ชั่ววินาทีที่ 'ธารธรรม' ได้สบตากับ 'ศิลา' เขาก็ตกหลุมรักพ่อหนุ่มที่กระโดดลงมาจากต้นมะม่วงพร้อมแมวส้มคนนี้เสียแล้ว...
ชาย-ชาย,รัก,ยุคปัจจุบัน,ไทย,อื่นๆ,ศิธาร,ศิเป็นของธาร,มหาวิทยาลัย,น่ารัก,หวาน,feel good,feelgood,อ่านฟรี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ศิเป็นของธารชั่ววินาทีที่ 'ธารธรรม' ได้สบตากับ 'ศิลา' เขาก็ตกหลุมรักพ่อหนุ่มที่กระโดดลงมาจากต้นมะม่วงพร้อมแมวส้มคนนี้เสียแล้ว...
เพียงได้พบสบตา 'ธารธรรม' ก็ตกหลุมรัก 'ศิลา' พ่อหนุ่มที่กระโดดลงมาจากต้นมะม่วงพร้อมแมวส้มไปเสียแล้ว
แม่สอนธารธรรมไว้ว่าชอบใครต้องไปให้สุด เตรียใจไปเลยพ่อต้นมะม่วง เจอธารธรรมใส่สุดแน่นอน!!
มาค่ะ มาเปิดเรื่องใหม่กัน
ญ่าฝากคุณผู้อ่านเอ็นดูเจ้าศิกับยัยธารด้วยนะคะ // ไหว้ย่อแบบติดพื้น
เรื่องนี้จะลงทุกวันอังคาร เวลา 2 ทุ่ม(ตรงบ้าง ไม่ตรงบ้าง)ค่ะ
สองหนุ่มสาวยืนรอเพื่อนอีกคนที่กำลังปั่นจักรยานมายังจุดนัดพบ ทั้งที่วันนี้ไม่มีเรียนแท้ ๆ แต่เมื่อเพื่อนอยากมาเชียร์ผู้ชายแข่งกีฬา กรองทอง และชาติชายจึงต้องขุดสารร่างฝ่าแดดออกมาด้วย แล้วยังไงล่ะ? คนนัดดันมาช้าสุด!
ถ้ามาถึงจะทุบหลังให้!
“มาแล้ว ๆ” คนตัวขาวรีบจ้วงมาอย่างรวดเร็ว “อย่าพึ่งทุบหลังกูน้าาา”
“ช้า!”
“ขอโทษ ๆ อย่าบ่นเลยน่า ไอ้ชาติยังไม่ว่าสักคำ” ธารธรรมว่าพลางจอดจักรยานแม่บ้านคันโปรด
“มันจะว่าอะไร ยืนหลับไปแล้วเนี่ย!” กรองทองหันไปทำหน้ามุ่ยใส่เพื่อน “ไอ้นี่ก็! ร้อนขนาดนี้ยังหลับลง ตื่น!”
“ต่อให้อยู่กลางแดดกูก็หลับลง” เพื่อนตัวสูงว่า
เมื่อครบแก้ง ทั้งสามคนก็ออกเดินไปยังสนามแข่ง
“จะว่าไปมึงก็กล้านะธาร ที่พาผู้ชายเข้าห้อง” กรองทองเอ่ยเปิดประเด็น
“ไม่เห็นต้องห่วงน่า แค่พาไปดูแมวเอง”
“ไม่ได้ห่วงมึงค่ะ ห่วงกลัวผู้ชายหนี ดูสภาพห้องมึงด้วย”
“ห้องกูมันทำไม?” ถามอย่างพาซื่อ
“มึงก็กล้าถามเนาะธาร” ชาติชายทำหน้าเหลือเชื่อ
กรองทอง : “ห้องโง่ ๆ ที่ไม่มีเชี่ยอะไรเลย มีแค่ฟูกกับผ้าปูที่นอน ที่เอามาจากบ้าน”
ชาติชาย : “ตู้เย็นเช่าหอ ราวผ้าติดมากับห้อง ตะกร้าผ้าสีแสบ กับโต๊ะญี่ปุ่นจากพี่รหัส”
กรองทอง : “ไม่มีถ้วย จาน ช้อน ส้อม แก้วน้ำสักแก้วก็ไม่มี”
ชาติชาย : “มีห้องไว้เพื่อซุกหัวนอนเท่านั้น!”
“รุมกูอีกแล้ว”
กรองทองและชาติชายสลับกันว่าเพื่อนตัวขาวอย่างแทบไม่เว้นช่องให้หายใจ
ก็คิดว่ามาอยู่แค่ 4 ปี ไม่จำเป็นต้องใช้อะไรเยอะ จะได้ไม่ลำบากขนไปขนกลับ จะมีเพียงฟูก และชุดเครื่องนอนเท่านนั้นที่ต้องเลือกมากหน่อย แม้แต่เสื้อผ้ายังมาหาซื้อมือสองแถวนี้เลย และในเมื่อมีราวผ้าอยู่ในห้องเราจะขวนขวายหาตู้เสื้อผ้ามาอีกทำไม?
และเราซื้อข้าวใส่กล่องมากินอยู่แล้ว เราจะมีจาน ชาม ช้อน ส้อมไปทำไม?
และในเมื่อเราดื่มน้ำจากขวดได้ จะมีแก้วไปทำไม?
จริงไหม?
“กูว่ามึงแต่งห้องบ้างก็ดีนะ ไม่ต้องอะไรเยอะก็ได้เอาแค่ดูเป็นผู้เป็นคนก็พอ ถ้าคราวหน้าพาผู้ชายไปห้องอีกก็จะได้มีที่ให้เขานั่ง มีแก้วให้เขาดื่มน้ำ มีจาน ชาม ช้อน ส้อม ไว้เผื่อชวนเขากินข้าว แล้วพื้นฐานมึงก็ไม่ใช่คนรกรุงรังอะไร เรื่องความสะอาดก็ไม่น่าเป็นห่วง”
“จริง ถ้าเป็นไอ้กรองก็ว่าไปอย่าง 3 ชาติกวาดห้องที”
“ไอ้ชั่ว กูมีแม่บ้านไหม? ยังไง?”
ธารธรรมคิดตามคำพูดของสองเพื่อนซี้ ที่กรองทองและชาติชายพูดก็น่าสนใจ ประกอบจากช่วงนี้เขามีพบรักทำให้กลับไปนอนห้องทุกวัน จากแต่ก่อนชอบไปสิงห้องชาติชายที กรองทองที มันทำให้ได้เห็นว่าคุณภาพชีวิตแย่แค่ไหน ว่าไปก็อยากให้พบรักได้วิ่งในห้องกว้าง ๆ กว่านี้เหมือนกันนะ
อีกอย่างพอลองคิดว่าถ้าศิลามาที่ห้อง นั่งบนโซฟาเล่นกับพบรัก มีตัวเขายืนในครัวถามว่า ‘ศิจะดื่มอะไร?’ หรือ ‘อยู่กินข้าวด้วยกันนะศิ’ หลังจากนั้นก็ไปนั่งทานข้าวพร้อมกัน ตักอาหารให้อีกฝ่าย มีพบรักนอนสะบัดหางอยู่บนโซฟาหน้าทีวี
โคตรดี
โคตรอบอุ่น
โคตรครอบครัว
เดินไม่นานก็ถึงโรงยิมที่ใช้แข่ง เมื่อเดินเข้าประตูมาสแตนด์ที่ใช้นั่งเชียร์จะอยู่ทางด้านขวาของประตู ฝั่งของบริหารฯจะอยู่ติดประตู ของคณะเกษตรฯต้องเดินเลยเข้าไปอีก
คุณคิดว่าเด็กบริหารฯ 3 คนจะเลือกนั่งสแตนด์ฝั่งไหน?
ก็ต้องเกษตรฯ อยู่แล้วสิ
“อ้าว! หวัดดีพี่” เสียงทักจากเด็กปี 1 ที่ถือกล้องทักก่อนที่ทั้ง 3 คนจะเดินเลยคณะตนเองไป “มาเชียร์บาสด้วยเหรอ?”
“หวัดดีน้องหนู” ชาติชายกวน
“ก้องครับคุณพี่ชั่ว”
“เดี๋ยวสันมือให้”
“พี่ธารช่วยด้วย” ก้องวิ่งดุ๊กดิ้กมาหลบหลังพี่รหัส
“อย่าแกล้งน้องกู” หันไปว่าเพื่อนก่อนหันไปถามน้องรหัสที่สูงน้อยกว่าเขาเกือบคืบ “แล้วมึงอะ? มาถ่ายรูป?”
“ปล่าว มาซักผ้า”
“อย่าลืมแยกผ้าสี ผ้าขาวล่ะ” ธารธรรมบอก “ปะมึงไปกันเถอะ”
“เดี๋ยว ๆ หยอกเล่นเองง” ก้องดึงเสื้อพี่รหัสตนไว้ “พี่ที่ต้องมาถ่ายรูปวันนี้เขารถล้ม พี่กานต์เลยให้ผมมาแทน”
“อ๋อ”
“เดี๋ยว ๆ ไม่กวนแล้วยังจะไปไหนอีก?”
“ไปฝั่งนู้น” มือขาวชี้
“แต่บริหารฯอยู่ฝั่งนี้”
“รู้ แต่ไม่ได้มาเชียร์บริหารฯ”
“หือ?”
“น้องหนูเห็นคนนั้นไหม?” ถ้าคำเรียกนี้มาจากพี่ชาติชายคงได้มีกวนกลับ แต่พอเป็นพี่กรองทองคนสวยก้องจึงได้แต่มองตามนิ้วเรียวที่ชี้ไปยังนักกีฬาคณะเกษตรฯคนหนึ่ง
“อย่าบอกนะ?”
“อือ ตามนั้น” กรองทองย้ำ
“พี่เปลี่ยนหลุมแล้ว?”
“รู้แล้วก็ฝากถ่ายรูปเยอะ ๆ ด้วยนะ” ธารธรรมตบไหล่ก้องเบา ๆ 2-3 ที แล้วเดินออกมา
ทางแสตนด์ของคณะเกษตรฯได้ฝากอะตอมให้จองที่ไว้ให้แล้ว ทั้ง 3 จึงเดินไปทักทายหนุ่มแว่นก่อนหย่อนกายลงนั่ง เป็นจังหวะเดียวกับที่พ่อต้นมะม่วงซึ่งอยู่อีกฝั่งสนามเงยหน้ามาสบตากันพอดี มือขาวยกโบกให้อย่างเคยชิน และอีกคนก็โบกกลับ เพื่อน ๆ ในทีมที่เห็นดังนั้นก็เดินมาล้อมแซวคนตัวสูงทันที คนตัวขาวเหลือบมองน้องลูกปลาผู้ช่วยผู้จัดการทีม ก่อนกวักมือเรียก หญิงสาวตัวเล็กวิ่งมาหาทันที
คนในทีมน่ะ ธารธรรมซื้อตัวไว้หมดแล้ว!
“มีอะไรคะพี่ธาร?”
“พี่ฝากให้ศิทีนะ” คนตัวขาวยื่นเครื่องดื่มที่เจ้าของหลุมชอบหนึ่งขวดถ้วนให้หญิงสาว ศิลาบอกให้ซื้อแค่ขวดเดียว เขาก็ทำตามอย่างว่าง่าย
“รับทราบค่ะ!” ลูกปลารับไปแล้ววิ่งดุ้ก ๆ ไปหารุ่นพี่ตนเอง ยื่นขวดน้ำให้ ชี้มือมาทางธารธรรม
มือหนายกเครื่องดื่มขึ้นจิบเล็กน้อยก่อนฝากคนที่เอามาให้ไปแช่กระติกไว้ ธารธรรมยกมือที่กำขึ้นมาระดับอก ก่อนพูดแบบไม่เสียง
‘สู้ ๆ นะ คุณพ่อ'
ริมฝีปากหนายกยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่ ไม่นานการแข่งขันก็เริ่มขึ้น สองคณะสู้กันอย่างสูสี และดุเดือด แค่ครึ่งแรกก็เล่นเอาคนเชียร์หายใจติดขัดไปตาม ๆ กัน
ครึ่งหลังเกมยิ่งกดดัน ธารธรรมไม่เคยเห็นศิลาเครียดกับการแข่งขนาดนี้ อาจเพราะเขาเคยเห็นแต่ช่วงที่อีกคนซ้อมก็เป็นได้ ยอมรับเลยว่าศิลาในเวลานี้ดูเท่กว่าเดิมอีก 10 เท่า
และแล้วแมตช์ที่ดุเดือดก็จบลงด้วยชัยชนะของ…คณะบริหารฯ
เมื่อการแข่งจบลงผู้คนก็เริ่มทยอยออกจากสนาม จนตอนนี้เหลือแต่นักกีฬาทีมของคณะเกษตรฯ ที่ยังคงนั่งกันอยู่ อะตอมเอ่ยชวนทั้งสามคนให้เดินไปหา
“แดกเหล้าเว้ย!” กัปตันทีมนาม ‘พี่โอ้ต’ ตะโกนลั่นสนาม “แพ้แล้วต้องแดกเหล้าย้อมใจ! แยกย้าย ๆ อย่ามัวมานั่งหงอย ชีวิตพวกมึงยังต้องไปต่อ!”
ลูกทีมยังคงนั่งเงียบ
“มึงด้วยนะอะตอม เด็กบริหารฯ 3 คนนั่นด้วย กูชนะในเกมไม่ได้ ก็จะลากเด็กคณะฯมันไปมอมให้เละ!” กัปตันทีมยังหันไปชวนพวกเขาที่เดินเข้าไปหา “6 โมง บ้านกู ส่งโลให้ไอ้สามคนนั้นด้วย”
สิ้นประโยคพี่แกก็เก็บของออกไปทันที ธารธรรมแอบเห็นตาแดง ๆ นั่นด้วย
“แยกย้ายเว้ย รอไปแดกเหล้าบ้านไอ้โอ๊ต” รุ่นพี่อีกคนก็ตบไหล่ไล่คนในทีมให้กลับ ทีมเกษตรฯจึงแยกย้ายกันแบบนี้
ธารธรรมไม่ได้คุยกับศิลาสักคำ เอเทนที่ปกติมักทักทายก็เงียบมีเพียงรอยยิ้มฝืน ๆ เท่านั้น อะตอมจึงบอกลาพวกเขา แล้วลากเพื่อนตนเองกลับ
เป็นห่วงศิจัง…
ช่วงใกล้ 6 โมงเย็นตามเวลานัดหมาย เด็กบริหารฯ 3 คนก็มาถึงยังสถานที่นัดหมายตามโลเคชั่นที่อะตอมส่งให้ เห็นว่ามีคนในทีมหลายคนกำลังเตรียมสถานที่ในสวนกันอยู่
เมื่อเข้าไปในบ้านทุกคนก็ทักทายกันอย่างร่าเริง เหมือนว่าพอได้พักแล้วอะไร ๆ ก็ดีขึ้น ธารธรรมก็ยังคงได้นั่งข้างศิลาตามที่เพื่อนจัดแจงกันอย่างแข็งขัน ชนิดที่ว่าขายเพื่อนกันเต็มที่
“เอ ๆ วันนี้เห็นนะว่าไอ้ศิได้น้ำอยู่คนเดียว ของพวกเราอ่ะธาร” เอเทนว่ากวน ๆ ไม่ได้จริงจังอะไรแค่อยากแซว
“หมดโปรเอาใจเพื่อนศิแล้ว ต่อจากนี้ขอโฟกัสแค่การจีบศิคนเดียว กลัวศิหวง” และคำตอบนี้เรียกเสียงโห่โหยหวนจากทุกคนได้เป็นอย่างดี
“แล้วหวงจริงไหมวะศิ?” คนหนึ่งในทีมถาม
และใช่ ศิลาไม่ตอบ แต่ท่าทางหันหน้าหนีนั่นก็เป็นคำตอบได้เช่นกัน
พี่โอ๊ตเจ้าของบ้านเดินถือถาดของสดเข้ามา มีทั้งของสด บาร์บีคิวหมู เห็ด ไก่ เนื้อ แบบจัดเต็ม โดยมีพี่เน่ และลูกปลาอาสาย่างให้ กรองทองลุกไปช่วยด้วยอีกแรง
เกรงใจ?
อาจจะนิดหน่อย แต่จุดประสงค์หลักคือได้กินก่อนต่างหาก…
“เต็มที่เลยเว้ย!! อภินันทนาการจากแฟนกูเอง!”
“ขอบคุณครับพี่มินน” ทุกคนประสานเสียงพร้อมยกมือไหว้หญิงสาวอีกคน
“จ้าา ขาดเหลืออะไรบอกโอ้ตนะ พี่ขึ้นไปทำงานข้างบนก่อน”
“คร้าบบ”
โอ๊ตวิ่งเข้าหาเพื่อน ๆ หยิบแก้วขึ้นดื่ม พูดคุยหัวเราะเฮฮากับเพื่อน ผิดกับตอนพึ่งกลับบ้าน กัปตันคนเก่งกอดขาเล็ก ๆ ของแฟนสาวแล้วร้องไห้จนสุดเสียงราวกับเด็กน้อย
ยิ่งดึกปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดยิ่งมาก สภาพตอนนี้จึงบอกได้คำเดียวว่าเละ…
“เพราะกูทีมถึงแพ้ ฮือออ”
“เพราะกู กูชู้ตลูกนั้นไม่ลง แงงงง”
“ไม่ใช่ เพราะกู …”
และอีกหลายประโยคต่อว่าตัวเองจากเหล่านักกีฬาที่กอดคองอแงกันอยู่ ความน่ารักคือทุกคนไม่โทษคนอื่นเลยสักคำ
แต่นะ…
อะตอมยังพอเข้าใจว่าอยู่คณะเกษตรฯ แต่ไอ้เด็กบริหารฯ 2 คนนั้นมันเกี่ยวอะไรด้วย?
ธารธรรมได้แต่หัวเราะกับความเละเทะของกรองทองและชาติชายที่เข้าไปกอดคอร้องไห้ด้วย วันนี้ธารธรรมได้แต่ดื่มน้ำอัดลม เพราะโอน้อยออกแพ้ ต้องเป็นคนพาเพื่อนสองคนกลับ
ตาสวยมองพ่อต้นมะม่วงข้างกายที่นั่งนิ่ง แต่มือยังคงยกดื่มเรื่อย ๆ หมดก็เติมอยู่อย่างนั้น ตาคมเริ่มแดงระเรื่อบ่งบอกว่าก็คงเมาระดับหนึ่ง
“ศิโอเคไหม?”
“ไม่” ตาคมมองเพื่อนร่วมทีมที่กอดคอแหกปากอยู่ตรงหน้า รู้อยู่แล้วว่าทีมบริหารฯค่อนข้างเก่ง แต่วันนี้ทุกคนพยายามกันอย่างสุดความสามารถ เพราะหากแพ้แมตช์นี้ก็เท่ากับคณะของเขาตกรอบแล้ว
นั่นแหละ… ทีมเขาแพ้แล้ว
คณะเกษตรฯ ตกรอบแล้ว…
“พวกกูยังรอแก้ตัวปีหน้าได้ แต่น่าเสียดายแทนพวกพี่โอ๊ต พี่เขาปี 3 กันแล้ว ปีหน้าก็ต้องฝึกงานแล้ว ก็ไม่ได้ลงแข่งอีก”
หัวทุยทิ้งลงบนไหล่ของคนข้างกาย อย่างโหยหาที่พักพิง ศิลารู้ว่าภายใต้รอยยิ้มของพี่โอ๊ตตอนหลังแข่งจบ มันซ่อนความเจ็บปวดไว้มากมายแค่ไหน
“ขออยู่แบบนี้อีกสักพักนะ”
“อืม ถ้าเป็นศิลา จะอยู่นานแค่ไหนก็ได้เลย”
ถึงแม้จะเป็นตอนเช้า ถึงแม้แสงแดดจะไม่แผดเผา ถึงแม้จะไม่อบอ้าวติดจะเย็นสบายเสียด้วยซ้ำ แต่เชื่อเถอะว่าคงไม่มีใครมีปั่นจักรยานฝ่าฝุ่น และมลพิษได้มีความสุขเท่ากับธารธรรมอีกแล้ว ยิ่งนึกถึงตอนที่ศิลาพิงซบไหล่กันนั้น ริมฝีปากสวยยิ่งฉีกยิ้มกว้างขึ้นอีก คนนอนก้นหลุมอย่างเขาฟินจนเก็บไปนอนฝัน
แค่เธอซบไหล่ก็แพลนงานแต่งรอแล้ว
“โอ๊ะ! ศิลาา” และฟ้าก็ส่งคนที่คิดถึงมายืนตรงหน้า
พรหมลิขิตอีกแล้ว!
ร่างสูงยืนข้างรถยนต์ที่ดับสนิทอย่างหัวเสีย ตายวันไหนไม่ตาย มาตายวันมีสอบ โทรหาช่างร้านประจำก็ไม่มีคนรับ จะทิ้งไว้ตรงนี้ก็ดันมาเสียตรงที่ห้ามจอด
“ศิ ๆ รถเป็นอะไร?” เสียงสดใสที่คนถูกเรียกชินจนไม่คิดสงสัยว่าใครพูด
มีเรื่องบังเอิญกับธารธรรมบ่อยจนเริ่มจะเชื่อว่าเป็นพรหมลิขิต…
“รถเสีย สตาร์ทไม่ติด”
ธารธรรมล่ะคันปากอยากต่อว่า ‘ทำไมไม่ใช้ไดเกียวล่ะ เพราะใช้แล้วเครื่องฟิต สตาร์ทติดง่าย' แต่คิดว่าถ้าพูดไปคงถูกศิลาประเคนขาแกร่งนั่นมาฟาดคอ จึงได้แต่กลืนประโยคนี้ลงคอไป
“ตามช่างรึยัง?” เอาเป็นประโยคเซฟ ๆ แล้วกัน
“ช่างประจำไม่รับสาย กำลังหาอู่อื่น”
“เอาอู่ของคนรู้จักเราไหม?”
อาจจะแปลกหน่อยที่ให้คนปั่นจักรยานแม่บ้านหาอู่ให้ แต่ก็เชื่อใจในระดับหนึ่งเลยพยักหน้าตกลง ธารธรรมล้วงโทรศัพท์ กด 2-3 จึ้ก พูด 2-3 ประโยคก็วางสาย
“รออีก 10 นาทีนะ ไปนั่งรอที่โต๊ะหินอ่อนก่อนเถอะ เดี๋ยวเรามา” พูดเองรัว ๆ แล้วก็ปั่นจักรยานออกไป ศิลาทำอะไรได้? ก็ไปนั่งรอตามที่อีกคนพูดไง
สักพักคนที่ปั่นจักรยานออกไปก็กลับมาพร้อมนมหนึ่งกล่อง และแซนวิช 1 ชิ้น
“เมื่อคืนศิบอกว่าวันนี้มีสอบ เช้าขนาดนี้เราเดาเลยว่าศิต้องยังไม่ได้กินอะไร”
“ขอบคุณ”
พักหลังมานี้เขากับคนตัวขาวมักคุยกันบ่อย ๆ แรก ๆ ก็เป็นอีกคนที่ส่งแมวมาล่อก่อน หลัง ๆ ก็ไม่ต้องใช้แมวแล้ว เพราะเจ้าของหลุมกับคนก้นหลุมเริ่มชินกับการได้รับคำบอกฝันดี และอรุณสวัสดิ์จากอีกฝ่ายไปเสียแล้ว
“แล้วมึงกินอะไรรึยัง?”
“ยังเหมือนกัน”
“แล้วทำไมไม่ซื้อของตัวเอง”
“นั่นสิ?” เพราะคิดแค่ว่าจะซื้อให้ศิลาจนลืมของตัวเอง
“งั้นแบ่งครึ่งกัน” มือหนาบิดแซนวิชครึ่งหนึ่งให้คนข้างกาย
“ขอบคุณครับ”
นั่งเล็มแซนวิชไม่นานช่างก็มา ธารธรรมเดินไปทักช่างอย่างสนิทสนม ศิลาก็ส่งกุญแจรถให้ พูดคุยรายละเอียดกันนิดหน่อย ช่างก็ลากรถไป
“ซ้อนจักรยานเราไหมศิ~ เร็วกว่าเดินไปน้าา” คนตัวขาวเอ่ยชวนอย่างกะลิ้มกะเหลี่ย
ก็จริงที่ว่าซ้อนจักรยานมันเร็วกว่าเดิน แต่ถ้าเขาเรียกมอเตอร์ไซค์วินก็เร็วกว่าจักรยานอยู่ดี แต่สุดท้ายก็ตอบตกลง
ธารธรรมล้วงเสื้อแขนยาวที่มักพกไว้ใส่ในห้องเรียนออกมาจากกระเป๋า พับเก็บแขนเสื้อไม่ให้ห้อยลงไปพันกับล้อจักรยานแล้วเอามาวางไว้ตรงที่ซ้อน เนื่องจากที่ซ้อนเป็นเหล็กกลัวศิลาเจ็บตูด แถมยังหยิบร่มคันเล็กให้กางกันแดดอีกด้วย นี่ถ้าไม่ใช่เพราะครีมกันแดดที่พกประจำหมดคงได้ยื่นให้อีกคนด้วยแน่ ๆ
ศิลายอมรับเลยว่า นี่เป็นครั้งแรกที่มีใครดูแลดีขนาดนี้…
“รู้จักกับช่างเหรอ” ศิลาชวนคุย เพื่อให้บรรยากาศไม่เงียบจนเกินไป
“อืม พ่อของชาติเปิดเต็นท์กับอู่ซ่อมรถ พี่เขาเคยเป็นช่างที่อู่ แล้วก็แยกมาเปิดเอง รถของกรองก็ให้พี่เขาดูให้" คนที่กำลังปั่นจักรยานหันมาตอบ
“รู้จักกรองทองกับชาติชายมานานแล้ว?”
“แม่เรา 3 คนเป็นเพื่อนกัน พวกเราก็เลยกลายเป็นเพื่อนกันตั้งแต่คลานออกมาจากท้องแม่ เรียนด้วยกันตั้งแต่เด็กจนโต ตอนเด็ก ๆ ไปโรงเรียนด้วยกันทุกวันเลยนะ ส่วนใหญ่ที่บ้านกรองจะมารับ แทบจะไม่เคยห่างกันเลย บางคนเรียกพวกเราว่าแฝด 3 ด้วยซ้ำ จะมีช่วงที่ห่างมากที่สุด คือช่วงที่กรองไปแลกเปลี่ยน กับชาติไป work&travel”
“สนิทกันขนาดนี้ไม่อยู่หอด้วยกันเหรอ?”
“วิถีชีวิตไม่เหมือนกันอ่ะ เราชอบอะไรที่ง่าย ๆ ไม่เรื่องมาก หอมีไว้แค่ซุกหัวนอนในบางวัน เพราะส่วนใหญ่ก็ชอบไปสิงห้องของกรองหรือชาติอยู่ดี เราชอบปั่นจักรยานเพราะอยากชมวิวไปเรื่อย ๆ ถึงแม้จะร้อนไปหน่อย และที่สำคัญคือไม่ต้องเติมน้ำมัน รักษ์โลกอ่ะเข้าใจป่าว”
พอนึกถึงห้องอีกคนที่ศิลาเคยไปเยือนมาแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าเห็นด้วย
“แต่ชีวิตเราเปลี่ยนไปเพราะศิเลยนะ อ๊ะ ๆ อย่าเพิ่งว่าเราเว่อร์หรือว่าเพ้อเจ้อ”
ศิลาหยุดตัวเองที่เกือบจะพูดอย่างที่อีกคนดักไว้
“ที่เราพูดแบบนี้ เพราะพอเราเจอศิ และศิก็ให้พบรักกับเรา ตั้งแต่เรามีพบรักเราก็อยากกลับห้องทุกวัน ไม่อยากไปนอนที่ไหน อยากรีบกลับไปเล่นกับพบรัก อยากให้น้องได้วิ่งในห้องกว้าง ๆ อยากให้น้องมีความสุข และพอเราอยู่ห้องตัวเองบ่อยขึ้น เราก็รู้ว่าคุณภาพการใช้ชีวิตของเราแย่แค่ไหน จนอยากจะใช้ชีวิตให้ดีขึ้น”
จบประโยคพอดีกับที่จักรยานแม่บ้านจอดลงตรงหน้าคณะเกษตร
“ขอบคุณนะศิลา”
คำขอบคุณมาพร้อมกับรอยยิ้มสดใส
“อืม ขอบคุณเหมือนกัน”
“?” ธารธรรมมองคนที่ลงมายืนข้างจักรยานอย่างสงสัย
“ขอบคุณที่มาส่ง”
“อ่อ แต่เราไม่ได้มาส่งฟรีนะ เราหน้าเลือดจะตาย”
“อยากได้อะไรก็ว่ามา”
“ข้าวกลางวัน! เราเลิกเที่ยง!”
“ร้านน้องส้ม” ถ้าจะจำกันได้คือร้านที่บังเอิญเจอกันวันที่ธารธรรมถอยโทรศัพท์มาใหม่
“ดีล”
“มารับด้วย”
“ซ้อนจักรยานนะ”
“อืม”
“โอเคได้เลย เจอกันนะศิ”
พูดแค่นี้คนตัวขาวก็ปั่นจักรยานออกไป ด้วยความเร็วที่เพิ่มมากขึ้นมาหน่อย เพราะเกรงว่าอีกเดี๋ยวจะเข้าเรียนไม่ทัน
ศิลาหมุนกายเดินเข้าคณะใบหน้าคมประดับด้วยรอยยิ้ม คิดว่ารถเสียในวันที่มีสอบแบบนี้ก็ไม่แย่เท่าไหร่ อย่างน้อยก็ได้รู้จักอีกคนมากขึ้น แถมยังได้ยินคำขอบคุณ ที่ต้องเผลอขอบคุณตอบ
ขอบคุณธารธรรมที่ทำให้รู้สึกดีขนาดนี้...
ศิลาครับ ฮึบก่อนครับลูก
ยัยธารพึ่งจีบหนูมา 3 ตอนถ้วนเอง!