"จดหมายปริศนา การหมั้นหมายที่ถูกบังคับ และเงาของสงครามที่กำลังคืบคลาน… ท่ามกลางเกมอำนาจที่ไม่มีใครเลือกได้ ใครกันที่เป็นผู้กุมชะตาของทั้งสองอาณาจักร?!"
แฟนตาซี,ดราม่า,รัก,สงคราม,แฟนตาซี,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ชีวิตประจำวันของเจ้าชายฟีนิส ยามเช้าภายในพระราชวังเริ่มต้นขึ้นด้วยเสียงระฆังบอกเวลา แสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านหน้าต่างสูงทอดเงาเป็นลวดลายบนพรมผืนหนา เจ้าชายฟีนิสก้าวลงจากเตียงด้วยท่าทางที่ดูเหมือนจะกึ่งงัวเงียกึ่งเบื่อหน่าย
“องค์ชาย ตื่นได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นจากหน้าประตู ร่างสูงของชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบราชองครักษ์ก้าวเข้ามาในห้อง เคร่งครัดแต่ไม่แข็งกระด้างจนเกินไป เขาคือ เซดริก องครักษ์ส่วนพระองค์ ผู้ที่อยู่ข้างเจ้าชายฟีนิสมาตั้งแต่เด็ก
“ข้าได้ยินแล้ว...” ฟีนิสเอ่ยตอบอย่างขอไปที มือขยี้ผมยุ่งๆ ก่อนจะเดินไปยังโต๊ะที่มีเอกสารกองหนึ่งวางรออยู่
กิจวัตรขององค์ชายไม่ได้แตกต่างจากวันก่อนๆ มากนัก หลังจากล้างหน้าและแต่งองค์ตามธรรมเนียมแล้ว เขาต้องเข้าร่วมฝึกซ้อมดาบกับเหล่าทหาร จากนั้นจึงเข้าสู่ช่วงเรียนหนังสือ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบทเรียนว่าด้วยกลยุทธ์ การเมือง และเศรษฐกิจ
เซดริกมักจะอยู่ข้างกายเขาเสมอ ไม่ใช่แค่ในฐานะองครักษ์ แต่ในบางครั้งก็คล้ายกับพี่ชายหรือเพื่อนที่คอยให้คำปรึกษา
“ฝ่าบาทดูเหนื่อยพระทัยนะพ่ะย่ะค่ะ” เซดริกกล่าวขณะเดินตามเจ้าชายออกไปยังลานฝึกซ้อม
“เจ้าจะให้ข้าสดใสเหมือนเด็กน้อยรึไง?” ฟีนิสหัวเราะแผ่วเบา มือหมุนดาบไปมาเบาๆ ก่อนจะหันกลับไปสบตาเซดริก “ข้าคงชินกับชีวิตแบบนี้มากไปล่ะมั้ง”
เซดริกไม่ได้ตอบอะไร แต่เขาเข้าใจดีว่าเจ้าชายหมายถึงอะไร ชีวิตภายในวังอาจดูหรูหรา ทว่าเส้นทางของเจ้าชายไม่ใช่สิ่งที่เจ้าตัวเลือกเอง ทุกอย่างถูกขีดเส้นเอาไว้หมดแล้ว แม้แต่เรื่องที่เขาต้องแต่งงานกับเจ้าหญิงจากต่างแดน
แม้ฟีนิสจะใช้ชีวิตในแต่ละวันไปตามหน้าที่ แต่ก็ยังมีบางสิ่งที่เขาไม่อาจเข้าถึง หรือบางที...อาจจะไม่มีใครอยากให้เขารับรู้ตั้งแต่แรก
สายลมแห่งอาณาจักรที่พัดผ่าน
หลังจากการฝึกซ้อมดาบเสร็จสิ้น ฟีนิสเดินกลับไปยังตำหนักของตนโดยมีเซดริกเดินตามอยู่ไม่ห่าง ระหว่างทาง เขาสังเกตเห็นเหล่าข้าราชบริพารที่กำลังจัดเตรียมบางอย่างในพระราชวัง ทุกคนดูเร่งรีบ แต่ไม่มีใครปริปากพูดอะไรมากนัก
"มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นงั้นหรือ?" ฟีนิสเอ่ยถาม ขณะปรายตามองเหล่าข้าราชบริพารที่ขนของไปตามทางเดินหินอ่อน
เซดริกเหลือบมอง ก่อนจะตอบด้วยเสียงราบเรียบ "ข้าเองก็ไม่แน่ใจพ่ะย่ะค่ะ แต่ดูเหมือนจะเป็นคำสั่งจากเบื้องบน"
"เบื้องบนงั้นหรือ..." ฟีนิสพึมพำก่อนจะหยุดยืนอยู่ตรงลานระเบียง ทอดสายตามองออกไปยังท้องฟ้าสีหม่น นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาสังเกตเห็นบางอย่างผิดปกติในพระราชวัง
แม้เขาจะใช้ชีวิตประจำวันเช่นเดิม ฝึกซ้อมดาบ ศึกษาการปกครอง และร่วมงานเลี้ยงของราชวงศ์เป็นครั้งคราว แต่ในช่วงหลังมานี้กลับมีบางอย่างเปลี่ยนไป ขุนนางในวังเริ่มมีท่าทีระแวดระวังมากขึ้น บางคนแสดงออกอย่างชัดเจนว่ามีเรื่องสำคัญที่พวกเขาไม่อาจพูดถึงได้
ฟีนิสไม่ได้ตั้งใจจะสอดรู้สอดเห็น แต่บางครั้งเพียงแค่ใช้ชีวิตอยู่ในวังก็ทำให้เขารู้ได้เองว่ามีบางสิ่งกำลังเคลื่อนไหว
เสียงกระซิบจากเหล่าข้าราชบริพารที่เดินผ่านไปทำให้เขาขมวดคิ้ว
"ว่ากันว่าคำสั่งนี้มาจากพระราชาโดยตรง..."
"แต่เรื่องนี้ยังเป็นความลับ..."
"เจ้าชายจะ—"
ฟีนิสเพียงฟังเงียบๆ โดยไม่ได้แสดงปฏิกิริยาใด แม้จะไม่สามารถจับใจความทั้งหมดได้ แต่ก็พอจะเข้าใจได้ว่ากำลังมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น และดูเหมือนว่าเขาจะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ไม่ช้าก็เร็ว
หลังจากเสร็จสิ้นบทเรียนในช่วงบ่าย ฟีนิสก็อ้างว่าต้องการพักผ่อนแล้วเดินกลับตำหนักของตน แต่เมื่อพ้นสายตาของผู้คุ้มกันและเซดริก เขาก็เปลี่ยนเส้นทาง มุ่งหน้าไปยังโถงทางเดินด้านหลังพระราชวังที่ไม่ค่อยมีใครผ่าน
เสียงฝีเท้าของเขาเบาลง ขณะที่เดินไปตามทางเดินหินที่ทอดยาว ร่มเงาจากเสาหินสูงทำให้แสงแดดที่ลอดผ่านกระจกสีส่องลงมาเป็นลวดลายเรขาคณิตบนพื้นเย็นเฉียบ บรรยากาศเงียบงันจนได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของตัวเอง
ฟีนิสรู้ดีว่าการแอบออกมาแบบนี้เสี่ยงต่อการถูกจับได้ แต่บางครั้งการอยู่ภายใต้การจับตามองตลอดเวลาก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกพันธนาการ
เขาไม่ได้มีจุดหมายแน่ชัด เพียงแค่ต้องการเดินไปยังที่ที่ไม่มีใครรบกวน บางครั้งการเฝ้าดูโลกในมุมที่แตกต่างจากปกติอาจทำให้เห็นสิ่งที่ไม่มีใครสังเกต
และในขณะที่เขากำลังเดินไปตามเส้นทางอันเงียบสงบ เสียงฝีเท้าแผ่วเบาก็ดังขึ้นจากอีกฟากหนึ่งของโถงทางเดิน ฟีนิสหยุดชะงัก แววตาสงบนิ่งขณะมองไปยังเงาร่างที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า
ใครบางคนกำลังยืนรอเขาอยู่ที่นั่น...
เงาในความเงียบ
ฟีนิสชะลอฝีเท้า ดวงตาสีซีดจับจ้องไปยังร่างหนึ่งที่ยืนพิงเสาหินอยู่ไม่ไกล เงานั้นไม่ขยับเขยื้อน ราวกับรอคอยเขามานานแล้ว
“คิดว่าข้าจะไม่รู้รึ?”
เสียงเรียบนิ่งดังขึ้น ฝ่ายตรงข้ามก้าวออกจากร่มเงา แสงที่ลอดผ่านหน้าต่างกระจกสีเผยให้เห็นเด็กหนุ่มที่สูงกว่าเขาเล็กน้อย ผมสีเข้มถูกมัดหลวม ๆ ดวงตาคมกริบจับจ้องเขาราวกับนักล่า
ลูมิแอล
ฟีนิสถอนหายใจแผ่วเบา ขณะมองอีกฝ่ายด้วยสายตาไม่ยินดียินร้าย ลูมิแอลไม่ใช่ขุนนาง ไม่ใช่ราชองครักษ์ แต่เป็นบุตรชายของที่ปรึกษากษัตริย์ แม้ไม่ได้มีฐานะเป็นเชื้อพระวงศ์ แต่กลับมีอิทธิพลไม่น้อย
“เจ้าตามข้ามาทำไม?” ฟีนิสถามเสียงเรียบ ก่อนจะเดินผ่านไปโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะตอบหรือไม่
ลูมิแอลไม่ได้ขยับ แต่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ถ้าเจ้าแอบหนีได้ง่ายขนาดนี้ ข้าก็หนีได้เหมือนกัน”
ฟีนิสชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้หันกลับไปมอง
“แล้ว?”
“ไม่มีอะไร ข้าแค่สงสัย ว่าเจ้าหนีออกมาเพราะอะไร”
ฟีนิสเงียบไปชั่วขณะ สายตาเหม่อมองไปยังเบื้องหน้าที่ทอดยาวออกไป
“ข้าไม่ได้หนี”
คำตอบนั้นทำให้ลูมิแอลเลิกคิ้ว แต่เขากลับไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ เพียงแค่เดินตามหลังฟีนิสไปเงียบ ๆ ราวกับเฝ้าดูอยู่ห่าง ๆ
ไม่มีใครพูดอะไรอีก มีเพียงเสียงฝีเท้าของทั้งสองที่ก้องสะท้อนอยู่ในทางเดินหินอันว่างเปล่า
สายลมพัดแผ่วผ่านกิ่งก้านหนาของต้นโอ๊กใหญ่ ใบไม้สั่นไหว ส่งเสียงกรอบแกรบเบา ๆ ฟีนิสทอดสายตามองขึ้นไปด้านบน แสงแดดลอดผ่านช่องว่างระหว่างใบไม้ ทิ้งรอยเงาเป็นลวดลายลงบนพื้นดิน
เขาเดินเข้าไปใกล้ ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งพิงลำต้น ท่าทีของเขาไม่ได้บ่งบอกถึงความเหนื่อยล้า ทว่าก็ไม่ได้แสดงถึงความสงบ ลูมิแอลมองดูเงียบ ๆ ก่อนจะก้าวตามเข้ามา แล้วพิงต้นไม้ข้าง ๆ กัน
“เจ้ามาที่นี่บ่อยหรือ?”
ฟีนิสไม่ตอบในทันที ดวงตาสีอ่อนทอดมองไปยังเส้นขอบฟ้าไกลออกไป
“บางครั้ง” เขาตอบเสียงเบา “แต่ส่วนใหญ่มาคนเดียว”
ลูมิแอลพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะปล่อยให้ความเงียบกลืนกินบทสนทนาไปครู่หนึ่ง ลมพัดผ่านใบไม้ร่วงหล่นลงมาไหลตามอากาศราวกับมันเองก็ไม่รู้ว่าจะตกลงไปที่ใด
“ข้าไม่เข้าใจเจ้าเลยจริง ๆ” ลูมิแอลพูดขึ้นในที่สุด
ฟีนิสเหลือบมองเขา แต่ไม่ได้ตอบอะไร
“เจ้าดูเหมือนไม่สนใจอะไรเลย แต่ข้ารู้ว่าเจ้ารู้ทุกอย่าง”
ฟีนิสหลับตาลง รับสัมผัสลมเย็นที่พัดผ่านใบหน้าของเขา
“แล้วมันสำคัญตรงไหน?”
“ข้าไม่รู้” ลูมิแอลยักไหล่ “แต่ข้าก็ยังสงสัยอยู่ดี”
ฟีนิสไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเพียงปล่อยให้สายลมและเสียงใบไม้กรอบแกรบเป็นคำตอบแทนตัวเขาเอง
ฟีนิสลุกขึ้นยืนและมองไปยังต้นโอ๊กที่ยืนสูงสง่า กิ่งก้านหนาทอดยาวออกไปท่ามกลางอากาศที่เย็นและชื้น ใบไม้เขียวขจีเคลื่อนไหวเบาๆ ตามแรงลม เขาหรี่ตามองไปบนกิ่งไม้สูงที่แผ่กว้าง มีรังนกเล็กๆ ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางกิ่งไม้และใบไม้ที่พลิ้วไหว
เขาก้าวขาไปข้างหน้า วางมือจับกับลำต้นของต้นโอ๊กใหญ่ สัมผัสถึงความหนาของเปลือกไม้ที่มีอายุยาวนานก่อนจะเหยียบปลายเท้าเข้าหาต้นไม้ ใช้เท้าค้ำยันและหา จุดยึดเหนี่ยวระหว่างการปีนขึ้นอย่างชำนาญ เสียงขาของเขาดังก้องไปในความเงียบรอบตัว ขึ้นไปทีละขั้น ทีละขั้นจนกระทั่งถึงกิ่งไม้ที่มีรังนก
ลูมิแอลยืนมองจากพื้นด้านล่างโดยไม่เคลื่อนไหว เขาเห็นฟีนิสปีนขึ้นไปแล้วเอ่ยเสียงเบา ๆ ท่าทางขบขัน “เจ้าคงไม่ได้คิดจะขโมยไข่นกหรอกนะ?”
ฟีนิสไม่ได้ตอบ เขาแค่เหลือบมองลงมาทางลูมิแอล แล้วยิ้มเล็กน้อยก่อนจะไต่ขึ้นไปถึงกิ่งไม้ที่มีรังนกอยู่บนสุด รังนกที่ซ่อนอยู่ท่ามกลางกิ่งไม้ถูกปกคลุมด้วยขนนกสีเทาอ่อน เขาเอื้อมมือไปแตะขอบรังเบา ๆ ระวังไม่ให้ไข่นกที่อยู่ในนั้นขยับไปมา
ภายในรังเล็ก ๆ มีไข่นกสีขาวแต้มจุดเล็ก ๆ วางเรียงกันอยู่ สองฟอง ฟีนิสเอื้อมมือไปแตะขอบรังเบา ๆ ระวังไม่ให้มันขยับมากเกินไป
เขาไม่ได้คิดจะเอาไข่ไปทำอะไร เขาแค่อยากดูเฉย ๆ
ขนนกสีเทาอ่อนที่ติดอยู่กับรังปลิวไปตามลม ฟีนิสมองมันเคลื่อนตัวไปจนหายลับไปกับท้องฟ้า ก่อนจะเลื่อนสายตามองไปไกลออกไปจากยอดไม้
ทิวทัศน์ที่กว้างไกลออกไป ขอบฟ้าที่เต็มไปด้วยสีสันของยามเย็น
จากจุดนี้เขาสามารถมองเห็นพระราชวังของเขาได้ชัดเจน ทุกสิ่งที่เคยเป็นของเขา ทุกการเคลื่อนไหวที่ซับซ้อนในชีวิต ความเงียบที่ครอบงำและความเย็นยะเยือกที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของโลกที่เขาอาศัยอยู่
ลูมิแอลเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้า ทว่าจากจุดที่เขายืนอยู่ มันยังคงเป็นสีฟ้าเรื่อบางเบา ไม่มีเค้าลางของเมฆฝนหรือสายลมแรงใด ๆ
"พายุกำลังมา"
“พายุ?” เขาทวนคำ พยายามมองตามสายตาของฟีนิส แต่กลับไม่เห็นอะไรนอกจากแนวป่าที่ทอดยาวไปสุดขอบฟ้า
ฟีนิสยังคงเงียบอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะละสายตาจากเส้นขอบฟ้าและค่อย ๆ ไต่ลงจากต้นไม้
“เจ้าคิดไปเองหรือเปล่า?” ลูมิแอลถามขึ้นเมื่อฟีนิสกระโดดลงสู่พื้น
เด็กหนุ่มไม่ได้ตอบ เขาปัดเศษเปลือกไม้ที่ติดตามมือออก มองลงไปยังพื้นดินที่มีแสงแดดอ่อน ๆ ทอดผ่านกลุ่มใบไม้เหนือศีรษะ
“อาจจะเป็นอย่างนั้น” เขาตอบในที่สุด เสียงเรียบเฉยไม่บ่งบอกอารมณ์
แต่ลูมิแอลรู้ดีว่าเมื่อฟีนิสพูดอะไรออกมา มันมักไม่ใช่แค่คำพูดลอย ๆ
เขาเหลือบมองใบหน้าของเด็กหนุ่มอีกครั้ง ก่อนจะถอนหายใจ “กลับกันเถอะ เดี๋ยวพวกเขาตามหาเจ้าเจอเข้า”
ฟีนิสไม่ได้ขยับในทันที เขายืนอยู่อย่างนั้น มองไปยังจุดที่เขาเคยมองจากบนต้นไม้
ราวกับว่าสิ่งที่เขาเห็นจากบนนั้นกำลังสะท้อนอยู่ในดวงตาของเขา—อะไรบางอย่างที่อีกไม่นานคงเดินทางมาถึง ไม่ว่าจะมีใครทันสังเกตเห็นมันหรือไม่ก็ตาม