รวมเรื่องราวความหลอนสุดพิลึก ที่จะทำให้คุณรู้สึกว่า… ยามค่ำคืนกับเวลากลางวัน ช่างเป็นโลกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
พารานอมอล,ลึกลับ,ระทึกขวัญ,เรื่องสั้น,พล็อตสร้างกระแส,สยองขวัญ,แปล,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
นอนไม่หลับรวมเรื่องราวความหลอนสุดพิลึก ที่จะทำให้คุณรู้สึกว่า… ยามค่ำคืนกับเวลากลางวัน ช่างเป็นโลกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
รวมเรื่องราวความหลอนสุดพิลึก ที่จะทำให้คุณรู้สึกว่า… ยามค่ำคืนกับเวลากลางวัน ช่างเป็นโลกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
"นอนไม่หลับ" คือหนังสือรวมเรื่องสั้นหลอนสั่นประสาท ที่ท้าทายให้คุณลองอ่าน…
เรื่องราวของความเงียบงันที่ไม่น่าไว้วางใจ ความกลัวที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด และเสียงเรียกจากบางสิ่งที่คุณไม่ควรตอบรับ คำเตือน—เรื่องราวเหล่านี้จะค่อยๆ คืบคลานเข้าสู่ความคิดของคุณ และเมื่อถึงเวลาที่คุณล้มตัวลงนอน…
คุณแน่ใจหรือว่า จะหลับลงได้จริงๆ?
รวมเรื่องเขย่าขวัญที่ถูกแปลเป็นไทย เพื่อแบ่งปันความสยองให้ทุกคนได้อ่านเพื่อความเพลิดเพลิน
📌 หมายเหตุ: ทุกเรื่องเล่าได้รับอนุญาตจากเจ้าของเรื่องก่อนนำมาแปลเรียบร้อยแล้ว
หากถูกใจ ฝากติดตาม กดคอมเมนต์ และส่งกำลังใจด้วยโดเนทได้นะคะ 😎
ทั้งนี้ สำนวนการแปลถือเป็นลิขสิทธิ์ของผู้แปล เพื่อความบันเทิงของผู้อ่านเท่านั้น ห้ามทำซ้ำ คัดลอก หรือนำไปอ่านเผยแพร่ในเว็บใดๆ ทั้งสิ้น รวมทั้งไม่อนุญาตให้นำไปเล่าเรื่องด้วยเสียงผ่าน YouTube และ/หรือเว็บอื่นใดทั้งสิ้น ถ้าต้องการแบ่งปัน ให้ใช้วิธีแชร์ลิงก์เท่านั้นนะคะ **หากมีใครพบเห็นการกระทำดังกล่าวที่ไหน โปรดแจ้งกับผู้แปลโดยตรงนะคะ**
เคสที่ 1: นักเรียนคนที่ 26 ในชั้นเรียนที่มีนักเรียน 25 คน
ผมยื่นจดหมายลาออกในที่สุดหลังจากทำงานเป็นนักข่าวมากว่า 40 ปี ถึงเวลาแล้วที่ผมควรต้องโฟกัสกับเรื่องอื่นๆ ที่สำคัญกว่างาน อย่างความสัมพันธ์ส่วนตัว ครอบครัว และการวางแผนชีวิตหลังเกษียนไปอีกสัก 20 ปีข้างหน้าก่อนตาย
ต้องบอกก่อนว่าผมเป็นนักข่าวแนวสืบสวน ผมจะไม่อวดว่าดีเด่เท่านักข่าวที่คุณเห็นบนจอทีวี หรือว่าผมพยายามจะตีพิมพ์เรื่องจริงเท่านั้นในบทความของผม เพราะข่าวของผมเป็นแนวเรื่องที่อธิบายไม่ได้ ผมสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับเคสคดีที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ จากนั้นเขียนถึงข้อพิสูจน์หรือบทสรุปที่สมเหตุสมผลให้คนอ่านได้อ่านกัน
ผมได้รับอีเมลจากจานิส อดีตบรรณาธิการของผม จานิสกับผมทำงานด้วยกันมานานมากแล้ว แต่พวกเราไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่ เธอมักจะปฏิเสธร่างบทความเรื่องเหนือธรรมชาติของผมตลอด บ่นว่าถ้าปล่อยให้ผมตีพิมพ์เรื่องไร้สาระพวกนั้นเธอจะเสี่ยงถูกไล่ออก ผมเองก็จะยืนกรานให้เธอยอมรับร่างบทความพวกนั้น โดยบอกว่าผมเองก็จะตกงานถ้าเขียนไม่ถึงโควต้าของเดือนตามที่ตั้งไว้
และนั่นเป็นธรรมชาติความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนร่วมงานพวกเรา เราเกลียดความคิดของกันและกัน แต่ก็พึ่งพากันเพื่อให้คงอาชีพการงานเอาไว้
ในอีเมล มันเป็นแค่จดหมายบอกลาและขอให้ผมโชคดี แต่มันมีลิงก์กูเกิ้ลไดรฟ์แนบมาด้วยนี่สิ..
“ปล. นายเข้าใจใช่มั้ยว่าฉันเสี่ยงจะถูกไล่ออกถ้ามีคนรู้เรื่องนี้เข้า แต่ฉันรวบรวมร่างบทความของนายทั้งหมดตลอดทั้งปีที่ฉันเป็นคนปฎิเสธมาไว้ในไดรฟ์นี่ จะเอาไปตีพิมพ์ที่ไหนก็ตามใจนะ แค่อย่าได้เอ่ยชื่อฉันเด็ดขาด ขอให้โชคดี”
“หืม.. แปลกแฮะ ทำไมอยู่ๆ ถึงใจดีขึ้นมา” ผมพึมพำกับตัวเองแล้วคลิกที่ลิงก์ ข้างใน บันทึกย่อที่เขียนด้วยลายมือ แบบร่างที่พิมพ์เก็บเอาไว้ บันทึกเสียง และรูปถ่ายทั้งหมดของผมถูกอัปโหลดลงในโฟลเดอร์ตามลำดับเวลา นี่คงเป็นของขวัญเกษียนอายุจากจานิสสินะ ผมตอบอีเมลของเธอด้วยข้อความสั้นๆ ว่า "ขอบคุณ แต่ผมจะยังเอ่ยชื่อคุณอยู่ดี เพราะงั้น เตรียมทำใจไว้ได้เลย” จากนั้นผมดาวน์โหลดเอกสารและรูปภาพทั้งหมดลงในคอมพิวเตอร์ เผื่อว่าเธออ่านอีเมลผมแล้วเกิดเปลี่ยนใจลบไดรฟ์ขึ้นมา
___
ผมเขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้ในปี 1998 แต่เรื่องมันเกิดขึ้นนานกว่านั้นมากนัก
มันเกิดขึ้นในฮานาคางุระ ประเทศสิงคโปร์ ต้องเกริ่นนำก่อนว่า สถานที่นี้เคยมีชื่อว่า บูกิตบาต็อก (Bukit Batok) มาก่อนจนกระทั่งมาเปลี่ยนชื่อเป็นฮานาคางุระตอนญี่ปุ่นเข้าครองประเทศ มันเป็นสถานที่ที่เกืดการต่อสู้กันอย่างดุเดือดที่สุดระหว่างกองทัพญี่ปุ่นและอังกฤษ หลังจากกองทัพญี่ปุ่นเป็นฝ่ายชนะ พวกเขาสร้างศาลเจ้าและหมู่บ้านบนเนินเขาบูกิต บาตอกขึ้นมา และได้เปลี่ยนชื่อบริเวณโดยรอบเป็น "花神楽" (ฮานาคางุระ) ซึ่งแปลตามตัวอักษรว่า "การเต้นรำของเทพเจ้าดอกไม้"
แต่ที่จริงแล้ว มันไม่ใช่สถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์อะไร หากแต่ถูกใช้เป็นสถานที่กักกันหญิงสาวอายุยังน้อยที่ถูกบังคับให้ขายบริการในสมัยนั้น ใครก็ตามที่ไม่ยินยอมจะถูกทหารเผาทั้งเป็นที่ศาลเจ้านั่นเอง
เรื่องราวความโหดร้ายดังกล่าวถูกเปิดเผยก็เมื่อกองทัพอังกฤษกลับมาหลังกองทัพญี่ปุ่นยอมจำนนในที่สุด แต่ถึงกระนั้นทั้งชื่อ “ฮานาคางุระ” , ศาลเจ้า, และหมู่บ้านในพื้นที่นั้นก็ยังคงถูกเก็บรักษาไว้โดยไม่มีใครไม่ทราบเหตุผลว่าเพราะอะไร แม้ว่าจะมีการประท้วงจากอดีตผู้อยู่อาศัยเกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้ง
สถานที่ที่มีประวัติดำมืดเช่นนี้ มักจะมีเรื่องที่อธิบายไม่ได้เกิดขึ้นเสมอ นั่นพาพวกเราย้อนกลับไปยังปี 1984 ในสมัยที่เมืองใหม่ฮานางุระถูกสร้างขึ้นเป็นครั้งแรก ภายในหกเดือนหลังจากนั้น มีเด็กสาวจากโรงเรียนมัธยมเมืองฮานาคางุระสามคนหายตัวไปอย่างลึกลับและไร้ร่องรอย
ทั้งสามคนอาศัยอยู่ที่เชิงเขาบูกิต บาตอกซึ่งเป็นหมู่บ้านเก่า ผู้อยู่อาศัยใหม่ต่างก็หวาดกลัวและคิดกันว่าหมู่บ้านนั้นต้องคำสาป พวกเขาจึงเชิญนักบวช คนทรง อิมาน ใครก็ตามที่พวกเขาคิดว่าจะสามารถขับไล่วิญญาณชั่วร้ายที่สิงสู่อยู่บนเนินเขาออกไปได้ หลังจากพยายามทุกวิถีทางแล้ว พวกเขาก็ยังหาเด็กสาวสามคนที่หายตัวไปไม่พบ แต่ก็ไม่เกิดเหตุการณ์การหายตัวไปของเด็กสาวแถวนั้นอีก
13 ปีผ่านไปอย่างสงบสุข จนกระทั่งวันหนึ่ง คุณครูโรงเรียนมัธยมเมืองฮานาคางุระได้จัดทัศนศึกษาไปที่เมืองฮานาคางุระในปี 1997 เด็กบางคนอ้างว่าเห็นเงาประหลาดและประตูเปิดปิดเองได้ ครูคนนั้นถูกตำหนิอยู่บ้างที่พาเด็กไปในที่น่ากลัวแบบนั้น แต่ก็ไม่มีอะไรอันตรายใดๆ เกิดขึ้นและทุกคนกลับถึงโรงเรียนอย่างปลอดภัย โรงเรียนเลยไม่ได้ตามเรื่องนี้ต่อหรือเอาผิดคุณครูคนนั้นแต่อย่างใด
หนึ่งปีผ่านไป ตอนนั้นผมกำลังจะเขียนบทความเกี่ยวกับวิกฤตการเงินในเอเชียเสร็จตอนเจนิสโทรมาหา
“นายควรลองหาข้อมูลเกี่ยวกับโรงเรียนมัธยมเมืองฮานาคางุระดูนะ” เธอพูดก่อนวางสาย จากนั้นผมได้รับอีเมลข้อมูลเกี่ยวกับทริปทัศนศึกษาในปี 1997 จากเธอ มันน่าสนใจอยู่ ผมเลยหยิบเครื่องบันทึกเสียงและกล้องถ่ายรูปแล้วนั่งแท็กซี่ไปยังเมืองฮานาคางุระวันนั้นเลย
โรงเรียนไม่ได้ต้อนรับผมอย่างเต็มใจนักแต่ก็ยังให้อนุญาตผมได้สัมภาษณ์นักเรียนและพนักงานรักษาความปลอดภัยหลังโรงเรียนเลิก
“แล้วครูที่เป็นคนดูแลทัศนศึกษาครั้งนั้นละครับ?” ผมถามพนักงานรักษาความปลอดภัย เพราะไม่มีใครพูดถึงเธอเลยทั้งๆ ที่เธอดูจะเป็นบุคคลสำคัญสำหรับเหตุการณ์นั้น
“เธอ.. เอ่อ.. คุณครูแทนฆ่าตัวตายหนึ่งเดือนหลังกลับมาจากทัศนศึกษาครับ” เขาพูดเสียงเบาแทบฟังไม่ได้ศัพท์ แต่ความกลัวในน้ำเสียงฟังดูชัดเจนยิ่งนัก “มีอะไรบางอย่างที่แปลกเอามากๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ผู้จัดการไม่ยอมพูดอะไร คุณเองก็ควรระวังเอาไว้บ้างนะครับ” เขาพูดเสียงเบากว่าเดิม
ส่วนเด็กๆ ต่างมีสีหน้าเหมือนพวกเขาอยู่ในงานศพมากกว่ามาโรงเรียน
ในที่สุดผมก็ได้สัมภาษณ์นักเรียนคนหนึ่งในห้องสมุด เธอบอกว่าอยู่ในชั้นเรียนที่เดินทางไปที่เมืองฮานาคางุระในวันนั้น ผมโชคดีชะมัด
เด็กสาวหน้าตาดีแนะนำตัวเองว่าชื่อ วอง ตงหยาง เธอตกลงจะให้สัมภาษณ์โดยบอกว่ามีข้อแม้หนึ่งข้อที่จะบอกผมทีหลังว่าคืออะไร มันก็ทะแม่งๆ พิกลนั่นล่ะ แต่ตอนนั้นผมดีใจที่จะได้ข้อมูลเลยรับปากไปและเริ่มการสัมภาษณ์
ผมกดปุ่มเครื่องบันทึกเสียงแล้ววางมันระหว่างเราสองคน
ผม - แนะนำตัวเองหน่อย
ตงหยาง - หนูชื่อวอง ตงหยาง จากห้อง 2N3
ผม - บอกได้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง?
ตงหยาง - เมื่อเดือนก่อน พวกเราไปถ่ายรูปรวมของชั้นเรียนกันหน้าห้องเรียน ในชั้นเรียนหนูมีนักเรียนทั้งหมด 25 คน รวมทั้งหนูด้วย
ผม - แล้วเกิดอะไรขึ้นเหรอ?
ตงหยาง - มันก็ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นหรอกค่ะ จนกระทั่งตอนที่พวกเราได้รับหนังสือรุ่นถึงได้สังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติกับรูปที่ถ่ายวันนั้น
เธอพูดพลางยื่นหนังสือรุ่นเล่มนั้นให้ผมดูรูปถ่ายดังกล่าว ในรูปทุกอย่างดูปกติดี แต่มีเด็กนักเรียนคนหนึ่งที่ถูกใช้ปากกาขีดลบใบหน้าและชื่อออก
ตงหยาง - เด็กคนนั้น เธอ.. เธอไม่สมควรจะอยู่ในรูป เธอไม่มีตัวตนก่อนหน้านี้ แต่อยู่ๆ ก็มายืนระหว่างหนูกับครูแทน ไม่มีใครจำได้ว่าเห็นเธอในวันนั้น พวกเรา.. เรียกเธอว่านักเรียนคนที่ 26
ผม - แล้วหนูรู้มั้ยว่าเธอเป็นใคร?
ตงหยาง - หนู.. หนูเองก็ไม่รู้ หนูไม่เคยเห็นหน้าเธอมาก่อน ไม่เคยมีใครเคยเห็นเธอมาก่อน บางคนบอกว่าเธอเป็นหนึ่งในเด็กสาวสามคนที่หายตัวไปเมื่อหลายปีมาแล้ว พวกเขาบอกว่ามันเป็นเพราะพวกเราไปทัศนศีกษาที่เมืองฮานาคางุระเมื่อปีที่แล้ว และตอนนี้ชั้นเรียนเราต้องคำสาป..
ผมหยุดเครื่องบันทึกเสียง ใจอยากจะปลอบเด็กนักเรียนผู้น่าสงสาร แต่จะพูดอะไรได้ล่ะ ผมไม่ได้ประสบเหตุการณ์เดียวกันกับเธอ ไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกที่แท้จริงของเธอ
เธอปาดน้ำตาทิ้งแล้วเริ่มพูด “เอ่อ.. ข้อแม้ที่หนูขอไว้ก่อนเริ่มสัมภาษณ์..”
ผมพยักหน้า “อืม ว่ามาสิ”
“หนู.. หนูอยากให้คุณไปเป็นเพื่อนหนูที่เมืองฮานาคางุระคืนนี้”
(โปรดติดตามตอนต่อไป..)
**************
Credit: https://www.reddit.com/user/killmonger_v1/