"จดหมายปริศนา การหมั้นหมายที่ถูกบังคับ และเงาของสงครามที่กำลังคืบคลาน… ท่ามกลางเกมอำนาจที่ไม่มีใครเลือกได้ ใครกันที่เป็นผู้กุมชะตาของทั้งสองอาณาจักร?!"
แฟนตาซี,ดราม่า,รัก,สงคราม,แฟนตาซี,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
"จดหมายปริศนา การหมั้นหมายที่ถูกบังคับ และเงาของสงครามที่กำลังคืบคลาน… ท่ามกลางเกมอำนาจที่ไม่มีใครเลือกได้ ใครกันที่เป็นผู้กุมชะตาของทั้งสองอาณาจักร?!"
ผู้แต่ง
{คุณนายสลอธ}
เรื่องย่อ
ในโลกที่ถูกแบ่งแยกด้วยแนวคิดที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง—อาณาจักร ยูเรดี้ ที่รุ่งเรืองด้วยเสรีภาพและความสุข ขณะที่ โคเรียลัน เต็มไปด้วยการกดขี่และขาดอิสระ เจ้าชาย ฟีนิส แห่งยูเรดี้บังเอิญพบจดหมายปริศนาบนต้นไม้ของเขา เนื้อความเต็มไปด้วยบทกวีจากผู้ส่งนิรนาม ความอยากรู้นำพาให้เขาตอบกลับ เกิดเป็นการแลกเปลี่ยนจดหมายระหว่างเขากับหญิงสาวปริศนา ทว่าในขณะเดียวกัน อาณาจักรทั้งสองกลับประกาศการหมั้นหมายทางการเมืองระหว่างเจ้าชายฟีนิสและเจ้าหญิง โนอา แห่งโคเรียลัน
การหมั้นหมายที่ไม่ได้เกิดจากความรัก แต่เป็นกลเกมทางการเมือง เพื่อผนึกกำลังระหว่างสองอาณาจักรที่มีแนวคิดและเป้าหมายที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว เจ้าชายฟีนิสไม่เห็นด้วยกับการหมั้นหมายครั้งนี้ เขาพยายามทักท้วงพระราชายูเรนัสให้ยกเลิก แต่ความพยายามทั้งหมดกลับไม่เป็นผล พระราชาไม่ฟังเสียงของเขา และยิ่งทำให้เจ้าชายรู้สึกโดดเดี่ยวและไม่พอใจ
ในขณะเดียวกัน เจ้าหญิงโนอากลับแสดงท่าทีเฉยชาและไม่ใส่ใจกับการหมั้นหมายนี้ เพราะสำหรับเธอแล้ว มันเป็นเพียงข้อตกลงทางการเมืองที่เธอไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ขณะที่ ลูลู่ จอมเวทแห่งโคเรียลันผู้เฝ้ามองความขัดแย้งอยู่ห่างๆ เข้าใจถึงกลเกมที่แท้จริงเบื้องหลังการแต่งงานนี้
ท่ามกลางความตึงเครียดและการขัดแย้ง สงครามกลับคืบคลานเข้ามาโดยไม่รู้ตัว ฟีนิสพบว่าทุกสิ่งกำลังเปลี่ยนแปลงไป เขาเห็นสิ่งต่างๆ กำลังแย่ลง แต่ไม่สามารถหยุดยั้งอะไรได้ ในขณะที่เจ้าหญิงโนอาเพียงแค่เฝ้ามองขุนนางที่พึงพอใจกับสถานการณ์นี้
การแลกเปลี่ยนจดหมายระหว่างเจ้าชายและหญิงสาวปริศนา จะเปิดเผยความลับใด? หมั้นหมายทางการเมืองนี้ จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ใด? และ สงครามที่กำลังจะมาถึง มีเบื้องหลังที่ใครบางคนพยายามปกปิดหรือไม่?
ณ ดินแดนอันห่างไกล ทางตอนเหนือของแผ่นดินใหญ่
ผ่านผืนป่าหมอกทึบ ข้ามหุบเขาที่ปกคลุมด้วยเงามืด เจ้าจะพบกับอาณาจักรโคเรียลัน ดินแดนที่ถูกขนานนามว่า "กรงแห่งขุนเขา" เพราะที่นี่ถูกโอบล้อมด้วยเทือกเขาสูงชัน ประหนึ่งปราการธรรมชาติที่กักขังผู้คนเอาไว้
ฟ้าของโคเรียลันมักหม่นมัว เมฆครึ้มบดบังแสงอาทิตย์ ราตรียาวนานกว่ากลางวัน ลมหนาวพัดผ่านตรอกซอกซอยอันเงียบงันของเมืองหลวง 'คาร์เดน' ที่ซึ่งบ้านเรือนหินสีเข้มตั้งเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ ถนนปูด้วยอิฐเก่าแก่และเต็มไปด้วยรอยแตกร้าว ผู้คนเดินผ่านกันไปมาอย่างเร่งรีบโดยไม่ปริปากสนทนา
ใจกลางเมืองสูงตระหง่านด้วย ปราสาทอัลเดรน ศูนย์กลางอำนาจของราชวงศ์โครเนียส ที่ตั้งอยู่บนยอดเขาสูง หอคอยของมันพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ดั่งเป็นผู้เฝ้ามองทุกชีวิตในอาณาจักรนี้
ที่นี่... ไม่มีเสียงหัวเราะของผู้คน มีเพียงเสียงของกฎเกณฑ์และคำสั่งที่ถูกบังคับใช้ตลอดมา
...
ภายในพระราชวังที่ถูกล้อมด้วยกำแพงหินสูง
ลมพัดผ่านอย่างเงียบงัน ราวกับถูกพันธนาการด้วยบรรยากาศอึดอัดและเย็นชา ความเงียบสงัดปกคลุมทุกซอกมุม มีเพียงเสียงฝีเท้าของข้าราชบริพารที่ก้องสะท้อนในโถงทางเดินยาวเหยียด พวกเขาขยับตัวอย่างระมัดระวัง ไม่เร่งรีบ ไม่เฉื่อยชา ทุกก้าวถูกกำหนดไว้อย่างแม่นยำ
แสงแดดอ่อนลอดผ่านม่านสีซีด ทอดเงาบางเบาบนพื้นหินเย็นเฉียบ อากาศนิ่งเสียจนแม้แต่ฝุ่นที่ลอยละล่องก็ดูเหมือนส่งเสียง ข้าราชบริพารเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบ สายตาไม่เคยสบกันจริง ๆ คำทักทายที่เปล่งออกมาเป็นเพียงพิธีการ เสียงตอบรับเป็นเพียงกลไกที่ถูกฝึกฝน ไม่มีใครตั้งใจฟัง ไม่มีใครสนใจความหมาย
พวกเขาทุกคนเป็นเพียงฟันเฟืองเล็ก ๆ ในกลไกที่หมุนไปโดยไร้ชีวิตจิตใจ ท่ามกลางเสียงฝีเท้าที่ดังก้องสะท้อน บรรยากาศเงียบงันราวกับกลืนกินทุกสิ่ง
....
ในห้องโถงใหญ่
เด็กหญิงนั่งนิ่งริมหน้าต่าง ดวงตาสีม่วงเข้มทอดมองออกไปด้านนอก เธอห่อไหล่เล็กน้อย ท่าทางไม่กระตือรือร้นและไม่เฉื่อยชา คล้ายกับว่าไม่มีสิ่งใดต้องรอคอย ไม่มีสิ่งใดต้องหวัง
เสียงฝีเท้าเงียบเชียบหยุดลงข้างหลังเธอ
"เจ้าหญิงพ่ะย่ะค่ะ"
เสียงราบเรียบและสงบนิ่ง เด็กหญิงหันไปมองเล็กน้อย ชายหนุ่มในชุดรับใช้สีดำยืนอยู่ตรงนั้น เรือนผมสีเงินยาวประบ่าทำให้เขาดูโดดเด่น แม้จะเป็นเพียงข้ารับใช้ แต่ท่วงท่าของเขากลับเปี่ยมไปด้วยความมั่นคง ดวงตาคมเฉียบจับจ้องเธอราวกับกำลังวิเคราะห์ทุกการเคลื่อนไหว
"มีคำสั่งจากองค์ราชา"
เขากล่าวเสียงเรียบ
"พระองค์ตกลงให้เจ้าหมั้นกับเจ้าชายฟีนิสแห่งยูเลดี้"
เด็กหญิงกระพริบตาหนึ่งครั้ง ก่อนหันกลับไปมองท้องฟ้าครึ้มหม่นนอกหน้าต่าง
"อืม"
เท่านั้น ไม่มีคำถาม ไม่มีความแปลกใจ ไม่มีความยินดีหรือขัดขืน
ชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย
"เจ้าหญิงไม่รู้สึกอะไรเลยหรือ?"
"แล้วข้าควรจะรู้สึกอะไรล่ะ?"
"ก็…" เขาชะงัก ไม่มีคำตอบให้เธอ
เด็กหญิงไม่ได้ถามเพราะต้องการคำตอบ เพียงแค่เปล่งเสียงออกมาโดยไม่คาดหวังสิ่งใด ราวกับว่าการหมั้นหมายนี้ไม่มีความหมายใดกับเธอเลย
ข้ารับใช้หนุ่มเฝ้ามองเธอเงียบ ๆ คิดว่าเธอไม่เหมือนเด็กวัยเดียวกันเลยแม้แต่น้อย
สายลมพัดม่านบางสีขาวให้ปลิวไหว ราวกับพยายามกวาดเอาความเงียบงันออกจากห้องโถงอันว่างเปล่า
เวลาค่อย ๆ ไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้า แสงแดดอ่อนร่วงหล่นผ่านกระจกสี ทว่ากลับไม่อาจเจือจางเงาหม่นของเมืองที่ทอดยาวไปจนสุดสายตา
เด็กหญิงยังคงนั่งอยู่ริมหน้าต่าง แม้สายลมเย็นจะแตะต้องผิวกาย แต่ความหนาวเย็นที่แท้จริงกลับอยู่ภายในตัวเธอเอง
"พระองค์รู้หรือไม่ว่า... สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น มันย้อนกลับไม่ได้?"
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากเงามืดของห้อง เงียบพอให้กลืนไปกับเสียงลม แต่หนักแน่นพอให้ก้องอยู่ในใจ
เจ้าหญิงน้อยไม่ได้หันไปมองในทันที เธอยังคงทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง แสงแดดอ่อนทอผ่านกระจกสี แต่กลับไม่อาจทำให้เมืองทั้งเมืองดูสว่างขึ้นได้
"เจ้าหญิง..." เขาเอ่ยเรียก นัยน์ตาลึกลับจับจ้องเงาด้านข้างของเธอ "ท่านอาจจะเคยรู้สึกถึงมันบ้าง..." เขากล่าวต่อ แววตาทอดมองผ่านแสงจากกระจกสี "ว่าไม่ว่าจะทำอะไร ก็ไม่สามารถหลีกหนีจากชะตากรรมที่รออยู่ได้"
"เช่นเดียวกับทุกสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในโคเรียลัน ทุกสิ่งในอาณาจักรนี้ถูกกำหนดไว้แล้ว"
เสียงของเขาแหบแห้ง คล้ายกับความจริงที่เอ่ยออกมาได้เคี่ยวกรำจิตใจเขามานานแสนนาน
เจ้าหญิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเธอหันมามองเขาในที่สุด ดวงตาสีเข้มของเธอสบกับแววตาของเขา
"ถ้าเป็นเช่นนั้น...ข้าคงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น" เจ้าหญิงตอบเสียงเย็น เฉียบ
"มันก็แค่ส่วนหนึ่งของเกมที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง"
เจ้าหญิงเอียงศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปมองนอกหน้าต่างอีกครั้ง ลมหายใจของเธอแผ่วเบา ไม่เร่งร้อน ไม่กระวนกระวาย ราวกับไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของเขาเลยสักนิด
ชายหนุ่มเงียบไปครู่หนึ่ง ราวกับคำพูดของเจ้าหญิงได้ทำให้เขานึกคิดบางสิ่ง เขายังคงยืนอยู่ในความมืด สายตาของเขาสะท้อนออกมาจากแสงอ่อนๆ ของกระจกสีอย่างลึกลับ เขาค่อยๆ ก้าวออกจากเงามืดและเดินเข้าใกล้เจ้าหญิง
"แต่ท่านยังคงกังวลมิใช่หรือ?" เขาถามเสียงต่ำ ราวกับพยายามทดสอบบางอย่างในตัวเธอ
เจ้าหญิงหันกลับมาสบตาเขาโดยตรง ราวกับจะมองเข้าไปในจิตใจของเขาเอง ก่อนจะตอบกลับไปด้วยเสียงที่แหบแห้งและห่างเหิน "ความกลัวเป็นเพียงความอ่อนแอ หากข้ารู้สึกกลัว...ก็แปลว่าข้าจะถูกควบคุม"
คำตอบนั้นทำให้ชายหนุ่มยิ้มบางๆ แม้จะเป็นรอยยิ้มที่ไม่อาจมองเห็นได้อย่างชัดเจน แต่ในแววตาของเขามีอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้
"ข้าจะดูต่อไป...ว่าเจ้าหญิงจะจัดการกับชะตากรรมของตัวเองได้อย่างไร"
คำพูดของเขาสร้างความรู้สึกที่แปลกประหลาดในหัวใจของเจ้าหญิงน้อย ความรู้สึกที่ไม่ใช่ความกลัว แต่มันกลับเป็นบางสิ่งที่เธอไม่สามารถอธิบายได้ เขายังคงยืนอยู่ตรงนั้น จ้องมองเธอด้วยความเงียบสงบ ก่อนจะลับสายตาไป..
เจ้าหญิงน้อยยังคงจ้องมองไปที่ริมหน้าต่างมองออกไปยังท้องฟ้าที่ยังคงหม่นหมอง หมอกหนายังคงปกคลุมไปทั่วแผ่นดิน เสียงลมที่พัดผ่านมาเป็นเสียงเดียวกับที่เขาทิ้งไว้ในห้อง ความเงียบที่ตามมาหลังจากการจากไปของชายหนุ่มทำให้รู้สึกเหมือนกับเวลาหยุดลง
"ชะตากรรมเป็นเพียงสิ่งหนึ่งที่ไม่อาจเลี่ยงได้..."
เธอพูดเสียงเย็น ราวกับไม่สนใจสิ่งใดและยอมรับชะตากรรมในแบบของตัวเอง
"อย่างไรเสีย.."
"ตราบใด..ที่ตัวข้ายังไม่ถูกฉุดรั้น.. ก็คงไม่มีวันที่จะรู้ทิศทางใด"
เธอเอ่ยเบา ๆ ก่อนปล่อยให้คำพูดจางหายไปพร้อมสายลมที่พัดผ่าน
ม่านหน้าต่างพลิ้วไหวเบา ๆ ดุจมือที่เอื้อมมาสัมผัสไหล่เธอ ราวกับกำลังเตือนว่าเธอไม่ใช่เจ้าของชีวิตตัวเองมาตั้งแต่แรก