"จดหมายปริศนา การหมั้นหมายที่ถูกบังคับ และเงาของสงครามที่กำลังคืบคลาน… ท่ามกลางเกมอำนาจที่ไม่มีใครเลือกได้ ใครกันที่เป็นผู้กุมชะตาของทั้งสองอาณาจักร?!"

กุหลาบในรัง - ตอนที่6 หนึ่งวันขององค์ชายผู้สง่างาม โดย {คุณนายสลอธ} @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ดราม่า,รัก,สงคราม,แฟนตาซี,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

กุหลาบในรัง

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ดราม่า,รัก,สงคราม

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ดราม่า

รายละเอียด

กุหลาบในรัง โดย {คุณนายสลอธ} @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

"จดหมายปริศนา การหมั้นหมายที่ถูกบังคับ และเงาของสงครามที่กำลังคืบคลาน… ท่ามกลางเกมอำนาจที่ไม่มีใครเลือกได้ ใครกันที่เป็นผู้กุมชะตาของทั้งสองอาณาจักร?!"

ผู้แต่ง

{คุณนายสลอธ}

เรื่องย่อ

ในโลกที่ถูกแบ่งแยกด้วยแนวคิดที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง—อาณาจักร ยูเรดี้ ที่รุ่งเรืองด้วยเสรีภาพและความสุข ขณะที่ โคเรียลัน เต็มไปด้วยการกดขี่และขาดอิสระ เจ้าชาย ฟีนิส แห่งยูเรดี้บังเอิญพบจดหมายปริศนาบนต้นไม้ของเขา เนื้อความเต็มไปด้วยบทกวีจากผู้ส่งนิรนาม ความอยากรู้นำพาให้เขาตอบกลับ เกิดเป็นการแลกเปลี่ยนจดหมายระหว่างเขากับหญิงสาวปริศนา ทว่าในขณะเดียวกัน อาณาจักรทั้งสองกลับประกาศการหมั้นหมายทางการเมืองระหว่างเจ้าชายฟีนิสและเจ้าหญิง โนอา แห่งโคเรียลัน

การหมั้นหมายที่ไม่ได้เกิดจากความรัก แต่เป็นกลเกมทางการเมือง เพื่อผนึกกำลังระหว่างสองอาณาจักรที่มีแนวคิดและเป้าหมายที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว เจ้าชายฟีนิสไม่เห็นด้วยกับการหมั้นหมายครั้งนี้ เขาพยายามทักท้วงพระราชายูเรนัสให้ยกเลิก แต่ความพยายามทั้งหมดกลับไม่เป็นผล พระราชาไม่ฟังเสียงของเขา และยิ่งทำให้เจ้าชายรู้สึกโดดเดี่ยวและไม่พอใจ

ในขณะเดียวกัน เจ้าหญิงโนอากลับแสดงท่าทีเฉยชาและไม่ใส่ใจกับการหมั้นหมายนี้ เพราะสำหรับเธอแล้ว มันเป็นเพียงข้อตกลงทางการเมืองที่เธอไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ขณะที่ ลูลู่ จอมเวทแห่งโคเรียลันผู้เฝ้ามองความขัดแย้งอยู่ห่างๆ เข้าใจถึงกลเกมที่แท้จริงเบื้องหลังการแต่งงานนี้

ท่ามกลางความตึงเครียดและการขัดแย้ง สงครามกลับคืบคลานเข้ามาโดยไม่รู้ตัว ฟีนิสพบว่าทุกสิ่งกำลังเปลี่ยนแปลงไป เขาเห็นสิ่งต่างๆ กำลังแย่ลง แต่ไม่สามารถหยุดยั้งอะไรได้ ในขณะที่เจ้าหญิงโนอาเพียงแค่เฝ้ามองขุนนางที่พึงพอใจกับสถานการณ์นี้

การแลกเปลี่ยนจดหมายระหว่างเจ้าชายและหญิงสาวปริศนา จะเปิดเผยความลับใด? หมั้นหมายทางการเมืองนี้ จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ใด? และ สงครามที่กำลังจะมาถึง มีเบื้องหลังที่ใครบางคนพยายามปกปิดหรือไม่?


สารบัญ

กุหลาบในรัง-ตอนที่1 จดหมายจากใครบางคน,กุหลาบในรัง-ตอนที่2 เจ้าหญิงผู้ว่างเปล่า,กุหลาบในรัง-ตอนที่3 คำปลอบโยนของพระมารดา,กุหลาบในรัง-ตอนที่4 ยามรุ่งอรุณอันสงบสุข,กุหลาบในรัง-ตอนที่5 คือก่อนพายุ,กุหลาบในรัง-ตอนที่6 หนึ่งวันขององค์ชายผู้สง่างาม

เนื้อหา

ตอนที่6 หนึ่งวันขององค์ชายผู้สง่างาม

ณ อาณาจักรยูเรดี้

เช้าตรู่ของอาณาจักรยูเรดี้ ม่านหมอกยามอรุณลอยอ้อยอิ่งเหนือสนามหญ้าของพระราชวัง เสียงระฆังยามแรกดังขึ้นเบา ๆ ตามจังหวะของเวลาที่ถูกกำหนดไว้แน่นอนเหมือนทุกวัน เมื่อแสงแรกของอรุณส่องผ่านม่านเมฆสีจาง อาณาจักรยูเรดี้ก็ค่อย ๆ ตื่นจากนิทรา พระราชวังยังคงเงียบสงบ เสียงฝีเท้าของข้าราชบริพารที่เริ่มต้นวันดังแว่วมาเป็นจังหวะสม่ำเสมอ

ข้า—เซดริก องครักษ์ประจำพระองค์ของเจ้าชายฟีนิส ได้เริ่มวันของตนด้วยหน้าที่เดิมเช่นทุกวัน

ตั้งแต่ข้าได้รับตำแหน่งองครักษ์ ข้าก็มีหน้าที่ดูแลองค์ชายตั้งแต่ยามเช้าจนถึงค่ำคืน และบางครั้ง...แม้กระทั่งในความฝันของพระองค์ ข้าเองก็ต้องระวังเผื่อว่าพระองค์จะทรงละเมอออกไปข้างนอกโดยไม่บอกใคร

และเช้านี้ก็ไม่ต่างกัน

หลังจากแต่งกายเสร็จเรียบร้อย ข้าก็เร่งฝีเท้าไปยังตำหนักขององค์ชาย ระหว่างทาง ข้าสวนทางกับเหล่าข้ารับใช้ที่กำลังเตรียมของเช้า ทุกคนต่างคุ้นชินกับการที่ข้าต้องออกตามหาองค์ชายในเวลานี้ บางคนแค่พยักหน้าให้ข้าโดยไม่ต้องเอ่ยถาม—พวกเขารู้ดีว่าข้ากำลังจะไปที่ไหน

เมื่อไปถึงตำหนัก ข้าคิดว่าพระองค์คงยังบรรทมอยู่ แต่กลับพบว่าเตียงว่างเปล่า มีเพียงผ้าม่านที่พลิ้วไหวเบา ๆ ด้วยสายลมที่พัดเข้ามาจากหน้าต่างเปิดกว้าง

ข้าถอนหายใจ...อีกแล้ว

ไม่ต้องเสียเวลาสอบถามใคร ข้ารู้ดีว่าพระองค์จะอยู่ที่ไหน



———

พระองค์ไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ที่โปรดการอาศัยอยู่ในพระราชวังอันหรูหรา หากแต่ชอบออกไปเดินตามสวน ไปจนถึงลานฝึกดาบ และที่ข้าพบเห็นเป็นประจำที่สุด—ก็คือที่ใต้ต้นโอ๊กเก่าแก่

เช้านี้ก็เช่นกัน เจ้าชายฟีนิสเสด็จออกจากตำหนักตั้งแต่รุ่งสาง พระองค์ทรงมุ่งหน้าไปยังสวนหลวงโดยไม่มีคำสั่งใด ๆ เป็นพิเศษ ข้าติดตามไปอย่างเงียบ ๆ รักษาระยะห่างตามหน้าที่

"วันนี้ก็ไม่มีหรอ?"

ข้าหยุดยืนอยู่ไม่ไกลนัก เมื่อได้ยินพระสุรเสียงแผ่วเบาขององค์ชายที่ตรัสกับตัวเอง ข้ารู้ดีว่าพระองค์กำลังกล่าวถึงสิ่งใด—รังนกที่อยู่บนกิ่งไม้ของต้นโอ๊กต้นนั้น

ข้าสังเกตเห็นว่าพระองค์ทอดพระเนตรมันเสมอ แม้ว่าจะไม่มีนกกลับมาทำรังที่นั่นอีกแล้วก็ตาม บางครั้งข้าเองก็สงสัยว่าเหตุใดพระองค์จึงให้ความสนใจต่อสิ่งเล็กน้อยเช่นนั้น แต่เมื่ออยู่เคียงข้างมานาน ข้าก็เริ่มเข้าใจ

อาจเป็นเพราะพระองค์เติบโตมาในฐานะราชวงศ์ที่ถูกคาดหวังเสมอ แม้จะมีอิสระในบางเรื่อง แต่ก็ไม่มีที่ใดที่เป็นของพระองค์อย่างแท้จริง รังนกที่เคยอยู่ที่นี่ บางทีอาจเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้พระองค์รู้สึกว่าเคยมีบางสิ่งที่ "อยู่ตรงนี้" และ "กลับมาเสมอ"

หลังจากนั้นไม่นาน เจ้าชายฟีนิสทรงละสายพระเนตรจากต้นไม้ ก่อนจะเดินจากไปโดยไม่ตรัสสิ่งใด ข้าก้าวตามพระองค์ไปเงียบ ๆ ปล่อยให้สายลมพัดผ่านนำเสียงใบไม้เสียดสีกันมาเป็นฉากหลังของเช้านี้



———

หลังจากที่องค์ชายฟีนิสเสด็จออกจากสวนหลวง ข้าก็รักษาระยะห่างพลางก้าวตามไปเงียบ ๆ พระองค์ไม่ได้เร่งรีบ แต่ก็มิได้ทอดพระเนตรสิ่งใดเป็นพิเศษ ทรงเดินด้วยจังหวะสม่ำเสมอเหมือนกำลังจมอยู่ในความคิดของตนเอง

ข้าชินกับภาพนี้แล้ว—ภาพของเจ้าชายที่ดูเหมือนไม่มีอะไรให้เป็นห่วง แต่ขณะเดียวกันก็เหมือนกำลังอยู่โดดเดี่ยวในโลกของตัวเอง

เมื่อพระองค์เสด็จถึงลานฝึก องครักษ์ที่รับผิดชอบการฝึกซ้อมของเชื้อพระวงศ์ก็เข้ามากล่าวถวายคำนับ ก่อนจะเตรียมดาบฝึกให้พร้อม องค์ชายฟีนิสไม่ตรัสสิ่งใด รับดาบขึ้นมาแล้วเริ่มต้นฝึกด้วยตนเอง

ข้าก้าวถอยออกมาเล็กน้อย ยืนอยู่ด้านข้างเพื่อเฝ้ามองพระองค์เช่นทุกวัน

องค์ชายฟีนิสเป็นนักดาบที่เก่งกาจ ฝีมือของพระองค์เหนือกว่าคนวัยเดียวกัน ทุกคนต่างชื่นชมพระองค์ ทั้งขุนนาง องครักษ์ และเหล่าข้าราชบริพารที่เฝ้าดูการฝึกซ้อมของพระองค์มาตลอด

แม้แต่พระราชายูเรนัสเอง...ก็เคยทอดพระเนตรมายังพระองค์ด้วยสายตาภาคภูมิใจ

แต่กระนั้น—พระองค์กลับไม่เคยแสดงให้เห็นถึงความพึงพอใจในคำชมนั้น

พระองค์ไม่เคยหยุดฝึกฝน ไม่เคยยอมให้ตนเองพอใจกับสิ่งที่มีอยู่ ข้าสังเกตเห็นว่าทุกครั้งที่พระองค์ได้รับคำชม พระองค์จะเพียงพยักหน้ารับเบา ๆ แล้วกลับไปฝึกหนักกว่าเดิม ราวกับว่าสิ่งที่ได้รับมานั้นยังไม่เพียงพอ

เสียงดาบกระทบกันดังขึ้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ พระองค์ซ้อมดาบอยู่เช่นนั้นเนิ่นนานโดยไม่หยุดพัก แม้จะไม่มีผู้ใดคาดหวังให้พระองค์ก้าวไปไกลกว่านี้ แต่พระองค์ก็ยังเดินหน้าต่อไป

จนกระทั่งแสงแดดยามสายเริ่มทอประกายแรงขึ้น องค์ชายจึงหยุดและส่งดาบคืนให้เหล่าองครักษ์ ก่อนจะรับผ้าขนหนูมาเช็ดเหงื่อ ข้าเห็นพระองค์ทอดถอนพระทัยเล็กน้อย

ราวกับกำลังสงสัยว่า—สิ่งที่พระองค์ทำอยู่นี้ มีความหมายอะไรหรือไม่

ข้ามิอาจรู้คำตอบนั้นได้ ข้าทำได้เพียงยืนอยู่ตรงนี้ มองดูพระองค์ในเงามุมที่ไม่มีผู้ใดสนใจ

และบางที...แม้แต่พระองค์เองก็อาจไม่รู้คำตอบเช่นกัน



———

หลังจากซ้อมดาบเสร็จ องค์ชายฟีนิสเสด็จกลับตำหนักเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเรียน

ห้องเรียนส่วนพระองค์ถูกจัดไว้ในอาคารทางปีกตะวันออกของพระราชวัง โต๊ะไม้เนื้อดีตั้งเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ ตรงกลางมีบัลลังก์เล็กสำหรับองค์ชาย ขณะที่โต๊ะของเหล่าอาจารย์ถูกจัดวางล้อมรอบ ทุกสิ่งดูสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ ทว่าบรรยากาศกลับเงียบงันจนให้ความรู้สึกหนักอึ้ง

ข้านั่งประจำที่ในมุมหนึ่งของห้อง รักษาระยะห่างตามสมควร

บนโต๊ะของพระองค์วางเรียงด้วยตำราและเอกสารมากมาย ตั้งแต่ประวัติศาสตร์ รัฐศาสตร์ การทูต ไปจนถึงยุทธศาสตร์ทางทหาร องค์ชายเปิดหน้ากระดาษช้า ๆ ดวงเนตรสีอ่อนกวาดมองตัวอักษรอย่างตั้งใจ ไม่มีท่าทีลังเลหรือหวั่นไหว

"วันนี้เราจะทบทวนหลักการปกครองของกษัตริย์องค์ก่อน ๆ" อาจารย์วัยกลางคนกล่าว ก่อนจะเริ่มบรรยายเนื้อหา

พระองค์ฟังอย่างสงบ ไม่ซักถาม ไม่โต้แย้ง พระพักตร์เรียบนิ่งไม่แสดงอารมณ์แม้แต่น้อย อาจารย์กล่าวเสริมไปเรื่อย ๆ เกี่ยวกับหลักการปกครองที่ใช้ได้ผล กับเหตุการณ์ในอดีตที่นำพาอาณาจักรมาสู่จุดที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ข้ามองดูพระองค์ที่ยังคงนั่งอยู่ในท่าเดิม ไม่แสดงอาการเหนื่อยล้า แม้แต่ยามที่อาจารย์ขอให้จดบันทึก พระองค์ก็ทำตามอย่างเรียบร้อย

หากมีผู้ใดได้เห็นภาพนี้ คงกล่าวชมพระองค์ว่าเป็นเจ้าชายผู้เพียบพร้อม สมกับสายเลือดราชวงศ์

แต่ข้ารู้ดี—

สายตาของพระองค์นั้น...ไม่ได้จ้องตำราอย่างแท้จริง

———



หลังจากจบบทเรียนในช่วงเช้า องค์ชายฟีนิสเสด็จไปยังห้องโถงฝึกซ้อมที่อยู่ภายในเขตพระราชวัง

ห้องโถงนี้เป็นห้องขนาดใหญ่ พื้นปูด้วยไม้ขัดมัน หน้าต่างสูงโปร่งเปิดรับแสงอ่อนจากภายนอก บรรยากาศภายในเงียบสงบ มีเพียงเสียงฝีเท้ากระทบพื้นและเสียงเครื่องสายที่บรรเลงคลอเบา ๆ

ข้ายืนอยู่ไม่ไกลนัก มองดูองค์ชายที่เพิ่งก้าวเข้าไปในห้อง และไม่นานหลังจากนั้น ร่างของเด็กหญิงคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า

"องค์ชาย วันนี้เรามาเริ่มกันเลยดีไหมเพคะ?"

เสียงใสของเธอดังขึ้นพร้อมรอยยิ้มบาง ผมสีอ่อนของเธอถูกถักเก็บไว้อย่างเรียบร้อย ดวงตากลมโตเป็นประกายเมื่อทอดมองพระองค์

เธอชื่อ "เอลเลน" บุตรสาวของดยุกตระกูลเก่าแก่ และเป็นคู่ซ้อมเต้นรำขององค์ชายฟีนิสมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์

องค์ชายพยักพระพักตร์เล็กน้อย ก่อนจะยื่นพระหัตถ์ออกไป เด็กหญิงตรงหน้ารับไว้โดยไม่ลังเล และทั้งสองเริ่มต้นก้าวเท้าไปตามจังหวะดนตรี

ข้าลอบมองดูทั้งสองจากระยะไกล

เอลเลนเคลื่อนไหวอย่างสง่างาม ท่วงท่าอ่อนช้อยสมกับที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี องค์ชายฟีนิสเองก็เช่นกัน พระองค์ก้าวเท้าได้อย่างมั่นคงไม่แพ้เธอ การจับจังหวะของพระองค์ไม่มีผิดพลาด ท่าทางนิ่งสงบแต่เปี่ยมไปด้วยความคล่องแคล่วราวกับเป็นธรรมชาติ

ผู้คนภายนอกต่างมองเป็นภาพของสองหนุ่มสาวสูงศักดิ์ที่เข้ากันได้ดี

เสียงเครื่องสายบรรเลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงจังหวะสุดท้าย องค์ชายฟีนิสจับมือเอลเลน พลิกตัวเธอเป็นท่าปิด ก่อนที่ทั้งสองจะหยุดนิ่ง

"ดีมากเพคะ องค์ชาย วันนี้ทรงทำได้สมบูรณ์แบบ"

เอลเลนกล่าวพลางเผยรอยยิ้มบางให้พระองค์

องค์ชายมิได้ตอบสิ่งใด เพียงแค่ปล่อยมือเธอเบา ๆ และถอยหลังไปก้าวหนึ่ง

"พอแค่นี้ก่อน ข้าจะกลับตำหนัก"

สิ้นคำกล่าว พระองค์ทรงหมุนพระวรกายเดินออกจากห้องโถง ฝีเท้าไม่เร่งรีบ แต่มั่นคงเช่นเคย

ข้ามองดูเงาหลังขององค์ชายที่ค่อย ๆ ลับหายไป ก่อนจะเหลือบไปเห็นเอลเลนที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม

เธอจ้องมองไปทางประตูครู่หนึ่ง แล้วเพียงแค่ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะผละจากไปเช่นกัน



------

หลังจากการฝึกเต้นรำเสร็จสิ้น องค์ชายฟีนิสกลับมาพักผ่อนในห้องส่วนพระองค์ หยิบหนังสือออกมาอ่านเพื่อผ่อนคลายใจ

"นี่องค์ชายยังเครียดเรื่องการหมั้นหมายอยู่หรือพะยะคะ"

คำถามของข้าดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงบของห้อง ข้าพยายามสังเกตสีหน้าของพระองค์ แต่ท่าทีขององค์ชายยังคงนิ่งเฉย ไม่สามารถคาดเดาความรู้สึกภายในได้เลย

พระองค์ทรงวางหนังสือลงบนโต๊ะ ก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยท่าทางคิดทบทวน

"ข้าไม่เคยสนใจเรื่องพวกนั้น" พระองค์ตรัสเสียงเบา แต่ข้าก็สามารถจับความรู้สึกได้จากน้ำเสียงนั้น ความรู้สึกขัดแย้งระหว่างความคาดหวังของคนรอบข้างและความต้องการของพระองค์เอง

ข้าเงียบไปครู่หนึ่ง รู้สึกถึงความไม่สบายใจที่แฝงอยู่ในท่าทางของพระองค์

"เซดริก..." พระองค์เริ่มพูดชื่อข้าเบา ๆ

"เจ้าคิดว่าการเป็นผู้นำคืออะไร"

ข้าสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถาม ข้าทอดสายตามองพระองค์อย่างเงียบ ๆก่อนจะคิดคำตอบอย่างรอบคอม ก่อนที่จะตอบกลับไปอย่างระมัดระวัง

"การเป็นผู้นำ...หมายถึงการแบกรับความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ และต้องทำการตัดสินใจที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตของคนอื่นๆ และผู้นำที่แท้จริงจะต้องรู้จักความเข้าใจในหัวใจของผู้อื่นอย่างถ่องแท้ เพราะผู้นำที่ไม่เข้าใจถึงความรู้สึกของผู้ตาม ก็จะไม่สามารถนำพาพวกเขาไปข้างหน้าได้"

องค์ชายฟีนิสทรงนิ่งไปสักครู่ ราวกับกำลังพิจารณาคำตอบของข้าอย่างถี่ถ้วน ท่ามกลางความเงียบข้างในห้องเสียงหัวเราะหนึ่งดังขึ้น

"ฮ่าๆ.."

"นี่ข้ากำลังฟังหนังสือมีเสียงอยู่หรือไง"

คำพูดของพระองค์ทำให้ข้ารู้สึกเหมือนตัวเองจริงจังเกินไป ข้าส่ายหัวเล็กน้อยในใจ รู้สึกถึงความประหม่าที่เกิดขึ้นในทันที พระองค์ยังคงทรงยิ้มอย่างอ่อนโยน แต่แววตาของพระองค์ก็ยังแฝงไปด้วยความซับซ้อนที่ข้าไม่อาจเข้าใจได้ทั้งหมด

"นี่ เซดริกหากพรุ่งนี้พ่อของเจ้าบอกกับเจ้าว่า"

"อีกไม่นานเจ้าต้องแต่งงานกับกอริลล่า"

"เจ้าจะทำมั้ย"

ข้าชะงักไปทันที ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เพิ่งได้ยินนั้นเป็นคำถามจริงจังหรือเพียงแค่พระองค์ทรงหยอกล้อ ข้ามองสบพระเนตรขององค์ชายฟีนิส แต่ก็ยังไม่อาจอ่านความคิดของพระองค์ได้ทั้งหมด

"...พะยะค่ะ?"

ข้าหลุดถามออกไปอย่างลืมตัว ก่อนจะรีบเรียบเรียงความคิดให้ดีขึ้น องค์ชายยังคงทอดพระเนตรมาที่ข้าพร้อมรอยยิ้มที่คล้ายจะมีเลศนัย

"ข้าหมายถึง ถ้าเป็นเจ้าล่ะ เจ้าจะทำตามคำสั่งหรือไม่?"

ข้ากระแอมเบา ๆ ก่อนตอบกลับไปอย่างระมัดระวัง

"กระหม่อมคิดว่า...จริงอยู่ที่ตระกูลชั้นสูงบางครั้งต้องแต่งงานเพื่อความั่นคงในตระกูล แต่..."

"แต่อะไร..?" องค์ชายตรัสแทรกขึ้นมา

ข้านิ่งไปครู่หนึ่ง นี่ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่คำถามเล่น ๆ อีกต่อไปแล้ว พระองค์ไม่ได้เพียงแค่หยอกล้อ แต่กำลังทดลองบางอย่างกับข้า

"กระหม่อมเองก็ไม่มั่นใจว่าจะไปได้ดีกับกอลิล่ามั้ย..."

องค์ชายฟีนิสทรงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ รอยยิ้มของพระองค์ดูเหมือนจะกว้างขึ้นเล็กน้อย

"หึ... อย่างน้อยเจ้าก็ยังคิดเรื่องความเข้ากันได้"

ข้าพยายามรักษาสีหน้าให้เรียบเฉย แม้ในใจจะรู้สึกละอายกับคำตอบตัวเอง

"หม่อมฉันเพียงแต่คิดตามสถานการณ์ที่พระองค์ทรงสมมติขึ้นมาเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ" ข้าตอบอย่างสุภาพ ก่อนจะลองถามกลับไป

"แต่เหตุใดองค์ชายจึงทรงเปรียบเปรยเช่นนั้น?"

พระองค์มิได้ตอบในทันที พระเนตรยังคงทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง ท่ามกลางความเงียบที่โรยตัวลง