รวมเรื่องราวความหลอนสุดพิลึก ที่จะทำให้คุณรู้สึกว่า… ยามค่ำคืนกับเวลากลางวัน ช่างเป็นโลกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
พารานอมอล,ลึกลับ,ระทึกขวัญ,เรื่องสั้น,พล็อตสร้างกระแส,สยองขวัญ,แปล,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
นอนไม่หลับรวมเรื่องราวความหลอนสุดพิลึก ที่จะทำให้คุณรู้สึกว่า… ยามค่ำคืนกับเวลากลางวัน ช่างเป็นโลกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
รวมเรื่องราวความหลอนสุดพิลึก ที่จะทำให้คุณรู้สึกว่า… ยามค่ำคืนกับเวลากลางวัน ช่างเป็นโลกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
"นอนไม่หลับ" คือหนังสือรวมเรื่องสั้นหลอนสั่นประสาท ที่ท้าทายให้คุณลองอ่าน…
เรื่องราวของความเงียบงันที่ไม่น่าไว้วางใจ ความกลัวที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด และเสียงเรียกจากบางสิ่งที่คุณไม่ควรตอบรับ คำเตือน—เรื่องราวเหล่านี้จะค่อยๆ คืบคลานเข้าสู่ความคิดของคุณ และเมื่อถึงเวลาที่คุณล้มตัวลงนอน…
คุณแน่ใจหรือว่า จะหลับลงได้จริงๆ?
รวมเรื่องเขย่าขวัญที่ถูกแปลเป็นไทย เพื่อแบ่งปันความสยองให้ทุกคนได้อ่านเพื่อความเพลิดเพลิน
📌 หมายเหตุ: ทุกเรื่องเล่าได้รับอนุญาตจากเจ้าของเรื่องก่อนนำมาแปลเรียบร้อยแล้ว
หากถูกใจ ฝากติดตาม กดคอมเมนต์ และส่งกำลังใจด้วยโดเนทได้นะคะ 😎
ทั้งนี้ สำนวนการแปลถือเป็นลิขสิทธิ์ของผู้แปล เพื่อความบันเทิงของผู้อ่านเท่านั้น ห้ามทำซ้ำ คัดลอก หรือนำไปอ่านเผยแพร่ในเว็บใดๆ ทั้งสิ้น รวมทั้งไม่อนุญาตให้นำไปเล่าเรื่องด้วยเสียงผ่าน YouTube และ/หรือเว็บอื่นใดทั้งสิ้น ถ้าต้องการแบ่งปัน ให้ใช้วิธีแชร์ลิงก์เท่านั้นนะคะ **หากมีใครพบเห็นการกระทำดังกล่าวที่ไหน โปรดแจ้งกับผู้แปลโดยตรงนะคะ**
เป็นที่รู้กันดีว่าสิงคโปร์เป็นหนึ่งในประเทศที่ปลอดภัยที่สุดในโลก แต่ถ้ามองย้อนกลับไปสักยี่สิบหรือสามสิบปี คุณจะเห็นว่าประวัติของมันห่างไกลจากความเป็นประเทศแสนสะอาดและปลอดภัยมากนัก
ชาวสิงคโปร์ที่อายุมากหน่อยอาจจะจำเหตุฆาตกรรมสยองที่เกิดขึ้นที่เกลังบาห์รูในปี 1979 ได้ เด็กสี่คนถูกแทงและฟันเสียชีวิตอย่างเหี้ยมโหดขณะที่พ่อแม่ของพวกเขาไม่อยู่ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่บล็อกเลขที่ 58 เกลังบาห์รู แม่ของเด็กทั้งสี่กลับมาพบศพลูกๆ ที่ถูกกองสุมทับกันอยู่ในห้องน้ำ คดีนี้ยังไม่คลี่คลายมาจนถึงทุกวันนี้
บ่ายวันหนึ่งที่ร้อนอบอ้าวในปี 1999 จานิส อดีตบรรณาธิการของผมคิดว่าผมควรเขียนข่าวเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมสยองนี้ในวันครบรอบ 20 ปีของคดี เธอให้เหตุผลว่ามันจะช่วยดึงความสนใจของคนในประเทศกลับมาที่คดี และอาจมีใครออกมาให้ข้อมูลใหม่ๆ ที่อาจช่วยเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนรูปคดีก็ได้
ประจวบเหมาะกับว่าในเดือนนั้นผมแทบไม่มีเรื่องให้เขียนอยู่พอดี ผมไม่มีทางเลือกอื่นเลยตกลงรับปากว่าจะเขียนบทความคดีฆาตกรรมดังกล่าว
“ไม่เอา ฉันอยากให้นายไปที่สถานที่เกิดเหตุและสัมภาษณ์คนแถวนั้น “จานิสพูดน้ำเสียงตื่นเต้น
“คุณอยากให้ผมไปที่สถานที่เกิดเหตุเองเลยเนี่ยนะ?” ผมถามอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
“มันจะช่วยให้เราโดดเด่นกว่าหนังสือพิมพ์เจ้าอื่น ตอนนี้เรามีงบเยอะ ฉันเลยจัดการให้คุณได้นอนค้างที่แฟลตใกล้กับแฟลตที่เกิดเหตุคืนนึง บริษัทจะเป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทุกอย่าง เพราะงั้นนายต้องเขียนเรื่องนี้ให้ดีเลยนะ!” จานิสกดดันไม่เลิก
จานิสบอกว่าผมจะต้องไปค้างคืนกับยายแก่ๆ คนหนึ่งที่อาศัยลำพังอยู่ที่แฟลตหมายเลข 450 ชั้น 4 ซึ่งเป็นแฟลตที่อยู่ห่างจากแฟลตที่เกิดเหตุ (หมายเลข 444 ชั้น 4) ประมาณสองสามแฟลต ผมเดินทางกลับบ้านแล้วแพคกระเป๋า มีเสื้อผ้าสองสามชุด ของใช้ส่วนตัว และกล้องตัวใหม่ จากนั้นโดดขึ้นรถไฟ MRT
กว่าจะมาถึงสถานีเกลัง แสงอาทิตย์สุดท้ายก็หลบหายเข้ากลีบเมฆไปแล้ว โคมไฟถนนโซเดียมกะพริบติดสาดแสงสีเหลืองสบายตาบนถนนว่างเปล่า โดยรวมแล้ว ที่นี่เป็นย่านเงียบสงบดูไม่มีพิษภัยและไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ เหมือนกันกับแฟลต HDB อื่นๆ ผมเดินเรื่อยๆ อย่างไม่รีบร้อนมุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทาง มันเป็นการเดินเอื่อยๆ ที่ไม่มีอะไรน่าสนใจเป็นพิเศษ
จนกระทั่งผมเดินมาถึงถนนด้านข้างที่นำไปสู่พื้นที่วงกลมเล็กๆ ของแฟลต HDB ซึ่งเป็นที่ตั้งของบล็อก 58 ในความมืดมิด ผมไม่ทันเห็นกระถางธูปสีแดงเล็กๆ ริมทางเท้า เลยเผลอไปเตะเข้าเต็มๆ ขณะกำลังเดินเลี้ยวโค้ง กระถางธูปพลิกคว่ำและผงขี้เถ้าสีดำฟุ้งกระจายเต็มพื้น ผมพึมพำกล่าวขอโทษแล้วรีบเดินเลี่ยงก่อนมุ่งหน้าไปยังบล็อก 58
ผมยู่จมูกตอนเดินเข้าลิฟท์โทรมๆ มันมีกลิ่นเหม็นเหมือนมีใครมาฉี่ทิ้งไว้ และผมแน่ใจว่ากลิ่นต้องมาจากไอ้แอ่งน้ำสีเหลืองเล็กๆ ที่มุมลิฟท์นั่นแน่ ผมรีบหันหลังกลับกะจะใช้บันไดแทน แต่ประตูดันปิดเสียก่อน
ผมรีบกดปุ่มเปิดประตู แต่อยู่ๆ ไฟที่ปุ่มลิฟท์ชั้น 4 ดันติดแทน
“อะไรกันวะเนี่ย” ผมพูดงงๆ ลิฟท์สะดุดแรงๆ ทีหนึ่งก่อนเริ่มไต่ขึ้นชั้นบน
ชั้นสี่…
ประตูเหล็กขึ้นสนิมดังส่งเสียงดังขณะเลื่อนเปิดออก ผมกำกระเป๋าสัมภาระอย่างลังเลก่อนก้าวออกไปที่ทางเดินสลัว โถงลิฟต์อยู่สุดทางเดิน ดังนั้นจากจุดผมยืนจะมองเห็นตลอดทางเดินทั้งหมด หลอดฟลูออเรสเซนต์ถูกจัดวางอย่างไม่เป็นระเบียบ ทำให้ทางเดินบางส่วนสว่างและบางส่วนมืดมิดมองแทบไม่เห็น
ผมเหลือบมองยูนิตแรก #04-440 ตอนเดินผ่าน บานเกล็ดหน้าต่างกระจกฝ้าถูกปิดทั้งหมด หน้าประตูมีโฆษณาและแผ่นพับเป็นกองเลื่อนกระจัดกระจาย ดูเหมือนไม่มีใครอยู่ที่แฟลตนี้
ต่อมาเป็นแฟลตหมายเลข 442 ตอนเดินผ่านผมได้ยินเสียงรายงานข่าวจากทีวีเบาๆ ดังมาจากหลังบานประตู แต่หน้าต่างด้านหน้าปิดสนิทเหมือนกันกับแฟลตแรก
อยู่ๆ ทางเดินเกิดมืดลงมากตอนผมเดินเข้าใกล้ยูนิตถัดไป ดูเหมือนหลอดไฟเหนือหัวจะเก่ามากจนเหลือแค่แสงสีแดงเล็กๆ ที่ปลายหลอด สีที่ประตูหน้าหลุดลอกไม่มีชิ้นดีเพราะไม่มีใครดูแล และบานเกล็ดหน้าต่างบางส่วนแตกเผยให้เห็นแฟลตถูกทิ้งร้างในแสงสลัวด้านใน ถึงไม่เหลือบไปมองแผ่นป้ายเหล็กขึ้นสนิมที่ประตูก็รู้ ว่านี่คือยูนิตไหน
แฟลตหมายเลข 444
ยิ่งผมมองดูภายในที่มืดสนิทผ่านช่องว่างในหน้าต่างนานเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกถึงความหนาวเหน็บจับขั้วหัวใจมากขึ้นเท่านั้น ผมส่ายหัว พยายามลบล้างความคิดของตัวเองก่อนหันมองที่พื้นตรงหน้าแล้วเร่งฝีเท้าให้เดินผ่านแฟลตหมายเลข 444 ให้เร็วขึ้น
พอมาถึงแฟลตยูนิต 446 ผมเห็นว่ามันว่างด้วยเหมือนกันพร้อมป้าย “ขายหรือให้เช่า” ติดอยู่หน้าประตู ผมเดินต่อไปเรื่อยๆ จนมาถึงแฟลตหมายเลข 448 ซึ่งมีเสียงเด็กจอแจ ฟังดูเหมือนมีครอบครัวอาศัยอยู่ ผมถอนใจด้วยความโล่งอก ในที่สุดก็มีแฟลตที่ปกติธรรมดาอยู่ที่นี่บ้างละนะ
ผมมาหยุดอยู่ที่ยูนิตหัวมุมที่สุดทางเดิน หมายเลข “5” บนป้ายโลหะหน้าห้องหายไป ทำให้เห็นเป็น “4 0” แทน และในเมื่อมันเป็นยูนิตหัวมุมทำให้ไม่มีหน้าต่างที่ส่วนหน้า ผมเลยบอกไม่ได้ว่ามีคนอยู่ข้างในหรือเปล่า ผมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ จากนั้นเคาะประตู
“รอเดี๋ยว!” เสียงแหบพร่าดังมาจากด้านในพร้อมเสียงฝีเท้าหนักๆ จากนั้นลูกบิดประตูหมุนก่อนประตูแง้มเปิด
“อ้อ มาถึงแล้วเหรอ?” หญิงสูงอายุยิ้มไร้ฟัน “มา.. เข้ามาข้างในก่อน”
ผมโค้งทักทายก่อนเดินผ่านประตูเข้ามา คุณยายปิดประตูตามหลังผมแล้วล็อก
ผมมองไปรอบๆ ห้องรับแขกขนาดเล็กๆ ว่างโล่ง โคมไฟตั้งโต๊ะวางอยู่บนโทรทัศน์ CRT แบบเก่าให้แสงเรืองรองที่อบอุ่นและเป็นกันเอง หน้าทีวีเป็นเก้าอี้ไม้และโต๊ะกาแฟกลมเล็กๆ ทางเดินด้านหลังนำไปสู่ห้องนอนสองห้องที่หันหน้าเข้าหากัน ทางขวามือเป็นห้องครัวและห้องน้ำ
“กินอะไรมาหรือยังล่ะ?” คุณยายถามขณะเดินไปทางห้องครัว ผมพยักหน้า แต่คุณยายก็ยังเดินออกมาจากครัวพร้อมจานแตงโมในมือ “กินหน่อยนะ”
ผมหยิบไม้จิ้มฟันจากมือเหี่ยวย่นแล้วจิ้มแตงโมใส่ปาก
“ห้องนอนเธออยู่ทางขวานั่นนะ” คุณยายชี้ไปที่ทางเดิน “ฉันทำความสะอาดห้องให้บ้างแล้ว แต่ถ้ามีอะไรไม่พอใจละก็บอกได้เลย”
“ไม่เป็นไรครับ” ผมพึมพำ ใจไม่อยากรบกวนคนแก่
“แล้วเธอมาทำอะไรที่นี่ล่ะ?” คุณยายถามเรื่อยๆ
“อ๋อ ผมเป็นนักข่าวน่ะครับ ผมมาเขียนข่าวเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นที่นี่เมื่อยี่สิบปีก่อน”
หญิงชราพยักหน้าช้าๆ “แต่มันจะไม่เป็นการเสียเวลาเหรอที่มาถึงที่นี่น่ะ?”
ผมฟังแล้วก็งงเลยถาม “หมายความว่ายังไงเหรอครับยาย?”
“อ้าว.. ตอนมาไม่เห็นหรือไง?” หญิงชราชี้มือไปทางประตู “ยูนิตที่เกิดเหตุน่ะ..มันไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว”
“ฮะ.. ผมเพิ่งเดินผ่านมันมาเมื่อกี้เองครับ” ผมหัวเราะ
หญิงชราตัวแข็งทื่อ ตาจ้องตาผมเขม็ง “เป็นไปไม่ได้ ก็พวกเขาปิดตายยูนิตนั่นแล้วโบกปูนทับเมื่อหลายปีก่อน”
“ยาย.. อย่าล้อเล่นน่า” ผมพูดยิ้มๆ
หญิงชราเดินไปที่ประตู ปลดล็อกแล้วดึงมันเปิด “ออกไปดูอีกทีไป”
ผมสับสนกับพฤติกรรมของยาย แต่ยังไงซะผมก็ต้องนอนค้างที่บ้านเธอคืนนี้ เลยตัดสินใจเล่นไปตามน้ำ “ได้เลย.. ได้เลยครับผม”
ผมเดินผ่านยูนิต 448 ที่มีเสียงจอแจ จากนั้นยูนิต 446 ที่ว่างเปล่า “เห็นมั้ยฮะ.. นี่ไงยูนิต 44….”
ผมพูดไม่จบประโยค ตาจ้องไปที่ผนังปูนว่างโล่งตรงกลางระหว่างยูนิต 446 และ 442
ไม่มียูนิต 444 อยู่ตรงนั้น…
(โปรดติดตามตอนต่อไป…)