตรงสเปกชายในฝันของเธอสุดๆ โดยที่ใครจะคาดถึงว่าเขาจะเป็น เพื่อนสนิทสุดกวนประสาทของเธอ ที่แทบจะกัดกันทุกวัน
ฉันไม่ได้จูบเธอเพราะอารมณ์ชั่ววูบหรอกนะ
นายจะบอกว่า ตั้งใจ
แล้วเธอละจูบฉันกลับด้วยเหตุผลอะไร
ความลับที่ปิดมานานต้องมาถูกเปิดเผยออกพร้อมกับใบหน้าของเธอที่ตกใจราวกับโลกหยุดหมุนในทันที
ทำไม ทำไมนายต้องปลอมตัวด้วย อธิบายมา!
เหตุผลก็เพราะว่า…เธอจำฉันไม่ได้จริงๆหรอ..
ความทรงจำที่เลือนลางของเธอในวัยเด็กคืออะไร…ทำไมถึงได้ปวดหัวขนาดนี้
นายต้องห้ามลืมฉันนะ
ได้ ฉันจะไม่ลืมเธอ
เพราะเธอคือคนที่ฉันรักตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอ
ขอฝากนิยายที่หนุบหนับหัวใจไว้ในกอดแขนและหัวใจห้องกว้างๆห้องใหม่ของคุณผู้อ่านด้วยนะคะ
แม้นางเอกจะขี้เหวี่ยงขี้วีนกับพระเอกที่ปากร้ายไปหน่อยแต่ก็จริงใจสุดๆ ยังไงผู้อ่านช่วยเอ็นดูด้วยนะคะ
อย่าเอ็นดูจนเอ็นขาด
ขอให้สนุกกับการอ่านนิยายเรื่องนี้
ภามเดินขึ้นบันไดไปอย่างหงุดหงิด ความร้อนรุ่มที่สะสมอยู่ในร่างกายทำให้เขาแทบคลั่ง ความอึดอัดแน่นตรงเป้ากางเกงยิ่งทำให้ทุกย่างก้าวของเขาทรมานยิ่งขึ้น
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก พยายามระงับอารมณ์ แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้นเลย
“แม่งเอ้ย” เขากัดฟันกรอดมือกำแน่นจนเส้นเลือดขึ้น
ภาพเมื่อครู่ยังติดอยู่ในหัว ริมฝีปากของเธอใบหน้าที่แดงก่ำดวงตาหวานฉ่ำหายใจหอบถี่อยู่ในอ้อมแขนของเขา
แต่เขากลับต้องหยุดทุกอย่างเพราะโทรศัพท์เวรนั่น
เสียงเรียกเข้าเฮงซวยนั่น
“โอม..มึงแม่ง!”
ภามแทบอยากพุ่งไปกระชากคอเสื้อเพื่อนตัวเองให้รู้แล้วรู้รอด
พอเดินเข้าห้องเรียน สีหน้าของเขาบ่งบอกได้ชัดว่าไม่สบอารมณ์ขั้นสุด โอมกับขุนที่นั่งอยู่ก่อนแล้วถึงกับชะงัก
“เฮ้ย มึงเป็นอะไรวะ” โอมถามขึ้น
ภามหันขวับไปมองเขา สายตาคมกริบฉายแววขุ่นเคืองและโมโหจัด
โอมกับขุนหันมามองหน้ากัน ก่อนที่โอมจะเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอ่อยๆ
“กู…ไปขัดจังหวะอะไรมึงเข้าใช่มั้ย?”
“มาก” ภามกัดฟันตอบสายตาเหมือนจะฆ่าคนได้
ขุนเหลือบมองต่ำไปที่เป้ากางเกงของภามแล้วก็หลุดหัวเราะเบาๆ
“โอ้โห! แน่นตึ๊บ ทรมานมากละสิ”
“มึงอยากตายเหรอ” ภามหันไปจ้องขุนจนอีกฝ่ายรีบเงียบ แต่ไหล่ก็ยังสั่นเพราะกลั้นขำ
“โอ้ย กูสงสารจริงๆ นะ” ขุนพลางยกมือขึ้นปิดปาก
“แต่มันก็ตลกฉิบหาย” โอมเสริมก่อนจะหลุดขำออกมาด้วย
เสียงหัวเราะของสองคนนั้นทำให้ภามแทบอยากจะกระโดดถีบเข้าให้สักที
“พวกมึงแม่งโคตรน่าต่อยกระเด็น” ภามกัดฟันพูด
โอมปาดน้ำตาจากการหัวเราะแล้วถามต่อ “สรุป..เมื่อกี้มึงกับข้าวทำไปถึงไหนกันแล้ววะ”
ภามขมวดคิ้วแน่น กำหมัดแน่นจนเส้นเลือดขึ้นข้อมือ
“พวกมึงเลิกเสือกได้ปะ”
ขุนยกมือขึ้นเชิงยอมแพ้ “เออๆ ไม่ถามละ”
“แต่เสียดายเนอะ” โอมพึมพำ
“เสียดาย?” ขุนหันไปมอง
“เสียดายที่กูโทรไปขัดจังหวะมันไง ไม่งั้นมึงก็อาจจะ…”
เสียงกระแทกสมุดลงบนโต๊ะดังลั่น
“ไอ้พวกเวร! พวกมึงหุบปากไปเลยนะ!”
หลังจากนั้นอาจารย์ก็เดินเข้ามา นักศึกษาทุกคนที่กำลังพูดคุยกันก็เริ่มเงียบลง เสียงขยับเก้าอี้และวางอุปกรณ์เบาจนแทบไม่ได้ยิน
ภามที่นั่งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อยู่เหลือบตามองไปที่กระดาน หัวคิ้วขมวดเล็กน้อย อาจารย์ดูเหมือนจะมีเรื่องสำคัญประกาศ ซึ่งเขาก็ไม่แน่ใจว่ามันเกี่ยวกับอะไร
“เนื่องจากวันนี้ที่เป็นวันแห่งความรัก วันนี้ก็เลยจะมีนางแบบจากสาขาจิตรกรรมมาร่วมทำงานด้วย”
ทันทีที่สิ้นเสียงประกาศ เสียงฮือฮาดังทั่วห้อง นักศึกษาทุกคนพากันหันไปมองหน้ากันด้วยความแปลกใจ
ภามที่นั่งกอดอกขมวดคิ้วแน่น “อะไรของอาจารย์อีกวะ” เขานึกในใจอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะหันไปสบตาโอมกับขุนที่มีสีหน้าตกใจไม่แพ้กัน
“เฮ้ย แบบนี้ได้เหรอวะ” โอมพึมพำออกมาพลางเอนตัวมากระซิบ
ขุนพยักหน้า “กูก็นึกว่าจะแค่ให้พวกเราแกะงานตามใจตัวเอง”
“เข้ามาได้”
ประตูห้องเรียนถูกเปิดออก นักศึกษาจิตรกรรมห้าคนตรงเดินเข้ามา
ภามที่ไม่ได้สนใจ จนกระทั่งสายตาไปสะดุดเข้ากับข้าวที่ยืนอยู่ด้านหน้าข้างกับเจน
แวบแรกข้าวเองก็ดูเหมือนจะตกใจที่ต้องมาเจอเขาอีก ดวงตาของเธอเบิกขึ้นเล็กน้อยก่อนที่เธอจะรีบหลบตาแทบไม่ทันและพยายามทำตัวให้เป็นปกติ
อาจารย์กวาดตามองนักศึกษาทั้งหมดก่อนจะอธิบายต่อ “งานในวันนี้ที่แจ้งไปคือแกะสลักแต่เป็นแกะสลักแบบนูนต่ำ โดยจะใช้ดอกไม้ที่จัดไว้เป็นแบบในการออกแบบชิ้นงานของแต่ละกลุ่ม”
“การจัดกลุ่มจะเป็นแบบสุ่ม” อาจารย์กล่าวต่อ “จะเริ่มประกาศชื่อแต่ละกลุ่มละ”
ทุกคนในห้องเงียบลงทันที สายตาจับจ้องไปที่อาจารย์ที่เริ่มอ่านรายชื่อ
“กลุ่มหนึ่ง…”
เสียงอาจารย์ประกาศไปเรื่อยๆ จนมาถึงกลุ่มของภาม
ซึ่งจะมีพวกเขาทั้งหมดสี่คนและเพื่อนร่วมห้องอีกคนหนึ่ง
ภามก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก แค่ฟังผ่านๆ เพราะยังไงก็คงได้ทำงานกับเพื่อนที่สนิทและคุ้นเคยกันดี
“ส่วนนางแบบของกลุ่มนี้..กันยนา”
ทุกคนหัวไปมองข้าวที่ดูเหมือนจะตกใจเช่นกัน ส่วนภามที่พิงเก้าอี้อยู่เมื่อครู่ ขยับตัวขึ้นมานั่งตรง
“จริงจัง?” โอมกระซิบเบา
“มึงโชคดีไปปะเนี่ย” ขุนแซว
ภามไม่ได้ตอบอะไรแต่ปลายลิ้นดันกระพุ้งแก้มตัวเองนิดๆ อย่างพยายามกลั้นอารมณ์
“ทุกคนสามารถบอกนางแบบได้เลยว่าอยากให้ทำท่าไหนมีเวลาให้สามชั่วโมง ใครเสร็จก่อนกลับบ้านได้”
ทันทีที่อาจารย์พูดจบห้องก็เข้าสู่สภาวะชุลมุน แต่ละกลุ่มเริ่มกำหนดตำแหน่งของตัวเองและจัดท่าทางของนางแบบ
ข้าวที่ได้รับช่อดอกกุหลาบสีขาวมาถือไว้ในมือยังคงรู้สึกอึ้งๆ กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เธอไม่ได้คิดมาก่อนเลยว่าเธอจะต้องมายืนเป็นแบบให้กับกลุ่มของภาม
“ข้าว ทางนี้”
เสียงโอมตะโกนเรียกข้าวให้รู้ว่ากลุ่มของเขานั่งอยู่ตรงไหน เธอหันไปมองแล้วค่อยๆ เดินตรงไปยังพวกเขา
เธอเห็นว่าภามกำลังนั่งไขว่ห้างใช้ดินสอขีดเขียนๆ อะไรบางอย่างลงบนแผ่นไม้ ส่วนโอมขุนและกันที่พึ่งมา กำลังปรึกษากันเรื่องท่าทางของเธอ
“พวกมึงจะให้ข้าวทำแบบไหน” โอมเอ่ยขึ้น
“นั่งมั้ย?” กันเสนอ
“นั่งไม่ง่ายนะมึง” ขุนขัดขึ้นทันที
“ถ้างั้นง่ายสุดก็ยืน” กันพูดต่อ
ข้าวยืนฟังพวกเขาปรึกษากันอยู่ เธอไม่ได้พูดอะไรแค่ถือดอกไม้เงียบๆ
ในขณะที่พวกเขายังลังเลกันอยู่ ภามที่เงียบมาตลอดก็เคาะแผ่นไม้หนาๆ ในมือลงกับโต๊ะเบาๆ แล้วพูดขึ้นมาอย่างเรียบๆ
“พื้นที่ที่อาจารย์ให้มันแคบ” เขาพูดโดยไม่เงยหน้าขึ้นมามองใคร “ก็ให้ยืนสักแป๊บ แล้วก็ค่อยให้นั่ง”
ทุกคนในกลุ่มหันมามองภาม
โอมยักไหล่ “เออ ก็ได้วะ”
กันพยักหน้า “โอเค”
ข้าวยังคงยืนอึ้งอยู่ เธอแอบรู้สึกแปลกๆ กับน้ำเสียงของภาม
คำพูดของเขาตอนที่อยู่กับคนอื่น ไม่เห็นจะเหมือนตอนที่อยู่กับฉันสองคนเลย
เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น ภามกลายเป็นคนที่พูดสั้นๆ ไม่แสดงอารมณ์อะไรออกมามาก ต่างจากตอนที่อยู่กับเธอสองคนที่ชอบกวนประสาทและพูดอะไรที่ทำให้เธอเขินตลอด
เธอกำช่อดอกไม้ในมือแน่นขึ้นนิดหนึ่ง ก่อนจะสูดหายใจเข้าแล้วยืนอย่างเรียบร้อย
“ครึ่งตัวใช่ปะ” กันถามขึ้น
“แล้วแต่มึง” ภามตอบเสียงเรียบ
ข้าวหันไปมองเขาอีกครั้ง แต่ภามกลับไม่ได้สนใจเธอเลย เขาพลิกดินสอในมือไปมาเหมือนกำลังครุ่นคิด
เขานั่งตรงข้ามเธอโดยตรงดวงตาจับจ้องทุกอิริยาบถของเธอ ตั้งแต่ปลายนิ้วที่กำช่อดอกไม้แน่นไปจนถึงเส้นผมที่ตกลงมาปรกแก้ม ข้าวเองก็รู้สึกได้ถึงสายตาคู่นั้นเธอพยายามไม่สบตาเขาและพยายามตั้งสมาธิกับการถือช่อดอกไม้ให้ออกมาสวยที่สุด แต่ยิ่งเธอทำเป็นไม่สนใจ เขากลับยิ่งเหลือบมองเธอมากขึ้นไปอีก
โอมที่สังเกตท่าทีของทั้งสองอยู่นานจึงอดไม่ได้ที่จะแซวขึ้น
“เฮ้ย! มีสมาธิหน่อยครับคุณธีรัตม์ นั่งจ้องนางแบบขนาดนี้จะวาดออกมาเป็นอะไรดีละ”
ภามหันขวับไปมองโอมด้วยสายตาเขม่น ขณะที่โอมส่งยิ้มเยาะกลับมาอย่างไม่เกรงกลัว
“เรื่องเมื่อกี้ยังไม่เคลียร์นะมึง” ภามพูดเสียงต่ำ
“อะไรเพื่อน กูไม่ได้ทำอะไรเลยนะ” โอมตอบพลางหัวเราะอย่างรู้ทัน
ก่อนที่ภามจะพูดอะไรต่อ ขุนที่ดูเหมือนจะจับสังเกตบางอย่างได้ก็กระตุกยิ้มแล้วแกล้งแซวขึ้นมาเสียงดัง “เอ้อ ข้าว ลิปเลอะปากนะ”
เสียงขุนทำให้ทุกสายตาในกลุ่มหันมามองที่ข้าวทันทีรวมถึงภามด้วย
ข้าวที่ได้ยินแบบนั้นเบิกตากว้างก่อนจะรีบยกมือขึ้นมาแตะริมฝีปากของตัวเองอย่างตกใจ ใบหน้าของเธอขึ้นสีจัดราวกับลูกพีชสุก
“มึง ถ้าไม่ไหวออกไประบายที่ห้องน้ำได้นะ กูเคยทนแบบมึงทรมานมาก”
“มึงก็เอาด้วยเหรอไอ้กัน! มาทีหลังเสือกยังรู้อีก” ภามหันไปมองกันอย่างเอือมระอา
“พวกกูเล่าให้มันฟังเอง” โอมและขุนพูดขึ้นมาพร้อมกัน
“พวกมึงเพื่อนกูจริงปะเนี่ย!?”
ข้าวที่โดนแซวอยู่เงียบๆ แทบอยากจะมุดพื้นหนีไปให้พ้นจากตรงนี้ เพื่อนร่วมกลุ่มอีกคนที่ทนฟังนานจึงพูดแทรกขึ้นมาพร้อมหัวเราะเบาๆ
“พวกนายหยุดเถอะ เธอหน้าแดงจนเหมือนลูกมะเขือเทศแล้ว”
ทุกคนหันไปมองข้าวที่ยืนก้มหน้างุด ใบหน้าแดงจัดมือขยับช่อดอกไม้ไปมาราวกับไม่รู้จะเอาตัวเองไปไว้ที่ไหนดี
แต่แทนที่พวกเขาจะหยุดแค่นั้น ภามกลับเอนตัวมาด้านหน้าเล็กน้อย มือหนายกขึ้นมาหมุนดินสอในมือเล่นก่อนจะพูดเสียงต่ำให้ได้ยิน
“ลิปไม่ได้เลอะหรอก แต่ที่ริมฝีปากแดงเพราะโดนกัดมากกว่า”
โอมที่นั่งข้างๆ อ้าปากค้างไปทันที ขณะที่ขุนกับกันแทบจะรีบหันมองหน้าในทันที ส่วนข้าวที่ได้ยินถึงกับสะดุ้งสุดตัวดวงตาเบิกกว้างมองภามอย่างตกใจ
“นาย!” เธออุทานเสียงเบา หวังจะให้เขาหยุดพูดอะไรแบบนี้ต่อหน้าคนอื่น
แต่เขากลับยิ้มมุมปาก แววตาเป็นประกายร้ายกาจก่อนจะก้มหน้ามาสเกตช์ลายบนแผ่นไม้ของตัวเองต่อ ราวกับไม่ได้พูดอะไรออกไปเลย
ข้าวขบเม้มปากแน่นมากกว่าเดิมจนเริ่มเจ็บ ความร้อนที่ใบหน้าไม่จางหายซ้ำยังรู้สึกถึงบางสิ่งที่ตีกันวุ่นอยู่ในอก
แต่แล้วเธอกลับสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่ขยับอยู่ใกล้ๆ
ปลายรองเท้าของภามแตะเข้าที่ปลายเท้าของเธอเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ ไล้ไปมาอย่างจงใจข้าวชะงัก ดวงตากะพริบตาปริบมองเขาอย่างไม่อยากเชื่อ แต่เจ้าตัวกลับทำเป็นไม่รู้เรื่อง ไม่แสดงสีหน้าอะไรเลยนอกจากนั่งแกะลวดลายของเธอต่อ
แต่เขาก็ไม่ได้หยุดแค่นั้น ภามขยับเท้ามาเข้ามาใกล้มากขึ้นแทบแนบชิดกับขาของเธอ ปลายรองเท้าของเขาลูบไล้ขึ้นมาแตะข้อเท้า ไล่ไปจนถึงน่องอย่างตั้งใจ
ข้าวตัวแข็งทื่อ จับช่อดอกไม้แน่นขึ้นจนมือเริ่มเกร็ง
“หือ”
เสียงทุ้มต่ำของภามดังขึ้น พอให้เธอได้ยิน ขณะที่เขาเหลือบตามองเธอเล็กน้อยราวกับจะยั่ว
“เป็นอะไร ยืนไม่ไหวแล้วเหรอ?”
ข้าวเม้มปากจนรู้สึกถึงรสชาติจางๆ ของเลือดที่ซึมออกมา เธออยากเถียงกลับแต่รู้ดีว่าถ้าพูดอะไรออกมาตอนนี้มีหวังโดนแซวหนักขึ้นแน่ๆ
“เลิกแกล้งฉันได้แล้ว”
เธอพูดเสียงเบาแทบกระซิบ แต่ภามกลับหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะหยุดการเคลื่อนไหวของปลายเท้าตัวเอง
“ก็แค่จะช่วยให้เธอเป็นแบบที่สมจริงมากขึ้นเท่านั้น” เขากระซิบกลับมาเบาๆ
เสียงแกะสลักจากสิ่วค่อยๆ ดังขึ้นทั่วห้องบรรยากาศเต็มไปด้วยสมาธิและความตั้งใจ ข้าวมองไปรอบๆ เห็นเพื่อนๆ ในห้องต่างตั้งใจลงมือแกะสลักบนแผ่นไม้ของตัวเอง
แต่สายตาของเธอกลับเผลอวนกลับไปที่ภามอีกครั้ง
เขากำลังขมวดคิ้วเล็กน้อย ดวงตาจับจ้องไปที่แผ่นไม้ตรงหน้า มือหนากำสิ่วมั่นก่อนจะค่อยๆ กดมันลงบนเนื้อไม้อย่างใจเย็น
“อะแฮ่ม”
เสียงกระแอมจากโอมดึงเธอกลับมาอย่างกะทันหัน ข้าวสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะรีบหันไปมองเพื่อนที่นั่งข้างๆ กำลังยิ้มมุมปากใส่เธอ
“อะ..อะไร”
“ไอ้ภาม” โอมเรียกขึ้น ขณะที่ภามยังคงจดจ่ออยู่กับงานตรงหน้า
“….”
“ไอ้ภาม!!”
โอมตะโกนใกล้หูของอีกฝ่ายจนภามสะดุ้งเงยหน้าขึ้นมาทันที
“อะไรของมึงวะ!” เขาสวนกลับเสียงหงุดหงิด
“ไปเอาเก้าอี้มาให้นางแบบนั่งหน่อย”
“ทำไมต้องเป็นกู?”
“มึงครับ ไปเอา!” โอมพูดเน้นเสียงหนักแน่น ก่อนจะเลื่อนสายตาไปทางข้าวเป็นเชิงบอกนัยๆ
ภามมองตามก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างเสียไม่ได้ แล้วลุกขึ้นไปเอาเก้าอี้มาให้
ข้าวมองตามแผ่นหลังของเขาขณะที่เขาเดินไปหยิบเก้าอี้ ก่อนที่จะเดินกลับมาพร้อมวางมันลงตรงหน้าเธอ
“นั่งลงสิ”
ข้าวกำลังจะทรุดตัวนั่ง แต่สายตากลับเหลือบไปเห็นแขนเสื้อที่พับขึ้นสูงเผยให้เห็นกล้ามเนื้อและเส้นเลือดชัดเจน และเมื่อเขาก้มตัวลงมาหยิบของบางอย่างจากพื้น กลิ่นน้ำหอมจางๆ ของเขาก็ลอยมากระทบจมูกเธอ
เธอรู้สึกเหมือนหัวใจเริ่มเต้นผิดจังหวะไปชั่วขณะ
แต่สิ่งที่ทำให้เธอชะงักไปกว่าคือ ซิกแพคที่โผล่พ้นขอบเสื้อขึ้นมาเล็กน้อยตอนที่เขาขยับตัว
ข้าวรีบเบือนหน้าหนี แต่ไม่ทันแล้ว
เขาเงยหน้าขึ้นมาสบตาเธอ ใบหน้าอยู่ใกล้เธอจนแทบจะได้ยินเสียงลมหายใจ
“อะไรเล่า” ข้าวกระซิบเบาๆ พยายามทำตัวเป็นปกติ
ภามยกยิ้มเจ้าเล่ห์ดวงตาคู่ฉายแววขี้เล่นปนเจ้าเล่ห์
“เธอแอบมองฉันเหรอ”
“นาย..รู้ได้ไง”
“ไม่รู้สิ” เขาเอียงคอมองเธออย่างพิจารณา ก่อนจะกระซิบเสียงต่ำที่ข้างหูเธอ
“อยากจูบฉันต่อเหรอ”
ข้าวชะงักราวกับโดนฟ้าผ่า ใบหน้าของเธอร้อนผ่าวจนแทบระเบิด เธอรีบเบือนหน้าหนีทันที
“บะ..บ้าเหรอ”
แค่ภามกลับหัวเราะเบาๆ ขณะที่เพื่อนในกลุ่มสังเกตพฤติกรรมของทั้งคู่มานาน ตะโกนเรียกให้เขากลับมานั่งทำงานต่อ
“ไอ้ภาม กลับมานั่งได้ละ”
ภามเหลือบมองเพื่อน ก่อนจะยิ้มมุมปากแล้วเดินกลับไปที่นั่งของตัวเอง
เสียงสิ่วกระทบเนื้อไม้ค่อยๆ เงียบลงเมื่อถึงเวลาครบชั่วโมง ทุกคนเริ่มทยอยยกผลงานไปส่งอาจารย์ขณะที่นางแบบจากสาขาจิตรกรรมก็พากันออกจากห้อง
ข้าวถอนหายใจออกมาเบาๆ หลังจากที่วุ่นวายอยู่นาน ก่อนจะเดินออกมาจากห้องตามเพื่อน
แต่เพียงแค่ก้าวออกมาไปได้กี่ก้าว มือแข็งแรงของใครรบางคนก็คว้าข้อมือของเธอไว้แน่นเธอ
ทำให้ข้าวถึงกลับสะดุ้งหันไปมองอย่างตกใจ
“ภาม!”
เธออุทานออกมาเสียงเบา แต่ชายหนุ่มไม่ตอบอะไรนอกจากกระตุกข้อมือเธอเบาๆ แล้วเดินนำเธอไป
“เดี๋ยว! นายจะพาฉันไปไหน”
ยังไม่ทันได้พูดจบ เธอก็ถูกลากไปจนถึงหน้าห้องน้ำที่อยู่ใกล้ที่สุด
ประตูถูกผลักเข้าไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ร่างของเธอจะถูกดันเข้ามาในห้องน้ำด้านในสุด
ปัง!
เสียงประตูปิดลงตามด้วยเสียงล็อกกลอนดังคลิก
ข้าวหันไปมองเขาด้วยสายตาตกใจ แต่ยังไม่ทันได้ถามอะไร ภามก็โน้มตัวเข้ามาใกล้ใบหน้าเขาอยู่ห่างจากเธอไม่กี่เซน
“โทษทีนะ”
เสียงทุ้มต่ำของเขาดังกระซิบอยู่ข้างหูเธอ
“พอดีคุมไม่ค่อยได้แล้ว”
พูดจบมือหนาของเขาก็จับที่เอวของเธอดันให้เธอชิดไปกับบานประตู ริมฝีปากร้อนผ่าวประกบลงมาทันที
ภามบดเบียดริมฝีปากลงมาอย่างไม่ให้เธอได้ทันตั้งตัว ลิ้นร้อนของเขาสอดเข้ามากวาดชิมรสหวานในโพรงปากของเธอ ขณะที่มือของเขาเริ่มกอบกุมสะโพกของเธอแน่นก่อนจะบีบเคล้นความนุ่มนิ่มทั้งสองอย่างหนำใจ
“อืมม”
ข้าวเผลอครางออกมาเบาๆ มือทั้งสองของเธอจิกเข้ามาที่แขนของเขาเพื่อยันตัวเองไว้ แต่เธอรู้ดีว่าแรงของเธอไม่มีทางต้านเขาได้เลย
ริมฝีปากของเขายังไม่ยอมหยุด เขาจูบเธอลึกขึ้นเร่าร้อนขึ้นราวกับต้องการกลืนกินเธอให้หายไปกับตัวเอง
ภายในห้องน้ำที่เงียบสงัดมีเพียงเสียงหายใจของทั้งคู่ที่ดังสอดประสานกัน หลังจากจูบกันไปได้สักพัก ความร้อนอบอ้าวจากทั้งบรรยากาศและอารมณ์ของทั้งคู่ทำให้ลมหายใจของข้าวหนักขึ้นจนเธอรู้สึกเหนื่อยกว่าปกติ
ภามยังคงกักเธอไว้ตรงประตู มือข้างหนึ่งเท้าไว้ข้างศีรษะเธอ ส่วนอีกข้างยังจับข้อมือเธอเบาๆ เหมือนไม่อยากปล่อยให้เธอหลุดไปไหนง่ายๆ
“เหงื่อออกเต็มไปหมดเลย” ภามกระซิบเบาๆ ก่อนที่สายตาของเขาลดต่ำลงไปมองเสื้อนักศึกษาของข้าวที่ตอนนี้เปียกชื้นแนบกับร่างกาย จนเผยให้เห็นบราลูกไม้สีอ่อนที่อยู่ข้างใต้
“มองอะไร” ข้าวกระซิบเสียงเบา ใบหน้าร้อนผ่าวเมื่อรู้ว่าภามกำลังมองต่ำลงมาที่เสื้อของเธอ
“แล้วเธอคิดว่าฉันมองอะไรละ” ภามเอ่ยเสียงแหบพร่า ปลายนิ้วแตะลงบนไหปลาร้าเปียกเหงื่อของเธอเบาๆ ทำให้ข้าวถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย
แต่แล้ว..เสียงเรียกที่ไม่คาดคิดก็ดังขึ้น
“ข้าว อยู่เปล่า”
เสียงเจนที่ดังมาจากด้านนอกทำให้ข้าวเบิกตากว้าง เธอรีบเงยหน้ามองภามด้วยแววตาตื่นตระหนกขณะที่ภามกลับเพียงแค่เลิกคิ้วมองเธอด้วยท่าทีสงบ
“เจนมา” ข้าวกระซิบเบาๆ พร้อมกับพยายามขยับตัวออกจากมุมที่ถูกภามกักไว้ แต่เขากลับใช้มือกดไหล่เธอเบาๆ ไม่ให้เธอขยับไปไหน
“ชู่! เงียบไว้” ภามโน้มตัวลงมากระซิบที่ข้างหูเธอ เสียงของเขาต่ำและแผ่วเบาแต่กลับทำให้เธอรู้สึกเหมือนหัวใจเต้นแรงยิ่งกว่าเดิม
ข้าวเม้มปากแน่นพยายามกลั้นเสียงหายใจให้เบาที่สุด ขณะที่เจนยังคงตะโกนเรียกอยู่อีกครั้ง
“ข้าว แกอยู่มั้ยเนี่ย ข้าว!”
ข้าวหันมองภามด้วยความกระวนกระวาย ขณะที่เขากลับยกยิ้มมุมปากนิดๆ เหมือนกำลังสนุกที่เธอทำตัวไม่ถูก
“ถ้าอยากออกไป ก็ต้องออกไปให้เนียนๆ” ภามกระซิบก่อนจะค่อยๆ ผละตัวออกปล่อยให้เธอเป็นอิสระ
ข้าวรีบปรับเสื้อตัวเองให้เข้าที่พยายามไม่ให้ดูผิดสังเกต ก่อนจะสูดหายใจลึกๆ แล้วเปิดประตู
“อ้าว อยู่ก็ไม่บอกนะ แล้วทำไมเหงื่อออกเยอะขนาดนี้ละ”
ข้าวชะงักหัวใจเต้นแรงกว่าเดิมเมื่อเห็นว่าเสื้อของเธอยังเปียกแนบกับผิว
“ก็..ห้องน้ำมันร้อนนี่นะ” ข้าวรีบพูดแก้ตัวก่อนจะกอดอกเล็กน้อยเพื่อปกปิดตัวเอง เจนยังคงมองเธออย่างจับผิดเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจและพยักหน้า
“โอเค รีบออกกันเถอะ เดี๋ยวถ้ามีผู้ชายมาให้ดอกไม้แล้วจะไม่สวยเอานะ”
ข้าวยิ้มแห้งพยายามเก็บซ่อนความรู้สึกที่ยังคงตกค้างอยู่ในใจ ก่อนจะรีบเดินออกจากห้องน้ำไป
หลังจากที่ข้าวเดินออกจากห้องน้ำไปแล้ว ภามยังคงยืนอยู่ที่เดิมดวงตาคมกริบมองตามหลังเธอไป ก่อนจะเบนสายตามองต่ำเล็กน้อยคำพูดของเจนยังคงวนเวียนอยู่ในหัว
“เดี๋ยวถ้ามีผู้ชายมาให้ดอกไม้แล้วจะไม่สวยเอานะ”
คิ้วของเขาขมวดเข้าหาทันที รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
“หมายความว่าไงวะ” ภามพึมพำกับตัวเองก่อนจะถอนหายใจพรืดแล้วเดินออกจากห้องน้ำ
พอออกมาถึงโถงทางเดิน เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูพบว่ามีข้อความจากโอมเด้งขึ้นมา
“พวกกูอยู่ใต้คณะ”
ภามไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่กดปิดหน้าจอแล้วเดินมุ่งหน้าไปยังจุดหมาย
เมื่อไปถึงโต๊ะใต้คณะ เขาก็พบว่าโอม ขุนและกันกำลังนั่งกันอยู่ก่อนแล้ว แต่ทันทีที่เพื่อนๆ เห็นสภาพของเขา พวกมันก็แสดงปฏิกิริยาทันที
“มึงตกน้ำมาเหรอ” กันเอ่ยขึ้น ขณะที่มองเหงื่อที่ไหลซึมทั่วเสื้อของภาม
“ทำไมเปียกขนาดนี้วะ” ขุนเสริม ตามมาด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ
โอมยกแขนขึ้นกอดอกก่อนจะยักคิ้วให้แบบรู้ทัน “กูรู้แหละ มึงโดนข้าวสาดน้ำใส่มาใช่มั้ย?”
ภามกลอกตา ถอนหายใจอย่างรำคาญ “เลอะเทอะ” เขาตอบสั้นๆ ก่อนจะเดินไปนั่งลงที่โต๊ะพร้อมกับวางกระเป๋าลงคว้าแก้วน้ำของโอมมาดื่มโดยไม่ขอ
โอมมองแก้วน้ำที่ถูกจิ๊กไปด้วยความเอือม ก่อนจะหันกลับมาแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เอ้อ กูจะบอกมึงเรื่องหนึ่ง มึงห้ามตกใจนะ”
ภามเหลือบตาขึ้นมองอย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก “อะไร”
โอมมองซ้ายมองขวาก่อนจะลดเสียงลงเล็กน้อย “มีคนจะเอาดอกไม้ไปให้ข้าวพร้อมสารภาพรัก”
พรวด—แค่กๆ
ไม่ทันขาดคำ ภามที่กำลังดื่มน้ำเข้าไปเต็มคำกลับสำลักจนพ่นออกมาแทบหมดแก้ว ขุนกับกันหลบแทบไม่ทัน
“อะไรนะ!” ภามโพล่งขึ้นทันที ดวงตาคมเบิกกว้าง
ขุนส่ายหน้าก่อนจะเสริม “ที่ข้างตึกคณะมนุษย์ฯ ถ้ามึงอยากไป ก็รีบไปซะ!”
ภามขมวดคิ้วทันที “พวกมึงรู้ได้ไง!?”
โอมยักไหล่แล้วตอบแบบขำๆ “ก็พวกแม่งเล่นประกาศทั่วจนดังมาถึงตึกคณะพวกเรา ตอนนี้คนเริ่มไปรุมดูกันแล้วมั้ง”
คำพูดนั้นยิ่งทำให้ภามรู้สึกหงุดหงิดขึ้นไปอีก ภาพของข้าวในชุดที่เปียกเหงื่อเมื่อกี้ยังติดตาไม่หาย นี่ขนาดอยู่ในห้องน้ำกับเขาแค่ไม่กี่นาที ตัวเขายังแทบจะควบคุมตัวเองไม่ไหว แล้วถ้าผู้ชายคนอื่นเข้าไปใกล้ขนาดนั้นละ
ร่างสูงกำแก้วน้ำแน่นก่อนจะวางมันลงกับโต๊ะอย่างแรง
“ใคร?” เขาถามเสียงเย็น
“อะไรใคร” โอมทำเป็นไม่เข้าใจ
“ใครที่แม่งจะให้ดอกไม้ข้าว” ภามย้ำชัดถ้อยชัดคำ
โอมกับขุนสบตากันแวบหนึ่งก่อนจะหันมาหัวเราะเบาๆ
“ดูมึงเดือดขนาดนี้ กูว่ารีบไปเหอะวะ” กันรีบพูดขึ้น
ภามลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ทันทีก่อนจะคว้ากระเป๋าขึ้นพาดไหล่ แล้วเดินมุ่งตรงไปทางคณะมนุษย์ฯ อย่างไม่รอช้า
เพื่อนทั้งสามคนมองตามหลังเขาไป ก่อนจะโอมจะหันไปกระซิบกับกันและขุนเบาๆ
“กูว่าแม่งได้เรื่องแล้วละวะ ไอ้หมอนั่นมันจะรอดมั้ยวะ”
ภามรีบเดินอยย่างสุดกำลังไปยังตึกคณะมนุษย์ฯ แม้ว่าระยะทางจะไม่ไกลมาก แต่ในหัวของเขากลับรู้สึกว่ามันนานเกินไปราวกับทุกก้าวเดินของเขาถูกถ่วงเวลาเอาไว้
เมื่อไปถึง บรรดานักศึกษาสาวๆ ที่อยู่แถวนั้นต่างกริ๊ดกร๊าดทันทีเมื่อเห็นเขา ปกติภามไม่ค่อยโผล่มาที่คณะนี้และภาพของชายหนุ่มสุดหล่อจากคณะศิลปกรรมที่เดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ ยิ่งทำให้หลายคนพากันซุบซิบด้วยความสงสัย
“นั่นใครอะ”
“ใช่ ภามคณะศิลปกรรมปะ”
“ตัวจริงอย่างหล่ออะ”
ภามไม่ได้สนใจเสียงรอบข้างเลยแม้แต่น้อย ดวงตาคมเข้มกวาดมองไปรอบๆ อย่างรวดเร็วพยายามมองหาจุดที่เกิดเรื่อง
อีกไม่กี่วินาทีต่อมา เพื่อนทั้งสามของเขาก็ตามมาสมทบพลางหอบเล็กน้อยเพราะรีบวิ่งตามมา โอมมองสภาพภามก่อนจะขยับเข้ามากระซิบเบาๆ
“ใจเย็นนะมึง”
แต่ภามไม่ได้ตอบอะไร เขากำมือแน่นขณะมองไปข้างหน้าก่อนจะเห็นกลุ่มคนจำนวนหนึ่งมุงกันอยู่ตรงลานหน้าตึก
โดยไม่รอช้าภามรีบก้าวตรงไปทันทีแทรกตัวผ่านกลุ่มนักศึกษาที่มุงอยู่
เมื่อเข้าไปใกล้ขึ้นดวงตาของเขาก็สะดุดเข้ากับสภาพตรงหน้า
ข้าวกำลังยืนอยู่ในวงล้อมของเหล่าผู้ชายคณะมนุษย์ฯ
แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกไม่สบอารมณ์ที่สุด คือผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าข้าว ชายในเสื้อเชิ้ตนักศึกษาดูสะอาดสะอาดสะอ้าน มือข้างหนึ่งถือช่อดอกกุหลาบสีแดงสดเอาไว้ ขณะที่อีกข้างกำลังกำขากางเกงตัวเองไว้แน่น
เสียงรอบข้างเริ่มซาลงเล็กน้อยหลายคนหันมามองภามที่เพิ่งเข้ามาถึง โดยเฉพาะสาวๆ บางคนที่รู้จักชื่อเสียงของเขา
แต่เขาไม่ได้สนใจอะไรทั้งนั้น นอกจากผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าข้าว
ชายหนุ่มไม่รอช้า รีบก้าวเท้าแทรกกลุ่มคนพวกนั้นโดยไม่สนใจว่าใครจะขวาง เขากระชากข้อมือของข้าวให้เดินตามออกมาอย่างรวดเร็ว จนเธอเซเล็กน้อยเพราะยังตกใจ
แต่ก่อนที่เขาจะพาเธอเดินพ้นวงล้อมไป ผู้ชายคนนั้นก็รีบขยับตัวมายืนขวางทางไว้
“เดี๋ยว! นายเป็นใคร” เสียงเข้มของอีกฝ่ายดังขึ้น น้ำเสียงแฝงไปด้วยความไม่พอใจและความสงสัย
“ไม่เห็นเหรอว่าผมกำลังจะพูดอะไรบางอย่างกับผู้หญิงน่ารักคนนี้อยู่”
ภามหยุดเดิน ดวงตาคมกริบตวัดมองคนตรงหน้าสายตาเย็นชาและแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่แยแสแม้แต่น้อย
ข้าวยืนตัวแข็งทื่อ หัวใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
“ผมถามว่านายเป็นใคร” อีกฝ่ายย้ำถามอีกครั้งราวกับไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ
ภามแค่นหัวเราะเย็นชาก่อนจะก้าวเข้าไปใกล้จนแทบจะยืนประชิดผู้ชายคนนั้น ดวงตาของเขาเป็นประกายคมกริบราวกับนักล่าที่กำลังจ้องเหยื่อ
“กูจะเป็นใครก็ไม่ใช่เรื่องของมึง” น้ำเสียงของภามนิ่งและหนักแน่น แต่กลับกดดันอีกฝ่ายจนรู้สึกอึดอัด
เขาเลื่อนสายตามองต่ำลงเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นเจ้าของ
“แต่ผู้หญิงคนนี้เป็นของกู จบมั้ย”
ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกมา เสียงฮือฮาจากรอบข้างก็ดังขึ้นทันที
“ไอ้ภาม” เสียงโอมตะโกนขึ้นอย่างตกใจ
ข้าวเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เธอหันไปมองภามแต่เขายังคงยืนกอดอกและมองผู้ชายตรงหน้าอย่างไม่ลดละ
“ไม่จริงใช่มั้ย ข้าว” ผู้ชายคนนั้นหันมาถามเธอด้วยแววตาไม่อยากเชื่อ
แต่ก่อนที่ข้าวจะทันได้ตอบ ภามก็ช้อนตัวเธอขึ้นอย่างรวดเร็ว เสียงฮือฮาดังขึ้นอีกครั้งด้วยความตกใจ ผู้คนที่ยืนดูเหตุการณ์ต่างพากันหลีกทางให้เขาฝ่ากลุ่มคนออกไป
“ภาม นายจะทำอะไรนะ วางฉันลงเดี๋ยวนี้” ข้าวดิ้นแต่แรงของภามเหนือกว่ามาก
“เงียบหน่อย เดี๋ยวตก” น้ำเสียงของเขาเรียบนิ่งแต่แฝงความดุดัน ข้าวสัมผัสได้ถึงแรงบีบที่แขนเขามีต่อเธอ เป็นแรงที่ไม่เจ็บแต่แน่นพอจะบอกว่าเขาไม่มีทางปล่อยเธอลงง่ายๆ
เมื่อพ้นจากสายตาผู้คน ภามจึงค่อยๆ วางเธอลง แต่ยังไม่ปล่อยข้อมือเธอ
“นี่มันเรื่องอะไรกัน นายทำแบบนี้ทำไม” ข้าวถามเสียงสั่น หัวใจเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ
“แล้วเธอละ คิดจะตอบตกลงมันหรือไง” ภามถามเสียงกดต่ำ ดวงตาส่องประกายคมกริบราวกับรอคำตอบที่เขาเองไม่แน่ใจว่าต้องการได้ยินหรือไม่
“ฉัน..ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลย” ข้าวเบือนหน้าหนีรู้สึกได้ถึงความร้อนที่แล่นผ่านทั่วใบหน้า
ภามถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะปล่อยมือจากข้อมือเธอช้าๆ “ข้าว..เธอเป็นของฉัน”
“ฉันเป็นของนายตั้งแต่เมื่อไหร่” เธอถามออกมาด้วยน้ำเสียงแฝงไปด้วยความไม่พอใจ
ภามยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์และกวนประสาทในเวลาเดียวกัน
“ทุกตอน” เขาตอบเสียงเรียบๆ ก่อนจะโน้มตัวลงมาเล็กน้อย กระซิบใกล้ใบหูของเธอ “โดยเฉพาะคืนก่อนที่บ้านฉัน”
ข้าวเบิกตากว้าง หัวใจเต้นแรงจนแทบระเบิด
“หรือเธอจะเถียง?” เขาเอียงคอถาม ดวงตาคมวาวจ้องลึกเข้าไปในตาเธอ
ข้าวพูดไม่ออก ทำได้แค่กำมือแน่นและกัดริมฝีปากของตัวเอง
“ดี!” ภามยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะใช้ปลายนิ้วแตะเบาๆ ที่หน้าผากเธอราวกับกำลังหยอกเย้า “ถ้าไม่ปฏิเสธ ก็แปลว่าเธอเห็นด้วย”
ก่อนจะโน้มตัวลงไปกระซิบใกล้ๆ อีกครั้ง “คืนนี้ฉันจะจัดให้เธอแบบหนักเลย”
ข้าวตัวแข็งทื่อขึ้นมาทันที ความร้อนพุ่งขึ้นไปทั่วทั้งใบหน้า เธอรู้สึกเหมือนอากาศรอบตัวกลายเป็นไอร้อนจนแทบจะละลาย
แต่ก่อนที่เธอจะได้พูดอะไร มืออุ่นของภามก็คว้าข้อมือของเธอไว้แล้วออกแรงดึง
“ไปกันเถอะ” เขาพูดพร้อมกับพาเธอกลับ โดยไม่เปิดโอกาสให้เธอได้ปฏิเสธอะไรทั้งนั้น
หลังจากที่ภามพาข้าวมาส่งถึงหน้าบ้าน เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงความผิดปกติ บรรยากาศรอบๆ เงียบกว่าปกติ ไม่มีเสียงแม่หรือใครเดินไปมาเหมือนทุกครั้ง
“แปลกจัง” ข้าวพึมพำเบาๆ พลางขมวดคิ้ว
เธอหันไปมองภามที่ยืนอยู่ข้างๆ แต่ก่อนที่เธอจะได้พูดอะไรออกมา
ทันใดนั้น
ปุ้ง!
ลูกโป่งสีพาสเทลหลายลูกค่อยๆ ลอยขึ้นไปติดเพดาน ก่อนที่กลีบดอกไม้หลากสีจะโปรยปรายลงมาเบาๆ ทั่วทั้งห้องเหมือนหิมะที่โปรยลงมาในฤดูหนาว
ข้าวเบิกตากว้าง หัวใจเต้นระรัวกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า
“อะ..อะไรอะ” เธอหลุดเสียงออกมาพลางหันมองรอบๆ ห้องอย่างไม่อยากเชื่อสายตาของตัวเอง
บรรยากาศภายในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้จากกลีบดอกกุหลาบที่กระจายเต็มพื้น พร้อมกับแสงไฟสีส้มอ่อนๆ ที่ช่วยเพิ่มบรรยากาศให้อบอุ่น
ข้าวหันขวับกลับมาทางภาม ใบหน้ายังเต็มไปด้วยความตกใจและคำถาม
“ภาม…นี่มัน..” แต่ก่อนที่เธอจะพูดจบ
ชายหนุ่มก็ค่อยๆ ยื่นช่อดอกไม้ช่อใหญ่มาตรงหน้าเธอ
ช่อดอกกุหลาบสีแดงและสีชมพูอ่อนถูกจัดไว้อย่างสวยงาม ภายในช่อมีดอกลิลลี่แซมอยู่เล็กน้อยพร้อมกับริบบิ้นที่ถูกผูกอย่างประณีต
“เอ๊ะ!” ข้าวมองช่อดอกไม้ที่ถูกยื่นมาตรงหน้าด้วยสายตาที่อึ้งปนดีใจสุดขีด
ภามมองเธอพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ ในขณะที่ใบหูของเขาเริ่มขึ้นสีจางๆ
“รอนี่อยู่ใช่เปล่า” เขาพูดเบาๆ น้ำเสียงติดขัดเล็กน้อยเหมือนกำลังพยายามเก็บซ่อนความเขินอายของตัวเอง
ข้าวค่อยๆยื่นมือออกไปรับช่อดอกไม้พลางกอดมันไว้แนบอก ความรู้สึกอบอุ่นบางอย่างกำลังเอ่อล้นอยู่ในใจเธอ
“ทำไมให้ฉัน” เธอถามออกมาเบาๆ
ภามเลื่อนสายตามามองเธอ ก่อนจะก้าวเข้ามาใกล้อีกก้าว
“เพราะเธอเป็นของฉันไง”
ข้าวเงยหน้ามองเขา ดวงตาเบิกกว้างคำพูดตรงไปตรงมานั้น
“ฉันไม่..”
แต่ไม่ทันที่เธอจะพูดจบ ภามก็ยกมือขึ้นมาแตะที่ริมฝีปากของเธอเบาๆ
“ไม่ต้องพูดแล้ว ข้าว”
ข้าวกลืนน้ำลายลงคอ ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง
“ฉันรู้ว่าเธอก็รู้สึกเหมือนกัน” ภามพูดต่อพร้อมกับยื่นมือออกมาสัมผัสแก้มของเธอเบาๆ
ก่อนที่ข้าวจะทันได้พูดอะไรต่อ ภามก็ค่อยๆ โน้มใบหน้าเข้ามาใกล้
เธอแทบหยุดหายใจเมื่อสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ของเขาที่รินรดอยู่ตรงริมฝีปากของเธอ
แล้วริมฝีปากของทั้งคู่ก็ค่อยๆ แนบเข้าหากัน สัมผัสนั้นนุ่มนวลแต่แฝงไปด้วยความลึกซึ้งและความรู้สึกที่อัดแน่นมาตลอดเวลาทที่อยู่ด้วยกัน มันเป็นจูบที่ไม่ได้เร่งรีบ แต่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนและอบอุ่น
ข้าวรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังหยุดหมุน
ภามใช้มือข้างหนึ่งประคองใบหน้าของเธอเอาไว้เบาๆ นิ้งโป้งเกลี่ยแก้มของเธออย่างทะนุถนอม ในขณะที่อีกมือค่อยๆ โอบเอวของเธอให้แนบชิดกันมากขึ้น
เธอหลับตาลงปล่อยให้ตัวเองดำดิ่งไปกับความรู้สึกที่ภามส่งผ่านจูบนี้
เขาจูบเธออย่างลึกซึ้งราวกับต้องการย้ำเตือนว่าเธอเป็นคนของเพียงคนเดียว
“ขอบคุณนะภาม”