เมื่อเอมี่ก้าวขึ้นรถไฟ ณ เวลาเที่ยงคืนพอดิบพอดี สิ่งต่างๆ รอบตัวเริ่มแปลกพิลึกพิลั่นขึ้นทุกที
ผจญภัย,ระทึกขวัญ,ลึกลับ,พารานอมอล,สยองขวัญ,พล็อตสร้างกระแส,ผจญภัย,ผี,แฟนตาซี,สืบสวนสอบสวน,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
รถไฟสายเที่ยงคืนเมื่อเอมี่ก้าวขึ้นรถไฟ ณ เวลาเที่ยงคืนพอดิบพอดี สิ่งต่างๆ รอบตัวเริ่มแปลกพิลึกพิลั่นขึ้นทุกที
เรื่องราวของหญิงสาวที่ติดอยู่บนขบวนรถไฟลึกลับซึ่งเต็มไปด้วยกฎแปลกประหลาดที่เธอต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเพื่อเอาชีวิตรอด ทุกตู้โดยสารซ่อนความลับอันน่าสะพรึงกลัว และอันตรายที่มองไม่เห็น การละเมิดกฎแม้เพียงข้อเดียวอาจนำไปสู่ชะตากรรมที่เลวร้ายยิ่งกว่าความตาย ขณะที่เธอพยายามไขปริศนาของรถไฟสายต้องสาป เธอกลับพบว่าการหลบหนีอาจต้องแลกมาด้วยบางสิ่งที่น่าสะพรึงยิ่งกว่า...
เขียนโดย: Lady from hell
แปลโดย "ณ เสียงฝน" (เจ้าของเพจ Tales Corner)
หมายเหตุ:
นิยายแปลเรื่องนี้ได้รับความกรุณาจากผู้เขียนที่อนุญาตให้เราทำการแปลและเผยแพร่ได้ แต่ละตอนยาวมากกก เราแปลสุดฝีมือมาให้อ่านกันค่ะ หากเพื่อนๆ ผู้อ่านเพลิดเพลินกับเรื่องราวสนุกๆ และเห็นคุณค่าในความตั้งใจแปลและถ่ายทอดเนื้อหาเป็นภาษาไทยเพื่อให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น เพื่อนๆ สามารถสนับสนุนงานแปลด้วยการติดตามผลงานกันต่อไปเรื่อยๆ หรือส่งของขวัญ เป็นกำลังใจให้ได้สร้างผลงานดีๆ ต่อไปน้าา ขอบคุณค่ะ 💖
เนื้อหาฉบับแปลและสำนวนการแปลในหนังสือเล่มนี้ ถือเป็นลิขสิทธิ์ของผู้แปลและเว็บนอนไม่หลับแต่เพียงผู้เดียว จัดทำขึ้นเพื่อความบันเทิงของผู้อ่านเท่านั้น ห้ามทำซ้ำ คัดลอก ลอกเลียน ดัดแปลง ปลอมแปลง จัดเผยแพร่ จำหน่าย ให้เช่า เข้าครอบครอง เรียกถึงข้อมูล บันทึก ส่งผ่าน หรือนำไปอ่านเผยแพร่ในเว็บใดๆ ทั้งสิ้นไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่งหรือทั้งหมด รวมทั้งไม่อนุญาตให้นำไปเล่าเรื่องด้วยเสียงผ่าน YouTube และ/หรือเว็บอื่นใดทั้งสิ้น หากพบเห็นจะถือเป็นการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา และจะดำเนินตามกฎหมายให้ถึงที่สุด
มันเป็นความผิดของฉันเอง ที่จริงฉันเป็นคนขี้กังวลและมักจะเช็กให้แน่ใจทุกครั้งก่อนขึ้นรถไฟ เช็กแล้วเช็กอีกจนแน่ใจเลยล่ะ แต่คราวนี้กลับไม่ได้เช็ก นั่นเป็นเพราะตอนนี้ดึกมากแล้ว ฉันเพิ่งทำงานกะกลางคืนเสร็จ แถมหลงทางในตัวเมืองที่ยังไม่รู้จักดีนัก กว่าจะมาถึงสถานีก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว
ที่สถานีตอนนี้ไม่มีใครอยู่เลย ซึ่งก็เป็นถือเรื่องธรรมดาเพราะวันนี้เป็นวันจันทร์และเวลาตอนนี้ใกล้เที่ยงคืนเต็มที แถมฝนยังตกหนักมาเป็นชั่วโมงแล้วด้วย หยาดฝนหนาหนักกระทบหลังคาเหล็กเสียงดังสนั่น ฉันปัดฮู้ดเปียกโชกไปข้างหลังแล้วรีบวิ่งไปที่เครื่องขายตั๋ว บ้านของฉันตั้งอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ห่างจากตัวเมืองออกไปไม่กี่กิโลเมตร แน่นอนว่าราคาตั๋วค่อนข้างแพงสำหรับแค่สามสถานีแต่ฉันก็ไม่ได้คิดอะไรมากเพราะอยากกลับบ้านเต็มที
ความมืดและสายฝนทำให้ทุกอย่างดูแปลกตาไปหมด ฉันเองที่ต้องใช้สายตาจ้องจอคอมพิวเตอร์มาแล้วทั้งวันยิ่งทำให้การมองเห็นแย่เข้าไปใหญ่ ปกติ ฉันจะเช็กชานชาลาเสมอ แต่คราวนี้ฉันเดินไปที่ชานชาลาหมายเลขสี่และห้าแล้วเดินขึ้นรถไฟที่จอดรออยู่ก่อนแล้วทันที นั่นเป็นเพราะรถไฟของฉันจะออกภายในสามนาทีและถ้าพลาดขบวนนี้ ฉันต้องรออีกหนึ่งชั่วโมงกว่าขบวนต่อไปจะมาถึง สถานีรถไฟตอนกลางคืนน่ากลัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับหญิงสาวตัวคนเดียววัย 21 ที่ไม่รู้วิธีการต่อสู้ป้องกันตัวอะไรเลย
พอก้าวข้ามธรณีประตูขึ้นมาได้ก็รู้สึกสับสนขึ้นมาทันทีกับการตกแต่งภายในที่ดูโบราณแปลกหูแปลกตา แต่ก็ไม่ได้มีความหมายอะไรมากนักสำหรับฉัน บางทีทางสถานีอาจใช้รถไฟเก่าสำหรับเที่ยวรถไฟรอบเที่ยงคืนเป็นต้นไปก็เป็นได้
ฉันไม่มีเวลาคิดมากนักเพราะเจ้าหน้าที่ตรวจตั๋วเดินมาหาพอดี เขาสวมเครื่องแบบสีน้ำเงินเข้มล้าสมัย และนั่นเป็นสิ่งเดียวที่ฉันจำได้เกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาของเขา ใบหน้าของเขาดูแสนธรรมดา “สวัสดีครับคุณผู้หญิง” เขากล่าวทักทาย
ใช้คำโบราณจัง ฉันคิดในใจ ไม่เคยมีใครเรียกฉันว่า “คุณผู้หญิง” มาก่อน ฉันยิ้มอ่อนๆ ให้เขาและกล่าวทักทายกลับขณะประตูรถไฟเลื่อนปิดตามหลัง
“เชิญทางนี้ครับผม” เจ้าหน้าที่ตรวจตั๋วกล่าว
ฉันพยักหน้า สับสนแต่ไม่ได้กังวลอะไร เขาเดินนำไปตามทางเดินผ่านแถวห้องพักไร้หน้าต่างขณะรถไฟเริ่มเคลื่อนขบวนออกจากสถานี แล้วเพิ่มสปีดอย่างรวดเร็ว ที่จริงฉันจะยืนรอที่ประตูรถไฟก็ได้ เพราะจากสถานีไปถึงบ้านใช้เวลาแค่ประมาณสิบนาที แต่ก็ไม่อยากขัดใจเจ้าหน้าที่ตรวจตั๋ว
“จะดูตั๋วฉันไหมคะ” ฉันถาม มือดึงเอาตั๋วรถไฟออกจากกระเป๋าแจ็คเก็ต
“ผมจะตรวจตอนไปถึงที่หมายแล้ว” น่าแปลก.. ฉันขึ้นรถไฟทุกวันและเจ้าหน้าที่มักจะมาตรวจตั๋วแทบจะทันทีหรือไม่ก็ภายในสองสามนาทีหลังขึ้นรถไฟ แต่พวกเขาไม่เคยตรวจตั๋วตอนจะลงเลยสักครั้งเดียว มีบางอย่างเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่คนนี้ที่แปลกเอามากๆ ฉันเริ่มรู้สึกหวาดๆ และกำสายกระเป๋าเป้แน่นขึ้นอีกนิด เผื่อต้องใช้มันฟาดหน้าใคร
“ตู้นอนหมายเลขสามสำหรับคุณผู้หญิง” เจ้าหน้าที่ตรวจตั๋วกล่าวพร้อมเปิดประตูให้ ฉันเดินเข้าไปด้านใน หางตาบังเอิญเหลือบเห็นเงาสะท้อนของเราทั้งคู่ในหน้าต่างตรงข้ามประตู
ฉันดูปกติ เปียกโชกจากสายฝน แต่ปกติดี..
เจ้าหน้าที่ตรวจตั๋วดูเกือบจะปกติ แทบจะปกติ เว้นแต่ว่าดวงตาของเขาลึกโบ๋เรืองแสงสีแดงในเบ้าตาสีดำสนิท รอยยิ้มกว้างผิดมนุษย์และฟันแหลมเหมือนฟันฉลามเต็มปาก ผิวหนังของเขาดำคล้ำดูเหมือนหนังสัตว์ขึงตึงรอบหัวกะโหลก
ฉันกรี๊ดลั่น ผงะไปด้านหลังมือ ดึงกระเป๋าเป้มาด้านหน้าเพื่อกำบังตัวเองจากสัตว์ประหลาด แต่ชายตรงหน้ากลับมามีหน้าตาแสนธรรมดาอีกครั้ง “เป็นอะไรไปหรือครับคุณผู้หญิง” เขาถามแล้วก้าวไปด้านข้าง ฉันเหลือบไปมองข้างหลังเพื่อดูเงาสะท้อนอีกครั้งและเห็นแต่ตัวฉันเองที่หน้าซีดเผือดตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว
“ไม่มีอะไรค่ะ” ฉันบอกเขาใจรู้ว่าน้ำเสียงไม่น่าเชื่อถือสักเท่าไหร่ แค่อยากให้ชายคนนี้ไปให้พ้นและไม่ต้องได้เห็นหรือคิดถึงเขาอีก
“ถ้าอย่างนั้น..” เจ้าหน้าที่น่าขนลุกยิ้ม “ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็อย่าได้เกรงใจครับ ผมจะบอกคุณล่วงหน้าเมื่อเราไปถึงที่หมายแล้ว”
ฉันอยากจะพูดว่าแค่ไม่กี่นาทีก็จะถึงหมายแล้วแต่ตัดสินใจเงียบไว้ก่อน ยิ่งเลิกคุยกันเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น ฉันพยายามขยับตัวเพื่อแอบมองไปที่หน้าต่างอยู่สองสามครั้ง แต่ก็หาเงาสะท้อนของเขาไม่เจอ
“งั้นผมขอตัวก่อน” เจ้าหน้าที่ตรวจตั๋วกล่าวอีกครั้ง “ขอให้เพลิดเพลินไปกับการเดินทางนะครับคุณผู้หญิง ขอบคุณที่เลือกใช้บริการรถไฟสายเที่ยงคืน”
ฉันกล่าวขอบคุณ แม่ของฉันบอกเสมอให้ทำตัวสุภาพกับใครก็ตามที่ทำหน้าที่ของเขาเป็นอย่างดี ไม่ว่านั่นจะหมายรวมถึงชายน่ากลัวที่อาจเป็นผีปีศาจหรือไม่ฉันก็ไม่แน่ใจ ที่รู้แน่ก็คือ ฉันไม่อยากทำให้เขาโมโห
พอเขาออกไปแล้วประตูปิด ฉันรีบเปิดประเป๋าเป้แล้วหยิบมือถือออกมา จำได้ว่าขึ้นรถไฟก่อนเวลาเที่ยงคืนพอดีและอยากเช็กดูว่าตอนนี้มันกีโมงแล้ว ใจเอาแต่หวนคิดถึงภาพสะท้อนน่าสะพรึงกลัวนั่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ก็พยายามปัดความคิดนั้นทิ้งไป บางที ฉันอาจจะเหนื่อยจากงานมากเกินไป ตาเลยมองเห็นอะไรผิดไปก็ได้
ที่แปลกก็คือว่าเวลาผ่านไปเกือบสิบนาทีแล้วตั้งแต่ขึ้นรถไฟมา ซึ่งน่าจะผ่านสถานีรถไฟอย่างน้อยหนึ่งสถานีแล้ว ฉันเดินไปที่หน้าต่างแล้วมองออกไปที่ความมืดมิดด้านนอก ไม่มีแสงไฟใดๆ เลยแม้แต่ดวงเดียว
มีอะไรบางอย่างผิดปกติเอามากๆ
ฉันพยายามคิดหาเหตุผล หรือว่าไฟฟ้าดับแต่ไม่มีผลกับรถไฟ? นาฬิกาบนมือถือของฉันอาจทำงานไม่ถูกต้อง? มันฟังดูไม่สมเหตุผลเอาเลย ฉันถือมือถือแนบอกเพื่อพยายามไม่ให้มือสั่นพร้อมหย่อนตัวลงนั่งบนเตียง ตอนนี้จะทำอะไรได้นอกจากรอ?
ตอนลงนั่ง ฉันได้ยินเสียงกระดาษดังกรอบแกรบอยู่ข้างใต้ ตอนแรกไม่ได้สังเกตมาก่อน แต่มีกระดาษแผ่นหนึ่งวางอยู่บนเตียง เดาเอาว่าผู้โดยสารคนก่อนคงลืมทิ้งไว้ ฉันหยิบขึ้นมาอ่าน..
ถึงผู้โดยสาร คุณอาจจะพอสังเกตเห็นบ้างแล้วว่ารถไฟขบวนนี้ไม่ธรรมดา ถ้ายังไม่รู้ ก็น่าจะได้รู้เร็วๆ นี้ ฉันได้เขียนกฏต่างๆ ไว้ให้และหวังว่าฉันลงรายละเอียดไว้ครบ คุณจำเป็นต้องทำตามกฎเหล่านี้อย่างเคร่งครัด อย่าลืมแก้ไขและเพิ่มกฏในรายการนี้เท่าที่จำเป็น ฉันจะขอบคุณมากถ้าคุณจะทิ้งกระดาษแผ่นนี้ไว้ในตู้นอนนี้ก่อนลงจากรถไฟ เพื่อจะได้ช่วยผู้โดยสารที่น่าสงสารรายต่อไป โชคดีนะ!
1 ถ้าคุณได้ซื้อตั๋วจากสถานี คุณจะไปถึงที่หมายในที่สุด มันอาจใช้เวลาหน่อยแต่คุณจะไปถึงที่หมายแน่ แต่ถ้าคุณไม่ได้ซื้อตั๋ว ฉันเสียใจด้วย คุณจะไม่มีวันได้ออกไปจากรถไฟขบวนนี้
2 ให้ระวังผู้โดยสารรายอื่นๆ ให้ดี บางคนก็เหมือนคุณ บางคนใจดี และบางคนเต็มไปด้วยเจตนาร้าย มันยากที่จะแยกแยะพวกเขา
3 ห้ามเข้าไปในตู้นอนหมายเลข 18 เด็ดขาด ไม่ว่าจะได้ยินเสียงอะไรจากด้านในก็ตาม
4 บางครั้งเด็กๆ จะอยากเล่นซน ให้ทำเมินเสียจนกว่าพวกเขาจะหายไป เกมของเด็กพวกนั้นไม่เหมาะสำหรับคนธรรมดาอย่างพวกเรา
5 เจ้าหน้าที่ตรวจตั๋วไม่ใช่ทั้งเพื่อนและศัตรู เขาแค่ทำงานตามหน้าที่เท่านั้น ดังนั้นให้ปฏิบัติต่อเขาด้วยความนับถือ และอย่าได้จ้องเขานานเกินไป มันเป็นการเสียมารยาท
6 คุณจะกินอะไรก็ได้จากตู้ขายอาหารหยอดเหรียญ หรือคุณจะไปที่ตู้ร้านอาหารก็ได้ตามใจคุณ แต่ให้ระวัง ถ้าเด็กเสิร์ฟใส่หูกระต่ายสีแดง อย่าแตะต้องอาหารนั้น ให้แกล้งทำเป็นป่วยแล้วขอตัวกลับตู้นอน ถ้าเด็กเสิร์ฟไม่มีหน้า ให้วิ่งกลับไปแอบในตู้นอนคุณ ถ้าเด็กเสิร์ฟเป็นหญิงร่างสูงมีผมขาว ให้กรีดมือตัวเองแล้วหยดเลือดของคุณบนจานใบนั้น ถ้าหญิงร่างสูงผมขาวหยิบจานนั่นแล้วเดินจากไป เธอจะกลายมิตรกับคุณ
7 ถ้าไฟกระพริบครั้งเดียวหรือสองครั้ง ไม่เป็นไร แต่ถ้าไฟกระพริบสามครั้งหรือมากกว่านั้น ให้ออกจากตู้นอนทันทีแล้วแจ้งเจ้าหน้าที่ตรวจตั๋ว คุณต้องออกจากตู้นั้นก่อนไฟจะดับ
8 มีชายคนหนึ่งในโค้ทกันฝน เขาจะดูเหมือนนักสืบที่หลุดออกมาจากภาพยนตร์ รูปลักษณ์ของเขาออกจะน่ากลัวเล็กน้อย แต่คุณไว้ใจเขาได้ เขาอยู่ข้างเดียวกับคุณ
9 มีผู้หญิงในชุดแต่งงานสีขาวคนหนึ่งนั่งร้องไห้อยู่ที่ระเบียงท้ายรถไฟ ฉันไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงร้องไห้ ไม่รู้ว่าจะทำให้เธอหยุดร้องไห้ได้ยังไง เธอไม่อันตรายแต่จะไม่ตอบโต้เวลาคุณคุยกับเธอ คุณไปเยี่ยมเธอได้บ่อยๆ เธอจะไม่ทำร้ายคุณ
10 รถไฟขบวนนี้ขยายยาวขึ้นและหดสั้นลงเป็นครั้งคราว ฉันไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะอะไรแต่ไม่ต้องกังวลถ้าการเดินไปไหนมาไหนจะรู้สึกเหมือนยาวนานผิดปกติ
11 ตลอดการเดินทาง รถไฟขบวนนี้จะหยุดเป็นระยะตามเมืองต่างๆ คุณจะออกไปเดินสำรวจก็ได้ แต่ก่อนไปให้ถามเจ้าหน้าที่ตรวจตั๋วถึงกฎของเมืองนั้นๆ จดลงกระดาษไว้ก็ได้ถ้ากลัวลืม
12 ห้ามออกจากตู้นอนระหว่างเวลาตี 1 ถึงตี 4 เด็ดขาด และห้ามเปิดประตูตู้นอนในช่วงเวลานั้น ถ้าได้ยินเสียงกรงเล็บขูดประตู ให้ทำเป็นไม่ได้ยิน ถ้าได้ยินเสียงคนขอเข้ามาข้างใน ให้ตะโกนไล่ออกไปดังๆ คุณจะทำให้นักล่าโมโหถ้าไปขโมยเหยื่อของเขา
13 หญิงขอทานตาบอดมักให้คำแนะนำที่ดีแต่ไม่ฟรี ก่อนที่จะยอมรับความช่วยเหลือให้ถามให้แน่ใจก่อนว่าเธอต้องการอะไรเป็นสิ่งตอบแทน
14 บางครั้ง จะมีเลือดไหลเอ่อออกมาจากห้องน้ำ เด็กสาวในนั้นตายไปแล้ว ไม่ต้องพยายามเข้าไปช่วย
15 ตู้นอนของคุณเป็นของคุณคนเดียว ถ้ามีใครมาบอกว่าเขาเป็นเพื่อนร่วมห้อง ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตรวจตั๋วและห้ามบอกชื่อของคุณกับพวกเขาเด็ดขาด!
16 คุณอาจได้พบกับศพแช่แข็ง พวกเขาไม่เป็นอันตราย ลองคุยกับพวกเขาดู พวกเขาอยู่อย่างโดดเดี่ยวมานานมากแล้ว คุณจะเสนออาหารหรือเครื่องดื่มให้พวกเขาก็ได้ แต่อย่ารับอาหารจากพวกเขา ไม่ใช่ว่าพวกเขาคิดร้ายกับคุณ แต่เพราะทุกอย่างที่พวกเขามีมันเน่าเปื่อยไปพร้อมกับพวกเขาด้วย
17 ทั้งมนุษย์และปีศาจร้ายต่างเกรงกลัวเปลวไฟไม่ต่างกัน
18 อยู่ให้ห่างจากชายหัวล้านตาสีฟ้าที่หิ้วกระเป๋าเอกสาร แต่ถ้าเจอเขาให้ทำตัวสุภาพเข้าไว้ เขาอยู่ที่นี่มานานและรถไฟขบวนนี้ฟังความคิดเห็นของเขา
รายการบนกระดาษดูเหมือนถูกลงรายระเอียดโดยผู้โดยสารหลายคน ดูจากกฎเกี่ยวกับตู้ร้านอาหารซึ่งถูกเขียนโดยสามลายมือที่แตกต่างกัน บางคนเขียนอย่างบรรจง บางคนเขียนหวัดๆ อย่างรีบร้อน
ฉันไม่ใช่คนประเภทที่จะเชื่อเรื่องพวกนี้ แต่ก็ได้เห็นภาพสะท้อนน่ากลัวของเจ้าหน้าที่ตรวจตั๋วเมื่อกี้ รถไฟวิ่งเต็มสปีดมาสิบห้านาทีโดยไม่หยุดที่สถานีไหนเลย และฉันไม่คิดว่ากระดาษแผ่นนี้เป็นเรื่องตลก นี่เป็นเรื่องจริง และพูดตามตรง ตอนนี้ฉันกลัวจนตัวสั่นไปหมด
ฉันรีบหยิบตั๋วออกจากกระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ต บอกตัวเองให้ระวังตั๋วหาย ใจนึกถึงกฎข้อหนึ่งและคำพูดของเจ้าหน้าที่ตรวจตั๋วที่ว่าเขาจะเช็กตั๋วตอนถึงที่หมาย
พอแน่ใจว่าตั๋วยังอยู่ ฉันเก็บมันแนบไว้ในเคสมือถือ พอแน่ใจว่าตั๋วอยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว ฉันเอนตัวลงนอนบนเตียงตามองเพดาน หัวใจเต้นแรงเนื้อตัวสั่นเทา ฉันรู้ว่าต้องรอ จะทำอะไรอื่นได้ล่ะ? ใช่ว่าจะกระโดดหนีทางหน้าต่างได้ ในเมื่อรถไฟวิ่งด้วยความเร็วสูงฝ่าความมืดสนิทข้างนอกแบบนี้
ฉันเริ่มอ่านกฏที่ว่าซ้ำแล้วซ้ำอีก พยายามจำแต่ละข้อให้ได้ขึ้นใจ อาจเป็นไปได้ที่กฏพวกนี้จะเป็นเรื่องโกหก แต่ฉันว่าเผื่อไว้ก่อนจะเป็นการดีกว่า
เวลาตอนนี้ประมาณตีหนึ่งครึ่ง มีเสียงกรงเล็บแหลมคมขูดประตูไม้อยู่นอกตู้นอน กฎบอกให้ทำเป็นไม่ได้ยิน แต่มันพูดง่ายทำยาก ฉันนั่งขดเบียดตัวเข้ากับกำแพงด้านหลัง พยายามไม่ขยับเขยื้อนเริ่มหายใจหอบ
จำตอนยังเด็กเวลาเกิดกลัวขึ้นมากลางดึกได้มั้ย ตอนที่คุณแอบอยู่ใต้ผ้าห่มแล้วรู้สึกปลอดภัย แน่ใจว่าปิศาจน่ากลัวที่อยู่ข้างนอกนั่นจะทำอะไรคุณไม่ได้ตราบใดที่คุณอยู่ใต้ผ้าห่ม นั่นละสิ่งที่ฉันทำ ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมถึงคออย่างกับว่าผ้าห่มบางๆ ผืนนี้จะปกป้องฉันจากอะไรก็ตามที่ใช้กรงเล็บขูดประตูที่ไม่ได้ล็อกอยู่ข้างนอกตอนนี้ได้ ฉันไม่ใช่คนเคร่งศาสนา แต่ในตอนนี้ฉันสวดอธิษฐานต่อพระเจ้าให้ผ่านพ้นคืนนี้ไปได้
พอเสียงขูดประตูเงียบลง ฉันรู้สึกโล่งใจอยู่สักพัก แต่แล้วแค่ไม่กี่นาทีต่อมา มีเสียงเคาะประตูอย่างแรงจากด้านนอก “ขอเข้าไปที!” ใครบางคนตะโกนอยู่ข้างนอก “ได้โปรดละ พวกมันจะฆ่าผม!”
ฉันรู้ว่าต้องทำยังไง “ไปให้พ้น!” ฉันตะคอกเสียงดัง หูได้ยินเสียงสั่นเครือของตัวเอง
“ขอร้องล่ะ!” เสียงเขาดูเหมือนได้รับบาดเจ็บ “ขอร้อง พวกมันจะทำร้ายผม มันจะฆ่าผม!”
ฉันสงสารเขาจับใจ น้ำตาไหลอาบแก้มเพราะรู้ว่าไม่อาจช่วยชายคนนี้ได้ ฉันจะเสี่ยงไม่ได้ “นั่นไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน!” ฉันตะโกนตอบ
“ช่วยผมด้วย!” เขาวิงวอน “ผมเจ็บ ขอร้องละ!”
“ไปให้พ้น!”
เขาร้องลั่นไปพร้อมๆ กับวิงวอนและร้องอย่างเจ็บปวด ฉันได้ยินเสียงเปียกน่าสะอิดสะเอียน ตามด้วยเสียงหอนโหยหวนเหมือนหมาบ้า ฉันกัดริมฝีปาก พยายามกลั้นเสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว อะไรก็ตามที่กำลังเกิดขึ้นข้างนอกนั่นทำเอาฉันตัวแข็งทื่อด้วยความกลัว ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ
เมื่อเสียงร้องเงียบลงในที่สุด ฉันมองประตูด้วยความหวาดกลัวสุดขีดเมื่อมันแง้มเปิดช้าๆ ฉันลุกยืนทันทีเตรียมพร้อมจะออกวิ่ง รู้ทั้งรู้ว่าโอกาสรอดมีไม่มากนัก ฉันยืนกลางตู้นอน ผ้าห่มพันรอบตัว ขาสั่นรุนแรงจนแทบทรุดลงกับพื้น
ร่างชายคนหนึ่งในชุดนักล่านองเลือดก้าวเข้ามา ใบหน้าและผิวหนังแทบทั้งหมดซ่อนอยู่ภายใต้ชุดหนัง ฉันไม่กล้ามองดูใบหน้าซีดและมือผิดมนุษย์ของเขานานนัก ใจนึกกลัวสิ่งที่อาจจะได้เห็น
“คุณช่วยผมล่าเหยื่อในคืนนี้” เขากล่าวด้วยเสียงแหบแห้งเหมือนไม่ได้พูดมาแรมปี
ฉันพยักหน้าเพราะยังร้องไห้ไม่หยุดและไม่รู้จะพูดอะไร
“เมื่อถึงเวลา ผมจะช่วยคุณ” นักล่ากล่าว ยกกำปั้นข้างขวาขึ้นทาบอกแล้วโค้งคำนับ ด้วยความที่ไม่รู้จะตอบว่ายังไง ฉันโค้งคำนับเลียนแบบท่าทีของเขา นักล่าพยักหน้ารับแล้วเปิดประตูเดินออกไป เขาปิดประตูตามหลังแล้วปล่อยฉันไว้ตามลำพังอีกครั้ง นั่นเป็นตอนที่ฉันทรุดฮวบลงบนเตียงร้องไห้สะอึกสะอื้น
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อประมาณห้าชั่วโมงที่แล้ว มาจนถึงตอนนี้ฉันก็ยังข่มตานอนไม่ลง ได้แต่พยายามตั้งสติและตัดสินใจว่าจะทำยังไงต่อไป แน่นอนว่าฉันมีทางเลือกไม่มากนัก นอกเหนือไปจากต้องรอให้รถไฟขบวนนี้ไปถึงจุดหมาย และจนกว่าจะถึงเวลานั้น ฉันจะต้องทำตามกฎอย่างเคร่งครัด ตอนนี้ฉันจำกฎได้ทุกข้อแล้วแต่ยังคงเก็บกระดาษแผ่นนั้นเอาไว้กับตัว เผื่อว่าต้องอ่านอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
ตอนนี้เวลาหกโมงเช้า พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว แต่ข้างนอกยังดูเบลอๆ สัญญาณมือถือและอินเตอร์เน็ตดูจะทำงานได้เป็นปกติดี ซึ่งดีมากเลย ฉันโทรไปแจ้งที่ทำงานว่าเป็นไข้และขอลาพักสองสามวัน
เอาไว้ฉันจะมาอัปเดตให้ฟังอีกนะว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างที่นี่
สำหรับตอนนี้ ฉันคงต้องออกไปหาอะไรกินจากตู้หยอดเหรียญก่อน ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงไปที่ตู้ร้านอาหารวันนี้ แล้วค่อยดูอีกทีว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น หวังว่าอีกไม่นาน.. รถไฟขบวนนี้จะพาฉันกลับถึงบ้านเสียที
-- จบตอน --