"จดหมายปริศนา การหมั้นหมายที่ถูกบังคับ และเงาของสงครามที่กำลังคืบคลาน… ท่ามกลางเกมอำนาจที่ไม่มีใครเลือกได้ ใครกันที่เป็นผู้กุมชะตาของทั้งสองอาณาจักร?!"
แฟนตาซี,ดราม่า,รัก,สงคราม,แฟนตาซี,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ณ อาณาจักรยูเรดี้
เช้าตรู่ของอาณาจักรยูเรดี้ ม่านหมอกยามอรุณลอยอ้อยอิ่งเหนือสนามหญ้าของพระราชวัง เสียงระฆังยามแรกดังขึ้นเบา ๆ ตามจังหวะของเวลาที่ถูกกำหนดไว้แน่นอนเหมือนทุกวัน เมื่อแสงแรกของอรุณส่องผ่านม่านเมฆสีจาง อาณาจักรยูเรดี้ก็ค่อย ๆ ตื่นจากนิทรา พระราชวังยังคงเงียบสงบ เสียงฝีเท้าของข้าราชบริพารที่เริ่มต้นวันดังแว่วมาเป็นจังหวะสม่ำเสมอ
ข้า—เซดริก องครักษ์ประจำพระองค์ของเจ้าชายฟีนิส ได้เริ่มวันของตนด้วยหน้าที่เดิมเช่นทุกวัน
ตั้งแต่ข้าได้รับตำแหน่งองครักษ์ ข้าก็มีหน้าที่ดูแลองค์ชายตั้งแต่ยามเช้าจนถึงค่ำคืน และบางครั้ง...แม้กระทั่งในความฝันของพระองค์ ข้าเองก็ต้องระวังเผื่อว่าพระองค์จะทรงละเมอออกไปข้างนอกโดยไม่บอกใคร
และเช้านี้ก็ไม่ต่างกัน
หลังจากแต่งกายเสร็จเรียบร้อย ข้าก็เร่งฝีเท้าไปยังตำหนักขององค์ชาย ระหว่างทาง ข้าสวนทางกับเหล่าข้ารับใช้ที่กำลังเตรียมของเช้า ทุกคนต่างคุ้นชินกับการที่ข้าต้องออกตามหาองค์ชายในเวลานี้ บางคนแค่พยักหน้าให้ข้าโดยไม่ต้องเอ่ยถาม—พวกเขารู้ดีว่าข้ากำลังจะไปที่ไหน
เมื่อไปถึงตำหนัก ข้าคิดว่าพระองค์คงยังบรรทมอยู่ แต่กลับพบว่าเตียงว่างเปล่า มีเพียงผ้าม่านที่พลิ้วไหวเบา ๆ ด้วยสายลมที่พัดเข้ามาจากหน้าต่างเปิดกว้าง
ข้าถอนหายใจ...อีกแล้ว
ไม่ต้องเสียเวลาสอบถามใคร ข้ารู้ดีว่าพระองค์จะอยู่ที่ไหน
———
พระองค์ไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ที่โปรดการอาศัยอยู่ในพระราชวังอันหรูหรา หากแต่ชอบออกไปเดินตามสวน ไปจนถึงลานฝึกดาบ และที่ข้าพบเห็นเป็นประจำที่สุด—ก็คือที่ใต้ต้นโอ๊กเก่าแก่
เช้านี้ก็เช่นกัน เจ้าชายฟีนิสเสด็จออกจากตำหนักตั้งแต่รุ่งสาง พระองค์ทรงมุ่งหน้าไปยังสวนหลวงโดยไม่มีคำสั่งใด ๆ เป็นพิเศษ ข้าติดตามไปอย่างเงียบ ๆ รักษาระยะห่างตามหน้าที่
"วันนี้ก็ไม่มีหรอ?"
ข้าหยุดยืนอยู่ไม่ไกลนัก เมื่อได้ยินพระสุรเสียงแผ่วเบาขององค์ชายที่ตรัสกับตัวเอง ข้ารู้ดีว่าพระองค์กำลังกล่าวถึงสิ่งใด—รังนกที่อยู่บนกิ่งไม้ของต้นโอ๊กต้นนั้น
ข้าสังเกตเห็นว่าพระองค์ทอดพระเนตรมันเสมอ แม้ว่าจะไม่มีนกกลับมาทำรังที่นั่นอีกแล้วก็ตาม บางครั้งข้าเองก็สงสัยว่าเหตุใดพระองค์จึงให้ความสนใจต่อสิ่งเล็กน้อยเช่นนั้น แต่เมื่ออยู่เคียงข้างมานาน ข้าก็เริ่มเข้าใจ
อาจเป็นเพราะพระองค์เติบโตมาในฐานะราชวงศ์ที่ถูกคาดหวังเสมอ แม้จะมีอิสระในบางเรื่อง แต่ก็ไม่มีที่ใดที่เป็นของพระองค์อย่างแท้จริง รังนกที่เคยอยู่ที่นี่ บางทีอาจเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้พระองค์รู้สึกว่าเคยมีบางสิ่งที่ "อยู่ตรงนี้" และ "กลับมาเสมอ"
หลังจากนั้นไม่นาน เจ้าชายฟีนิสทรงละสายพระเนตรจากต้นไม้ ก่อนจะเดินจากไปโดยไม่ตรัสสิ่งใด ข้าก้าวตามพระองค์ไปเงียบ ๆ ปล่อยให้สายลมพัดผ่านนำเสียงใบไม้เสียดสีกันมาเป็นฉากหลังของเช้านี้
———
หลังจากที่องค์ชายฟีนิสเสด็จออกจากสวนหลวง ข้าก็รักษาระยะห่างพลางก้าวตามไปเงียบ ๆ พระองค์ไม่ได้เร่งรีบ แต่ก็มิได้ทอดพระเนตรสิ่งใดเป็นพิเศษ ทรงเดินด้วยจังหวะสม่ำเสมอเหมือนกำลังจมอยู่ในความคิดของตนเอง
ข้าชินกับภาพนี้แล้ว—ภาพของเจ้าชายที่ดูเหมือนไม่มีอะไรให้เป็นห่วง แต่ขณะเดียวกันก็เหมือนกำลังอยู่โดดเดี่ยวในโลกของตัวเอง
เมื่อพระองค์เสด็จถึงลานฝึก องครักษ์ที่รับผิดชอบการฝึกซ้อมของเชื้อพระวงศ์ก็เข้ามากล่าวถวายคำนับ ก่อนจะเตรียมดาบฝึกให้พร้อม องค์ชายฟีนิสไม่ตรัสสิ่งใด รับดาบขึ้นมาแล้วเริ่มต้นฝึกด้วยตนเอง
ข้าก้าวถอยออกมาเล็กน้อย ยืนอยู่ด้านข้างเพื่อเฝ้ามองพระองค์เช่นทุกวัน
องค์ชายฟีนิสเป็นนักดาบที่เก่งกาจ ฝีมือของพระองค์เหนือกว่าคนวัยเดียวกัน ทุกคนต่างชื่นชมพระองค์ ทั้งขุนนาง องครักษ์ และเหล่าข้าราชบริพารที่เฝ้าดูการฝึกซ้อมของพระองค์มาตลอด
แม้แต่พระราชายูเรนัสเอง...ก็เคยทอดพระเนตรมายังพระองค์ด้วยสายตาภาคภูมิใจ
แต่กระนั้น—พระองค์กลับไม่เคยแสดงให้เห็นถึงความพึงพอใจในคำชมนั้น
พระองค์ไม่เคยหยุดฝึกฝน ไม่เคยยอมให้ตนเองพอใจกับสิ่งที่มีอยู่ ข้าสังเกตเห็นว่าทุกครั้งที่พระองค์ได้รับคำชม พระองค์จะเพียงพยักหน้ารับเบา ๆ แล้วกลับไปฝึกหนักกว่าเดิม ราวกับว่าสิ่งที่ได้รับมานั้นยังไม่เพียงพอ
เสียงดาบกระทบกันดังขึ้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ พระองค์ซ้อมดาบอยู่เช่นนั้นเนิ่นนานโดยไม่หยุดพัก แม้จะไม่มีผู้ใดคาดหวังให้พระองค์ก้าวไปไกลกว่านี้ แต่พระองค์ก็ยังเดินหน้าต่อไป
จนกระทั่งแสงแดดยามสายเริ่มทอประกายแรงขึ้น องค์ชายจึงหยุดและส่งดาบคืนให้เหล่าองครักษ์ ก่อนจะรับผ้าขนหนูมาเช็ดเหงื่อ ข้าเห็นพระองค์ทอดถอนพระทัยเล็กน้อย
ราวกับกำลังสงสัยว่า—สิ่งที่พระองค์ทำอยู่นี้ มีความหมายอะไรหรือไม่
ข้ามิอาจรู้คำตอบนั้นได้ ข้าทำได้เพียงยืนอยู่ตรงนี้ มองดูพระองค์ในเงามุมที่ไม่มีผู้ใดสนใจ
และบางที...แม้แต่พระองค์เองก็อาจไม่รู้คำตอบเช่นกัน
———
หลังจากซ้อมดาบเสร็จ องค์ชายฟีนิสเสด็จกลับตำหนักเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเรียน
ห้องเรียนส่วนพระองค์ถูกจัดไว้ในอาคารทางปีกตะวันออกของพระราชวัง โต๊ะไม้เนื้อดีตั้งเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ ตรงกลางมีบัลลังก์เล็กสำหรับองค์ชาย ขณะที่โต๊ะของเหล่าอาจารย์ถูกจัดวางล้อมรอบ ทุกสิ่งดูสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ ทว่าบรรยากาศกลับเงียบงันจนให้ความรู้สึกหนักอึ้ง
ข้านั่งประจำที่ในมุมหนึ่งของห้อง รักษาระยะห่างตามสมควร
บนโต๊ะของพระองค์วางเรียงด้วยตำราและเอกสารมากมาย ตั้งแต่ประวัติศาสตร์ รัฐศาสตร์ การทูต ไปจนถึงยุทธศาสตร์ทางทหาร องค์ชายเปิดหน้ากระดาษช้า ๆ ดวงเนตรสีอ่อนกวาดมองตัวอักษรอย่างตั้งใจ ไม่มีท่าทีลังเลหรือหวั่นไหว
"วันนี้เราจะทบทวนหลักการปกครองของกษัตริย์องค์ก่อน ๆ" อาจารย์วัยกลางคนกล่าว ก่อนจะเริ่มบรรยายเนื้อหา
พระองค์ฟังอย่างสงบ ไม่ซักถาม ไม่โต้แย้ง พระพักตร์เรียบนิ่งไม่แสดงอารมณ์แม้แต่น้อย อาจารย์กล่าวเสริมไปเรื่อย ๆ เกี่ยวกับหลักการปกครองที่ใช้ได้ผล กับเหตุการณ์ในอดีตที่นำพาอาณาจักรมาสู่จุดที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ข้ามองดูพระองค์ที่ยังคงนั่งอยู่ในท่าเดิม ไม่แสดงอาการเหนื่อยล้า แม้แต่ยามที่อาจารย์ขอให้จดบันทึก พระองค์ก็ทำตามอย่างเรียบร้อย
หากมีผู้ใดได้เห็นภาพนี้ คงกล่าวชมพระองค์ว่าเป็นเจ้าชายผู้เพียบพร้อม สมกับสายเลือดราชวงศ์
แต่ข้ารู้ดี—
สายตาของพระองค์นั้น...ไม่ได้จ้องตำราอย่างแท้จริง
———
หลังจากจบบทเรียนในช่วงเช้า องค์ชายฟีนิสเสด็จไปยังห้องโถงฝึกซ้อมที่อยู่ภายในเขตพระราชวัง
ห้องโถงนี้เป็นห้องขนาดใหญ่ พื้นปูด้วยไม้ขัดมัน หน้าต่างสูงโปร่งเปิดรับแสงอ่อนจากภายนอก บรรยากาศภายในเงียบสงบ มีเพียงเสียงฝีเท้ากระทบพื้นและเสียงเครื่องสายที่บรรเลงคลอเบา ๆ
ข้ายืนอยู่ไม่ไกลนัก มองดูองค์ชายที่เพิ่งก้าวเข้าไปในห้อง และไม่นานหลังจากนั้น ร่างของเด็กหญิงคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า
"องค์ชาย วันนี้เรามาเริ่มกันเลยดีไหมเพคะ?"
เสียงใสของเธอดังขึ้นพร้อมรอยยิ้มบาง ผมสีอ่อนของเธอถูกถักเก็บไว้อย่างเรียบร้อย ดวงตากลมโตเป็นประกายเมื่อทอดมองพระองค์
เธอชื่อ "เอลเลน" บุตรสาวของดยุกตระกูลเก่าแก่ และเป็นคู่ซ้อมเต้นรำขององค์ชายฟีนิสมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์
องค์ชายพยักพระพักตร์เล็กน้อย ก่อนจะยื่นพระหัตถ์ออกไป เด็กหญิงตรงหน้ารับไว้โดยไม่ลังเล และทั้งสองเริ่มต้นก้าวเท้าไปตามจังหวะดนตรี
ข้าลอบมองดูทั้งสองจากระยะไกล
เอลเลนเคลื่อนไหวอย่างสง่างาม ท่วงท่าอ่อนช้อยสมกับที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี องค์ชายฟีนิสเองก็เช่นกัน พระองค์ก้าวเท้าได้อย่างมั่นคงไม่แพ้เธอ การจับจังหวะของพระองค์ไม่มีผิดพลาด ท่าทางนิ่งสงบแต่เปี่ยมไปด้วยความคล่องแคล่วราวกับเป็นธรรมชาติ
ผู้คนภายนอกต่างมองเป็นภาพของสองหนุ่มสาวสูงศักดิ์ที่เข้ากันได้ดี
เสียงเครื่องสายบรรเลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงจังหวะสุดท้าย องค์ชายฟีนิสจับมือเอลเลน พลิกตัวเธอเป็นท่าปิด ก่อนที่ทั้งสองจะหยุดนิ่ง
"ดีมากเพคะ องค์ชาย วันนี้ทรงทำได้สมบูรณ์แบบ"
เอลเลนกล่าวพลางเผยรอยยิ้มบางให้พระองค์
องค์ชายมิได้ตอบสิ่งใด เพียงแค่ปล่อยมือเธอเบา ๆ และถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
"พอแค่นี้ก่อน ข้าจะกลับตำหนัก"
สิ้นคำกล่าว พระองค์ทรงหมุนพระวรกายเดินออกจากห้องโถง ฝีเท้าไม่เร่งรีบ แต่มั่นคงเช่นเคย
ข้ามองดูเงาหลังขององค์ชายที่ค่อย ๆ ลับหายไป ก่อนจะเหลือบไปเห็นเอลเลนที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม
เธอจ้องมองไปทางประตูครู่หนึ่ง แล้วเพียงแค่ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะผละจากไปเช่นกัน
------
หลังจากการฝึกเต้นรำเสร็จสิ้น องค์ชายฟีนิสกลับมาพักผ่อนในห้องส่วนพระองค์ หยิบหนังสือออกมาอ่านเพื่อผ่อนคลายใจ
"นี่องค์ชายยังเครียดเรื่องการหมั้นหมายอยู่หรือพะยะคะ"
คำถามของข้าดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงบของห้อง ข้าพยายามสังเกตสีหน้าของพระองค์ แต่ท่าทีขององค์ชายยังคงนิ่งเฉย ไม่สามารถคาดเดาความรู้สึกภายในได้เลย
พระองค์ทรงวางหนังสือลงบนโต๊ะ ก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยท่าทางคิดทบทวน
"ข้าไม่เคยสนใจเรื่องพวกนั้น" พระองค์ตรัสเสียงเบา แต่ข้าก็สามารถจับความรู้สึกได้จากน้ำเสียงนั้น ความรู้สึกขัดแย้งระหว่างความคาดหวังของคนรอบข้างและความต้องการของพระองค์เอง
ข้าเงียบไปครู่หนึ่ง รู้สึกถึงความไม่สบายใจที่แฝงอยู่ในท่าทางของพระองค์
"เซดริก..." พระองค์เริ่มพูดชื่อข้าเบา ๆ
"เจ้าคิดว่าการเป็นผู้นำคืออะไร"
ข้าสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถาม ข้าทอดสายตามองพระองค์อย่างเงียบ ๆก่อนจะคิดคำตอบอย่างรอบคอม ก่อนที่จะตอบกลับไปอย่างระมัดระวัง
"การเป็นผู้นำ...หมายถึงการแบกรับความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ และต้องทำการตัดสินใจที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตของคนอื่นๆ และผู้นำที่แท้จริงจะต้องรู้จักความเข้าใจในหัวใจของผู้อื่นอย่างถ่องแท้ เพราะผู้นำที่ไม่เข้าใจถึงความรู้สึกของผู้ตาม ก็จะไม่สามารถนำพาพวกเขาไปข้างหน้าได้"
องค์ชายฟีนิสทรงนิ่งไปสักครู่ ราวกับกำลังพิจารณาคำตอบของข้าอย่างถี่ถ้วน ท่ามกลางความเงียบข้างในห้องเสียงหัวเราะหนึ่งดังขึ้น
"ฮ่าๆ.."
"นี่ข้ากำลังฟังหนังสือมีเสียงอยู่หรือไง"
คำพูดของพระองค์ทำให้ข้ารู้สึกเหมือนตัวเองจริงจังเกินไป ข้าส่ายหัวเล็กน้อยในใจ รู้สึกถึงความประหม่าที่เกิดขึ้นในทันที พระองค์ยังคงทรงยิ้มอย่างอ่อนโยน แต่แววตาของพระองค์ก็ยังแฝงไปด้วยความซับซ้อนที่ข้าไม่อาจเข้าใจได้ทั้งหมด
"นี่ เซดริกหากพรุ่งนี้พ่อของเจ้าบอกกับเจ้าว่า"
"อีกไม่นานเจ้าต้องแต่งงานกับกอริลล่า"
"เจ้าจะทำมั้ย"
ข้าชะงักไปทันที ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เพิ่งได้ยินนั้นเป็นคำถามจริงจังหรือเพียงแค่พระองค์ทรงหยอกล้อ ข้ามองสบพระเนตรขององค์ชายฟีนิส แต่ก็ยังไม่อาจอ่านความคิดของพระองค์ได้ทั้งหมด
"...พะยะค่ะ?"
ข้าหลุดถามออกไปอย่างลืมตัว ก่อนจะรีบเรียบเรียงความคิดให้ดีขึ้น องค์ชายยังคงทอดพระเนตรมาที่ข้าพร้อมรอยยิ้มที่คล้ายจะมีเลศนัย
"ข้าหมายถึง ถ้าเป็นเจ้าล่ะ เจ้าจะทำตามคำสั่งหรือไม่?"
ข้ากระแอมเบา ๆ ก่อนตอบกลับไปอย่างระมัดระวัง
"กระหม่อมคิดว่า...จริงอยู่ที่ตระกูลชั้นสูงบางครั้งต้องแต่งงานเพื่อความั่นคงในตระกูล แต่..."
"แต่อะไร..?" องค์ชายตรัสแทรกขึ้นมา
ข้านิ่งไปครู่หนึ่ง นี่ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่คำถามเล่น ๆ อีกต่อไปแล้ว พระองค์ไม่ได้เพียงแค่หยอกล้อ แต่กำลังทดลองบางอย่างกับข้า
"กระหม่อมเองก็ไม่มั่นใจว่าจะไปได้ดีกับกอลิล่ามั้ย..."
องค์ชายฟีนิสทรงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ รอยยิ้มของพระองค์ดูเหมือนจะกว้างขึ้นเล็กน้อย
"หึ... อย่างน้อยเจ้าก็ยังคิดเรื่องความเข้ากันได้"
ข้าพยายามรักษาสีหน้าให้เรียบเฉย แม้ในใจจะรู้สึกละอายกับคำตอบตัวเอง
"หม่อมฉันเพียงแต่คิดตามสถานการณ์ที่พระองค์ทรงสมมติขึ้นมาเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ" ข้าตอบอย่างสุภาพ ก่อนจะลองถามกลับไป
"แต่เหตุใดองค์ชายจึงทรงเปรียบเปรยเช่นนั้น?"
พระองค์มิได้ตอบในทันที พระเนตรยังคงทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง ท่ามกลางความเงียบที่โรยตัวลง