เมื่อเอมี่ก้าวขึ้นรถไฟ ณ เวลาเที่ยงคืนพอดิบพอดี สิ่งต่างๆ รอบตัวเริ่มแปลกพิลึกพิลั่นขึ้นทุกที
ผจญภัย,ระทึกขวัญ,ลึกลับ,พารานอมอล,สยองขวัญ,พล็อตสร้างกระแส,ผจญภัย,ผี,แฟนตาซี,สืบสวนสอบสวน,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
รถไฟสายเที่ยงคืนเมื่อเอมี่ก้าวขึ้นรถไฟ ณ เวลาเที่ยงคืนพอดิบพอดี สิ่งต่างๆ รอบตัวเริ่มแปลกพิลึกพิลั่นขึ้นทุกที
เรื่องราวของหญิงสาวที่ติดอยู่บนขบวนรถไฟลึกลับซึ่งเต็มไปด้วยกฎแปลกประหลาดที่เธอต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเพื่อเอาชีวิตรอด ทุกตู้โดยสารซ่อนความลับอันน่าสะพรึงกลัว และอันตรายที่มองไม่เห็น การละเมิดกฎแม้เพียงข้อเดียวอาจนำไปสู่ชะตากรรมที่เลวร้ายยิ่งกว่าความตาย ขณะที่เธอพยายามไขปริศนาของรถไฟสายต้องสาป เธอกลับพบว่าการหลบหนีอาจต้องแลกมาด้วยบางสิ่งที่น่าสะพรึงยิ่งกว่า...
เขียนโดย: Lady from hell
แปลโดย "ณ เสียงฝน" (เจ้าของเพจ Tales Corner)
หมายเหตุ:
นิยายแปลเรื่องนี้ได้รับความกรุณาจากผู้เขียนที่อนุญาตให้เราทำการแปลและเผยแพร่ได้ แต่ละตอนยาวมากกก เราแปลสุดฝีมือมาให้อ่านกันค่ะ หากเพื่อนๆ ผู้อ่านเพลิดเพลินกับเรื่องราวสนุกๆ และเห็นคุณค่าในความตั้งใจแปลและถ่ายทอดเนื้อหาเป็นภาษาไทยเพื่อให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น เพื่อนๆ สามารถสนับสนุนงานแปลด้วยการติดตามผลงานกันต่อไปเรื่อยๆ หรือส่งของขวัญ เป็นกำลังใจให้ได้สร้างผลงานดีๆ ต่อไปน้าา ขอบคุณค่ะ 💖
เนื้อหาฉบับแปลและสำนวนการแปลในหนังสือเล่มนี้ ถือเป็นลิขสิทธิ์ของผู้แปลและเว็บนอนไม่หลับแต่เพียงผู้เดียว จัดทำขึ้นเพื่อความบันเทิงของผู้อ่านเท่านั้น ห้ามทำซ้ำ คัดลอก ลอกเลียน ดัดแปลง ปลอมแปลง จัดเผยแพร่ จำหน่าย ให้เช่า เข้าครอบครอง เรียกถึงข้อมูล บันทึก ส่งผ่าน หรือนำไปอ่านเผยแพร่ในเว็บใดๆ ทั้งสิ้นไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่งหรือทั้งหมด รวมทั้งไม่อนุญาตให้นำไปเล่าเรื่องด้วยเสียงผ่าน YouTube และ/หรือเว็บอื่นใดทั้งสิ้น หากพบเห็นจะถือเป็นการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา และจะดำเนินตามกฎหมายให้ถึงที่สุด
“ตู้นอนหมายเลข 18”
พวกเรา.. ฉันยังไม่ตาย แต่ไม่ได้นอนมากว่ายี่สิบสี่ชั่วโมงแล้วและตอนนี้ปวดหัวน่าดู แต่เชื่อเถอะ ว่าแค่ปวดหัวยังดีกว่าเรื่องร้ายๆ ที่อาจเกิดขึ้นที่นี่ได้ตลอดเวลา ฉันได้รู้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกฎบนรถไฟและได้พบกับผู้โดยสารอื่นสองสามราย
**(ขอบอกก่อนว่าเรื่องของตู้นอนหมายเลข 18 เกี่ยวข้องกับการฆ่าตัวตายและการทำร้ายเด็ก ดังนั้นถ้าคุณรู้สึกไม่สบายใจในหัวข้อเรื่องเหล่านี้ จะข้ามเนื้อหาส่วนนั้นไปก็ได้นะ)
สิ่งเดียวที่บ่งชี้ว่าอาทิตย์ขึ้นแล้วคือแสงสว่างอ่อนเบลอๆ ไร้รูปร่างนอกหน้าต่างที่ดูสีอ่อนกว่าเดิม อย่างน้อยดูเหมือนเวลาจะเป็นไปตามปกติอย่างที่ควรจะเป็น แม้ฉันจะไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนก็ตาม แน่นอนว่าหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนกับนักล่า ฉันนอนไม่หลับเลยทั้งคืน พอใจสงบลงบ้าง ฉันเริ่มตรวจดูสิ่งต่างๆ ภายในตู้นอนและพบเสื้อผ้าในตู้เก็บของเล็กๆ ตรงข้ามเตียง บางชุดมีขนาดที่ฉันใส่ได้พอดี และกฎไม่ได้ห้ามไม่ให้ใส่ ฉันเลยเปลี่ยนจากชุดเดิมที่เปียกฝนเมื่อคืนมาใส่ชุดใหม่ เพื่อกันไม่ให้เป็นไข้หวัด
ในที่สุดพอเริ่มสว่าง ฉันกล้าพอที่จะออกมาจากตู้นอนเป็นครั้งแรก โดยมีมือถือ (ซึ่งมีตั๋วเหน็บอยู่กับเคส), รายการกฎของรถไฟ, และกระเป๋าสตางค์ติดมือมาด้วยและทิ้งอย่างอื่นไว้ในตู้นอน
โถงทางเดินเงียบสงัดและว่างเปล่าน่าขนลุก ตอนแรกฉันไม่รู้ว่าทำไมความเงียบนี้ถึงทำให้รู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ บอกไม่ถูก จนกระทั่งฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าในเมื่ออยู่บนรถไฟที่กำลังวิ่ง อย่างน้อยก็ควรจะได้ยินเสียงโลหะกระทบโลหะหรือล้อรถไฟเสียดสีกับรางรถไฟบ้าง แต่ไม่มีเสียงอะไรเลยนอกจากความเงียบสงัด แม้ว่ารถไฟจะยังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงก็ตาม
ฉันรู้ว่าไม่ใช่ผู้โดยสารทุกคนจะใจดี และก็กลัวมากที่จะต้องพบกับพวกเขา แต่ในขณะนั้น ฉันจะยอมทำทุกอย่างเพื่อให้มีมนุษย์อีกคนอยู่ใกล้ๆ ฉันเริ่มร้องเพลงเบาๆ ซ้ำๆ เพื่อทำลายความเงียบ ขณะเดินไปที่ประตูซึ่งนำไปสู่ตู้รถไฟอีกตู้หนึ่ง ด้วยความที่ไม่รู้ว่าควรจะเดินไปในทิศทางไหน เลยเลือกหันไปทางซ้ายแล้วออกเดิน
ฉันเดินผ่านตู้รถไฟหนึ่งที่ด้านในมีตู้นอนเรียงยาวขนาบข้างทางเดิน ฉันเดินมาถึงตู้นอนหนึ่งซึ่งมีผู้โดยสารอยู่ในนั้น ในตอนแรก ดูเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ จนกระทั่งดันเผลอไปมองดูใกล้ๆ
ชายคนหนึ่งตัวสูงมากหัวเกือบถึงเพดาน แขนขาของเขายาวผิดมนุษย์และลำตัวเล็กลีบ ส่วนผู้หญิงก็ผอมแห้งมีแต่หนังหุ้มกระดูก ผิวซีดดูบอบบางเหมือนคนป่วย มีลูกกวาดกองโตอยู่ตรงหน้าและเธอแกะช็อกโกแลตใส่ปากอันแล้วอันเล่าไม่หยุด ส่วนชายอีกคนนั่งอยู่บนเก้าอี้ตามองฝ่ามือตัวเองปากแสยะยิ้มเหมือนคนสติไม่ดี แต่ในปากของเขาไม่มีฟันเลยสักซี่เดียว
ฉันไม่ได้มองใครอีก รีบออกเดินตรงไปยังเครื่องขายอาหารหยอดเหรียญที่ตั้งอยู่ติดผนังข้างหน้าซึ่งมีแต่เครื่องดื่มและขนม ไม่มีอะไรที่ดีพอจะเป็นอาหารเช้าได้ แต่ในเมื่อฉันไม่ได้กินอะไรเลยมาตั้งแต่เมื่อวาน เลยเลือกไม่ได้มากนัก ฉันซื้อโค้กสองขวด, ถั่วอบหนึ่งถุง, ช็อกโกแลต, และพริงเกิลส์ รู้อยู่แก่ใจว่าถ้ากินขนมพวกนี้เข้าไปทั้งหมดจะทำให้ปวดท้องแน่ แต่ตอนนี้หิวมากจริงๆ หิวมากจนปวดหัวไปหมด บางทีเมื่อถึงจุดหนึ่งฉันอาจจะต้องเสี่ยงไปที่ตู้ร้านอาหาร แต่ตอนนี้ขนมพวกนี้น่าจะพอประทังความหิวได้ ฉันหยิบขนมกับน้ำแล้วเดินกลับตู้นอน แม้ว่าจะล็อกประตูตู้นอนไม่ได้ แต่ฉันรู้สึกปลอดภัยที่นั่นมากกว่าที่อื่น ตัวประหลาดที่ใช้กรงเล็บขูดประตูเมื่อคืนมันเข้ามาไม่ได้ เหยื่อของนักล่าก็เข้ามาไม่ได้เหมือนกัน นั่นทำให้ฉันเบาใจขึ้นมาบ้าง แน่ละว่านักล่าเข้ามาได้ แต่เขาไม่ได้คิดจะเข้ามาทำร้าย แสดงว่าตู้นอนของฉันเป็นสถานที่ปลอดภัยในฝันร้ายนี้
มันอาจฟังดูเหมือนเห็นแก่ตัว แต่ฉันไม่อยากใช้เวลากับผู้โดยสารคนอื่นมากนัก บางทีพวกเขาอาจไม่อันตราย แต่กฎบอกไว้ว่าพวกเขายากจะแยกแยะว่าใครดีใครร้าย และในตอนนี้ฉันไม่อยากเสี่ยงกับอะไรทั้งนั้น
ระหว่างทางก่อนไปยังตู้นอน ฉันได้ยินเสียงกรีดร้อง มีคนทุบประตูตู้นอนที่ฉันกำลังเดินผ่าน เขาร้องด้วยความเจ็บปวดขอร้องให้ช่วย ที่จริงมันเป็นเสียงเด็กสองเสียงด้วยกัน สัญชาติญาณสั่งให้ฉันหันไปหาตู้นอนที่ว่าแล้วเปิดดูว่าเกิดอะไรขึ้นข้างใน ฟังดูเหมือนเด็กกำลังตกอยู่ในอันตรายและฉันอยากจะช่วยพวกเขา
ฉันเอื้อมมือไปเกือบจะถึงมือจับประตูแล้วหยุดกึก..
ห้ามเข้าไปในตู้นอนหมายเลข 18 เด็ดขาด ไม่ว่าจะได้ยินเสียงอะไรจากด้านในก็ตาม..
ฉันแหงนมองหมายเลขตู้นอนซึ่งสลักหมายเลขเป็นสีทองบนบานประตู และอย่างที่คิดไว้ ฉันกำลังยืนอยู่ที่หน้าตู้นอนหมายเลข 18 ฉันดึงกระดาษรายการกฎของรถไฟออกมาเช็กดูหมายเลขอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ใช่แล้ว.. หมายเลข 18 ดูเหมือนว่ารถไฟขบวนนี้เริ่มพยายามล่อหลอกให้ฉันหลงกล ฉันถอยกลับอย่างระมัดระวังขณะเด็กๆ ที่อีกด้านหนึ่งของตู้นอนกรีดร้องลั่นอย่างน่ากลัว
และแล้วอยู่ๆ ก็รู้สึกมีมือมาแตะที่แขน ฉันผงะไปข้างหลังด้วยความตกใจ พอหันไปก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งอายุประมาณเดียวกันกับฉัน ผมสีแดงออกส้มและตาสีดำเข้มกำลังมองฉันด้วยสีหน้ากังวล “โทษที ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำให้กลัว” เธอกล่าว “ฉันชื่อลิลลี่”
“ฉันเอมี่” ฉันตอบหลังลังเลใจอยู่สองสามวินาที แน่นอนว่านั่นไม่ใช่ชื่อจริง ฉันเคยเลี้ยงแมวสมัยเด็ก มันน่ารักและมีตาสีฟ้าสดใส มันอยู่กับฉันนานถึงสิบห้าปีถึงแม้จะถูกรถชนถึงสองครั้งก็ตามและมันชื่อเอมี่ ฉันไม่คิดว่าการบอกชื่อจริงของฉันกับใครที่นี่จะเป็นความคิดที่ดี และนึกถึงชื่อเอมี่ขึ้นมาได้
ลิลลี่กล่าวขอโทษอีกครั้งที่ทำให้ตกใจ “ฉันคิดว่าเธอจะเปิดประตูนั่น” เธอกล่าว
“ไม่ต้องห่วง ฉันไม่เปิดแน่” ฉันไม่อยากพูดถึงรายการกฎของรถไฟ เพราะไม่ใช่เรื่องอะไรของคนอื่น
“ดีแล้ว ถ้าเข้าไปแล้วคงไม่ได้กลับออกมาอีกแน่”
ฉันหันไปมองประตู เด็กข้างในยังคงร้องขอให้ช่วย “ที่จริงไม่มีเด็กอยู่ในนั้นใช่มั้ย มันแค่ภาพลวงตาใช่หรือเปล่า?”
ลิลลี่ส่ายหัวพลางยิ้มเศร้า “ไม่ใช่ พวกเขามีตัวตนจริง แค่ไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว”
ฉันอึ้งอยู่พักใหญ่กว่าจะคิดได้ว่ากำลังได้ยินเสียงเด็กที่ตายไปแล้วร้องไห้ ฉันพอรับมือกับภาพลวงตาไหว แต่ที่ทนไม่ได้จริงๆ คือศพเด็กกรีดร้องขอให้ช่วยด้วยความเจ็บปวด
มันทำเอาฉันรู้สึกหน้ามืด
“แต่.. ทำไม? เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา?” ฉันถาม สูดหายใจช้าๆ อย่างสั่นๆ
“เดี๋ยวเล่าให้ฟังนะ มาเถอะ เราเดินออกห่างจากที่นี่สักหน่อยก่อน” เธอวางมือข้างหนึ่งบนบ่าฉันแล้วเดินนำออกห่างจากตู้นอนต้องคำสาป พอเสียงกรีดร้องหยุดลง เธอก็เริ่มอธิบาย
“เหตุการณ์เกิดขึ้นในปี 1945 ในวันที่ชาวเยอรมันแพ้สงคราม มีครอบครัวหนึ่ง พ่อ, แม่และลูกฝาแฝดวัยหกขวบ คนเป็นพ่อเคยดำรงตำแหน่งเป็นนายทหารระดับสูง พวกเขาศรัทธาไรช์ที่สามอย่างหมดใจ พอทุกอย่างพังทลายลงและพวกเขาสูญสิ้นทุกอย่าง จึงตั้งใจจะพากันฆ่าตัวตายด้วยการดื่มยาพิษ เพราะน่าจะเป็นวิธีที่รวดเร็วและไม่ทรมาน พวกเขาดื่มยาพิษและให้ลูกๆ ดื่มตาม แต่เด็กแฝดทั้งคู่ดื่มยาพิษไม่มากพอทำให้ต้องทนทรมานอยู่หลายชั่วโมง ใช้มือทุบประตูตู้นอนพลางกรีดร้องขอให้ช่วยขณะที่พ่อแม่ของพวกเขาขาดใจตายอยู่ข้างๆ..
..แต่ไม่ว่าจะร้องเสียงดังแค่ไหนก็ไม่มีใครมาช่วย ตั้งแต่นั้นมา เด็กฝาแฝดก็ผูกใจเจ็บ โกรธแค้นที่ถูกทิ้งให้ตายลำพังอย่างทุกข์ทรมาน ทุกวันนี้ พวกเขาจะหลอกล่อเหยื่อด้วยเสียงร้องไห้ ถ้าใครหลงกลเปิดประตูเข้าไป เขาคนนั้นจะต้องตายอย่างทุกข์ทรมานเหมือนอย่างที่เด็กแฝดเคยได้ประสบมา นั่นเป็นวิธีที่พวกเขาใช้แก้แค้น” ลิลลี่เล่าอย่างเศร้าสร้อย
แน่นอนว่าฉันกลัวนักล่า, เจ้าหน้าที่ตรวจตั๋ว, และสัตว์ประหลาดที่ใช้กรงเล็บยาวขูดประตู แต่เรื่องที่เพิ่งได้ฟังนี้ไม่เพียงทำให้ฉันกลัว มันยังทำให้รู้สึกหน้ามืดอีกด้วย ฉันพยายามกลั้นอาเจียนที่พุ่งขึ้นมาในลำคอ การฆ่าตัวตายเป็นเรื่องที่ทำให้ฉันรู้สึกแย่มาแต่ไหนแต่ไร แต่เรื่องของชะตากรรมอันน่าเศร้าของเด็กน้อยทั้งสองคนทำเอาฉันรู้สึกเหมือนจะไม่สบายขึ้นมาเฉยๆ
“เป็นอะไรหรือเปล่าเอมี่?”
“นั่นเป็นเรื่องน่ากลัวที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้ยินมา” ฉันรู้สึกขัดหน้าอก หายใจลำบาก “เราพูดเรื่องอื่นกันดีกว่า เธอเป็นมนุษย์หรือเปล่า? เอ่อ.. ฉันไม่ได้ตั้งใจจะเสียมารยาทนะ แต่รถไฟขบวนนี้ออกจะไม่ธรรมดา ฉันเลยอยากรู้ว่ากำลังเผชิญหน้ากับอะไรอยู่เท่านั้นเอง”
ลิลลี่หัวเราะ “ใช่สิ ฉันเป็นคนธรรมดา เพียงแต่ว่าอยู่ที่นี่มาสักพักแล้ว ฉันไม่ได้ซื้อตั๋วรถไฟน่ะ เจ้าหน้าที่ตรวจตั๋วเลยไม่ยอมให้ลง”
”เธอติดอยู่ที่นี่เหรอ?” แค่คิดว่าต้องติดอยู่ที่นี่ตลอดไปก็ทำเอาฉันสั่นไปหมด ในขุมนรกที่ดูเหมือนทุกอย่างจะพยายามฆ่าเรา นั่นต้องเป็นชะตากรรมที่เลวร้ายยิ่งกว่าการตายเสียอีก
ลิลลี่ยิ้ม “มันไม่ได้แย่มากนักหรอก พูดตามตรง พอรู้ว่าต้องเลี่ยงอะไรบ้าง การอยู่ที่นี่ก็ไม่เลวเลย”
ฉันไม่เชื่อสักคำที่เธอพูดออกมา ถึงฉันจะจำกฎทุกข้อได้ขึ้นใจและเลี่ยงอันตรายทุกอย่างได้อย่างช่ำชองก็ไม่มีวันจะเรียกสถานที่แห่งนี้ว่า “ไม่เลว” เด็ดขาด ที่นี่เป็นฝันร้ายและฉันแน่ใจเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเธอพูดปลอบใจตัวเองไปอย่างนั้นเอง เพื่อจะได้ไม่กลายเป็นบ้าไปเสียก่อน
“นี่แหละ” ฉันพูดตอนเราเดินมาถึงตู้นอนหมายเลขสาม “นี่ตู้นอนฉัน เอ่อ.. ขอบใจนะ”
“ด้วยความยินดี” เธอตอบ “ไว้เจอกันใหม่เนอะ?”
แว่บหนึ่งฉันคิดจะชวนให้เธออยู่ต่อเพราะเธอใจดีและเป็นมิตร แต่ไม่แน่ใจว่าควรจะเชิญใครเข้ามาในตู้นอนหรือเปล่า ฉันอาจจะหวาดระแวงไปเองแต่ลิลลี่น่าจะเข้าใจ ฉันเลยกล่าวลาแล้วขอตัวกลับตู้นอน
ฉันกินขนมและเล่นมือถืออยู่ในตู้นอนสองสามชั่วโมงเพื่อฆ่าเวลาและเพื่อไม่ให้ตัวเองคิดมากเกินไป ถึงใจจะสงบลงบ้างแล้ว แต่เรื่องของเด็กแฝดเมื่อครู่ยังทำให้รู้สึกไม่ดีเอามากๆ มันทำให้หวนนึกถึงเสียงกรีดร้องและภาพศพเด็กทุบประตูที่ฉันจินตนาการขึ้นมาเอง
การกินขนมและโค้กเป็นอาหารเช้าทำท้องไส้ฉันปั่นป่วน เลยต้องนอนอยู่บนเตียงจนหายปวดท้อง โชคยังดีที่ฉันพกสายชาร์ตมือถือมาด้วย ตู้นอนของฉันมีไฟฟ้าเลยชาร์ตมือถือได้ มันแย่พออยู่แล้วที่ต้องติดแหง่กอยู่ที่นี่ ถ้าติดต่อโลกภายนอกไม่ได้ฉันคงบ้าตายแน่ เมื่อกี้ แม่ฉันส่งข้อความมาบอกให้ไปหา ฉันบอกไปว่าไม่สบายและไม่อยากไปหาเพราะกลัวแม่จะติดหวัด ซึ่งก็ได้ผล แน่นอนว่าแม่ฉันเป็นกังวล แต่การจะบอกความจริงกับแม่จะยิ่งทำให้แกกังวลมากกว่าเดิม
ฉันออกมาจากตู้นอนอีกครั้งในช่วงบ่าย เพราะมีสองเหตุผล หนึ่งคือฉันหิว ตอนนี้คิดจริงๆ ว่าอาจจะไปหาอะไรกินมื้อค่ำที่ตู้ร้านอาหารแต่ก็ไม่กล้า แน่นอน ฉันรู้ว่าต้องทำยังไงเพราะจำกฎได้ขึ้นใจ แต่มันยังเป็นความเสี่ยงที่ไม่จำเป็นนัก บางทีฉันอาจจะลองไปที่นั่นวันพรุ่งนี้ สำหรับวันนี้ ฉันตัดสินใจฝากท้องที่ตู้หยอดเหรียญต่ออีกวัน
เหตุผลที่สองคือฉันอยากเจอคุณนักสืบ อยากจะถามข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งอื่นๆ ที่ควรรู้เกี่ยวกับรถไฟขบวนนี้จากเขา โดยเฉพาะสิ่งที่กฎต่างๆ ในกระดาษไม่ได้บอกเอาไว้ ที่จริงฉันจะถามลิลลี่ก็ได้ แต่กฎบอกไว้ว่าฉันไว้ใจคุณนักสืบได้และไม่ได้พูดถึงลิลลี่ ฉันจะยังไม่เสี่ยงอะไรทั้งนั้นในตอนนี้
ฉันเดินผ่านตู้รถไฟสองตู้ ก้มหัวต่ำและแอบมองผู้โดยสารอย่างระมัดระวังจนกระทั่งหาเขาพบ คำอธิบายในกระดาษตรงตามภาพที่เห็น เขาดูเหมือนหลุดออกมาจากภาพยนตร์เก่าๆ ใส่เสื้อโค้ทกันฝนและหมวก มีผมสีเข้มและเครารกครึ้ม ปากคาบบุหรี่ตาจ้องออกไปนอกหน้าต่างอย่างกับว่ามีอะไรน่าสนใจให้ดูนอกเหนือไปจากภาพเบลอๆ ตรงหน้า
ฉันเดินไปหาเขาแต่ไม่กล้าลงนั่งในทันที ตอนแอบอยู่ในตู้นอน ฉันใช้เวลาอ่านเกี่ยวกับผีปีศาจมามากและถึงจะแน่ใจว่าข้อมูลพวกนั้นไม่ได้จริงไปเสียทั้งหมด แต่ความมีมารยาทดูจะเป็นกุญแจสำคัญในการสื่อสารกับพวกเขา
“สวัสดีค่ะ” ฉันพูด “ฉันเอมี่ ขอนั่งด้วยได้มั้ยคะ”
เขาเบือนหน้าจากหน้าต่างหันมาจ้องฉันด้วยดวงตาดำสนิทแล้วพยักหน้า
เริ่มได้สวย ฉันนึกในใจแล้วนั่งลงข้างๆ เขา “ขอโทษที่รบกวนนะคะ แต่ฉันเพิ่งมาใหม่”
เขาหัวเราะเบาๆ “ว่าแล้ว มาถึงเมื่อไหร่ล่ะเรา?”
“เมื่อคืนค่ะ ฉันเจอรายการกฎของรถไฟในตู้นอนและมันบอกว่าฉันไว้ใจคุณได้ก็เลยมาหา ขอโทษนะคะถ้ามารบกวน--”
“เลิกขอโทษขอโพยได้แล้ว” เขาขัดขึ้น “ฉันจะไม่กัดหัวเธอขาดแค่เพราะเธอพูดผิดหูหรอกน่า”
ฉันพยักหน้าเร็วๆ “งั้นคุณช่วยฉันได้ใช่มั้ยคะ มีอะไรอื่นอีกมั้ยที่ฉันต้องรู้?”
ฉันยื่นกระดาษรายการกฎให้ เขามองมันผ่านๆ แล้วส่งคืน “ดูเหมือนมันครอบคลุมทุกอย่างที่สำคัญแล้ว” เขากล่าว “ฉันไม่มีอะไรจะเพิ่ม เราก็ทำตามกฎนั่นละ แล้วจะปลอดภัย”
ฉันรู้สึกโล่งใจ รายการในกระดาษดูไม่ยากจนเกินไปนัก “แต่ทำไม.. คือฉันเข้าใจว่าไม่ควรออกนอกตู้นอนในตอนกลางคืนเพราะนักล่า และไม่เข้าใกล้ตู้นอนหมายเลข 18 เพราะผีเด็ก แต่รถไฟนี่มันคืออะไรเหรอคะ ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้”
นักสืบถอนใจ “ฉันเองก็ไม่รู้ว่าทำไม ทำไมเธอถึงเป็นมนุษย์ล่ะ? ทำไมหมาป่าถึงเป็นหมาป่า? ฉันอธิบายธรรมชาติของมันให้เธอฟังไม่ได้หรอก”
“งั้นไม่ต้องอธิบายธรรมชาติของมันก็ได้ แค่บอกเรื่องผลลัพธ์ของมันให้ฟังที! ที่นี่มันที่ไหนกัน? ขอร้องล่ะค่ะ บอกที”
“ระวังหน่อยเวลาไปขอร้องใครเขาแบบนั้น” เขาตอบ “อมนุษย์บางตนอาจเรียกมันว่า “การให้ความช่วยเหลือ” และขอบางอย่างเป็นการตอบแทน”
ฉันหยุดกึกตัวแข็งทื่อ “คุณ..?”
"ไม่หรอก” เขาอธิบาย “รถไฟขบวนนี้มีชีวิต มันมีจิตใจ มีความต้องการ และเช่นเดียวกันกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ มันหิวกระหาย มันกัดกินจิตวิญญาณ ดังนั้นมันจึงกักตัวผู้โดยสารเอาไว้ เพราะหัวใจที่ยังเต้นของพวกเขาเป็นอาหารของมัน”
“แสดงว่าคุณจะไม่แก่ในรถไฟนี่ใช่มั้ยคะ” ฉันถาม
“ที่นี่ไม่มีใครแก่กว่าเดิม แต่แน่นอนว่าทุกคนตายได้ เพราะสิ่งที่รถไฟขบวนนี้ชื่นชอบมากกว่าหัวใจที่ยังเต้นอยู่คือการนองเลือดอย่างโหดเหี้ยม”
นั่นเป็นเหตุผลที่มันเก็บวิญญาณเด็กแฝดและนักล่าเอาไว้ที่นี่ เช่นเดียวกับสิ่งชั่วร้ายอื่นๆ
“ฉันได้ยินเรื่องเล่าของคนที่แอบไปดูคนขับรถไฟ ว่ากันว่ามีหัวใจเน่าเปื่อยดำสนิทอยู่ในซี่โครงโลหะที่มีเส้นเอ็น, เนื้อเยื่อ, และเส้นลวดอยู่ในตู้คนขับ ฉันเองก็ไม่รู้ว่ามันเป็นความจริงหรือเปล่า รู้แค่ว่า มันต้องการชีวิต ต้องการเลือด และมันดึงดูดโศกนาฏกรรม ว่าแต่มีตั๋วหรือเปล่าล่ะเราน่ะ?”
"มีค่ะ"
"ดีแล้ว นั่นหมายความว่าเธอออกไปจากที่นี่ได้หลังจากอยู่ที่นี่สักพัก แต่อย่าเอาแต่หลบอยู่ในตู้นอนล่ะ"
ฉันเลิกคิ้ว สับสนกับประโยคสุดท้ายที่เขาพูด “เดี๋ยวนะคะ คุณว่าฉันไม่ควรหลบเหรอ”
“คนที่เอาแต่หลบอยู่ในตู้นอนไม่ค่อยรอดออกไปจากที่นี่หรอก” เขายืนยัน “ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม พวกเขาคิดว่าปลอดภัยแต่ก็ดันทำผิดกฎง่ายๆ บางข้อ อย่างเปิดประตูให้เหยื่อของนักล่า หรือบอกชื่อจริงให้เพื่อนร่วมห้องตัวปลอมรู้ ฉันคิดว่ารถไฟขบวนนี้ไม่ชอบใจเวลาพวกเขาพยายามซ่อน”
ฉันตัวเย็นเป็นน้ำแข็ง “งั้นต้องทำยังไงคะ”
“ออกไปเดินเล่น พูดคุยกับผู้โดยสารคนอื่น แค่อย่าเอาแต่เก็บตัวอยู่ในตู้นอน”
ฉันพยักหน้า แผนของฉันที่จะหลบอยู่ในตู้นอนและออกมาเฉพาะตอนหิวเป็นอันต้องพับไป “ขอบคุณค่ะ” ฉันบอกคุณนักสืบ “เอ่อ.. คุณชื่ออะไรเหรอคะ”
เขายิ้มอย่างรู้ทัน “เธอบอกชื่อปลอมกับฉัน แล้วฉันจะบอกชื่อฉันกับเธอทำไมล่ะ?”
เขารู้.. ฉันตัวแข็งทื่อ กลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้น จะเกิดอะไรขึ้นนะถ้าโกหกแล้วถูกจับได้ ฉันรีบขอโทษอย่างเร็ว “ฉันแค่--”
“ไม่เป็นไรหรอก” เขาขัด “ที่จริงเธอหัวไวที่ใช้ชื่อปลอม ที่นี่ เราไม่มีทางรู้ได้ว่ากำลังคุยอยู่กับใครหรือตัวอะไร ระวังตัวไว้น่ะดีแล้ว”
“แล้วถ้าคนอื่นรู้ล่ะคะ?”
“พวกเขาจะเข้าใจ อย่าห่วงเลย”
ฉันพยักหน้าแล้วลุกยืน “ขอบคุณค่ะคุณนักสืบ”
เขายิ้ม “ไม่เป็นไรสาวน้อย”
ฉันเดินจากมา หัวใจเต้นแรงเร็วหัวหมุนติ้ว ฉันได้ข้อมูลมาเยอะและตอนนี้รู้แล้วว่าต้องทำยังไง ถึงฉันจะไม่อยากเผชิญหน้ากับผู้โดยสารคนอื่น แต่ถ้ามันจะทำให้ฉันรอดชีวิตออกไปจากที่นี่ได้ฉันก็จะทำ ตอนนี้ฉันอาจจะติดอยู่ที่นี่ แต่ฉันมีตั๋วรถไฟ และนั่นทำให้สถานการณ์นี้เป็นเพียงสถานการณ์ชั่วคราว
ฉันจะต้องออกไปจากที่นี่ให้ได้
จะต้องกลับบ้านให้ได้
เอาละ ฉันจะพยายามนอนพักสักงีบ เพราะการตื่นอยู่ตลอดแบบนี้ไม่ดีต่อสุขภาพเอาเลย ฉันต้องมีสติ พรุ่งนี้ฉันจะไปเยี่ยมเจ้าสาวเจ้าน้ำตาที่หลังรถไฟ หลังจากนั้น.. ค่อยว่ากันอีกที
ฉันจะคอยอัปเดตถึงฝันร้ายที่เกิดขึ้นที่นี่ต่อไป จนถึงตอนนั้น อยู่ให้ห่างจากรถไฟประหลาดเวลาเที่ยงคืน
คุณไม่อยากต้องมาติดอยู่ที่นี่..
-- จบตอน --