เมื่ออารมณ์เป็นพิษและจิตบิดเบี้ยว ความคิดจะกลายเป็นกรงขัง และความหมกมุ่นจะผลักดันให้บ้าคลั่ง
ลึกลับ,ระทึกขวัญ,พารานอมอล,เรื่องสั้น,สะท้อนปัญหาสังคม,พล็อตสร้างกระแส,สยองขวัญ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เรื่องเล่าแห่งความโชคร้ายเมื่ออารมณ์เป็นพิษและจิตบิดเบี้ยว ความคิดจะกลายเป็นกรงขัง และความหมกมุ่นจะผลักดันให้บ้าคลั่ง
เรื่องสั้นที่รวบรวมเอาความมืดมนของจิตมนุษย์ ที่ซึ่งวันแสนธรรมดากลับกลายและบิดเบี้ยวจนกลายเป็นสิ่งไม่อาจจินตนาการได้ และสิ่งที่เราตัดสินใจเลือกทำ อาจนำไปสู่โชคชะตาที่มืดมนที่สุด
คำนำ
สมัยยังเด็ก ผู้เขียนมักได้ยินคำพูดที่ว่า “คนน่ากลัวกว่าผี” อยู่บ่อยครั้ง ตอนนั้นผู้เขียนที่ชอบดูหนังผีเป็นที่สุดไม่เข้าใจนักว่าคนจะน่ากลัวกว่าผีไปได้อย่างไร จนกระทั่งเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ ได้อ่าน/ดูข่าวการคดโกง กระทำชำเรา และฆาตกรรม อยู่บ่อยครั้งจนเอือมระอา จึงได้เข้าใจว่าคำพูดนั้นจริงอย่างที่สุด
ในทุกชีวิตย่อมมีสองด้าน เหมือนเหรียญที่มีทั้งด้านหน้าและหลัง ด้านหนึ่งเงาวาวเต็มไปด้วยรอยยิ้มและความหวัง แต่อีกด้านหนึ่งมืดมิดลึกลับราวกับหลุมดำไร้จุดสิ้นสุด
“เรื่องเล่าแห่งความโชคร้าย” จะพาผู้อ่านดำดิ่งลงสู่ความมืดมิดที่สุดแห่งจินตนาการเพื่อสำรวจความน่าสะพรึงกลัวของจิตใจมนุษย์
ในที่ที่ฝันร้ายกลับกลายเป็นจริง และเส้นแบ่งบางๆ ระหว่างความมีสติและความบ้าคลั่งมาถึงจุดเลือนรางที่สุด
ผู้เขียนเจาะลึกถึงความสยองขวัญที่สะท้อนความวิตกกังวลและความปรารถนาสุดแสนล้ำลึกของคนเราอันเป็นผลสืบเนื่องมาจากความรัก โลภ โกรธ หลง ด้วยหวังว่าการสำรวจครั้งนี้จะไม่เพียงสร้างความบันเทิงแต่ยังกระตุ้นให้ผู้อ่านคิดคำนึงและไตร่ตรองถึงความสลับซับซ้อนและบางครั้งแสนอันตรายที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากแห่งการดำเนินชีวิตอันแสนธรรมดาของมนุษย์เรา
เพราะหากเราได้หยั่งรู้เท่าทันถึงจุดอ่อนและความวิปลาสของจิตใจมนุษย์แล้ว เราอาจสามารถป้องกันและยับยั้งชั่งใจไม่ให้ต้องเกิดเรื่องราวแห่งความโชคร้ายขึ้นอีกก็เป็นได้
ด้วยรัก
ณ เสียงฝน
คำเตือน
นวนิยายเรื่องนี้มีเนื้อหาที่อาจไม่เหมาะสมสำหรับผู้อ่านบางกลุ่ม เนื่องจากมีการกล่าวถึงความรุนแรง ความตาย และภาพลักษณ์ที่อาจสร้างความหวาดกลัวได้ ผู้อ่านควรพิจารณาอายุและความพร้อมของตนเองก่อนตัดสินใจอ่าน
นวนิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องสมมติ แม้ได้รับแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์และแนวคิดในโลกแห่งความจริง แต่ตัวละคร องค์กร และสถานการณ์ทั้งหมดเป็นเรื่องสมมติทั้งหมด การมีความคล้ายคลึงกับบุคคลจริง ไม่ว่าจะเป็นผู้มีชีวิตอยู่หรือเสียชีวิตแล้ว เป็นเพียงเรื่องบังเอิญเท่านั้น
“หนูๆ” เสียงชายชราทักเบาๆ
พอหันไปมอง แอนเห็นร่างสูงของชายอายุไม่ต่ำกว่าแปดสิบปีสวมเสื้อเชิ้ตสีซีดมีรอยขาดที่ไหล่ขวาและกางเกงขายาวสีดำที่ดูเก่าพอกัน รองเท้าแตะของเขาเปื้อนฝุ่นหนาเตอะและขาดตรงช่วงปลาย เขามีเคราและผมยาวกระเซอะกระเซิง แต่ถ้ามองดีๆ ใบหน้าของเขาดูดีมีเค้าว่าคงจะหล่อเหลาเอาการสมัยเป็นหนุ่ม
“เป็นอะไรหรือเปล่า คงไปเจอเรื่องไม่ดีมาสินะ” เขาถามเสียงทุ้ม
แอนที่ตกอยู่ในภวังค์เมื่อครู่กลับมามีสติอีกครั้ง อยู่ๆ ดูเหมือนอากาศรอบตัวจะหนาวขึ้นอย่างฉับพลันจนเธอขนลุก แอนยกสองแขนขึ้นกอดอดพลางคิดในใจ ‘เรื่องไม่ดีเหรอ เรียกว่าวันที่โครตแย่เลยจะดีกว่า’
เอก แฟนที่คบกันมาห้าปี อยู่ๆ ก็บอกเลิกกับเธอเมื่อเช้า แอนทำทุกอย่างอ้อนวอนไม่ให้เขาทิ้งไปแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเขาดันไปมีแฟนใหม่ “จะให้อยู่ต่อทำไม ก็กูมีเมียใหม่แล้ว!” เอกตะคอก
หลังเอกเก็บกระเป๋าออกจากอะพาร์ตเม้นต์ไปได้ไม่ถึงห้านาทีแม่ของหญิงก็โทรมาขอยืมเงินสามหมื่นเพื่อเอาไปจ่ายหนี้ที่หญิงเองไม่มีให้แต่ก็คงต้องพยายามหา เพราะแม่ก็ไม่ได้มีที่พึ่งที่อื่น
พอออกไปทำงาน เธอก็ถูกให้ออกด้วยเหตุผลที่ว่าตอนนี้เศรษฐกิจย่ำแย่และนายจ้างไม่มีกำลังทรัพย์จะจ้างเธอต่อ
นี่ไม่ใช่แค่ไปเจอเรื่องไม่ดี นี่มันวันที่แย่ที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ ที่จริง ตอนนี้เธอไม่เหลืออะไรอื่น นอกจาก 'ไอ้เฉาก๊วย' แมวดำที่เธอเลี้ยงไว้
“ค่ะลุง จะว่าอย่างนั้นก็ได้” แอนตอบ
ชายชรายิ้มอบอุ่น แต่เธอมองเห็นอะไรบางอย่างในแววตาของเขา “ลุงหิว หนูพอจะซื้ออะไรให้ลุงกินหน่อยได้ไหม?”
ปกติแล้ว แอนจิตใจดีชอบช่วยเหลือคนรอบตัว แต่วันนี้ คำขอของชายชราตรงหน้าคนนี้ทำเอาเธอรู้สึกรำคาญขึ้นมาตะหงิดๆ เห็นก็เห็นอยู่ว่าคนเค้าอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ค่อยจะสู้ดี แต่ก็ยังจะมาขอนู่นขอนี่อยู่ได้
“หนูไม่มีเงินหรอกลุง นี่ก็เพิ่งถูกไล่ออกมา” แอนพูดเหวี่ยงๆ หวังว่าแกจะไปๆ เสียที
รอยยิ้มของชายชรายิ่งกว้างขึ้นอีก “งั้นเปลี่ยนก็ได้ ป่ะ.. ไปกินข้าวด้วยกัน เดี๋ยวลุงเลี้ยงเอง”
“เฮ่ย.. จริงเหรอลุง เมื่อกี้ยังขอให้ฉันเลี้ยงข้าวอยู่เลย” แอนถามยิ้มๆ “ขอโทษนะลุง ฉันไม่มีจริงๆ ตอนนี้ปัญหาเยอะ คงเลี้ยงลุงไม่ไหว เอาไว้ถ้ามีโอกาสได้เจอกันใหม่ ฉันจะเลี้ยงข้าวนะ”
“ลุงพูดจริง ไปๆ ลุงเลี้ยงเอง ไม่ต้องคิดมากนะ แค่ร้านข้างถนนนี่แหละ ถือเสียว่าไปกินเป็นเพื่อนคนแก่ก็แล้วกัน” ชายชราพูดพลางยิ้มใจดี
แอนนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในเมื่อนี่มันเพิ่งเที่ยง แถมวันนี้ก็ไม่มีที่ไหนให้ไปแล้วเพราะไม่มีงานทำ “อืม.. ก็ได้จ้ะลุง ไปก็ไป”
พวกเราเดินกันไปที่ร้านขายอาหารตามสั่งข้างถนนใกล้ๆ แล้วสั่งอาหาร ระหว่างนั่งรออาหารมาเสิร์ฟ ชายแก่พูดขึ้น “ถ้าชีวิตเราเป็นไปด้วยดีทุกอย่างคงจะดีน่าดูเลยจริงไหม?”
“จริงลุง คงจะดีมากเลยล่ะ” แอนพูดพลางวาดฝันถึงชีวิตสะดวกสบายที่ไม่ต้องมีกังวลเรื่องเงินและมีคนรักที่เพียบพร้อม
ชายชรายิ้มบางๆ “งั้นลุงจะให้หนูได้มีวันดีๆ สักอาทิตย์หนึ่งดีไหมล่ะ?”
แอนเลิกคิ้ว “วันดีๆ อาทิตย์หนึ่งเหรอลุง มันคืออะไรเหรอ?”
“ก็ช่วงเวลาหนึ่งอาทิตย์ที่อะไรๆ ก็เป็นไปตามที่เราอยากให้เป็นไงล่ะ” ชายชราพูดเรื่อยๆ มองตาฉันตรงๆ “ว่าไง เอาไหม?”
ฉันมองชายชรางงๆ “ได้ก็ดีสิลุง เอาค่ะเอา” ฉันพูดเล่นขำๆ แต่ชายชราตรงหน้าไม่ได้หัวเราะไปกับฉันด้วย
“โอเค แต่รู้ใช่ไหมว่าทุกอย่างในโลกนี้ล้วนมีราคาด้วยกันทั้งนั้น” เขาพูดเสียงเรียบ
แอนมองชายแก่ด้วยความฉงนสงสัย ก่อนพยักหน้า "จ้ะลุง"
ชายแก่ยิ้ม แต่คราวนี้ยิ้มของเขาไม่ใช่ยิ้มแสนอบอุ่นเหมือนทุกครั้ง แต่เป็นยิ้มแสดงความพึงพอใจในคำตอบที่ได้ยิน เขาพยักหน้าช้าๆ ก่อนยื่นมือเหี่ยวย่นมาทางแอน "ตกลง"
แอนจับมือเขาเขย่าเป็นการตอบรับใจคิดว่าชายแก่คงสติไม่สมประกอบ พอจับมือเสร็จ เขาลุกจากโต๊ะแล้วออกเดิน
“อ้าว เดี๋ยวลุง แล้วไม่รอกินข้าวก่อนเหรอ?”
"ถ้าหลังจากนั้นหนูอยากได้วันดีๆ เพิ่มก็กลับมานะ ลุงจะอยู่แถวนี้แหละ"
ชายชราตอบ ยกมือขึ้นข้างหนึ่งเป็นเชิงบอกลาพร้อมรอยยิ้มก่อนหันหลังเดินจากไป พออาหารทั้งของแอนและชายชรามาเสิร์ฟ แอนคิดตำหนิตัวเองในใจที่หลงพูดกับคนแปลกหน้า ตอนนี้เลยต้องมารับผิดชอบค่าอาหารสองจานคนเดียว
“เท่าไหร่คะเจ๊?” แอนถามอย่างละเหี่ยใจ
“อ๋อ ลุงเขาจ่ายแล้วจ้ะ” เจ๊เจ้าของร้านตอบพร้อมยิ้มกว้างก่อนเดินกลับไปที่เตา
แอนมองตามเจ๊งงๆ แล้วลุงแกลุกไปจ่ายตังตอนไหน? แต่ก็สงสัยอยู่ได้ไม่นาน เพราะตอนนี้มีอาหารสองจานอยู่ตรงหน้าและท้องก็ร้องจ๊อกๆ ขึ้นมาแล้ว แอนปัดความสงสัยออกจากความคิดแล้วกินมื้อเที่ยงอย่างเอร็ดอร่อย
เช้าวันรุ่งขึ้น เสียงโทรศัพท์ดังปลุกแอนให้ตื่น "ฮัลโหล" แอนรับสายเสียงยังงัวเงีย
"ฮัลโหล สวัสดีค่ะ นี่คุณเสาวนีย์ใช่ไหมคะ?" เสียงจากปลายสายถาม
"ใช่ค่ะ" แอนตอบ
"ค่ะ โทรจากบริษัทไทยศักรินทร์นะคะ ทางเราเคยได้รับใบสมัครจากคุณ ไม่ทราบว่าตอนนี้ยังต้องการสมัครงานอยู่หรือเปล่าคะ"
บริษัทไทยศักรินทร์.. แอนทวนชื่อบริษัทในหัว ต้องคิดอยู่พักใหญ่กว่าจะนึกขึ้นมาได้ว่าเธอเคยสมัครงานกับบริษัทนี้ไว้เมื่อสองปีที่แล้ว "อ๋อค่ะ! จำได้ค่ะ" เธอรีบตอบ
บริษัทนัดสัมภาษณ์แอนในวันรุ่งขึ้นและทุกอย่างเป็นไปด้วยดีอย่างเหลือเชื่อ เธอได้งานทำทันทีหลังการสัมภาษณ์ และมันเป็นงานที่เงินเดือนดีกว่าที่เดิม แถมมนัส ชายหนุ่มรูปหล่อที่โต๊ะทำงานอยู่ติดกันกับโต๊ะทำงานของเธอก็แสดงท่าทีสนอกสนใจเธอตั้งแต่แรก และขอเป็นแฟนกับเธอสามวันหลังจากเธอเริ่มทำงาน
หลังจากทำงานไปได้ห้าวัน แม่ของแอนก็โทรมาหา เธอรับสายอย่างหวั่นใจ เพราะถึงเธอจะได้งานทำแล้ว แต่ก็ยังต้องรอสักพักกว่าจะเก็บเงินก้อนเพืื่อช่วยแม่ใช้หนี้ได้
"ฮัลโหลแม่" แอนรับสาย "รอก่อนนะแม่นะ แอนกำลังหาลู่ทางอยู่ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะลองถามบริษัทดูว่าจะขอเบิกล่วงหน้าได้ไหม"
"ไม่ต้องแล้วลูก เมื่อวานแม่ถูกหวย ได้มาเยอะพอปิดต้นปิดดอก นี่ยังพอเหลืออยู่บ้าง เดี๋ยวแม่โอนไปให้ไว้ติดกระเป๋านะ" เสียงร่าเริงของแม่ดังมาตามสาย
แอนอ้าปากค้าง เมื่อไม่ถึงอาทิตย์ที่ผ่านมา เธอเพิ่งผ่านช่วงเวลาที่คิดว่าเลวร้ายที่สุดในชีวิตมา แต่ในวันนี้ กลับกลายเป็นว่านี่เป็นช่วงเวลาที่ทุกอย่างดูจะเป็นไปด้วยดีมากที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้
เธออดคิดถึงชายชราปริศนาคนนั้นไม่ได้
จะเป็นไปได้หรือที่ความโชคดีทุกอย่างเหล่านี้เป็นเพียงความบังเอิญ?
วันต่อมา แอนเปิดกระป๋องอาหารแมวแล้วร้องเรียกเฉาก๊วยให้มากินข้าว แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ เธอเดินหามันทั่วบ้านจนไปเจอหางดำๆ ใต้เตียง พอก้มลงไปดู ปรากฏว่าเฉาก๊วยมีเลือดออกปากและหู ตาเบิกโพลงและปากอ้าค้างราวกับกำลังกรีดร้องแต่ไร้เสียง
แอนยกสองมือปิดปาก.. เฉาก๊วยตายแล้ว
คืนนั้น แอนนอนคิดถึงชายชราตลอดทั้งคืน เสียงพูดของเขาดังในหัวซ้ำๆ "รู้ใช่ไหมว่าทุกอย่างในโลกนี้ล้วนมีราคาด้วยกันทั้งนั้น"...
พอเข้าวันที่เจ็ด แอนเริ่มนั่งไม่ติดที่ ถ้าความโชคดีทุกอย่างตลอดอาทิตย์และการตายของเฉาก๊วยไม่ใช่ความบังเอิญ แสดงว่าหลังเวลาหนึ่งอาทิตย์ผ่านไป เรื่องดีๆ พวกนี้จะต้องจบลงใช่หรือเปล่า?
เธอส่ายหน้าเร็วๆ หน้าที่การงานของเธอกำลังไปได้สวย ภายในอาทิตย์เดียวหลังเริ่มงาน ทั้งเจ้านายและเพื่อนร่วมงานต่างชื่นชมในความสามารถของเธอ ส่วนความสัมพันธ์ของเธอกับมนัสก็ดีแสนดี เธอไม่อยากให้สิ่งเหล่านี้หลุดมือไป
แต่จะทำยังไงดี ถ้าเธอกลับไปหาชายชราอีก คราวนี้เขาจะเอาอะไรเป็นสิ่งตอบแทน? แอนกัดเล็บพลางครุ่นคิดหาทางออก
ตอนนั้นเอง แอนตาเบิกโพลงด้วยไอเดียบรรเจิดที่เกิดขึ้นในหัว
เธอออกไปที่ร้านขายสัตว์เลี้ยงในตลาดนัดใหญ่ใกล้บ้าน แล้วซื้อแมวมาหนึ่งตัว เธออุ้มมันแนบอกก่อนกระซิบเบาๆ "ขอโทษนะ.."
เธอกลับไปที่จุดที่พบชายชราครั้งแรก และแน่นอนว่าเขาอยู่ที่นั่น เพียงแต่คราวนี้ เขาไม่ได้สวมเสื้อผ้าขาดวิ่นเหมือนครั้งแรกที่พบกัน
ครั้งนี้ เขาดูภูมิฐานด้วยเสื้อเชิ้ตติดกระดุมสีดำ กางเกงแสล็กสีเดียวกันและรองเท้าทำงานเงาวับ
ที่แปลกที่สุดคือ เขาดูหนุ่มขึ้นราวสิบปี ริ้วรอยเหี่ยวย่นลดลงจนมองเห็นความหล่อเหลาในวัยหนุ่มชัดเจน
"ว่าไง กลับมาแล้วเหรอ?"
อุณหภูมิตอนนี้ดูเหมือนต่ำลงอย่างรวดเร็ว แอนลูบแขนตัวเองเร็วๆ หวังว่าแรงเสียดทานจะช่วยเพิ่มความอบอุ่น
เอ่อ.. ค่ะลุง" แอนตอบอย่างระวัง มาถึงตอนนี้ เธอถามตัวเองในใจว่าชายแก่คนนี้เป็นใคร.. หรือ "อะไร" กันแน่
"แสดงว่าอยากจะได้ "วันดีๆ" เพิ่มสินะ" ชายชราถามพลางจ้องตาเธอนิ่งนานๆ
แอนมองตาแสนแปลกของชายชรา เธอไม่เคยสังเกตมาก่อน แต่เขามีดวงตาสีอำพันเข้มลึก ที่ยิ่งมอง.. ก็ยิ่งรู้สึกเหมือนต้องมนต์สะกด
"รู้ใช่ไหมว่าทุกอย่างล้วนมีราคาในตัวของมัน?" เขาพูดเสียงนุ่ม แววตาดูเหมือนกำลังสนุกกับการเล่นเกมอะไรสักอย่าง
"ค่ะ ฉันรู้ แต่คราวนี้.. ขอนานๆ หน่อยได้ไหมลุง"
ชายชราเลิกคิ้ว หัวเราะเบาๆ ในลำคอ ก่อนยื่นมือมาทางแอน "ตกลง"
แอนขนลุกซู่ก่อนยื่นมือไปจับมือเย็นเฉียบของชายชราเป็นการตอบตกลง
--
สามปีผ่านไป ชีวิตของแอนเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เธอได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าแผนกของบริษัท ได้แต่งงานใช้ชีวิตคู่อย่างมีความสุขกับมนัส และมีลูกสาวน่ารักน่าชังด้วยกันหนึ่งคนชื่อน้องเจน แถมยังมีเงินมากพอและสร้างบ้านใหม่ให้แม่ที่บ้านเกิด มันเป็นชีวิตแสนสุขสบายที่เธอฝันถึงมาตลอด
จนกระทั่งวันหนึ่ง เธอเห็นพาดหัวข่าวการตายของ 'เอก' แฟนเก่า ร่างของเขาถูกพบในห้องนอน ตำรวจยังไม่สามารถระบุสาเหตุการตายได้แน่ชัด
แต่ร่างไร้วิญญาณของเขามีเลือดออกที่ปากและหู ตาเบิกโพลงและปากอ้าค้างราวกับกำลังกรีดร้องแต่ไร้เสียง
แอนมือสั่นขนลุกซู่ ใจนึกถึงชายชราขึ้นมาเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี เธอหันไปมองแมวที่เธอซื้อจากตลาดนัดเมื่อสามปีก่อน เธอไม่ได้ตั้งชื่อให้มันด้วยซ้ำเพราะไม่อยากผูกพันกับมันมากเกินไป
หรือว่าสาเหตุที่มันยังอยู่ดี เป็นเพราะคราวนี้ชายชราปริศนาต้องการสิ่งตอบแทนที่มากไปกว่าชีวิตแมว?
ไม่นานหลังจากนั้น บริษัทไทยศักรินทร์ที่มั่นคงก็เริ่มมีปัญหาด้านการเงิน ข่าววงในว่ากันว่าบริษัทอาจต้องเผชิญกับภาวะล้มละลายในไม่ช้า
ส่วนมนัสก็เริ่มแสดงท่าทีเย็นชา เขาไม่ช่วยอะไรเลยทั้งเรื่องการบ้านและการเงิน เธอลองสืบดูไม่นานก็ได้รู้ว่าเขาแอบมีเมียน้อย แอนต้องทำหน้าที่เป็นคุณแม่ที่ทั้งต้องดูแลลูกรักและทำงานหาเงินจุนเจือครอบครัวในเวลาเดียวกัน
ส่วนแม่ของเธอก็เกิดล้มป่วย แอนพาแม่ไปรักษากี่หมอก็ไม่หาย จนร่างกายแม่ของแอนทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็ว
ด้วยสภาวะถดถอยทางการเงิน แอนหลังชนฝาไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร หากไม่หาทางแก้ไข เธออาจต้องตกงานและไม่มีปัญญาหาเงินมารักษาแม่
เธอมองมนัสสามีชั่วที่ไม่เหลือความรักให้เธออีกต่อไปแล้วเงียบๆ
ไม่มีทางเลือก.. ในเมื่อมนัสเลือกที่หักหลังเธอ เธอเองก็จะหักหลังเขาด้วยเหมือนกัน โดยการเอาชีวิตของเขาเข้าแลกกับสิ่งที่เธอต้องการ
เธอไปพบชายชราที่จุดเดิม แต่คราวนี้เธอแทบจำเขาไม่ได้ เพราะชายที่ยืนตรงหน้าเธอตอนนี้ยังหนุ่ม ดูแล้วอายุไม่น่าจะเกินสามสิบปี เขายืนตัวตรง ผมดำสนิทปลิวไสวตามลม ใบหน้าใสไร้ริ้วรอยเหี่ยวย่นใดๆ
สิ่งเดียวที่ยังคงอยู่เหมือนเดิม คือดวงตาสีอำพันเข้มลึก
แอนขนลุกซู่ อากาศเกิดหนาวขึ้นมาฉับพลันอีกครั้ง เธอมีคำถามมากมายแต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากอะไรก่อนดี เธอตัดสินใจถามสิ่งที่เธออยากรู้มากที่สุด
"คุณจะช่วยชีวิตแม่ฉันได้ไหม?"
ชายตรงหน้ายิ้มกว้าง "ได้สิ แต่ทุกอย่าง.."
"ล้วนมีราคาในตัวของมันเอง" แอนต่อประโยคให้ เธอสูดหายใจลึก "งั้นก็ดี ฉันอยากให้แม่หายดี และขอชีวิตที่ไม่ต้องลำบากเรื่องเงินอีกเลยไปตลอดชีวิต!" เธอพูดด้วยสีหน้ามุ่งมั่น ความรู้สึกผิดต่อมนัสสามีท่วมท้นเต็มหัวใจ แต่เขาไม่เหลือรักให้เธอแล้วและเธอเองไม่มีทางเลือกอื่น
ชายตรงหน้ายิ้มอย่างพึงพอใจ เขายื่นมือมาทางเธอ แอนร้องไห้ก่อนยื่นมือไปจับมือเย็นเฉียบ
--
แม่ของแอนหายป่วยเป็นปลิดทิ้ง ไม่นานหลังจากนั้นและเธอหย่าขาดจากมนัสในที่สุด ด้วยความที่แอนมีฐานะมั่นคงขึ้นเพราะหันมาจับงานเป็นนายหน้าขายบ้าน เธอขายได้เป็นสิบหลังทุกเดือนและเงินค่าคอมมิชชั่นก็ไหลมาเทมาไม่ขาดสาย เธอจึงได้สิทธิ์ขาดเลี้ยงดูลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนแต่เพียงผู้เดียว ซื้อบ้านหลังใหญ่โตและพาแม่มาอยู่ด้วยกัน
สิบปีผ่านไปไวเหมือนโกหก ชีวิตของเธอตอนนี้ร่ำรวยมั่งคั่ง เงินที่ได้มาเธอเอาไปลงทุนซื้อบ้านและคอนโดไว้หลายที่เพื่อปล่อยเช่า เงินทองไหลมาเทมาราวกับแม่น้ำใช้ยังไงก็ไม่หมด
เจนลูกสาวของเธอตอนนี้กำลังขึ้นชั้นมัธยม
เจนเป็นเด็กเรียนดีมีวินัยและนิสัยน่ารัก แอนรักและภูมิใจในตัวเจนยิ่งนัก ถึงชีวิตแอนจะเคยล้มเหลวมาบ้าง แต่เจนเป็นสิ่งเดียวที่เธอเทิดทูนและรักสุดหัวใจ
"เจน ลงมากินข้าวได้แล้วลูก" แอนตะโกนเรียกลูกสาวที่อ่านหนังสือเรียนทบทวนอยู่ในห้องนอนชั้นบน ตอนนี้หกโมงเย็นแล้ว ได้เวลาทานข้าวเย็นด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา
"เจน" แอนเรียกอีกครั้ง
ทันใดนั้นเอง เธอสังเกตเห็นลมหายใจตัวเองเป็นสายหมอกพวยพุ่งออกจากจมูก อากาศรอบตัวเย็นจัดเฉียบพลัน "ไม่ๆๆ .. ไม่นะ!" เธอพึมพำพลางออกวิ่งขึ้นชั้นบน
พอเปิดประตูเข้าไป แอนเห็นร่างบอบบางของเจนนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีแดงเข้มไหลโกรกออกปากและหู แอนกรีดร้องสุดเสียงจนโลกหมุนแล้ว
สลบไป
--
"หนูๆ เป็นอะไรหรือเปล่า" เสียงแผ่วแว่วมาเข้าหู แอนเริ่มรู้สึกตัว พอลืมตา เธอเห็นใบหน้าคุ้นเคยของชายชรา ก้มมองมาที่เธอที่นอนฟุบอยู่บนพื้น
เธอขนลุก รู้สึกได้ถึงความหนาวยะเยือกที่คุ้นเคยอีกครั้ง แอนมองรอบกายและพบว่าตัวเองกลับมาที่ตรอกเปลี่ยวที่เดียวกันกับที่พบเขาครั้งแรก
เธอมองชายแก่ในชุดขาดวิ่นด้วยความงงงวยแล้วสะบัดหน้าเร็วๆ พยายามตั้งสติ
“เป็นอะไรหรือเปล่า? คงไปเจอเรื่องไม่ดีมาสินะ” เขาถามเสียงทุ้ม ดวงตาสีอำพันดูอ่อนโยนและเชิญชวนอย่างประหลาด
แอนหลบสายตาแล้วลุกยืน "ค่ะลุง วันนี้ดวงไม่ค่อยดีเท่าไหร่" เธอตอบ "แต่ไม่เป็นไร เพราะฉันรู้ว่าถ้าอดทนอีกหน่อย.. ทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี" แอนพูดพร้อมรอยยิ้มสีหน้ามุ่งมั่น
ชายชราเอียงคอมองเธอราวกับฉงนสงสัยในคำตอบนั้น เขายิ้มตอบ พยักหน้าช้าๆ เป็นเชิงเห็นด้วย ก่อนหันหลังเดินจากไป
*จบ*