รวมเรื่องราวความหลอนสุดพิลึก ที่จะทำให้คุณรู้สึกว่า… ยามค่ำคืนกับเวลากลางวัน ช่างเป็นโลกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
พารานอมอล,ลึกลับ,ระทึกขวัญ,เรื่องสั้น,พล็อตสร้างกระแส,สยองขวัญ,แปล,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
นอนไม่หลับรวมเรื่องราวความหลอนสุดพิลึก ที่จะทำให้คุณรู้สึกว่า… ยามค่ำคืนกับเวลากลางวัน ช่างเป็นโลกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
รวมเรื่องราวความหลอนสุดพิลึก ที่จะทำให้คุณรู้สึกว่า… ยามค่ำคืนกับเวลากลางวัน ช่างเป็นโลกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
"นอนไม่หลับ" คือหนังสือรวมเรื่องสั้นหลอนสั่นประสาท ที่ท้าทายให้คุณลองอ่าน…
เรื่องราวของความเงียบงันที่ไม่น่าไว้วางใจ ความกลัวที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด และเสียงเรียกจากบางสิ่งที่คุณไม่ควรตอบรับ คำเตือน—เรื่องราวเหล่านี้จะค่อยๆ คืบคลานเข้าสู่ความคิดของคุณ และเมื่อถึงเวลาที่คุณล้มตัวลงนอน…
คุณแน่ใจหรือว่า จะหลับลงได้จริงๆ?
รวมเรื่องเขย่าขวัญที่ถูกแปลเป็นไทย เพื่อแบ่งปันความสยองให้ทุกคนได้อ่านเพื่อความเพลิดเพลิน
📌 หมายเหตุ: ทุกเรื่องเล่าได้รับอนุญาตจากเจ้าของเรื่องก่อนนำมาแปลเรียบร้อยแล้ว
หากถูกใจ ฝากติดตาม กดคอมเมนต์ และส่งกำลังใจด้วยโดเนทได้นะคะ 😎
ทั้งนี้ สำนวนการแปลถือเป็นลิขสิทธิ์ของผู้แปล เพื่อความบันเทิงของผู้อ่านเท่านั้น ห้ามทำซ้ำ คัดลอก หรือนำไปอ่านเผยแพร่ในเว็บใดๆ ทั้งสิ้น รวมทั้งไม่อนุญาตให้นำไปเล่าเรื่องด้วยเสียงผ่าน YouTube และ/หรือเว็บอื่นใดทั้งสิ้น ถ้าต้องการแบ่งปัน ให้ใช้วิธีแชร์ลิงก์เท่านั้นนะคะ **หากมีใครพบเห็นการกระทำดังกล่าวที่ไหน โปรดแจ้งกับผู้แปลโดยตรงนะคะ**
(Part. 2)
กว่าผมจะไปถึงเชิงเขาบูกิตบาต็อกก็เกือบห้าทุ่มแล้ว ผมเคยชินกับชีวิตในเมืองและเสียงจอแจมากเสียจนความเงียบสนิทตอนนี้ทำเอาผมกลัวหน่อยๆ อากาศหนาวเย็นข้างนอกทำเอาแก้มชา ผมนึกเสียดายที่ไม่ได้หยิบเสื้อแจ็คเก็ตติดมาด้วย
ตงหยางยืนรออยู่แล้วใกล้กับไฟถนน แสงไฟสีเหลืองสร้างรัศมีผิดธรรมชาติรอบผมของเธอ ทำให้เธอดูเหมือนผีมากกว่าคน
“นั่นทางขึ้นใช่หรือเปล่า?” ผมชี้ไปที่ถนนแคบคดเคี้ยวที่ลับหายไปในป่ารก
เธอส่ายหน้า “พวกเขาปิดทางนั่นหลังพวกเราไปทัศนศึกษาเมื่อปีก่อน ตอนนี้ทางเข้าเดียวคือต้องเดินผ่านสถานีรถไฟฮานาคางุระ”
ผมโล่งใจที่ไม่ต้องเดินบนถนนมืดๆ น่ากลัว แต่พอนึกขึ้นมาได้ก็ใจหาย “เธอหมายถึงสถานีรถไฟเก่าที่ปิดไปแล้วนั่นน่ะเหรอ?”
“ใช่ค่ะ หนูว่าเราเดินไปตามทางรถไฟจนถึงที่นั่นได้” เธอพูด
“ฟังดูมั่นใจจริงนะ” ผมพูดประชด
“คงเพราะมีคุณมาเป็นเพื่อนมั้ง” เธอพูดกลั้วหัวเราะ “นั่นอะไรเหรอคะ?” เธอถามมือชี้มาที่กระเป๋าสะพายไหล่ผม
“แค่กล้องถ่ายรูป แฟลช แล้วก็ฟิล์มน่ะ” ผมพึมพำโดยไม่ได้พูดถึงสร้อยลูกประคำที่ผมซื้อจากวัดก่อนมาที่นี่ สถานีฮานาคางุระตั้งอยู่ข้างหมู่บ้านฮานาคางุระบนเนินเขาบูกิตบาต็อก มีเสียงคัดค้านจากชาวบ้านเกี่ยวกับที่ตั้งของสถานี แต่รัฐบาลอ้างว่ามีพื้นที่จำกัดและลงมือสร้างสถานีโดยไม่ฟังเสียงใคร ดังนั้นพอสถานีเปิดให้ใช้งานจึงไม่มีใครยอมมาใช้บริการมากนักจนทำให้ต้องปิดตัวลงและถูกปล่อยทิ้งร้างในที่สุด
การต้องเดินตามรางรถไฟหมายถึงว่าเราอาจถูกรถไฟชนได้ถ้าไม่ระวัง แต่นักเรียนวัย 14 ที่อยู่กับผมตอนนี้ดูจะไม่สนเรื่องนั้นเอาเลย ส่วนผมเองก็มาไกลเกินกว่าจะเปลี่ยนใจได้แล้ว พวกเราลอดผ่านรั้วลูกโซ่เข้าไปแล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปตามทางรถไฟข้างหน้าในความมืด
“ทำไมเธอถึงอยากไปที่หมู่บ้านนั่นนักหนา?” ผมถามขณะเดินตามเธออยู่ข้างหลัง ทันใดนั้นเอง เสียงรถไฟดังลั่นวิ่งเฉียดพวกเราไปไม่เกินนิ้วเดียวด้วยความเร็วสูง ผมสบถเสียงดังเพราะเกือบถูกลมกรรโชกแรงทำเสียหลัก
“สุดยอดไปเลย!” เธอพูดเสียงดังพลางหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ความมืดเข้าครอบคลุมรอบตัวพวกเราอีกครั้ง
เยี่ยมเลย เด็กนี่เสียสติไปแล้ว ผมคิด
ไม่นาน แพลตฟอร์มคอนกรีตที่ทอดยาวไปตามรางรถไฟปรากฎให้เห็น ดูเหมือนว่าอาคารสถานีนี้จะถูกทุบทำลายทิ้งหลังจากปิดตัวลง เหลือเพียงชานชาลาและกองเศษหินเกลื่อนไปทั่ว ตงหยางทำเสียงฮึดฮัดในลำคอตอนไต่ขึ้นบนแพลตฟอร์ม
ผมไต่ขึ้นแพลตฟอร์มตามหลัง หูได้ยินเสียงข้อเท้าตัวเองลั่นดังแกร็กเบาๆ
“นั่นอะไรเหรอคะ?” เธอถามพลางชี้ไปที่อะไรบางอย่างใกล้เท้าผม
ผมใช้เท้าเขี่ยหญ้าสูงและใบไม้แห้งออกให้พ้นทาง “ดูเหมือนป้ายนะ..”
ตัวหนังสือบนป้ายเลือนลางจากทั้งแสงอาทิตย์และความเก่าของสถานที่ แต่ผมยังพออ่านมันออก
“คุณกำลังเข้าสู่อนุสรณ์สถานสงครามโลกครั้งที่ 2 — หมู่บ้านฮานาคางุระและศาลเจ้า”
世界二战纪念场所 — 花神楽村 与 神社
นั่นเป็นตอนที่ผมเพิ่งรู้ว่าตงหยางเริ่มออกเดินเข้าไปสู่ความมืดน่าหวาดกลัวของหมู่บ้านข้างหน้าแล้ว
“เฮ้ รอด้วยสิ!” ผมเตะป้ายนั่นให้พ้นทางแล้วออกวิ่งตาม
เราเดินไปตามทางลูกรังขณะเข้าใกล้หมู่บ้านเก่าแก่เข้าไปทุกที คุณเคยไปเที่ยวที่เกียวโตประเทศญี่ปุ่นหรือเปล่า? เหล่าอาคารไม้เก่าแก่ในกิออนและฮิกาชิยามะที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวนับล้านจากทั่วทุกมุมโลกทุกปี นั่นล่ะ.. หมู่บ้านฮานาคางุระก็เหมือนกันแบบนั้น ราวกับว่ามีคนไปหยิบเอาถนนจากเกียวโตมาวางไว้กลางป่าที่นี่แล้วปล่อยให้ธรรมชาติเข้าครอบครอง มีทางเดินเล็กๆ เพียงทางเดียวขนาบข้างด้วยบ้านเรือนเก่าแก่และผุพังทั้งสองด้านยาวประมาณหนึ่งไมล์ และที่สุดทางเดินมีขั้นบันไดทำด้วยโคลนที่นำไปสู่ศาลเจ้า
ผมดึงเอากล้องถ่ายรูปออกมาประกอบแฟลชก่อนถ่ายรูปสองสามรูป แสงแฟลชสว่างจ้าส่องกลุ่มฝุ่นหนาทึบที่ลอยอยู่ในอากาศสงบนิ่งยามค่ำคืน
“จะไปไหนน่ะ?”
ตงหยางผงกหัวไปทางบันไดทำจากดิน “หนูอยากไปที่ศาลเจ้าหน่อย”
“ให้ตายสิ..” ผมรีบวิ่งตามไปตามถนนเปลี่ยว นี่อาจเป็นอนุสรณ์สถานสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ถูกละเลยและทรุดโทรมที่สุดที่ผมเคยเห็นมา
ทั้งสองข้างของขั้นบันไดมีโคมไฟทำด้วยไม้สลักตัวอักษรคันจิ '奉納' ซึ่งหมายถึง 'ความเคารพ' สีแดงสีเดิมลอกออกไปนานแล้ว ปล่อยให้ตะไคร่เกาะติดกับโคมผุพังกลายเป็นสีเขียวเข้มน่าขยะแขยง ผมเกิดรู้สึกไม่ดีขึ้นมาตะหงิดๆ เลยหยิบสร้อยประคำออกมาแล้วรีบวิ่งไปสมทบกับตงหยาง
“เราไม่ได้มาทัศนศึกษาที่นี่ปีที่แล้วหรือไง? ยังจะมีอะไรเหลือให้ดูอีกเหรอ?” ผมถามพลางหอบหายใจ
เธอส่ายหน้า “ตอนนั้นพวกเราไม่ได้เข้าไปในศาล”
ผมจ้องไปที่เสาไม้สูงตระหง่านใจกลางศาลเจ้า ถ้าให้เดา มันน่าจะสูงประมาณ 40 เมตร มีตัวอักษรคันจิสามตัวสลักอยู่บนเสาเป็นแนวตั้ง:
忠
霊
塔
“ชูเรอิโตะ” ผมพึมพำ
ชูเรอิโตะแปลคร่าวๆ ว่า “'อนุสาวรีย์แห่งความภักดี” มันมักจะถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ทหารญี่ปุ่นที่เสียชีวิตในสงครามและเพื่อแสดงความภักดีต่อจักรพรรดิญี่ปุ่น ทำไมมันถึงถูกสร้างที่นี่ ในศาลเจ้าที่ถูกทิ้งร้างในที่ห่างไกลแบบนี้นะ?
“ดูที่พื้นสิคะ” ตงหยางพูดเบาๆ
ผมก้มมองด้านล่างของเสาและสังเกตเห็นโซ่เหล็กขึ้นสนิมขนาดใหญ่ที่พันรอบเสาแน่น โซ่ทั้งหมดนำไปสู่อาคารศาลเจ้าที่ด้านหลัง ตงหยางออกเดินช้าๆ ไปที่อาคารผุพังตรงหน้า ผมสบถกับตัวเองเบาๆ ก่อนเดินตามไป
พวกเราหยุดตรงหน้าบันไดไม้ปกคลุมไปด้วยตะไคร่น้ำซึ่งนำไปสู่ทางเข้าต้องห้าม ประตูหน้าบานคู่พังจนกลายเป็นเศษผงเผยให้เห็นความมืดสนิทข้างใน
“มองไม่เห็นอะไรเลย” ตงหยางพึมพำพลางหรี่ตา “เราใช้แฟลชส่องดูดีมั้ยคะ”
ผมอ้าปากจะบอกเธอว่าอย่าดีกว่า แต่ตงหยางคว้ากล้องจากมือผม ส่องไปข้างหน้าแล้วกดชัตเตอร์
ผมจะไม่มีวันลืมสิ่งที่เห็นในวันนั้น
โซ่ยักษ์เลาะเลื้อยไปทั่วพื้นที่เน่าเปื่อยจากนั้นปีนขึ้นไปที่จุดต่างกัน 3 แห่งที่ผนังด้านหลัง ส่วนปลายโซ่มัดรอบเท้ามนุษย์ มันคือเท้าของเด็กนักเรียนสามคนที่หายตัวไปเมื่อหลายปีก่อน ร่างของพวกเธออยู่ข้างในศาลเจ้า ถูกล่ามติดกับชูเรอิโตะหลังพวกเธอเสียชีวิต
“มันอะไรกันวะเนี่ย!” ผมกำสร้อยประคำในมือแน่นใจคิดอธิษฐานบทสวดอะไรก็ตามที่คิดออกตอนนั้น
เสียงดังแอดเบาๆ ปลุกผมจากภวังค์ ตงหยางค่อยๆ ก้าวเท้าเข้าไปในศาลไปยังศพทั้งสาม ตาของเธอสะท้อนแสงไฟเผยให้เห็นน้ำตาคลอเบ้า
“เฮ้ย! ทำบ้าอะไรน่ะ!” ผมโวยวาย
“แม่คะ..” เธอพึมพำเสียงสั่นเทา “.. นั่นแม่ใช่หรือเปล่า?”
ผมสะดุดกึก ขนลุกซู่ไปทั้งตัว มือสั่นอย่างแรงจนต้องก้มลงไปมอง ปรากฎว่าสร้อยประคำสั่นอย่างควบคุมไม่ได้อยู่ในมือผม แสดงว่ามีบางอย่างที่น่าหวาดกลัวอยู่ใกล้ๆ พวกเรานี่เอง ผมพยายามวิ่งไปทางตงหยางแต่ก้าวขาไม่ออก
“อย่าขัดขวางพวกเขา” เสียงเย็นยะเยือกดังมาจากด้านหลังผมไม่กล้าหันไปมอง ทำได้แค่ยืนตัวแข็งอยู่ตรงนั้น ตามองตามตงหยางขณะเธอเดินขึ้นบันไดช้าๆ
ทันใดนั้นเอง เด็กสาวอายุไม่เกิน 17 สวมชุดผ้าไหมสีขาวปรากฎกายขึ้นตรงหน้าผม “ที่นี่ไม่ต้อนรับเจ้า ออกไปซะ”
ผมรีบวิ่งออกจากศาลอย่างเร็ว โคมไฟไม้ตอนนี้ส่องแสงสีแดงสดน่าขนลุก พอมองรอบตัวเป็นวงกว้างผมมองเห็นทั้งหมู่บ้านเต็มไปด้วยผู้คนเดินกันขวักไขว่ วิญญาณพวกนั้นเคยเป็นมนุษย์มาก่อน เสียงพูดภาษาญี่ปุ่น จีน และภาษาถิ่นอื่นๆ ที่ผมไม่เข้าใจดังจอแจ บ้านเรือนที่เมื่อกี้ผุพังตอนนี้ดูสมบูรณ์เหมือนเมื่อก่อน มีแสงเทียนพลิ้วไหวผ่านหน้าต่างกระดาษข้าวโปร่งแสง
ผมวิ่งและวิ่งไม่คิดชีวิต และพอมาถึงแพลตฟอร์มที่สถานีร้างอีกครั้ง สร้อยประคำในมือผมขาด ลูกปัดหล่นกระจายบนพื้นผมหยุดวิ่งแล้วหันไปมองข้างหลัง หมู่บ้านที่สว่างไสวเมื่อกี้ตอนนี้กลับมืดสนิทรกร้างเหมือนเดิมอีกครั้ง
พอกลับเข้าเมืองได้ ผมรีบโทรแจ้งตำรวจ ตอนแรกพวกเขาคิดว่าผมล้อเล่น ผมต้องอธิบายอยู่นานกว่าพวกเขาจะยอมออกมาตรวจดูที่ศาลเจ้าในเมืองฮานาคางุระ แต่ก็ไม่พบอะไรผิดปกตินอกจากศาลเก่าๆ ไม่มีร่องรอยของศพนักเรียนทั้งสาม โซ่เหล็ก กล้องถ่ายรูปของผม หรือแม้แต่ตงหยางเอง
ผมมารู้ทีหลังจากการสืบหาข้อมูลจากหนังสือพิมพ์เก่าว่าหนึ่งในเด็กนักเรียนสามคนนั้นได้ให้กำเนิดลูกของเธอกับแฟนหนุ่มที่ชื่อ วงก๊กเหลียง ได้หนึ่งเดือนก่อนที่เธอจะหายตัวไป เด็กสาวคนนั้นชื่อ หลิน เว่ยติง และเด็กทารกที่เธอให้กำเนิดในตอนนั้นชื่อ.. วอง ตงหยาง
หลังจากนั้นผมเดินทางกลับไปที่โรงเรียนมัธยมฮานาคางุระเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อขอสำเนาหนังสือรุ่นประจำปี 1998 ผมต้องดูให้แน่ใจว่าข้อมูลที่ผมได้มาเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า
และปรากฎว่าเด็กนักเรียนคนที่ 26 ในรูปถ่ายหน้าชั้นเรียน 2N3 เด็กผู้หญิงลึกลับที่นั่งข้างวอง ตงหยางในวันนั้น.. คือ หลิน เว่ยติง
(จบบริบูรณ์)
**************