เมื่ออารมณ์เป็นพิษและจิตบิดเบี้ยว ความคิดจะกลายเป็นกรงขัง และความหมกมุ่นจะผลักดันให้บ้าคลั่ง
ลึกลับ,ระทึกขวัญ,พารานอมอล,เรื่องสั้น,สะท้อนปัญหาสังคม,พล็อตสร้างกระแส,สยองขวัญ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เรื่องเล่าแห่งความโชคร้ายเมื่ออารมณ์เป็นพิษและจิตบิดเบี้ยว ความคิดจะกลายเป็นกรงขัง และความหมกมุ่นจะผลักดันให้บ้าคลั่ง
เรื่องสั้นที่รวบรวมเอาความมืดมนของจิตมนุษย์ ที่ซึ่งวันแสนธรรมดากลับกลายและบิดเบี้ยวจนกลายเป็นสิ่งไม่อาจจินตนาการได้ และสิ่งที่เราตัดสินใจเลือกทำ อาจนำไปสู่โชคชะตาที่มืดมนที่สุด
คำนำ
สมัยยังเด็ก ผู้เขียนมักได้ยินคำพูดที่ว่า “คนน่ากลัวกว่าผี” อยู่บ่อยครั้ง ตอนนั้นผู้เขียนที่ชอบดูหนังผีเป็นที่สุดไม่เข้าใจนักว่าคนจะน่ากลัวกว่าผีไปได้อย่างไร จนกระทั่งเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ ได้อ่าน/ดูข่าวการคดโกง กระทำชำเรา และฆาตกรรม อยู่บ่อยครั้งจนเอือมระอา จึงได้เข้าใจว่าคำพูดนั้นจริงอย่างที่สุด
ในทุกชีวิตย่อมมีสองด้าน เหมือนเหรียญที่มีทั้งด้านหน้าและหลัง ด้านหนึ่งเงาวาวเต็มไปด้วยรอยยิ้มและความหวัง แต่อีกด้านหนึ่งมืดมิดลึกลับราวกับหลุมดำไร้จุดสิ้นสุด
“เรื่องเล่าแห่งความโชคร้าย” จะพาผู้อ่านดำดิ่งลงสู่ความมืดมิดที่สุดแห่งจินตนาการเพื่อสำรวจความน่าสะพรึงกลัวของจิตใจมนุษย์
ในที่ที่ฝันร้ายกลับกลายเป็นจริง และเส้นแบ่งบางๆ ระหว่างความมีสติและความบ้าคลั่งมาถึงจุดเลือนรางที่สุด
ผู้เขียนเจาะลึกถึงความสยองขวัญที่สะท้อนความวิตกกังวลและความปรารถนาสุดแสนล้ำลึกของคนเราอันเป็นผลสืบเนื่องมาจากความรัก โลภ โกรธ หลง ด้วยหวังว่าการสำรวจครั้งนี้จะไม่เพียงสร้างความบันเทิงแต่ยังกระตุ้นให้ผู้อ่านคิดคำนึงและไตร่ตรองถึงความสลับซับซ้อนและบางครั้งแสนอันตรายที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากแห่งการดำเนินชีวิตอันแสนธรรมดาของมนุษย์เรา
เพราะหากเราได้หยั่งรู้เท่าทันถึงจุดอ่อนและความวิปลาสของจิตใจมนุษย์แล้ว เราอาจสามารถป้องกันและยับยั้งชั่งใจไม่ให้ต้องเกิดเรื่องราวแห่งความโชคร้ายขึ้นอีกก็เป็นได้
ด้วยรัก
ณ เสียงฝน
คำเตือน
นวนิยายเรื่องนี้มีเนื้อหาที่อาจไม่เหมาะสมสำหรับผู้อ่านบางกลุ่ม เนื่องจากมีการกล่าวถึงความรุนแรง ความตาย และภาพลักษณ์ที่อาจสร้างความหวาดกลัวได้ ผู้อ่านควรพิจารณาอายุและความพร้อมของตนเองก่อนตัดสินใจอ่าน
นวนิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องสมมติ แม้ได้รับแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์และแนวคิดในโลกแห่งความจริง แต่ตัวละคร องค์กร และสถานการณ์ทั้งหมดเป็นเรื่องสมมติทั้งหมด การมีความคล้ายคลึงกับบุคคลจริง ไม่ว่าจะเป็นผู้มีชีวิตอยู่หรือเสียชีวิตแล้ว เป็นเพียงเรื่องบังเอิญเท่านั้น
จอมพลกับนภาเป็นสามีภรรยากันมาเกือบสิบสี่ปี แรกๆ พวกเขารักกันดีไม่เคยมีเรื่องนอกกายนอกใจให้ต้องคิดมาก แต่พอหลายปีผ่านไป ความเคยชินของการใช้ชีวิตคู่อยู่ร่วมกันก็เริ่มทำให้เกิดอาการถกเถียงกันไปมาอยู่เป็นนิตย์
"ขับช้าๆ หน่อยสิคุณ" นภาบ่น ตอนทั้งสองอยู่ในรถ กำลังมุ่งหน้าไปตลาดเพื่อซื้อข้าวของเครื่องใช้รายสัปดาห์เหมือนอย่างที่ทำทุกอาทิตย์
"รถเยอะๆ แบบนี้ ขับช้าเกินเดี๋ยวก็โดนรถคันหลังบีบแตรไล่อีก" จอมพลพูดเรื่อยๆ
นภายิ้มเยาะพลางพ่นลมออกจมูก "เออ ฉันก็ลืมไป ว่าคุณมันรู้ดีที่สุดในโลก ทำอะไรไม่เคยผิด!" เธอพูดน้ำเสียงถากถาง
จอมพลมองเมียแบบละเหี่ยใจ เม้มปากหยุดตัวเองไม่ให้ต่อคำให้เสียเวลา พลางนึกว่าทำไมทุกอย่างที่เขาพูดและทำจะต้องเป็นเหตุให้พวกเขาทั้งสองต้องเถียงกันไม่หยุด
“ระหว่างทางเดี๋ยวหยุดร้านเซเว่นให้ด้วยนะ ฉันจะซื้อกาแฟ” นภาเปรย
“กาแฟที่ตลาดเลยก็มีมั้ย ทำไมต้องแวะเซเว่นด้วย เสียเวลาเปล่าๆ” จอมพลพูดไปตามที่คิด นภาชอบกินกาแฟเย็น แล้วไอ้กาแฟเย็นกาแฟชงนี่มันก็มีอยู่ทุกที่ทั่วไป ไหนๆ ก็จะไปซื้อของที่ตลาดอยู่แล้ว ไม่เห็นจำเป็นต้องลำบากหาที่จอดหน้าเซเว่นใกล้ตลาดเลย
“กาแฟเซเว่นอร่อยกว่า หวานกว่า ฉันชอบของฉันแบบนั้น แล้วถ้าไปถึงตลาดแล้วร้านกาแฟไม่มาขายจะทำยังไง?” นภาเถียง
“ก็ถ้าร้านที่ตลาดไม่มีขายก็ค่อยชื้อกาแฟที่เซเว่นตอนขากลับก็ได้” จอมพลตอบเรียบๆ
“แต่ถ้าไปตอนขากลับ ร้านมันจะอยู่ถนนฝั่งตรงข้าม เดี๋ยวคุณก็ต้องขับข้ามถนนอีก” นภาให้เหตุผล
จอมพลถอนใจ พอถึงหน้าเซเว่นก็ชะลอรถจอด “งั้นก็ซื้อโค้กให้กระป๋องนะ” เขาพูด
เมียเขาหันมองขมวดคิ้ว “โค้กมันไม่ดี เดี๋ยวก็ท้องอืดอีก คราวที่แล้วปวดท้องแทบแย่ จำไม่ได้เหรอคุณ?”
“น่า นานๆ ที ผมไม่ได้กินทุกวัน” เขาพูดเบื่อๆ ไม่รู้ว่าบทสนทนาที่น่ารำคาญนี้มันจะจบลงเมื่อไหร่ “เมื่อก่อนผมกินทุกวัน แต่เดี๋ยวนี้สองอาทิตย์กินที ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้นหรอกมั้ง”
“น่าจะเลิกกินได้แล้ว” นภาเหน็บ
“โค้กกระป๋องนึง!” จอมพลย้ำเสียงนิ่ง เขารู้สึกได้ถึงสายตาเขียวปั้ดของนภาแต่ไม่ได้สนใจจะหันไปมอง เพราะชินชาเสียแล้วกับนิสัยแบบนี้ของเมีย
นภากระฟัดกระเฟียดลงจากรถก่อนกระแทกประตูปิดดังปัง จอมพลหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบเพื่อสงบสติอารมณ์ เขารู้สึกว่าชีวิตคู่ไม่แฟร์
จากประสบการณ์แล้ว ฝ่ายหญิงมักจะเป็นฝ่ายงอนตุ๊บป่อง คาดหวังให้ฝ่ายชายต้องง้อ ไม่ว่าใครจะเป็นคนผิดก็ตาม ดูอย่างครั้งนี้ นภาอยากซื้อกาแฟเย็นที่เซเว่นเขาก็แวะจอดรถให้ซื้อแล้ว แต่นภาก็ยังไม่วายแสดงท่าทีไม่พอใจ
จอมพลกดเปิดหน้าต่าง เขารู้ว่านภาไม่ชอบกลิ่นบุหรี่และบ่นเป็น หมีกินผึ้งทุกครั้งที่เขาสูบบุหรี่ในรถ แต่เขาไม่อยากเก็บมาคิดให้รำคาญใจ ยังไงเสีย ถ้าไม่ใช่เรื่องสูบบุหรี่ นภาก็มีเรื่องหามาบ่นได้ตลอดอยู่ดี
ถึงตอนนี้จะเป็นเวลาบ่ายแก่ๆ แล้ว แต่อากาศวันนี้ก็ยังร้อนอบอ้าว จอมพลมองออกไปนอกหน้าต่างพลางดูดควันบุหรี่เข้าปอดลึก ที่นี่อยู่ใกล้ตลาดสดนิดเดียวและมีผู้คนเดินกันพลุกพล่าน เขามองเห็นคู่หนุ่มสาวคู่หนึ่งที่เดินไปหยอกล้อกันไปพลางหัวเราะกิ๊กกั๊กอย่างไม่เร่งรีบ ราวกับว่าโลกทั้งโลกมีเพียงเขาและเธอเพียงสองคนเท่านั้น
จอมพลพ่นลมออกจมูก “เฮอะ! รอก่อนเถอะไอ้หนุ่ม อีกไม่นานหรอก แกก็จะเป็นเหมือนข้านี่แหละ” เขาพึมพำเบาๆ พลางนึกย้อนไปถึงวันวานที่แสนหวาน
เขากับนภาเองก็เคยรักกันแบบนั้น เขารู้ว่านภาชอบอะไร และนภาเองก็รู้ว่าเขาชอบอะไร พวกเขาต่างเอาอกเอาใจและเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน ตอนนั้นรักยังหวานไม่ใช่เปรี้ยวเข็ดฟันเหมือนทุกวันนี้ นภาเคยเป็นคนใจสปอร์ต ไม่ว่าจอมพลอยากได้อะไรเธอก็หามาให้ทุกอย่างเพื่อเอาใจผัวรัก ต่างกันลิบลับกับทุกวันนี้
ส่วนจอมพลเองก็ชอบซื้อของขวัญให้นภา โดยเฉพาะเสื้อแขนยาว เขามักจะซื้อเสื้อแขนยาวสวยๆ ให้นภาเมียรักเสมอ เขารู้ว่านภาใส่เสื้อแขนยาวเป็นส่วนมากเพราะเธอเป็นภูมิแพ้พิษมดคันไฟรุนแรง
เธอเคยเล่าให้เขาฟังว่า สมัยยังเด็ก นภาเคยถูกมดคันไฟกัดต้องถูกหามส่งโรงพยาบาลแทบไม่ทัน โชคยังดีที่รอดชีวิตมาได้ ทุกวันนี้ เพื่อเป็นการไม่ประมาท นภาจึงสวมเสื้อแขนยาวแทบจะตลอดเวลา
จอมพลจำได้ว่า ตั้งแต่ได้ยินเรื่องอาการแพ้พิษมดคันไฟของนภา เขาเป็นกังวลและเป็นห่วงเมียรักเอามากๆ เขาเริ่มหาข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ พยายามทำความเข้าใจ เพื่อที่จะได้ปกป้องภรรยาของตนได้ดียิ่งขึ้น
จากข้อมูลที่เขาได้มา เขาได้รู้ว่า ภาวะภูมิแพ้รุนแรงเป็นอาการแพ้ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วร่างกายและอาจรุนแรงจนเป็นอันตรายถึงชีวิต มันเป็นอาการที่ระบบภูมิคุ้มกันปล่อยสารเคมีออกมามากจนทำให้เกิดอาการช็อกได้ ความดันโลหิตลดลงอย่างกะทันหัน และทางเดินหายใจตีบตันจนขัดขวางการหายใจ
แต่ยิ่งนานเข้า ชีวิตแต่งงานของเขาก็ยิ่งน่ารำคาญ ไม่ว่าเขาจะพูดหรือทำอะไร ก็ดูเหมือนว่านภาจะไม่พอใจไปเสียทุกอย่าง
เสียงเปิดประตูรถดึงจอมพลออกจากภวังค์ นภากลับมาที่รถพร้อมแก้วกาแฟเย็นใบโตแต่ไร้แววโค้กกระป๋องที่เขาขอให้เธอซื้อให้
"ไหนโค้ก?" จอมพลถาม
"ก็บอกแล้วไงว่าควรจะเลิกกินโค้กได้แล้ว" นภาตอบแบบไม่หันมามองเขาด้วยซ้ำ
"ว่าไงนะ? นี่คุณไม่ได้ซื้อโค้กให้ผมจริงๆ เหรอเนี่ย!?" จอมพลถามอย่างไม่เชื่อหู "ไม่เกินไปหน่อยเหรอคุณ? แค่โค้กกระป๋องเดียวก็ซื้อให้ไม่ได้เลยเหรอ มันจะอะไรกันนักหนา!"
นภาอ้าปากค้างหันมามองเขาราวกับว่าเธอช็อกกับสิ่งที่ได้ยิน
"แค่โค้กกระป๋องเดียวต้องขึ้นเสียงด้วยเหรอ?! ทีคุณสูบบุหรี่ในรถฉันยังไม่ว่าอะไรเลยนะ!"
จอมพลเอียงคอ แววตาเหมือนเพิ่งเข้าใจอะไรบางอย่าง "อ๋อ.. อย่างงี้นี่เอง แสดงว่าตอนซื้อของในเซเว่น คุณเห็นผมสูบบุหรี่เลยตัดสินใจไม่ซื้อโค้กเป็นการแก้เผ็ดผมสินะ!"
"ไม่ใช่สักหน่อย! บอกแล้วไงว่ากินโค้กมากๆ มันไม่ดี" นภานั่งหลังตรงคอแข็งอย่างดื้อรั้น
"เออ ก็แปลกดี ทีตัวเองกินกาแฟเย็นหวานๆ ได้ทุกวันจนอ้วนเป็นตุ่ม อันนั้นกินได้ไม่ต้องเลิก!"
นภาหันขวับมามองจอมพลอ้าปากค้างอย่างไม่เชื่อหู สีหน้าแสดงความเจ็บปวด "ทำไมใจร้ายแบบนี้?!"
"พูดไม่ดูตัวเอง! ตัวเองคงหล่อมากเลยมั้ง นี่ถ้ารู้ว่าแต่งมาแล้วจะเป็นแบบนี้ ฉันตัดสินใจแต่งกับกฤตดีกว่า!"
จอมพลกัดฟันกรอด เขาเข้าเกียร์แล้วออกรถ เธอกล้าดียังไงถึงพูดถึงไอ้กฤตขึ้นมา รู้ทั้งรู้ว่าเขาเกลียดมันเข้าไส้?
กฤตเคยเป็นเพื่อนรักที่จอมพลไว้ใจ ตอนเขากับนภาเริ่มคบกันใหม่ๆ ทั้งเขา นภา และกฤตกลายเป็นเพื่อนสนิทกันมากและไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ
ต่อมาไม่นาน เขาสังเกตเห็นว่าพฤติกรรมของทั้งสองคนเปลี่ยนไปราวกับว่าพวกเขากำลังปิดบังอะไรบางอย่าง เขาคาดคั้นเอากับนภาว่าเกิดอะไรขึ้นและนภาสารภาพว่ากฤตพยายามจีบเธอลับหลังจอมพลมาสักพักแล้วและเธอเองตอนนี้เริ่มไม่แน่ใจตัวเองว่ารักใครกันแน่ จอมพลหรือกฤต
จอมพลเสียใจและเสียความรู้สึกมากที่ทั้งกฤตที่เป็นเพื่อนรักและนภาคนรักแอบคุยกันลับหลังเขา และด้วยความแค้นใจมากกว่าอะไรทั้งหมด จอมพลตัดสินใจขอนภาแต่งงานและนภาตอบตกลง
นภากล้าที่จะเอ่ยชื่อกฤตต่อหน้าเขา แสดงว่าเธอกล้าที่จะเผชิญหน้ากับผลร้ายที่ตามมา..
วันนั้นทั้งวัน เขากับนภาไม่ได้คุยอะไรกันอีก ต่างคนต่างเงียบ แต่เป็นความเงียบที่แตกต่างกัน นภาเงียบแบบดื้อเงียบ ส่วนจอมพล เงียบราวกับกำลังครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่าง
ช่วงประมาณสองทุ่มคืนนั้นหลังกินมื้อค่ำ เขาบอกนภาว่าจะออกไปขับรถกินลมเล่นข้างนอก “จะไปด้วยกันไหม?” เขาถาม
นภาไม่มองหน้าเขาด้วยซ้ำ เพียงส่ายหน้าเชิดๆ อย่างไม่ใส่ใจ
จอมพลหยิบกุญแจรถแล้วเดินออกจากบ้านไป
คืนนั้น จอมพลกลับมาถึงบ้านแล้วตั้งใจจะนอนในห้องรับแขก ส่วนนภา พอถึงเวลานอนก็เดินฉิวเข้าห้องนอนไปอย่างไม่สนใจไยดีสามี จอมพลรู้อยู่แก่ใจว่าเธอจะทำตัวแบบนี้เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรก
นภาเป็นคนเอาแต่ใจมาแต่ไหนแต่ไร ไม่ว่าใครจะเป็นคนผิด จอมพลมักจะเป็นฝ่ายง้อเธอก่อนเสมอ
เขายิ้มมุมปาก นภาคิดว่าเธอรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเขา แต่สิ่งที่เธอไม่รู้ก็คือ
หนึ่ง.. เขายอมให้เธอได้ทุกอย่าง ยกเว้นเรื่องกฤต
สอง.. เมื่อตอนสองทุ่ม เขาไม่ได้ไปขับรถกินลมอย่างที่บอกนภา แต่ไปที่ป้ายรถเมลใต้ต้นฝรั่งใกล้บ้าน ที่ที่เขาเคยเห็นรังมดคันไฟ
สาม.. ตอนนภาวุ่นทำกับข้าวมื้อเย็นในครัว เขาเดินเข้าไปในห้องนอนพร้อมแก้วกาแฟเย็นที่นภาวางทิ้งไว้บนโต๊ะในห้องรับแขก เขาเอามือจุ่มกาแฟเย็นที่หวานเอาเรื่องของเธอก่อนโรยเป็นหยดเล็กๆ ทั่วหมอนและที่นอนฝั่งนภา ก่อนเปิดถุงพลาสติกแล้วค่อยๆ บรรจงโรยมดคันไฟลงบนเตียง
*จบ*